ความดีก็เหมือนกางเกงใน มีติดตัวไว้ แต่ไม่ต้องเอามาโชว์
Group Blog
 
All blogs
 
เสพศิลป์สิ่งมหัศจรรย์ยุโรป (ตอนที่ 2)

โลดแล่นจากเวนิสสู่สวิสเซอร์แลนด์



ในที่สุดก็ได้เวลาท่องเวนิสให้ชุ่มปอดซะที บ้านเมืองของที่นี่สวยงามตระการตาทีเดียวค่ะ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีลำคลองมากที่สุดในโลก ฉันจึงไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นผู้คนส่วนใหญ่ใช้เรือเป็นพาหนะหลักในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ อ้อ!! คุณผู้อ่านทราบไหมคะว่า...ครั้งหนึ่งกรุงเทพฯ บ้านเราเคยถูกขนานนามให้เป็นเวนิสตะวันออกด้วย แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงเป็นถนนหนทางตัดใหม่มากมาย แถมน้ำในลำคลองก็ส่งกลิ่นเน่าเหม็นจนไม่น่าพิสมัย แล้วอย่างนี้ใครจะกล้านั่งเรือชมเมืองเล่นอีกล่ะคะ

เอาล่ะ...เรามาทำความรู้จักกับเรื่องราวของเวนิสเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนดีกว่า เวนิสเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี ซึ่งได้รับฉายาจากนักท่องเที่ยวมากมาย อาทิ ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) นครเวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งประกอบไปด้วยเกาะเล็กๆ จำนวน 117 เกาะ มีคลองประมาณ 150 สาย รวมทั้งมีสะพานเชื่อมถึง 409 แห่ง ว่ากันว่าในอดีตเวนิสมีความเจริญทางด้านการค้ามากทีเดียว และเป็นรัฐอิสระที่ไม่ได้ขึ้นกับใคร ก่อนที่จะมารวมกันเป็นประเทศอิตาลีอย่างเช่นปัจจุบันนี้



ขณะที่กำลังทบทวนประวัติศาสตร์เมืองเวนิสเพลินๆ ฉันก็เดินทางมาถึงเกาะซานมาร์โค (San Marco) และได้ผ่านชม “สะพานถอนหายใจ” (Bridge of Sight) ที่เชื่อมต่อระหว่างพระราชวังกับคุก ซึ่งนักโทษที่เดินผ่านสะพานนี้จะมีโอกาสได้เห็นแสงตะวันภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย จึงต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความหดหู่ในชะตากรรมของตัวเอง...เฮ้อ...(อันนี้ได้ยินเขาเล่าต่อๆ กันมาอีกทีนะคะ แต่เห็นว่าท่าจะจริงค่ะ) แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ จิอาโคโม จิโรลาโม คาสโนวา นักรักผู้ยิ่งใหญ่ก็เคยข้ามผ่านสะพานนี้มาแล้ว



จุดหมายต่อไปพลาดไม่ได้กับ “จัตุรัสเซนต์มาร์ค” ซึ่งมีวิหารเซนต์มาร์คเป็นฉากหลัง และล้อมรอบไปด้วยสถาปัตยกรรมงดงามแบบไบแซนไทน์ สถานที่แห่งนี้นโปเลียนเคยกล่าวเชยชมไว้ว่าเป็น “ห้องรับแขกที่สวยที่สุดในยุโรป” ด้านหน้าโบสถ์จะมีร้านรวงขายสินค้ามากมาย งานแฮนด์เมดบางชิ้นช่างสวยยั่วกิเลสเหลือเกิน โดยเฉพาะเครื่องแก้วมูราโน่ที่ได้แค่หยิบๆ จับๆ เท่านั้นเองค่ะ แหม...ถ้าราคาไม่แพงมหาโหดขนาดนี้ก็อยากจะซื้ออยู่หรอก ฉันจึงตัดสินใจเอาเงินไปจ่ายค่าล่องเรือกอนโดล่าแทนดีกว่า เพราะไม่งั้นเดี๋ยวถูกคำครหาจากเพื่อนๆ ว่ามาไม่ถึงเวนิส ภายในเรือสามารถนั่งได้ทั้งหมด 6 คน ฉันมาคนเดียวโด่เด่ก็เลยทำเนียนขอแจมไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย ตรงนี้ขอแนะนำนิดหนึ่งนะคะในการต่อรองราคาค่าแจวเรือชมเมือง อย่าใจร้อนรีบตกลงกับเรือที่อยู่ด้านหน้าเชียว ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกค่าจ้างต่อเที่ยวสูงถึง 150 ยูโร ลองเดินเข้ามาด้านในเรื่อยๆ หากโชคดีอาจเจอบางลำคิดแค่ 80-100 ยูโรเท่านั้น การล่องเรือใช้เวลาทั้งหมด 30 นาที มุ่งสู่ Grand Canal ลำคลองที่กว้างที่สุดของเกาะเวนิส ทิวทัศน์สองข้างทางงดงามไปด้วยศิลปะทางสถาปัตยกรรมอันน่าประทับใจที่ฉันเชื่อว่าหากใครมีโอกาสมาเยือนจะต้องตกหลุมรักเวนิสอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอน



ฉันเพลินเพลินไปกับมนต์เสน่ห์ของเวนิสจนเต็มอิ่มก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน พร้อมกับไม่ลืมบอกรีเซฟชั่นให้โทรปลุกในตอนเช้าตรู่ด้วย ปรากฏว่าฉันตื่นก่อน Morning Call ซะอีก โปรแกรมในวันนี้คือการเดินทางไปยังลูเซิร์น เมืองตากอากาศที่โด่งดังของสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า เวียวาลด์ สแตร์ทเตอร์ เป้าหมายแรกของฉันอยู่ที่สะพานคาเปล (Kapelbruck หรือ Chape Bridge) ซึ่งเป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 600 ปี ทอดตัวข้ามแม่น้ำรอยส์ ตลอดทางบนสะพานจะประดับด้วยภาพเขียนที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของประเทศได้เป็นอย่างดี ว่ากันว่าสะพานนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายมากๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิม หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว ฉันก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองแองเกิลเบิร์ก ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าโรแตร์ที่สามารถหมุนได้รอบถึง 360 องศา เพื่อชมทิวทัศน์ของเทือกเขาแอลป์และมุ่งสู่ยอดเขาทิตลิสที่มีความสูง 3,028 เมตร ซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี ที่นี่นอกจากจะเป็นยอดเขาที่สวยงามแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมมาเล่นสกีเป็นจำนวนมากอีกด้วย



จริงๆ แล้วฉันเล่นสกีไม่เป็นหรอกนะคะ ก็ได้แต่ยืนมองเขาเล่นสนุกด้วยความอิจฉาตาร้อน (ไม่แน่ใจว่าร้อนจนน้ำแข็งละลายหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆ) พอดูนานเกือบชั่วโมงชักเริ่มเบื่อ เอาไงดีล่ะทีนี้....เดินไปดูถ้ำน้ำแข็ง Glacier Grotto ดีกว่า ถ้ำนี้มีอายุกว่าพันปี มีความยาวถึง 130 เมตร และลึกที่สุดถึง 15 เมตร มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี แม้อุณหภูมิข้างในจะหนาวเหน็บแบบติดลบจนฉันจามน้ำมูกไหลไปหลายที แต่ก็ไม่อยากรีบออกมาเลยค่ะ เพราะติดใจในความแปลกตาของรูปทรงน้ำแข็งที่สวยใสวาววับราวกับคริสตัลของสวารอฟสกี้ เสียดายที่ไม่ได้กดชัตเตอร์เก็บภาพมาฝาก เนื่องจากกล้องของฉันอ่อนแอแพ้ความเย็นค่ะ



จากนั้นฉันก็ลงจากยอดเขา ระหว่างนั่งบนกระเช้าดันเกิดอาการเสียวไส้ติ่งแปล่บๆ ตลอดทาง กว่าจะถึงพื้นด้านล่างก็ทำเอาฉันเกร็งไปทั้งตัว สถานที่สุดท้ายของวันนี้คือ กรุงเจนีวา ซึ่งฉันมุ่งมั่นมากกับการถ่ายรูปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ให้ครบถ้วน ได้แก่ น้ำพุเซ็ตโตที่มีความสูง 145 เมตร, นาฬิกาดอกไม้, อนุสาวรีย์ชองชาร์ค รุสโว บนเกาะรุสโซ และทะเลสาบเจนีวาอันสวยงาม อ้าว...ลืมไปค่ะ ฉันมาคนเดียวนี่นะ แล้วใครจะถ่ายรูปให้ล่ะ (-_-“) ภาษาอังกฤษก็ไม่แข็งแรงซะด้วย สุดท้ายจึงถ่ายแต่ทิวทัศน์ล้วนๆ ไม่มีรูปฉันกับวิวสวยๆ ซักชอต เฮ้อ....และที่แย่กว่านั้น กล้องดิจิตอลเจ้ากรรมดันถ่านหมดตอนนี้พอดี Oh My God!!!!



วันนี้ขอจอดป้ายที่สวิสเซอร์แลนด์นะคะ ใครที่อยากเที่ยวเวนิสก็รีบหาโอกาสมาเยือนด่วน เพราะแว่วว่าอีกไม่กี่ปี หากวิกฤติการณ์จากภาวะโลกร้อนยังแย่ลงอย่างนี้ อาจส่งผลให้น้ำในลำคลองรอบๆ เอ่อล้นมากขึ้นจนเกาะแห่งนี้ต้องจมหายไปจากแผนที่โลกในที่สุด ฉันขอฝากให้ทุกคนช่วยกันรักษ์โลกก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้ด้วยนะคะ และอย่าลืมติดตามต่อในตอนจบกับการเดินทางสู่มหานครปารีสจนถึงอียิปต์ค่ะ





Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2552 23:19:02 น. 4 comments
Counter : 759 Pageviews.

 
แวะมาเที่ยวค่ะ
สถาปัตยกรรมสวยๆทั้งนั้นเลย


โดย: Yolanrita วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:27:53 น.  

 
เขียนเรื่องบ่อยๆ นะชอบมาก


โดย: okra วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:29:08 น.  

 
หลงเสน่ห์เวนิสเหมือนกันค่ะ อยากกลับไปอีก


โดย: Picike วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:6:56:52 น.  

 
ตามมาเสพด้วยคนค่ะ


โดย: koipotter วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:45:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

bambygirl2
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ตกงานรอบสองแล้วค่ะ แก้อาการฟุ้งซ่านด้วยการเขียนบล็อกนี่แหละ เข้ามาอ่านและเม้นท์กันเยอะๆ นะค๊า....
Friends' blogs
[Add bambygirl2's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.