Group Blog
    ฉลาดเกมส์โกง เมื่อระบบการศึกษามีปัญหา



    "ฉลาดเกมส์โกง"
    (Score: 7/10)





    Intro

    คงจะคาดหวังมากเกินไปมั้ง ขอบอกว่าเสียดายมากที่นานๆจะมีหนังไทยคอนเซ็ปต์ดีๆ 
    และกล้าจะหยิบปัญหาในสังคมไทยมาพูดถึง ให้คนได้รับรู้ในวงกว้าง 
    แต่กลับทำขยักขย่อน ดึงๆหย่อนๆ ไปไม่สุด แถมตอนจบก็ดันเลือกแบบ cliche มาอีก เสียดายจริงๆ

    อ่ะๆ มาดูข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้บ้าง

    -เรามัวมองหาแต่คนเก่ง แต่คนดีซื่อตรง กลับถูกมองข้าม
    -เงินซื้อได้ทุกอย่าง คนจนเท่านั้นที่ผิด
    -ความเหลื่อมล้ำทางสังคมช่างชัดเจนเหลือเกิน 
    แต่ถูกย่อสเกลเบาๆ โดยการใช้นักเรียนเป็นตุ๊กตาแทน


    Story Part

    เรื่องของลิน เด็กหญิงวัยมัธยมปลายที่เรียนเก่งระดับหัวกะทิ

    แต่กลับต้องเผชิญกับความไม่ยุติธรรมของระบบการศึกษาในโรงเรียน

    ที่มีเรื่อง "แป๊ะเจี๊ยะ" มาเกี่ยวข้อง ทำให้เธอเริ่มเกิดความสงสัย

    ในกระบวนการศึกษา และประกอบกับการได้เจอเพื่อนใหม่ที่ร่ำรวย และหรูหรา 

    ซึ่งมีความเชื่อว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง และทำให้ลินค้นพบว่า

    "ความรู้" ของเธอนั้นสามารถนำมาแปรค่าเป็น "เงิน" ได้

    กระบวนการของ "ฉลาดเกมส์โกง" จึงเริ่มต้นขึ้น

    เมื่อลินตัดสินใจ "ขาย" สติปัญญาของเธอ โดยการให้เพื่อนลอกข้อสอบ

    และเริ่มบานปลายไปที่การโกงข้อสอบระดับโลก (ในหนังใช้ชื่อว่า ESTIC) 

    แต่สุดท้าย ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เหมือนจะทำให้ลินเรียนรู้ถึงคุณค่าของความรู้ในอีกมุมมองหนึ่ง


    Acting Part

    ในส่วนของนักแสดงที่เลือกมานั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมทาง GDH อย่างไม่ต้องสงสัย

    แคสติ้งนักแสดงได้เข้ากับบทดีมาก และการแสดงของน้องๆ ก็จัดอยู่ในระดับดี

    ทั้งตัวเอก ลิน (ออกแบบ) และเพื่ือนๆ รวทไปถึง แบงค์ (นน) 

    ถือว่ามีการทำการบ้านด้าน acting มาดีมาก


    Production Part

    ชื่นชมเรื่องโปรดักชั่นในแง่มุมกล้อง ตัดต่อ และเสียงประกอบ

    โดยเฉพาะฉากลอกข้อสอบ ที่ในความจริงแม้จะเกิดขึ้นในห้องเงียบๆ

    แต่หนังทำออกมาได้ลุ้นระทึก และเข้าใจความตื่นเต้นของตัวละครได้ดีมากๆ




    Like:

    ไอเดียในการคิดกระบวนการ การลอก และให้ลอกข้อสอบของลิน

    กระบวนการวางแผนเป็นลำดับขั้น นับว่าเป็นการโชว์  skill ของคนเขียนบทโดยแท้

    ถือเป็นความฉลาดที่แท้จริงของเรื่องนี้เลย


    Dislike:

    ความไม่หนักแน่น และ ไม่ชัดเจนของตัวละคร

    แม้หนังจะพยายามทำ twist ในตอนจบกะให้คนดูเซอร์ไพร้ส์ แต่กลวิธีก็กลับล้าหลังและเชยสนิท

    แม้จะมี log line ที่สะท้อนชัดเจนถึงสภาพการศึกษาของไทย 

    บทสรุปของเรื่องกลับไม่ตอบโจทย์นั้น กลายเป็นไหลไปตามระบบเฉยเลย

    การต่อสู้ที่ดูมาทั้งเรื่องคือสูญเปล่า กลายเป็นพูดเรื่องสามัญสำนึกซะงั้น 

    เสียดายมากค่ะบอกตรงๆ


    Who Should Watch?


    15+ นะคะ ต้องใช้วิจารณญาณ และความเข้าใจ

    เพื่อไม่ให้เยาวชนเอาไปทำตามด้วยค่ะ


    Tips:

    หนังไม่ได้หนักอะไร ดูเพลินๆได้

    ไม่เครียด ไม่มีตกใจ ไม่มีเซอร์ไพร้ส์



    - พบกันใหม่กับหนังเรื่องหน้าค่ะ -


    จิ้มที่รูปแล้วกดติดตามได้เลยฮับ









    Create Date : 17 พฤศจิกายน 2559
    Last Update : 18 ตุลาคม 2560 11:42:02 น.
    Counter : 504 Pageviews.

    1 comment
    Kung Fu Panda 3 - อาโปกลับบ้านเกิด



    "Kung Fu Panda 3 - อาโปกลับบ้านเกิด"
    (Score: 8/10)




    Intro

    กลับมาโลดแล่นเด้งดึ๋งอีกครั้ง กับ โพ (หรืออาโป) หมีแพนด้าขี้เล่น

    ที่จับพลัดจับผลูมาได้เป็นนักรบมังกร

    และปราบเหล่ามารร้ายด้วกล้ามพุงและกระบวนท่าประหลาด

    จนสามารถดำเนินเรื่องมาจนถึง 3 ภาคได้แบบชิลๆ




    คำเตือน!! เนื้อหาต่อไปนี้จะมีการสปอยล์รายละเอียดของหนัง*


    Story Part


    เรื่องหลักว่าด้วยการพบเจอกันของพ่อลูกแพนด้าที่พลัดพราก

    จากกันตั้งแต่เด็ก ๆ พ่อจึงจำเป็นต้องออกอุบายมาหลอกลูก

    เพราะอยากพาลูกกลับบ้านเกิด มีการสอดแทรกเรื่องของ

    ความรัก ความสัมพันธ์ และความสามัคคีในครอบครัว

    รวมไปถึงการเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวม




    Acting Part

    ไม่มีอะไรจะพูดเรื่องแอ็คติ้ง เพราะตัวละครเป็น CG ทั้งหมด

    และนักพากย์ก็ทำหน้าที่ได้ดีมากเช่นกัน

    ชอบที่เรื่องนี้ นำพา อาจารย์ อูเกว กลับมาด้วย

    เพราะเป็นตัวละครที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้ค่ะ

    "Inner Peace"




    Production Part

    เพลงประกอบ และ CG ในส่วนต่างๆ ก็คุ้มค่า

    ตามโลโก้ Disney และ Dreamwork อยู่แล้ว

    คนพากย์เสียงก็ทีมคุณภาพเช่นเดิม





    Like:

    ชอบที่มีการพา อาจารย์อูเกวกลับมา

    และคอยสอนมุมมองดีๆให้หมีอาโปของเราเสมอ


    Dislike:

    ไม่ถึงกับไม่ชอบนะคะ

    แต่อยากให้ใส่ความเป็นมาระหว่างพ่อเป็ด

    กับอาโปมากกว่านี้นิดนึง จะได้เห็นความสำคัญของพ่อเป็ดด้วยค่ะ




    Who Should Watch?


    เหมาะกับทุกคนจริงๆค่ะ ใครชอบดิสนีย์ ใครชอบการ์ตูน

    ใครชอบ CG ใครชอบหมีแพนด้า

    เพราะเรื่องนี้มีแต่หมี ๆๆๆ กลิ้งเต็มเรื่องเลยค่ะ

    น่ารัก ฟรุ้งฟริ้งมากค่ะ



    Tips:

    ถ้าใครเคยดูภาค 1 และ 2 มาก่อน

    ก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว รีบดูได้เลยค่ะ




    - พบกันใหม่กับหนังเรื่องหน้าค่ะ -


    จิ้มที่รูปแล้วกดติดตามได้เลยฮับ






    Photo Credits:

    //www.foxmovies.com/movies/kung-fu-panda-3

    //www.dreamworks.com/kungfupanda/movies/kung-fu-panda-3

    https://www.hotmoviehd.com/kung-fu-panda-3/

    //wonnee.com/movie/review-kung-fu-panda-3-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2-3/

    //www.fondoshd.mx/wallpaper/2880x1920/3456-kung-fu-panda-3-hd.html

    https://www.youtube.com/watch?v=Hb82kIX4jUY

    //kungfupanda.wikia.com/wiki/Mr._Ping






    Create Date : 13 ตุลาคม 2559
    Last Update : 13 ตุลาคม 2559 16:21:59 น.
    Counter : 4538 Pageviews.

    2 comment
    The Jungle Book: เมื่อเมาคลีมีชีวิต



    "The Jungle Book - เมื่อเมาคลีมีชีวิต"
    (Score: 9.5/10)




    Intro

    เมื่อเมาคลีลูกหมาป่า ที่เคยโด่งดังในเวอร์ชั่นการ์ตูน

    ถูกนำมาสร้างในแบบคนแสดงจริงๆ


    ลูกมนุษย์ที่ถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ในป่า และมีความผูกพันกับผืนป่าที่ตัวเองอยู่

    พูดถึงความรักบ้านเกิด ความผูกพันในครอบครัว และการพิสูจน์คุณค่าในตัวเอง

    หนังเล่าเรื่อง และรายละเอียดทั้งหมดนี้

    ผ่านความสนุกสนาน และ CG สวยๆ ในเรื่องนี้ ได้อย่างไม่ติดขัด


    คำเตือน!! เนื้อหาต่อไปนี้จะมีการสปอยล์รายละเอียดของหนัง*


    Story Part


    เมาคลี คือลูกมนุษย์ที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ในป่า

    ผู้ที่พบเขาคือ เสือดำ บากีร่า ซึ่งต่อมานำเขาไปฝากไว้กับ รัคชา

    แม่หมาป่าที่มีลูกเล็ก เพื่อช่วยให้เลี้ยงดู



    วันหนึ่ง เชียร์คาน เสือโคร่งดุร้าย ได้หวนกลับคืนสู่ป่า

    ด้วยจิตใจที่เกลียดชังมนุษย์ ทำให้เชียร์คานหมายหัวจะฆ่าเมาคลีให้ได้

    อาคีล่า จ่าฝูง เรียกประชุมฝูงหมาป่าทั้งหมดเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้

    บทสรุปคือ เมาคลีจะต้องถูกส่งไปอยู่กับมนุษย์ในหมู่บ้าน

    เพื่อความปลอดภัยของเมาคลีเอง โดยมีบากีร่า เสือดำเป็นผู้พาไปส่ง

    แต่เมาคลีไม่เต็มใจจะไป เพราะอยากใช้ชีวิตอยู่ในป่า 




    ตั้งแต่นั้น การเดินทางจึงเริ่มต้นขึ้น 

    โดย เมาคลียังได้ไปเจอกับ คา งูเหลือมที่จ้องจะกินเขา

    คิงหลุยส์ อุรังอุตังยักษ์ ที่พยายามจะล้วงความลับวิธีการก่อไฟจากมนุษย์อย่างเขา

    และ บาลู หมีเฒ่าที่เป็นเสมือนพ่อ และเพื่อนของเขา

    ท้ายที่สุด เชียร์คานก็ใช้วิธีต่างๆ นานา เพื่อหาเมาคลีจนเจอ

    เมาคลีตัดสินใจเผชิญหน้ากับเชียร์คานเพื่อต่อสู้ และพิสูจน์คุณค่าในตัวเองของ

    ลูกคนที่อาศัยอยู่ในป่าเช่นเขา


    Acting Part

    นักแสดงนำเด็ก น้อง Neel Sethi แสดงดีงามในสามภพมาก

    ถึงแม้บทจะไม่มีความลึกในแง่ของ inner เยอะเท่าไร

    แต่การปีนป่าย มุด โดด วิ่งรัวๆ และพูดกับ mock up ก็ถือเป็น

    การทำงานที่โหดสำหรับเด็ก 10 ขวบคนนี้พอสมควร

    ขอชื่นชมทีม casting ที่เลือกนักแสดงมาดี และหน้าตาก็เหมาะสมกับบทมากด้วย

    ขอปรบมือให้กับนักพากย์อีกคนหนึ่ง

    ซึ่งในความเห็นส่วนตัว รู้สึกพากย์เสียงคาแรกเตอร์ได้ใกล้เคียงกับ original

    มากที่สุด คือ Ben Kingsley กับบท บากีร่า ค่ะ


    ตอนที่โดนเชียร์คานโจมตีแล้วพูดว่า "Run, Mowgli !"

    นี่แบบ พีคมากเป็น 3 พยางค์ที่มีพลัง และได้ใจสุดๆ

    ขอแปะตัวอย่างหนังให้ได้ฟังกันสดๆ ด้วยเลยค่ะ



    Production Part

    งาน CG ล้ำเลิศอลังการ งานพากย์เสียงเลอค่าดังว่าสัตว์เหล่านั้นมีชีวิตจริงๆ

    ประทับใจการวางคาแรกเตอร์ของสัตว์แต่ละตัว มีความสมบูรณ์ในแง่อุปนิสัย

    และยังมีเค้าเดิมของเวอร์ชั่น Original ไว้ด้วย ถือเป็นการผสมผสาน

     ที่ลงตัวมาก ๆ ของอะนิเมชั่นกึ่งรีเมคแบบนี้

    ปรบมือให้ดิสนีย์ รัวๆค่ะ





    Like:

    ประทับใจนักแสดงนำเด็กหนึ่งเดียวในเรื่อง

    น้อง Neel Sethi ที่อายุเพียง 10 ขวบ

    แต่ต้องมาเล่นบทที่มี acting ปีนป่ายมากมาย 

    แอบโหดสำหรับเด็กเหมือนกันนะคะ




    Dislike:

    ติดอยู่นิดเดียวเลยคือ ช่วง CG ที่ใช้ pass เวลา

    ที่กะพริบไปมา รู้สึกเยอะไป ไม่สบายตาค่ะ


    Who Should Watch?


    เหมาะกับทุกคนจริงๆค่ะ ใครชอบดิสนีย์ ใครชอบการ์ตูน

    ใครชอบ CG ใครชอบความ wild ของสัตว์ป่า

    มีครบถ้วนและดีงามมากด้วยค่ะ



    Tips:

    ถ้าดูเวอร์ชั่นการ์ตูนปี 1967 ไปก่อน จะฟินกับเพลงประกอบ

    รับรองว่ามีร้องตามกันบ้างล่ะ Bare Necessities สุดๆ




    - พบกันใหม่กับหนังเรื่องหน้าค่ะ -


    จิ้มที่รูปแล้วกดติดตามได้เลยฮับ






    Photo Credits:

    https://www.facebook.com/WaltDisneyThailand/

    //www.majorcineplex.com/movie/the-jungle-book

    //www.independent.co.uk/arts-entertainment/films/news/bill-murray-cast-as-baloo-in-disneys-the-jungle-book-9644952.html

    //dukes-lancaster.org/?event=the-jungle-book

    //www.examiner.com/article/new-jungle-book-trailer-gives-wild-sneak-peek-at-live-action-movie-remake

    //www.india.com/showbiz/the-jungle-book-teaser-trailer-neel-sethi-is-mowgli-and-sir-ben-kingsley-is-bagheera-555267/





    Create Date : 18 เมษายน 2559
    Last Update : 21 เมษายน 2559 15:48:41 น.
    Counter : 4328 Pageviews.

    7 comment
    SPOTLIGHT: รีวิวหนังออสการ์แห่งปี 2016


    "SPOTLIGHT"
    เมื่อสปอร์ตไลท์สาดส่อง
    (Score: 9/10)



    Intro

    ช่วงหลังๆนี่รู้สึกว่าตัวเองให้คะแนนหนังที่ดูเยอะๆ ทั้งนั้น

    น่าจะเป็นเพราะหนังทั้งดี และทั้งถูกจริต เลยได้ใจไปเต็มๆค่ะ

    เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันค่ะ กับ SPOTLIGHT

    สารภาพตามตรงว่า อยากรู้อยากเห็นมาก ว่าหนังเรื่องนี้ได้ออสการ์ได้ยังไง

    เพราะอะไร ทำไม ใครทำอะไรที่ไหน

    เลยตัดสินใจอ่านเรื่องย่อ แล้วผลุนผลันเข้าไปดูหนัง 

    หลังประกาศผลออสการ์ได้ 2-3 วันค่ะ

    แล้วก็...ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆค่ะ


    คำเตือน!! เนื้อหาต่อไปนี้จะมีการสปอยล์รายละเอียดของหนัง*


    Story Part

    หนัง Based on true event ค่ะ (เพราะไม่ใช่ story นี่เนอะ)

    คือตีแผ่เรื่องจริงที่กลุ่มนักข่าวกลุ่มนึงแห่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Boston Gloves

    ที่มีชื่อทีมว่า Spotlight ได้รับคำสั่งให้สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ

    บาทหลวงที่กระทำลามกอนาจาร หรือ ลวนลามเด็กชายอายุต่ำกว่า 12 ปี

    ในเมืองบอสตันที่เป็นข่าวในขณะนั้น

    ซึ่งในช่วงเวลานั้น ถือว่าเป็นประเด็นที่สั่นคลอนความศรัทธาของชาวคาทอลิกมาก

    ตัวหนังจะเล่าเรื่อง สาเหตุ กระบวนการ และวิธีการค้นหาข้อมูล

    รวมไปถึงความยากลำบากของการทำงานในฐานะสื่อ

    และความเครียดส่วนตัวที่ตัวนักข่าวต้องเผชิญ ซึ่งมีทั้ง

    ในมุมของชีวิตส่วนตัว และมุมมองด้านหน้าที่การงาน

    รวมไปถึง การชั่งใจ ระหว่างการตีแผ่ความจริงเพื่อแฉสถาบันศาสนา 

    เพื่อจุดประสงค์ที่จะชำระล้าง แต่ความจริงนั้น อาจสร้างความเจ็บปวดให้กับศาสนิกชน

    และผู้คนในสังคมอาจยอมรับความจริงไม่ได้

    ทีมงาน Spotlight ถือเป็นตัวตั้งตัวตี ในการเริ่มต้นแฉเรื่องนี้ในบอสตัน

    และหลังจากนั้นก็มีการตีพิมพ์บทความ และสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ไปทั่วโลก



    ดูหนังแล้วได้คติอย่างนึงที่ชัดเจนเลยก็คือ

    คนทุกคนชอบความจริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับความจริงได้

    ดูแล้วสะท้อนใจ...นึกถึงประเทศไทยเราแล้วก็...คล้ายๆกันไหมคะ 

    (ว่าจะไม่วกมาแล้วเชียว!)


    Acting Part

    ไม่แปลกใจที่ทำไมหนังเรื่องนี้ ถึงไม่ค่อยติดโผ

    หรือไม่ได้มีเอี่ยวเรื่องรางวัลที่เกี่ยวกับนักแสดง

    เรื่องของเรื่องคือ Spotlight คือกลุ่มนักข่าวซึ่งทำงานเป็นทีม

    จึงไม่มีบทของใครโดดเด่นหรือซับซ้อนไปกว่าใคร ยากจะเอามาวัดในแง่ acting ค่ะ

    ถ้ามีจะเด่นก็เห็นจะเป็น Michael Keaton ในบท ร๊อบบี้ หัวหน้าทีม Spotlight

    น่าจะเป็นตัวละครที่ลุ่มลึก และโดดเด่นที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้วค่ะ



    ไม่ได้หมายความว่า นักแสดงคนอื่นๆ แสดงไม่ดีนะคะ

    แต่บทมันดูจะเท่าๆกัน พอๆกัน ก็เลยเฉยๆกับแอ็คติ้งของนักแสดงคนอื่นๆค่ะ


    Production Part

    ถือว่าเป็นหนังที่ต้องชื่นชมในแง่บท และโปรดักชั่น

    เนื่องจาก มีบทพูดเยอะ และเนื้อหาของหนังก็มี

    รายละเอียดที่เป็นตัวอักษรก็เยอะ แต่กลับทำออกมาได้

    ดูดี ไม่น่าเบื่อ และไม่ตาลายจนทนไม่ไหว

    ทั้งๆที่ หนังแนวๆนี้มีโอกาสกล่อมคนดูหลับได้สูงมากๆ




    Like:

    ชอบความใจกล้าของคนทำหนัง

    ที่กล้ายกประเด็นหมิ่นเหม่มาทำหนัง

    และขอปรบมือให้คนตัดต่อและเขียนบทที่

    ทำหนังออกมาได้ดีขนาดนี้ โดยไม่รู้สึกสะดุดเลย


    Dislike:

    โทษตัวเองล้วนๆ ที่มีข้อมูลของคาทอลิกน้อยเกินไป

    เลยทำให้ไม่อินเท่าไร เวลาที่หนังพยายามอธิบาย

    ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับบาทหลวง ซึ่งกระทบต่อศาสนา

    คราวหน้าจะต้องทำการบ้านให้มากขึ้นกว่านี้


    Who Should Watch?

    หนังไม่เหมาะกับคนขี้เซา ง่วงง่าย

    เพราะจะมีบทสนทนาคุยๆๆ ทั้งเรื่อง

    และความตื่นเต้นอยู่ที่การจดจ่อ และอดทนรอ

    จนกว่าตัวละครจะหาข้อมูลเจอทีละน้อยๆค่ะ


    Tips:

    ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคาทอลิกไปบ้าง

    เพื่อจะเข้าใจบริบทของหนังได้มากขึ้นค่ะ


    อ่ะๆ ขอปะ Trailer ให้ชมค่ะ



    - พบกันใหม่กับหนังเรื่องหน้าค่ะ -

    จิ้มที่รูปแล้วกดติดตามได้เลยฮับ



    Photo Credits:

    //www.patheos.com/blogs/monkeymind/2015/11/a-spotlight-on-spotlight-a-movie-to-see.html

    //variety.com/2015/film/reviews/spotlight-review-michael-keaton-tom-mccarthy-venice-film-festival-1201580933/

    //www.newsweek.com/spotlight-what-recent-movies-get-right-and-wrong-about-journalism-392659






    Create Date : 15 มีนาคม 2559
    Last Update : 11 เมษายน 2559 14:35:38 น.
    Counter : 2051 Pageviews.

    1 comment
    The Danish Girl : เธอเปลี่ยนไปเมื่อได้แต่งหญิง





    "The Danish Girl"
    เธอเปลี่ยนไป เมื่อได้แต่งหญิง ?!?!
    (Score: 9/10)

    Intro

    สารภาพตามตรงว่าตกหลุมรักหนังเรื่องนี้จาก Trailer ล้วนๆ

    แม้ตัวอย่างหนังจะได้บอกหมดแล้ว ว่าหนังเป็นเรื่องเกียวกับอะไร

    แต่อะไรบางอย่างในสายตาของ ไอนาร์ แวเกอเนอร์นั้น

    ดึงดูดดิฉันเข้าไปในโรงภาพยนตร์จนได้



    คำเตือน!! เนื้อหาต่อไปนี้จะมีการสปอยล์รายละเอียดของหนัง*


    Story Part

    หนังอัตชีวประวัติ Based On True Story อีกหนึ่งเรื่อง

    เล่าเรื่องชีิวิตของ ไอนาร์ แวเกอเนอร์ (Eddie Redmayne) 

    จิตรกรหนุ่มฝีมือเด่น ผู้มีชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์แบบกับจิตรกรสาว เกอร์ด้า (Alicia Vikander)

    ที่ดูเหมือนชีวิตรักของทั้งสองจะราบรื่น รักกันปานจะกลืน

    แต่แล้ววันหนึ่ง ไอนาร์กลับรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ เมื่อเกอร์ด้าขอร้องให้เขา

    สวมถุงน่องและรองเท้า แทนนางแบบนักเต้นคนนึงที่มาไม่ได้

    นับแต่นั้น ไอนาร์ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

    ไอนาร์ค้นพบว่าภายในจิตใจของตัวเองเป็นผู้หญิง เขาตั้งชื่อให้ตัวตนผู้หญิงของเขาเองว่า ลิลี่




    เขาต่อสู้อย่างหนัก กับสภาวะที่คนอื่นมองว่าเขาเป็นคนบ้า

    มีเพียงเกอร์ด้าที่อยู่เคียงข้างอย่างเข้าใจ แม้เขารู้ดีต่อจากนี้

    เขารักที่จะเป็นลิลี่ และจะไม่มีวันกลับไปเป็นไอนาร์ สามีที่แสนดีของเกอร์ด้าได้อีกแล้ว

    ไอนาร์เสาะแสวงหาหนทางที่จะแก้ปัญหานี้ จนพบกับหมอคนหนึ่งที่จะช่วยเปลี่ยน

    ให้ร่างกายกับจิตใจของเขาตรงกัน เปลี่ยนให้เขาเป็นลิลี่เต็มตัว

    ไอนาร์ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศเป็นคนแรกของโลก

    และเขากลับต้องมาสูญเสียชีิวิตของตัวเองลง จากการผ่าตัดที่ไม่พร้อมในยุคสมัยนั้น

    ไอนาร์ แวเกอเนอร์ ถือเป็น มนุษย์คนแรกที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศตามประวัติศาสตร์


    Acting Part

    อยากจะนัดเจอกับพ่อหนุ่ม Eddie Redmayne สักครั้งแล้วถามเขาว่า

    "เฮ้ ตอนที่คุณแสดงเป็นลิลี่นะ ใจของคุณคิดอะไรอยู่เหรอ"

    (ไม่แปลกใจเพราะฮีมีรางวัลออสการ์การันตีผลงานอยู่แล้ว)



    คุณเอ๊ยยยย...นักแสดงอะไรเล่นดีประหนึ่งว่าเกิดมาเป็นตัวละครตััวนั้น

    ทั้งสายตา สีหน้า ท่าทาง ทำเอาเชื่อสนิทเลยว่า ในใจของเขานั้น มีตัวตนผู้หญิงอยู่จริงๆ

    เอ็ดดี้ถือเป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งที่หลังจากนี้ เราจะขอติดตามผลงานแสดงของเขาไปอีกนาน

    บทนี้ เป็นบทที่ยากและท้าทายมากจริงๆ  ขอปรบมือรัวๆ และให้ 100 ดาวเลยค่ะ

    (เสียดายที่ชวดออสการ์อีกปี...แพ้พี่ลีโอซะงั้น!)



    ส่วนสาว Alicia Vikander ก็แสดงได้ดีนะคะ

    แต่มุมมองเรารู้สึกว่ายังขาดความลึก และตัวบทเองก็ไม่ได้ส่งอะไรให้มากมาย

    เลยทำให้บท เกอร์ด้า ดูดร็อปลงไปอีก


    Production Part

    โทนหนังสีเทาๆ แสดงถึงความก้ำกึ่งครึ่งๆกลางๆของเรื่องได้ดีมาก

    ภาพสวย และโปรดักชั่นดูดีมีสกุล

    เรื่องภาพและมุมกล้องไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่นักแสดงเอาอยู่จริงๆ




    Like:

    โอ๊ยยย รัก รัก รัก รัก 

    รักไอนาร์ รักเอ็ดดี้ 

    หลงรักการแสดงของเขาอย่างจริงจัง

    จนมีแว่บนึงคิดว่า กลับมาเป็นไอนาร์เนอะ อย่าเป็นผู้หญิงเลย

    นั่นไง อินเว่อร์ !!


    PS. Eddie Redmayne เคยได้รับรางวัลออสการ์สาขา Best Actor in Leading Role มาแล้วครั้งนึง

    จากบท Stephen Hawking ในหนัง The Theory of Everything ค่ะ


    Dislike:

    ถ้าจะติดจริงจัง ก็คือตัวเกอร์ด้านี่ละ

    ทั้งบท ทั้งนักแสดงมันดร็อปไปหน่อย เลยทำให้หนัง

    พุ่งทะยานไปไม่สุด ทั้งๆที่เกอร์ด้าแทบจะปรากฏตัว

    อยู่กับไอนาร์ตลอดๆ โดนรัศมีไอนาร์กลบไปเลย


    Who Should Watch?

    เอ่อ...ขอเตือนก่อนว่า เรตติ้งควรจะเป็น 20+

    เนื่องจากหนังมีฉากเปลือย (ทั้งตัว) และมีฉากที่แสดงถึง

    ภาวะสับสนทางอารมณ์และ ทางเพศ อยู่หลายฉาก

    วัยกระเตาะที่เข้าไปชม อาจเกิดความลังเลสับสนได้


    Tips:

    เปิดใจให้กว้าง ทำใจให้ว่าง แล้วไปดูเถอะค่ะ 

    หนังเรื่องนี้ดีงามจริงๆ

    (ดีจนต้องแปะคลิปตัวอย่างหนัง)






    - พบกันใหม่กับหนังเรื่องหน้าค่ะ -

    จิ้มที่รูปแล้วกดติดตามได้เลยฮับ




    Photo Credits:

    //www.vulture.com/2015/11/movie-review-danish-girl.html#

    //readyornat.com/2015/11/27/must-watch-the-danish-girl-review/

    //www.afterellen.com/tag/the-danish-girl






    Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2559
    Last Update : 11 เมษายน 2559 14:35:45 น.
    Counter : 1879 Pageviews.

    3 comment
    1  2  3  4  

    BabyInk
    Location :
      

    [ดู Profile ทั้งหมด]
     ฝากข้อความหลังไมค์
     Rss Feed
     Smember
     ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



    New Comments