📚 โหราศาสตร์ไทยเรียนด้วยตนเองฉบับคุณยายกลิ่นโสม ◜◡‾)
Group Blog
 
All Blogs
 

โหราศาสตร์ไทย ระบบหมอเถาว์(วัลย์) ปีที่๒

โหราศาสตร์ไทย ระบหมอเถาว์(วัลย์) ปีที่2

เล่มนี้เป็นภาคบทพยากรณ์ ที่เป็นเล่มต่อจาก หนังสือบทเรียนทางไปรษณีย์  ซึ่งจะลงรายละเอียด เรื่องวิธีการดู วิธีการอ่านดวงการสอบลัคนา การเงิน การงานอาชีพ การเจ็บป่วย  การตั้งครรภ์ การมีบุตร อุบัติเหตุ การตั้งชื่อ ฯลฯ


การอ่านจุดเหตุการณ์ปีนั้น ว่าจะเรื่องราวอะไรในปีนั้นบ้าง และผลจะเป็นอย่างไร ด้วยการอ่านดาวจร 
เหมาะสำหรับคนที่กำลังเรียน กำลังศึกษา โหราศาสตร์ไทย ที่สามารถจะอ่านลงรายละเอียดลึกๆได้ 
หนังสือเล่มนี้มีจำนวน ๑๐๐กว่าหน้า หากเทียบจำนวนหน้ากับบทเรียนทางไปรษณีย์แล้ว น้อยกว่ามาก เพราะมีเพียงหนึ่งในสี่ของบทเรียนฯเท่านั้นเอง

แต่ความรู้หนาแน่นไม่น้อยกว่า บทเรียนทางไปรษณีย์ฯเลยทีเดียว คนที่เรียนโหราศาสตร์ไทย แค่มีบทเรียนทางไปรษรณีย์ กับ โหราศาสตร์ไทย ระบบหมอเถาว์ ปีที่๒   ก็สามารถออกคำพยากรณ์ได้เลย  สามารถดูตนเองได้  ดูดวงคนอื่นได้ สามารถทำเป็นอาชีพได้เลยทีเดียว




#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง By คุณยายกลิ่นโสม
#บ้านคุณยายกลิ่นโสม   
www.baankhunyai.com




 

Create Date : 21 เมษายน 2564    
Last Update : 21 เมษายน 2564 8:49:27 น.
Counter : 1845 Pageviews.  

เทศน์ ๑๒ นักษัตร ..สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรงฺสี)

   เทศน์ ๑๒ นักษัตร 
   สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรงฺสี)
 เทศน์ ๑๒ นักษัตร 
 

        ท่านพระยาผู้หนึ่งเคยนิมนต์พระมาแสดงพระธรรมเทศนาให้ ฟังอยู่เนืองๆ ที่บ้านของท่าน วันหนึ่งท่านคิดอยากจะฟังเทศน์จตุราริยสัจ จึงใช้บ่าวคนหนึ่งว่าเจ้าจงไปนิมนต์สมเด็จฯ ที่วัดมาเทศน์จตุราริยสัจสักกัณฑ์หนึ่งในค่ำวันนี้ แต่ท่านไม่ได้เขียนฎีกาบอกชื่ออริยสัจให้บ่าวไป บ่าวก็รับ คำสั่งไปนิมนต์สมเด็จฯ ที่วัดว่าเจ้าคุณที่บ้านให้อาราธนาไปแสดงธรรมที่บ้าน ค่ำวันนี้ สมเด็จฯจึงถามว่า ท่านจะให้เทศน์ เรื่องอะไร บ่าวลืมชื่ออริยสัจเสีย จำไม่ได้นึกคะเนได้แต่ว่า ๑๒ นักษัตร จึงกราบเรียนว่า ๑๒ นักษัตรขอรับผม แล้วก็กราบลามา
        ฝ่ายสมเด็จฯ ก็คิดว่า เห็นท่านพระยาจะให้เทศน์อริยสัจ แต่บ่าวลืมชื่อไป จึงมาบอกว่า ๑๒ นักษัตร พอถึงเวลาค่ำท่านก็มีลูกศิษย์ตามไป เข้าไปแสดงธรรมเทศนาที่บ้านท่าน พระยาผู้นั้น มีพวกอุบาสก อุบาสิกามาคอยฟังอยู่ด้วยกันมาก


        สมเด็จฯ จึงขึ้นธรรมาสน์ ให้ศีลบอกพุทธศักราช แลตั้งนโม ๓ หนจบแล้ว จึงว่าจุณณียบทสิบสองนักษัตรว่า มุสิโก อุสโภ พยคฺโฆ สโส นาโค สปฺโป อสฺโส เอฬโก มกฺกโฏ กุกฺกุโฏ สุนโข สุกโร แล้วแปลเป็นภาษาไทยว่า มุสิโก หนู อุสโภ วัวผู้ พยคฺโฆ เสือ สโส กระต่าย นาโค งูใหญ่ สปฺโป งูเล็ก อสฺโส ม้า เอฬโก แพะ มกฺกโฏ ลิง กุกฺกุโฏ ไก่ สุนโข สุนัข สุกโร สุกร
 
        ฝ่ายท่านพระยาเจ้าของกัณฑ์กับพวกทายกทายิกาก็มีความสงสัยว่า ทำไมเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงมาเทศน์ ๑๒ นักษัตร ดังนี้เล่า สงสัยว่าบ่าวจะไปนิมนต์ท่านเรียกชื่ออริยสัจผิดไปกระมัง ท่านพระยาจึงเรียกบ่าวคนนั้นเข้ามาถามว่า เจ้าไปนิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จเทศน์เรื่องอะไร บ่าวก็กราบเรียนว่านิมนต์เทศน์เรื่อง ๑๒ นักษัตร ขอรับผม ท่านพระยาจึงว่านั่นประไรเล่า เจ้าลืมชื่ออริยสัจไปเสียแล้ว ไปคว้าเอา ๑๒ นักษัตรเข้า ท่านจึงมาเทศน์ตามเจ้านิมนต์นั่นซี
 
        ฝ่ายสมเด็จฯ เป็นผู้ฉลาดเทศน์ ท่านจึงอธิบายบรรยายหน้าธรรมาสน์ว่า อาตมภาพก็นึกอยู่แล้วว่า ผู้ไป นิมนต์จะลืมชื่ออริยสัจเสีย ไปบอกว่าท่านให้นิมนต์เทศน์ ๑๒ นักษัตร อาตมภาพก็เห็นว่า ๑๒ นักษัตรนี้ คือเป็นต้นทางของอริยสัจแท้ทีเดียว ยากที่บุคคลจะได้ฟังธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตรสักครั้งสักหน เทศน์ที่ไหนๆ ก็มีแต่เทศน์อริยสัจทั้งนั้น ไม่มีใครจะเทศน์ ๑๒ นักษัตรสู่กันฟังเลย ครั้งนี้เป็นบุญลาภของมหาบพิตรเป็นมหัศจรรย์ เทพยเจ้าผู้รักษาพระพุทธศาสนาจึงได้ดลบันดาลให้ผู้รับใช้เคลิบเคลิ้มไป ให้บอกว่าเทศน์ ๑๒ นักษัตรดังนี้ อาตมภาพก็มาเทศน์ตามผู้นิมนต์ เพื่อจะให้สาธุชนแลมหาบพิตรเจ้าของกัณฑ์ได้ฟังธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตร อันเป็นต้นทางของอริยสัจทั้ง ๔ จะได้ธรรมสวนานิสงส์อันล้ำเลิศซึ่งจะได้ให้ก่อเกิดปัจจเวกขณญาณในอริยสัจ ทั้งแท้ที่จริงธรรมเนียมนับปี เดือน วัน คืนนี้ นักปราชญ์ ผู้รู้โหราศาสตร์แต่ครั้งโบราณต้นปฐมกาลในชมภูทวีปบัญญัติตั้งแต่งขึ้นไว้ คือกำหนดหมายเอาชื่อดวงดาราในอากาศเวหามาตั้งเป็นชื่อปี เดือน วัน ดังนี้คือ
 
        หมายเอาชื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวอังอาคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ รวม ๗ ดาว มาตั้งเป็นชื่อวันทั้ง ๗ วัน แลให้นับเวียนไปเวียนมาทุกเดือนทุกปี
 
        หมายเอาชื่อดวงดาวรูปสัตว์ แลดาวรูปสิ่งอื่นๆ มาตั้งเป็นชื่อเดือนทั้ง ๑๒ เดือน มีดังนี้ คือเดือนเมษายน ดาวรูปเนื้อ เดือนพฤษภาคม ดาวรูปวัวผู้ เดือนมิถุนายน ดาวรูปคนคู่หนึ่ง เดือนกรกฎาคม ดาวรูปปูป่าหรือปูทะเล เดือนสิงหาคม ดาวรูปราชสีห์ เดือนกันยายน ดาวรูปนางสาวที่น่ารักใคร่ เดือนตุลาคม ดาวรูปคันชั่ง เดือนพฤศจิกายน ดาวรูปแมงป่อง เดือนธันวาคม ดาวรูปธนู เดือนมกราคม ดาวรูปมังกร เดือนกุมภาพันธ์ ดาวรูปหม้อ เดือนมีนาคม ดาวรูปปลา (ตะเพียน) รวมเป็น ๑๒ ดาว หมายเป็นชื่อ ๑๒ เดือน

หมายเอาดาวรูปสัตว์ ๑๒ ดาว ที่ประจำอยู่ในท้องฟ้าอากาศ เป็นชื่อปีทั้ง ๑๒ ปีดังนี้ คือ ปีชวด ดาวรูปหนู ปีฉลู ดาวรูปวัวตัวผู้ ปีขาล ดาวรูปเสือ ปีเถาะ ดาวรูปกระต่าย ปีมะโรง ดาวรูปงูใหญ่ คือ นาค ปีมะเส็ง ดาวรูปงูเล็ก คืองูธรรมดา ปีมะเมีย ดาวรูปม้า ปีมะแม ดาวรูปแพะ ปีวอก ดาวรูปลิง ปีระกา ดาวรูปไก่ ปีจอ ดาวรูปสุนัข ปีกุน ดาวรูปสุกร
 
        รวมเป็นชื่อดาวรูปสัตว์ ๑๒ ดวง ตั้งเป็นชื่อปี ๑๒ ปี ใช้เป็นธรรมเนียมเยี่ยงอย่างนับปีเดือนวันคืนนี้ เป็นวิธีกำหนดนับอายุกาลแห่งสรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลกทั่วไป ที่นับของใหญ่ๆ ก็คือนับอายุโลกธาตุ นับเป็นอันตรกัลป มหากัลป ภัทรกัลปเป็นต้น แลนับอายุชนเป็นรอบๆ คือ ๑๒ ปี เรียกว่ารอบหนึ่ง แล ๑๒ รอบเป็น ๑๔๔ ปี แต่มนุษย์เราเกิดมาในกลียุคครั้งนี้ กำหนดอายุเป็นขัยเพียง ๑๐๐ ปี แลในทุกวันนี้อายุมนุษย์ก็ลดถอยลงน้อยกว่า ๑๐๐ ปีก็มีมาก ที่มีอายุกว่า ๑๐๐ ปีขึ้นไปถึง ๑๕๐ หรือ ๒๐๐ ปีก็มีบ้างในบางประเทศ

ตามจดหมายเหตุของประเทศต่างๆ ได้กล่าวมา แต่มีเป็น พิเศษแห่งละ ๑ คน ๒ คนหรือ ๓ คน ๔ คนเท่านั้น หาเสมอทั่วกันไปไม่ แต่ที่อายุต่ำกว่า ๑๐๐ ปีลงมานั้น มีทั่วกันไปทุกประเทศ จึงเป็นที่สังเกตได้ว่า คำเรียกว่ากลียุคนี้เป็นภาษาพราหมณ์ ชาวชมภูทวีปแปลว่าคราวชั่วร้าย คือว่าสัตว์เกิดมาในภายหลัง อันเป็นครั้งคราวชั่วร้ายนี้ย่อมทำบาปอกุศลมาก จนถึงอายุสัตว์ลดน้อยถอยลงมาก ด้วย สัตว์ที่เกิดในต้นโลกต้นกัลปนั้น เห็นจะมากไปด้วยเมตตากรุณาแก่กันและกัน ชักชวนกันทำบุญกุศลมาก อายุจึงยืนหลายหมื่นหลายพันปี แลยังจะต่อลงไปข้างปลายโลก บางทีสัตว์จะทำบาปอกุศลยิ่งกว่านี้ อายุสัตว์บางทีก็จะเรียวน้อยถอยลงไปจนถึง ๑๐ ปีเป็นขัย แลสัตว์มีอายุเพียง ๕ ปี จะแต่งงาน เป็นสามีภรรยาต่อกันก็อาจจะเป็นไปได้ แลในสมัยเช่นนี้อาจจะเกิดมิคสัญญี ขาดเมตตาต่อกันแลกัน อย่างประหนึ่งว่านายพรานสำคัญในเนื้อจะฆ่าฟันกันตายลงเกลื่อนกลาด ดังมัจฉาชาติต้องยาพิษทั่วไปในโลก แต่สัตว์ที่เหลือตายนั้นจะกลับบ่ายหน้าเข้าหาบุญก่อสร้างการกุศล ฝูงคนในครั้งนั้นจะกลับมีอายุยืนยิ่งๆ ขึ้นไป จนอายุตลอดอสงขัย ซึ่งแปลว่านับไม่ได้นับไม่ถ้วน ภายหลังสัตว์ทั้งปวงก็กลับตั้งอยู่ในความประมาทก่อสร้างบาปอกุศลรุ่นๆ ไปอีกเล่า อายุสัตว์ก็กลับลดน้อยถอยลงมาอีก ตามธรรมดาของโลกเป็นไปดังนี้
 
        สมเด็จพระพุทธเจ้าของเรา ผู้เป็นพระสัพพัญูตรัสรู้แจ้งในธรรมทั้งปวง พระองค์จึงทรงแสดงธรรมที่จริง ๔ ประการไว้ให้สัตว์ทั้งหลายรู้แจ้ง คือ ความทุกข์มีจริง สิ่งให้เกิดทุกข์มีจริง ธรรมเป็นที่ดับทุกข์มีจริง ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ มีจริง
 
        นี่แลเรียกว่าอริยสัจ ๔ คือเป็นความจริง ๔ ประการ ซึ่งเพิ่มอริยเจ้าอีกคำหนึ่งนั้น คืออริยแปลว่าพระผู้รู้ประเสริฐ อย่างหนึ่ง พระผู้ไกลจากกิเลสอย่างหนึ่ง รวมอริยสัจจะ สองคำเป็นนามเดียวกัน เรียกว่าอริยสัจ แลเติมจตุรสังขยานามเข้าอีกคำหนึ่ง แลแปลงตัว เป็นตัว  เพื่อจะให้เรียกเพราะสละสลวยแก่ลิ้นว่า จตุราริยสัจ แปลว่าความจริงของพระอริยเจ้า ๔ อย่าง
 
        ซึ่งท่านอ้างว่าความจริง ๔ อย่างนี้เป็นของพระอริยะนั้น อธิบายว่าต่อเป็นพระอริยเจ้าจึงจะเห็นจริง คือพระอริยเจ้าเห็นว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งสัตว์เวียนว่ายทนรับความลำบากอยู่ในวัฏสงสารนั้น ให้เกิดความทุกข์จริง ตัณหาคือความอยากความดิ้นรนของสัตว์นั้น ให้เกิดความทุกข์จริง พระอมตมหานิพพาน ไม่มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นที่ดับทุกข์จริงแลสุขจริง ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์มีจริง  พระอริยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมเห็นจริงแจ้งประจักษ์ในธรรม ๔ อย่างดังนี้ แลสั่งสอนสัตว์ให้รู้ความจริง เพื่อจะให้ละทุกข์ เข้าหาความสุขที่จริง
 
แต่ฝ่ายปุถุชนนั้นเห็นจริงบ้างแต่เล็กน้อย ไม่เห็นความจริงแจ้งประจักษ์เหมือนอย่างพระอริยเจ้าทั้งปวง พวกปุถุชนเคยเห็นกลับไปว่า เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดก็ดีไม่เป็นทุกข์อะไรนัก บ้างก็ว่าเจ็บก็เจ็บ สนุกก็สนุก ทุกข์ก็ทุกข์ สุขก็สุข จะกลัวทุกข์ทำไม  บ้างว่าถ้าตายแล้วเกิดใหม่ ได้เกิดที่ดีๆ เป็นท้าวพระยามหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สมบัติมากมายแล้ว ก็หากลัวทุกข์อะไรไม่ ขอแต่อย่าให้ยากจนเท่านั้น
 
        บ้างว่าถ้าตายแล้วไปเกิดในสวรรค์ ได้เสวยทิพยสมบัติ มีนางฟ้านับพันแวดล้อมเป็นบริวาร เป็นสุขสำราญชื่นอกชื่นใจดังนั้นแล้ว ถึงจะตายบ่อยๆ เกิดบ่อยๆ ก็ไม่กลัวทุกข์กลัวร้อนอะไร
 
        บ้างก็ว่าถ้าไปอมตมหานิพพานไปนอนเป็นสุขอยู่ นมนานแต่ผู้เดียว ไม่มีคู่เคียงเรียงหมอนจะนอนด้วยแล้ว เขาก็ไม่อยากจะไป เขาเห็นว่าอยู่เพียงเมืองมนุษย์กับเมืองสวรรค์เท่านั้นดีกว่า เขาหาอยากไปหาสุขในนิพพานไม่ พวกปุถุชนที่เป็นโลกียชนย่อมเห็นไปดังนี้
 
        นี่แลการฟังเทศน์อริยสัจ จะให้รู้ความจริง แลเห็นธรรมที่ดับทุกข์เป็นสุขจริงของพระอริยเจ้าทั้ง ๔ อย่างนั้น ก็ควรฟังเทศน์เรื่อง ๑๒ นักษัตรเสียก่อน จะได้เห็นว่าวัน คือ เดือน ปี ซึ่งเป็นอายุของเราย่อมล่วงไปทุกวัน

ทุกเวลา ประเดี๋ยวก็เกิดประเดี๋ยวก็แก่ ประเดี๋ยวก็เจ็บ ประเดี๋ยวก็ตาย เราเวียนวนทนทุกข์อยู่ด้วยความลำบาก ๔ อย่างนี้แลไม่รู้สิ้นรู้สุด เมื่อเราสลดใจเบื่อหน่ายต่อความเกิดแก่เจ็บตายในโลกแล้ว เราก็ควรรีบเร่งก่อสร้างบุญกุศลจนกว่าจะได้มีบารมีแก่กล้า จะได้ความสุขในสรวงสวรรค์แลความสุขในอมตมหานิพพานในภายหน้า ซึ่งไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสุขเที่ยงแท้ถาวรอย่างเดียว ไม่มีทุกข์มาเจือปนเลย
 
        แลเรื่อง ๑๒ นักษัตร คือดาวชื่อเดือน ๑๒ ดาว และดาวชื่อปี ๑๒ ปี แลดาวชื่อวันทั้ง ๗ วันนี้ เป็นที่นับอายุของเราไม่ให้เราประมาท แลให้คิดพิจารณาเห็นความจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนเราไว้ ให้รู้ตามนั้น ทีเดียว
 
        สาธุชนทั้งหลายผู้มาได้ฟังพระธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตรกับอริยสัจ ๔ ด้วยในเวลานี้ ไม่ควรจะโทมนัสเสียใจต่อผู้ไปนิมนต์ ควรจะชื่นชมโสมนัสต่อผู้รับใช้ไปนิมนต์ อาตมภาพมาเทศน์ด้วย ถ้าไม่ได้อาศัยผู้นิมนต์เป็นต้นเป็นเหตุดังนี้แล้ว ที่ไหนจะได้ฟังธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตรเล่า ควรจะโมทนาสาธุการอวยพรแก่ผู้ไปนิมนต์จงมาก เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
 
        ฝ่ายท่านพระยาเจ้าของกัณฑ์กับสัปบุรุษทายกทั้งปวง ได้ฟังธรรมเทศนาเรื่อง ๑๒ นักษัตร กับอริยสัจทั้ง ๔ ของ สมเด็จฯแล้ว ต่างก็ชื่นชมยินดีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บ้างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่านพระยาเจ้าของกัณฑ์จึงว่าข้าขอบใจเจ้าคนไปนิมนต์ ขอให้เจ้าได้บุญมากๆ ด้วยกันเถิด


ที่มา : https://www.horathai.com



#By_คุณยายกลิ่นโสม :: 141SmileySmiley
#เรียนโหราศาสตร์ไทยด้วยตนเอง ได้ที่..>> #บ้านคุณยายกลิ่นโสม
#baankhunyai.com




 

Create Date : 12 มกราคม 2564    
Last Update : 12 มกราคม 2564 21:07:38 น.
Counter : 530 Pageviews.  

โหราศาสตร์ กับ พระพุทธศาสนา (๒)

       โหราศาสตร์ กับ พระพุทธศาสนา

                 การกำหนดนับเวลาโดยใช้ศักราชมีมาก่อนสมัยพุทธกาล  เช่น   “กาลีศักราช”  ได้มีการใช้  ก่อนสมัยพุทธกาลร่วมสองพันกว่าปี   ต่อมา  กษัตริย์แห่งกรุงกรุงกบิลพัสดุ์  คือ พระเจ้าสีหตนุราช (สีหนุ ซึ่งเป็นพระเจ้าปู่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) และพระเจ้าอัญชัน(อัญชนะ) พร้อมด้วยกาฬ     เทวิลผู้เป็นพระอนุชา (ภายหลังออกบวชเป็นฤาษีชื่อ กาฬเทวิลฤาษี หรือรู้จักกันในนามอสิตดาบส  ได้เข้ามาทำนายพุทธลักษณะเจ้าชายสิทธัตถะหลังประสูติได้  5  วัน )  กษัตริย์ทั้งสามพระองค์สำเร็จจากสำนักตักศิลา มีความเชี่ยวชาญทางด้านโหราศาสตร์ (คัมภีร์มหาจักรพรรดิราช)  จึงได้ทำการลบศักราชกาลียุคเสียเพราะชื่อไม่เป็นมงคล แล้วตั้งศักราชขึ้นใหม่ชื่อว่า “อัญชันศักราช”  ได้ใช้เรื่อยมาจนถึงปีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพาน

               สิ่งที่น่าสังเกตและควรทราบก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ (ยังไม่ได้ออกผนวช)  ได้ทรงศึกษา “คัมภีร์มหาจักรพรรดิราช” จากพระเจ้าอัญชันอย่างเชี่ยวชาญ  ในพุทธศาสนาจึงปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกับโหราศาสตร์อยู่อย่างมากมาย  เช่น การโคจรของดวงอาทิตย์ ระบบสุริยจักวาล  ดวงดาวและฤกษ์ อันปรากฏอยู่ในพระบาลี (พระไตรปิฎก) เช่น อัคคัญญสูตร  อรัญญิกวัตร (ต่อมา สมัยหลังพุทธกาลสำนักตักศิลาได้นำไปทำเป็นหลักสูตรดาราศาสตร์ ชื่อว่า “โชติยศาสตร์”) แม้กระทั่งการใช้ตำแหน่งของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดให้เป็นวันธรรมสวนะ หรือวันอุโบสถ (ถือศีลนั้น ก็ต้องใช้วันที่จันทร์เพ็ญและจันทร์ดับ และการกำหนดภิกขุปาฏิโมกข์ จนกระทั่งการใช้ฤกษ์เป็นตัวกำหนดนับเวลาระยะวันเข้าพรรษาและปวารณา อันถือว่าเป็นพุทธบัญญัติที่พระภิกษุควรปฏิบัติ  มีปรากฏอยู่ในพระบาลีวินัยปิฎก)

                นอกจากนี้แล้ว  หากพิจารณาข้อความในปฐมเทศนา ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสแสดงแก่โกณฑัญญพรามหม์ จะพบการใช้ภาษาเฉพาะของโหราศาสตร์ว่า “…เตน  ขเณน  มุหุตฺเตน  ยาว พรฺหมโลกา  สทฺโท  อพฺภุคฺคจฺฉิ”  เสียงระบือเซ็งแซ่ขึ้นไปจนถึงพรหมโลก โดยเวลาเพียง  24  นาที (ขเณน = ขณะ  =กษณะ =มหานาที)นั้น โดยระยะเวลาเพียงหนึ่งวัน (มุหุตฺเตน=มุหุรตะ=1  โหราตตระ = 1 วัน) ”  ด้วยปฐมเทศนาบทนี้ ทำให้โกณฑัญญะพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรมตรัสรู้ตาม ส่งผลให้พระพุทธองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ (เพราะสอนให้ผู้อื่นบรรลุตามได้)  นั่นหมายความว่า มนุษย์คนอื่นก็สามารถที่จะรู้ตามธรรมที่พระองค์สอนได้เช่นเดียวกัน  จึงทำให้ทรงปีติยินดียิ่ง  ถึงกับทรงเปล่งอุทาน ว่า  อญฺญสิ  วต โภ   โกณฺฑญฺโญ  -โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ”  และด้วยพุทธอุทานนี้  โกณฑัญญะพราหมณ์จึงมีคำว่า “อัญญา” นำหน้าชื่อเป็น “อัญญาโกณฑัญญะ” นับแต่เวลานั้น

               อัญญาโกณฑัญญะพราหมณ์เป็นคนแรกที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดพระรัตนตรัยครบสมบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก  เราต้องไม่ลืมว่าที่โกณฑัญญะพราหมณ์ออกบวชมารับใช้เจ้าชายสิทธัตถะนั้น  เพราะมีความเชื่อมั่นในวิชาโหราศาสตร์ที่ตนได้ร่ำเรียนมาว่า “เจ้าชายสิทธัตถะจะต้องออกบวชและสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ไม่เป็นอื่นไปได้”  ด้วยเคยเข้าไปพยากรณ์พุทธลักษณะพร้อมกับพราหมณ์ทั้งหลาย   ซึ่งคำพยากรณ์ก็ล้วนเป็นจริงทุกประการ  และที่สำคัญ “พระอัญญาโกณฑัญญะ ก็คือ พระโหราจารย์รูปแรกในพุทธศาสนา”  เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางโหราศาสตร์และประวัติศาสตร์ หรือที่รู้กันว่า “ รัตตัญญู”

 
ที่มา : พระอาจารย์มหายงยุทธ   ธีรธัมโม   
(น.ธ.เอก, ป.ธ 4., พธ.บ., ศศ.ม.)
พระอาจารย์ของสุวรรณโคมคำ

 

#By_คุณยายกลิ่นโสม
#เรียนโหราศาสตรไทยด้วยตนเอง
#www.baankhunyai.com
---------------------
ดูดวงติดต่อ Line   : baankunyai 




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2562    
Last Update : 16 มิถุนายน 2563 14:58:39 น.
Counter : 940 Pageviews.  

เผยความลับโหราศาสตร์

เผยความลับทางโหราศาสตร์  โดย ส. แสงตะวัน
 

           ก่อนที่จะได้หนังสือเล่มนี้ฉบับเต็มๆนี้มา ยายต้องไปตามหาบทควมโหราศาสตร์ ที่หอสมุดแห่งซาติเชียวล่ะ ตอนนั้นบทความนี้อยู่ในหนังสือที่ระลึกงานศพของท่านๆหนึ่ง ซึ่งตอนที่ได้มาใหม่ๆ ยังไม่มาอ่านทันทีนะ เพราะตอนนั้นกำลังอ่าน หนังสือ" โหราปรัชญาของอาจารย์ ส. แสงตะวัน" อยู่ ซึ่งตอนนั้นอ่านๆ ติดๆ ขัดๆ อ่านไม่ค่อยจะรุ้เรื่องอะไร อ่านไปงมไป 555  แต่ก็ยังหยิบมาอ่านๆ วางๆ จนจบเล่มไป จึงค่อยหันมาอ่านหนังสือที่ถ่ายเอกสารมาจากหอสมุดแห่งซาติ 

           ตอนอ่านใหม่ๆก็ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ เมื่ออ่านจบไปแล้ว จึงค่อยๆอ่านใหม่รอบสอง จึงค่อยเข้าใจมากขึ้น แล้วพอเริ่มอ่านและทำความเข้าใจเรื่องเกษตรลัคนารอบที่สาม จึงทำให้เข้าใจ และนำมาใช้ในการอ่านดวงได้ ละเอียดมากขึ้น เช่น
 
          จากดวงข้างต้น จากเห็นว่า ลัคนาอยู่ราศีสิงห์ เราลองใช้วิธีการอ่านดาวศุกร์ เราก็อ่านได้ว่า ศุกร์มาจากราศีพฤษภ  ราศีพฤษภเป็นเจ้าเรือนกัมมะ กัมมะหมายถึงหน้าที่ การงาน ความรับผิดชอบ ดาวศุกร์มาอยู่มาอยุ่วินาส  วินาสหมายถึงซ่อน ปกปิด ลึกลับ ไกลพ้น ห่างไกล ไม่เปิดเผย  ถ้าอ่านก็จะแปลได้ว่า เจ้าชะตา มีหน้าที่การงาน ที่ไม่เปิดเผย อยู่เบื้องหลัง 

           แต่ถ้าเรานำการอ่านดวงแบบเกษตรลัคนาเข้าร่วม โดยเราตั้งราศีเมษ เป็นเจ้าเรือนเกษตร ตังเป็นตนุ ก็จะอ่านขยาย "เรือนกัมมะ" ได้ว่า ราศีพฤษภ เป็นเจ้าเรือนกัมมะทางลัคนา แต่เป็นเจ้าเรือน กดุมภะ ทางเกษตรลัคนา ซึ่งหากเราแปลอ่านขยายตอนนี้ว่า กัมมะ หมายถึง หน้าที่การงาน ของเจ้าชะตา เป็นการหารายได้ (กดุมภะ) แต่เป็นการหารายได้โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากตามคุณสมบัติดาวศุกร์ 

          เราอ่านตามดาวศุกร์ ดาวศุกร์มาอยู่วินาส จะเห็นการงานของเจ้าชะตาเป็นงานที่ไม่เปิดเผย อย่างที่แปลข้างต้น แต่หากเราอ่านทางเกษตรลัคนาเข้าร่วม เมื่อเราตั้งดวงเกษตรลัคนา จะเห็นว่าดาวศุกร์ที่อยู่ที่ราศีกรกฎ อันเป็นเรือนพันธุทางเกษตรลัคนา  พันธุ หมายถีง แม่ บ้าน ครอบครัว ฯ หากเราอ่านทางเกษตรลัคนาเข้าร่วมนั่นจึงทำให้รู้ว่า เจ้าชะตามีหน้าที่การงาน จึงทำให้เจ้าชะตาต้องไกลจากบ้านหรือครอบครัว (พันธุ)  แต่การไกลจากถิ่นฐานครอบครัวนั้น เจ้าชะตามิได้ลำบากลำบนอะไร เพราะกัมมะเป็นดาวศุกร์ แถมยังได้ตำแหน่งราชาโชคอีกด้วย 

            สรุป.. เจ้าชะตาดวงนี้ ต้องจากไกลจากถื่นฐาน ครอบครัวเพื่อไปทำงานหารายได้ และ ในการงานนั้นเจ้าชะตา มีชื่อเสียงในการงานอีกด้วย

           นี่คือการอ่านดวงตามแบบใช้เกษตรลัคนาตามอย่างที่ อาจารย์ ส. แนะนำสอนที่มีอยุ่ในหนังสือ ซึ่งหากท่านใดเห็นว่า จะศึกษาเพื่อการอ่านดวงอย่างละเอียดได้มากขึ้น ควรมีหนังสือไว้หาความรู้เพิ่มเติมขึ้น นะจ๊ะ 

 
          ปัจจุบันได้นำบทความมาเรียบเรียงเป็นรูปเล่มจะแบบ พ๊อตเกทบุ๊ค ซึ่งง่ายในการพกพา หยิบจับขึ้นมาอ่านนะค่ะ  พอเปิดมาก็จะเจอกับสารบัญ ซึ่งก็จะบอกว่าในหนังสือเล่มนี้มีอะไรบ้างที่ควรอ่าน ควรศึกษา
 
           หนังสือนี้เป็นหนังสือเก่าเหมือนกันนะ ซึ่งมีการจัดพิมพ์ถึง ๓ ครั้ง และหากว่าใครสนใจก็ลองดูหานะจ้ะ
 
บทนี้เป็นบทที่ ยายอ่านแล้วนำมาใช้อ่านดวงโดยใช้ "เกษตรลัคนา" อ่านร่วมค่ะ 









คราวหน้า .. ยายจะมาแนะนำ หนังสือโหราศาสตร์ ทีอีกนะจ้ะ




 
#By_คุณยายกลิ่นโสม
----------------------
#เรียนโหราศาสตรไทยด้วยตนเอง
Web :บ้านคุณยายดอทคอม  https://www.baankhunyai.com
--------------------------


ดูดวงติดต่อ Line : baankunyai



 
 หมายเหตุจ๊ะ : โหราศาสตร์ไทยที่ยายเขียนในบล๊อคนี้ เป็นแบบดวงไทย(ดวงอีแปะ) และเป็นการเขียนแบบให้อ่านง่ายๆ ตามแบบสไตล์ของยาย ที่ยายเคยเขียนไว้ที่เวปๆหนึ่ง ซึ่งยายหวังว่าคงเป็นประโยชน์ ให้กับเพื่อนๆ ผู้ที่กำลังศึกษาและสนใจในโหราศาสตร์ ได้บ้างเล็กๆน้อยๆนะจ๊ะ



 




 

Create Date : 03 กรกฎาคม 2562    
Last Update : 16 มิถุนายน 2563 14:58:30 น.
Counter : 2693 Pageviews.  

โหราศาสตร์กับพระพุทธศาสนา

หราศาสตร์กับพระพุทธศาสตร์

โหราศาสตร์กับพระพุทธศาสนา


เนื่องจากข้าพเจ้ามีความสนใจชอบศึกษา หาความรู้เหี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์และพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ มีมิตรสหายตลอดจนผู้ใหญ่ที่น่านับถือ บางท่านถามเสมอว่า โหราศาสตร์ไม่ขัดกับหลักพระพุทธศาสนาหรือ เคยตอบไปตามความเห็นอัตโนมัติว่า ตามหลักการแล้วไม่ขัดกันเลย ถ้าท่านผู้ใดมีความรู้ในหลักของวิชาโหราศาสตร์ และของพระพุทธศาสนาบ้างตามสมควรแล้ว จะต้องเห็นจริงด้วย เพราะเดินคนละหลัก 
.
หลักการของวิชาโหราศาสตร์ ได้กล่าวมาตอนตต้นแล้วว่า แบ่งอออกเป็น 3 ภาค
.
ภาคแรก ว่าด้วยวิธีการคำนวณหาจุดเคลื่อนย้าย และตำบลที่อยู่ของดาวพระเคราะห์ต่างๆ มีกฎเกณฑ์การคำนวณที่แน้นอนตายตัวกลายเป้นวิทยาศสาสตร์ไปแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนจากการคำนสณหหาจุดสุริยุปราคาและจันทรุปราคา เป็นต้น
.
ส่วนภาค2 ว่าด้วยการพยากรณ์นั้น เดิมก็เกิดจากคววามสังเกตุของมนุษย์ สังเกตุเห็นดาวนพพระเคราะห์ในท้องฟ้าโคจรมาทำมุมกันเองงกับโลกตรงราศีนั้นๆ เกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม สงคราม เกิดโรคระบาดทำให้คนตายเป็นจำนวนมากๆ ก็จดบบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ. เหล่านั้นไว้ทำกันเป็นทอดๆ มาหลายชั่วอายุคน จนเห็นเหตุการณ์แน่ขัดว่า ดาวนพเคราะห์เมื่อโคจรมาถึงตรงจุดนั้น ต้องเกิดเหตุอย่างนั้นอย่างนั้นอย่างที่เคยเกิดมาแล้วอีก จึงเกิดเป็นวิชาพยากรณ์ขึ้นคือ วิชาสถิติพยากรณ์นั่นเอง หลังจากสังเกตุเห็นปรากฎการณ์ต่างๆ เกิดแก่โลก ประเทศ บ้านเมืองมาเป็นเวลาช้านาน โดยอิทธิพลของดาวพระเคราะห์แล้ว ก็สังเกตุเห็นเหตุการณ์ร้ายดีก็เกิดขึ้นแก่บุคคลด้วยเช่นเดียวกัน แต่บุคคลย่อมได้รับอิทธิพลของดวงดาวผิดแผกกันไป เพราะเมื่อเราเกิดมาในโลกได้รับวัตถุธาตุจากการแสส่งของดวงดาวไม่เหมือนกัน 
.
ภาคสุดท้ายก็ว่าด้วยพิธีกรรมต่างๆ ก็เป็นเรื่องของการให้ทำความดี งดทำชั่ว เว้นจากบาปอกุศลทั้งปวง ส่วนหลักการแห่งพระพุทธศาสนานั้นคือ หลักแห่งความจริงของสภาวะธรรมต่างๆ เช่น อริยะสัจจ์สี่ หลักกรรมทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชัว เป็นหลักวิทยาศาสตร์อันแท้จริง จึงไม่ขีดหลักการของโหราศาสตร์อย่างใด หรือนัยหนึ่งถ้จะเปรียบเทียบโดยอุปมาว่า พระพุทธศาสนาสั่งสอน ให้เชื่อในหลักกรรม ไม่รับรู้การกระทำของพระเจ้า แต่โหราศาสตร์เท่ากับกล้องส่องดูกรรมอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น เดินกันคนละทาง คนละสาย ไม่ขัดแย้งกัน 
.
สมัยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระชนม์อยู่ก็รับรองในวิชาโหราศาสตร์ โดยอนุมัติให้สาวกศึกษาวิชาโหราศาสตร์ได้ ดังจะขอยกเรื่องราวมาเล่าได้ฟังในตอนสำคัญ ทั้งนี้เพื่อประกอบความเห็นอัตโนมัติดังกล่าวมาแล้ว
.
ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปประทับจำพรรษาอยู่ ณ.เมืองปาวา อันเป็นที่สะดวกสบายในการโคจรบิณฑบาต พร้อมด้วยพระอัครสาวก พระอสีติสาวกและพระสากสามัญ ๕๐๐ รูป สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดชาวเมืองปาวา ให้บรรลุมรรคผลเป็นอันมาก ครั้นเมื่อปวารณาออกพรรษาแล้ว เป็นสมัยเข้าเขตเหมันต์ฤดูควรแก่การจาริก พระสงฆ์สามัญ ๑,๐๐๐ รูป ได้ไปทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อไปสู่รุกขมูลเสนาสนะบำเพ็ญเพียรภาวนาสืบไป เมื่ิอไดรับพระพุทธานุญาตแล้วพระสงฆ์ ๑๐๐ รูปนั้นก็พากันออกจากเมืองปาวา จารึกไปถึงราวป่าแห่งหนึ่ง แล้วตกลงต่างแยกกันออกเป็นหมู่ๆละ ๕ รูป เพื่อไปสู่ชนบทตามความปราถนาของหมู่สงฆ์นั้นๆ พระสงฆ์หมู่หนึ่ง ๕ รูปพากันจาริกไปถึงป่าชัฎแห่งหนึ่ง ก็ไปพบโจรเข้า ณ.ที่นั้น พวกโจรเห็นหมู่พระสงฆ์เดินมา ก็เข้าใจว่ามีทรัพย์สินเงินทองติดตัวมาด้วย ก็พากันเข้าสะกัดกั้นตีชิงทรัพย์สิ่งของ พระสงฆ์หมู่นั้นต่างก็พากันวิ่งหนีโจรเพื่อเอาตัวรอด แต่พระสงฆ์นั้นก็ไม่มีสิ่งใด และเมื่อเปิดบาตรดูก็มีแต่สังฆาติเก่าๆผืนเดียว โจรเหล่านั้นเมื่อไม่ได้สิ่งของอันใด ก็พาหลีกไปสู่ที่อื่น เมื่อพวกโจรไปหมดแล้ว พระสงฆ์ที่หลบหนีไปก็กลับมาดูพระสงฆ์องค์ที่หนีไปไม่ได้ ก็มาพบเห็นพระสงฆ์รูปนั้นถึงแก่มรณภาพเสียแล้ว ณ.ที่นี้
.
ครั้นแล้วพระสงฆ์ที่ยังคงเหลือ ๔ รูปก็ชวนกันกลับเมืองปาวา นำความไปแจ้งแก่พระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฎฐาก พระอานน์ก็นำความที่โจรตีพระภิกษุรูปนั้นให้ถึงมรณภาพ ขึ้นกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมีพุทธฎีกาตรัสแก่พระอุตตมรามเถรผู้เป็นพระอสีมหาสาวกที่มีปรีชาในทางโหราสาสตร์ว่า ดูกรอุตตมรามเถร พระภิกษุปุถุชนไปรุกขมูลไปพบโจรเข้าที่กลางทาง โจรตีตายเพราะเหตุไมรู้ฤกษ์ยามไปถูกยามจรไม่ดีเข้าแล้ว ก็มักเป็นเหตุให้ถึงอุปัทวันตรายเสียในกลางทาง ถ้าไปถูกยามจรที่ดีก็ไปสวัสดี(ปลอดภัย)มีชัยในข้างหน้า นึกสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นดังปราถนาควรที่พระสงฆ์จะเรียนรู้ฤกษ์ยามและคัมภีรฺโหราศาสตร์ไว้คุ้มตัว เมื่อมีกิจธุระไปในที่ใดๆก็จะได้ไปโดยสะดวก และการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิกขาบทไม่ต้องอาบัติ พระอุตตมรามเถรรับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็มาสั่งสอนพระภิกษุปุถุชนและพระโสดาบันบุคคลและหมู่ชายหญิง ทั้งหลายที่ปราถนาจะเเรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ ให้ได้เล่าเรียนคัมภีร์โหราศาสตร์และฤกษ์บน มีคัมภีร์จักรทีปนีโหราศาสตร์ขั้นต้นเป็นต้นอาทิฯ
.
อนึงมีคำกล่าวติเตียน เป็นสมณดังฤามาเรียนรู้นักขัตฤกษ์อันเป็นทางพาหิรวิชา(วิชาภายนอก)ฉะนี้ มีข้ออรรถาธิบายว่า เดิมมีมูลเหตุเพราะพระภิกษุทั้งหลายไปเจริญสมณธรรมอยู่ในอรัญญิกเสนาสนะ(ที่พักในป่า) มีพวกโจรมาถามว่า วันนี้พระจันทร์เสวยฤกษ์อะไร ครั้งนั้นพระภิกษุตอบว่าไม่รู้ โจรก็หาคนเหล่านั้นมิใช่สณะ จึงมิรู้นักขัตฤกษ์ คงจะเป็นพวกโจรคอยเที่ยวซุ่มซ่อนอยู่ กล่าวแล้วพวกโจรก็กลุ้มรุมทำร้ายประหารพระภิกษุั้งหลายเหล่านั้นจนถึงบาดเจ็บ บางรูปก็ถึงตาย แล้วก็หลีกเร้นไปที่อื่น เรื่องนี้ทราบถึงพระผู้มีภาคเจ้า พระองค์ทรงมีพุทธดำรัวให้เรียกประชุมพระภิกษุสงฆ์แล้วจึงตรัสอนุญาตว่า "ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตอนุญาตบัดนี้ ให้ภิกษุอันจะไปเจริญสมณธรรมในอรัญญิกเสนาสนะ(ที่พักในป่า) พึงเรียนรุ็นักขัตฤกษ์ตามจะเรียนได้ทั้งสิ้นก็ดี โดยเอกเทศก็ดี สำหรับอรัญญิกวัตร(บริเวณป่า) เพื่อรักษาตนให้พ้นจากโจรภยันตราย 


 


คัมภีร์จักรทีปนี ถือเป็นคัมภีร์ชั้นครูบาอาจารย์ ผู้ใดต้องการเรียนวิชาโหราศาตร์ ต้องมีความรู้จำได้แม่นยำจากคัมภีร์นี้ก่อน เพราะเป็นหลักของการพยากรณ์ คงไม่ผิดพลาด เพราะรจนาโดยพระอรหันต์ ซึ่งจิตใจขงม่านพ้นจากสรรพกิเลส และสะอาด สว่าง สงบ ท่านรจนไว้เป็นตอนๆ เช่น พระเคราะห์ประจำราศี ลัคนาประจำราศี พระเคราะห์กุมลัคนา และอยู่ในที่เป็นสองต่อไปจนถึง ๑๒ แต่เนื่องจากเป็นเวลาล่วงเลยมาแล้วถึง ๒,๕๐๐ ปีเศษ คงจดจำคักลอกกันต่อๆมา อาจวิปลาสคลาดเคลื่อนไปจากของเดิมบ้าง
.
#คัดลอกตัดทอนจากหนังสือเกร็ดวิชาโหราศาสตร์
หมายเหตุ : ทั้งเล่มหาชื่ออาจารย์ผู้เขียนไม่พบ จำขออนุญาตถ่ายรูปหน้าปกลงแทน เป็นการขอบพระคุณครูบาอาจารย์ที่เมตตา เขียนตำราให้อ่านเป็นความรู้
.

 
 
#By_คุณยายกลิ่นโสม
----------------------
#เรียนโหราศาสตรไทยด้วยตนเอง
Web :บ้านคุณยายดอทคอม :  https://www.baankhunyai.com
-----------------------
ดูดวงติดต่อ Line : baankunyai




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2562    
Last Update : 16 มิถุนายน 2563 14:58:09 น.
Counter : 833 Pageviews.  

1  2  

คุณยายกลิ่นโสม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add คุณยายกลิ่นโสม's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.