To The Sky By Heart จะขึ้นสู่ฟ้า ใจต้องกล้าแกร่ง
Group Blog
 
All Blogs
 
ทวิธร

แสดงแดด แทรกลงมาจากยอดไม้ใหญ่ ส่องกระทบตัวเขาเป็นเงายาว
ทอดลงไปในลำธารที่เขานั่งอยู่ ..... อีกไม่นานฟ้าก็จะมืด หลายชีวิตกำลังจะหยุด
การต่อสู้ดิ้นรนประจำวัน พักผ่อน รอแสงสว่าง เพื่อต่อสู้ชีวิตในวันใหม่.... แต่
ชีวิตของเขา หลายเดือนแล้ว ที่เขาอยู่กับความมืดทั้งกลางวันและกลางคืน.........
เขาจำความปลาบปลื้มของวันแรกที่เข้ามาเรียนในสถาบันแห่งนี้ได้ถนัดชัดเจน วันแรกที่เขาถูกเรียกว่าเป็น "น้องใหม่" เป็น "Freshy" ของมหาวิทยาลัย.....ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ดูช่างสดใส สดชื่นไปหมด ทุกอย่างดูเป็นสีชมพู สวยงามบริสุทธิ์ เป็นเครื่องชูใจให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้ส่งแปลกใหม่ในสังคมแห่งนี้....

เพียงสองเดือนที่ผ่านไป ชีวิตสีชมพูของเขาก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีชมพูเข้ม เข้มขึ้น ๆ จนจะกลายเป็นสีดำอยู่แล้ว


เขาเป็นเด็กบ้านนอกที่เข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพ เป็นครั้งแรก ที่นี่กรุงเทพ กับ ที่โน่นบ้านนอก มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ที่นี่กรุงเทพ ไม่มีอะไรที่เหมะสมกับเขาเลย

เขาเป็นโรค Motion Sickness แพ้ทุกอย่างที่เคลื่อนที่ได้ และมีการโยกเยก....แพ้ไอควันรถ เมารถ ไปมหาวิทยาลัยต้องเดินไป พอไปถึงมหาวิทยาลัยก็ต้องพบกับอุปสรรคใหญ่หลวง เพราะที่มหาวิทยาลัยห้องเรียนทุกห้องติดแอร์ ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ แทบทุกห้องติดแอร์เย็นเจี๊ยบ หนาวเย็นยะเยือกจับใจ เขานั่งเรียนยังไม่ถึงชั่วโมง อาการแพ้แอร์ก็เริ่มกำเริบ ปวดหัวแทบหัวงระเบิด กว่าจะทนให้ผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวัน ๆ ก็สาหัส แทบสิ้นชีพ ไหนจะต้องทรมานกับการเรียนไม่รู้เรื่อง เรียนไม่ทันอีก

ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป จากเด็กบ้านนอก ต่อสู้ดิ้นรน จนได้โอกาสเข้ามาเรีรยนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปในทางที่ดีขึนอย่างที่เขางหวังไว้เลยแม้แต่นิด

เพื่อนใหม่ที่นี่ยิ่งแตกต่างจากเพื่อนที่ต่างจังหวัดอย่างสิ้นเชิง เพื่อนที่นี่รำรวย มีรถขับกันเกือบทุกคน ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย กินอาหารแพง ๆ ตามภัตราคารหรู ๆ ในขณะที่เขาจะกินอาหารถูก ๆ ที่โรงอาหารในมหาวิทยาลัย หรือ ร้านอาหารตามฟุตบาท ก็แทบจะไม่มีกิน

เรียกได้ว่าสังคมใหม่กับตัวเขาแตกต่างกันอย่างมากมาย เหล่านี้กระมังที่กระชากสีชมพูไปจากชีวิตเขา แล้วเอาสีดำมาแต้มปะไว้แทน

"แม่ครับ ผมจะอดทน
ผมจะพยายามศึกษาให้สำเร็จ
เพื่ออนาคตที่สดใสของลูก
เพื่อชีวิตที่สุขสบายในยามแก่ตัวของแม่
เมื่อผมเรียนจบ ผมจะดูแลแม่
ผมจะไม่ให้แม่ทำงานหนักอีกต่อไป
ผมรักแม่
ผมจะพยายาม...เพื่อแม่"

เป็นข้อความในจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาส่งให้แม่ นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้เขียนมันอีก

แม่ของเขาจากไปด้วยโรคมะเร็ง เพราะไม่ได้ทำการรักษาตามที่หมอสั่ง เงินทองที่ได้จากการขายพืชผลในสวนเก็บออมไว้เป็นค่าเล่าเรียนลูก ทั้งที่รู้ว่าตัวเองป่วยด้วยโรคร้าย ก็ไม่ได้ทำการรักษา เพราะไม่คิดว่า โรคร้ายนี้จะคุกคามชีวิตตนเร็วขนาดนี้ อีกอย่างถ้าใช้เงินรักษาโรค แม่ของเขาก็จะไม่มีเงินส่งให้เขาเรียนต่อ

เขาโทษตัวเองว่า ถ้าแม่ไม่เจียดเงินให้เขาเรียนหนังสือ แม่เขาก็คงมีเงินไปรักษาตัว แม่เขาก็คงไม่ตาย สิ่งที่ฆ่าแม่เขาไม่ใช่โรคร้าย แต่เป็นตัวเขาเอง

จากเด็กร่าเริง สดใส เขากลายเป็นมนุษย์ผู้ครองทุกข์ไปโดยปริยาย เขาแยกตัวออกจากสังคม จากเพื่อน
จิตใจที่เคยแข็งกล้า บัดนี้อ่อนหล้า
สายตาที่เคยสดใส บัดนี้เหี่ยวเฉา
สมองที่เคยปราชญ์เปรื่อง บัดนี้มืดมน
เขาพาตัวเองผ่านพ้นวิกฤตที่สูญเสียแม่ไป และวิกฤตของการสอบ final เพื่อขึ้นเรียนปี 3 ได้อย่างทุลักทุเล

เหลืออีกปีเดียว เขาจะได้เป็นบัณฑิต จะได้ปริญญา จะมีอนาคต เขาไม่มีเงินช่วยเหลือจากทางบ้านอีกต่อไป เขาตัดสินใจหางานพิเศษทำ นับตั้งแต่เป็นพนักงาน
เสริฟ เป็น Doorman รับสอนพิเศษตามสถาบันกวดวิชา ตามบ้าน ตามโรงเรียน

เขารู้ว่าชีวิตเขากำลังจะล้ม เขาต่อสู้เพื่อยืดชีวิตให้ยาวนาน

"คุณทวิธร ห้อง 219 เชิญรับโทรศัพท์ที่ห้องพักผ่อนด้วยค่ะ" เสียงพนักงานรับโทรศัพท์ประจำหอพักมหาวิทยาลัยประกาศเรียกให้เขารับโทรศัพท์เป็นครั้งที่สามติดต่อกัน

"หะโหล ผมทวิธร ครับ" เสียงเอื่อย ๆ บ่งบอกถึงความอ่อนเพลียของผู้พูด
"เฮ้ย... นี่ นิยาตา นะ
ทวิธร .... ทำไมนายไม่ไปเรียนหนังสือวะ
นี่เปิดเทอมมาเกือบเดือนแล้วนะ ปีนี้อยู่ปีสามแล้ว วิชาที่เรียนก็ยาก ๆ ที้งนั้นเลย
ถ้าไม่จำเป็น นายไม่ควรขาดเรียนนะ " นิยาตา เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้ว่าทวิธรมีปัญหาอะไรอยู่

"อ้อ..ทวิธร ... เราลืมถามไป นายลงทะเบียนเรียนรึยัง ... อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ เอาเงินเราไปก่อนก็ได้ แค่ห้าพันกว่าบาทเอง เอาไว้มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาให้ ถ้าไม่มีตอนนนี้ก็ให้ตอนเรียนจบ หรือ มีงานทำ แล้วค่อยเอามาคืนเราก็ได้" นิยาตา รู้ว่าทวิธร เป็นคนขี้เกรงใจ จึงได้เสนอความช่วยเหลือไป

"ขอบใจมากนะ นิยาตา เดี๋ยวเราก็จะได้เงินค่าทำงานพิเศษแล้ว แล้วค่อยไปลงทะเบียนก็คงได้ ตอนนี้เราทำงานพิเศษอยู่หลายที่ ก็คงมีเงินลงทะเบียนพอ
" การปฏิเสธความหวังดี ทำให้นิยาตาอึ้งไปนาน


"เออ...นี่ .....ทวิธร เราจะไปเที่ยวอิตาลี่ กับคุณพ่อ นายอยากได้อะไรมั้ย เราจะ
ซื้อมาฝาก"

"ไม่หรอก ขอบคุณมาก ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ" ทวิธรตอบไป ด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ

"เออ....ใช่สิ นายชอบใส่หมวกแก๊บ เราจะซื้อที่เป็นของสโมสรฟุตบอลมาฝากนายแล้วกัน และก็เอาไวท์ฝรั่งเศสซักขวดนะ .. นี่วันนี้พอแค่นี้นะ พรุ่งยี้อย่าลืมไปเรียนหละ บ๊ายบาย"
นิยาตาเป็นเพื่อนคนเดียวที่คอยตัดเตือนให้กำลังใจ คอยเสนอความช่วยเหลือแก่เขาอยู่บ่อย ๆ เขารู้ว่านิยาตาคิดกับเขาอย่างไร แต่เขาก็ไม่อาจสนองความรู้สึกนั้นได้ คราวไดที่หัวใจอ่อนไหวไป เขาก็ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ
"เธออยู่สูงสุดฟ้า
เราแค่หมาจรจัด"
ด้วยประการนี้ ทำให้เขาปฏิเสธ ความช่วยเหลือทุกประการของนิยาตา

วันนี้เป็นวันแรกที่เขาไปมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ทุกคนดูขมักขเม้นกับการเรียน ดูตื่นเต้นที่เปิดเทอมใหม่ ทวิธรไปมหาวิทยาลัยเพื่อขอผ่อนผันการชำระค่าเทอม ... ยังไม่ทันที่เขาจะไปถึงห้องทะเบียน เขาก็พบกับนิยาตา ที่หน้าห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัย

"ทวิธร นายไม่ต้องเกรงใจเรานะ เราเป็นเพื่อนกัน เราไม่อยากเห็นายทำงานดึก ๆ ดื่น ๆ อีกอย่างปีนี้ก็เรียนเยอะด้วย ต้องเรียนหนัก แล้วนายจะเอาเวลาที่ไหนทำการบ้าน อ่าตำรา ..... โอเค นะ ... เหอะน่า เหอะน่า .... นี่เงิน 10,000 บาทที่เรา
เตรียมมาให้นายเป็นค่าลงทะเบียนและค่าตำราเรียน
ทวิธร เธอดูซูบผอมไปมากเลยนะ ดูแลสุขภาพด้วนนะ" นิยาตา ยื่นซองเงินให้ทวิธร เพราะเชื่อว่า ยังไงทวิธร ก็หาเงินมาลงทะเบียนไม่ได้

.... นิยาตา เราขอบใจเธอมากเลยนะ แต่ว่า เรามีเงินอยู่ เรากำลังจะไปลงทะเบียน เราซาบซึ้งน้ำใจเธอมากเลย สัปดาห์หน้าเธอจะไปอิตาลี่ใช่ไหม เที่ยวให้สนุกนะ ขอให้ชีวิตเธอประสบแต่สิ่งดี ๆ งาม ๆ ตลอดไปนะ"
นิยาตา เป็นงง กับคำพูดของทวิธร

ทวิธร กลับมายังห้องพัก ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือ กวาดสายตาไปที่กองหนังสือที่วางระเกะระกะ ทั้งบนโต๊ะและบนหิ้งหนังสือข้างโต๊ะ และบนเตียงนอน
เหมือนกับจะสั่งลาตำราเหล่านี้น

หนังสือ สมุด ปากกา ตำราเรียนสารพัดวิชาเหล่านี้ ได้มาจากเงินที่แม่เขาเพียรพยายามหา ส่งให้เขาซื้อหามัน เขาเคยหวังว่า ซักวันเมื่อเขาเรียนจบ แม่จะต้องสุขสบาย แม่จะไม่ลำบาก
เขารู้ว่า แม่ทำทุกอ่างเพื่อเขา
และเขาก็เพียรอดทนศึกษาเพื่อแม่
ชีวิตเขา วันนี้ไม่มีแม่
ไม่มีหลักชีวิตให้ก้าวต่อไป

"ชีวิตหนึ่งชีวิต ยังไงก็ได้" คือบทสรุงแห่งการเลือกทางเดิน แห่งทางเดินชีวิตสายใหม่ของเขา

วันนี้...ไม่มีใคร รู้ว่าทวิธรอยู่ที่ไหน
ทำอะไร แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ ห้องเรียน ณ วันนี้ไม่มีทวิธร อีกต่อไป

(จบภาคแรก)








Create Date : 01 มกราคม 2551
Last Update : 1 มกราคม 2551 23:58:04 น. 2 comments
Counter : 320 Pageviews.

 
สนุกดีนะคับ ทำไมชีวิตทวิธรน่าสงสารจัง อยากอ่านตอนต่อไปจริงๆเลย


โดย: ....... IP: 203.131.212.69 วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:12:11:31 น.  

 
ตอนต่อไปล่ะครับอาจารย์

อยากอ่านมากๆครับ ขอให้พี่ทวิธร

เรียนจบด้วยครับ...


โดย: เด็กbc IP: 202.29.22.248 วันที่: 3 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:11:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไบรอัน บ้านบีซี
Location :
กาฬสินธุ์ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชื่อ อาจารย์ Brian (อ.บวร)
อาชีพ รับราชการครู
โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์

ชนะเลิศ การประกวดนวัตกรรม ภาษาอังกฤษ ระดับภาค
Best of the Best 2008
เป็นครูผู้สอนดีเด่น เหรียญทอง
ผลงาน
Using Song Activities to Advance English Vocabulary Knowledge


งานอดิเรก เลี้ยงกล้วยไม้
ความสนใจพิเศษ ท่องเที่ยวธรรมชาติ
ความภูมิใจ = I am who I am

ลูกศิษย์ติดต่อครูได้
baanbc@yahoo.com
baanbc@hotmail.com
หรือ 089 8621845
Friends' blogs
[Add ไบรอัน บ้านบีซี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.