★☆ ~กฏทองของยอดนักคิด~ ★☆

แปลโดย: ทินกร เหล่าเราวิโรจน์
สำนักพิมพ์: เอ.อาร์.บิซิเนส เพรส
ราคา: 250 บาท


• ความคิดที่โดดเด่นไม่ใช่ผลลัพธ์ของการใช้เวลาคิดนานๆ แต่ปัจจัยที่สำคัญคือ คุณใช้ความคิดอย่างไรต่างหาก
• บางครั้งขนาดและความซับซ้อนของปัญหานั้นใหญ่โตเสียจนคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหน ทางแก้คือการซอยปัญหาออกเป็นส่วนย่อย แล้วเข้าไปจัดการกับส่วนที่มีความสำคัญและยังไม่ได้รับการแก้ไขมาก่อน
• อย่าเสียเวลากับความคิดแก้ไขปัญหาที่เคยได้รับการแก้ไขไปแล้ว
• จงหาใครสักคนที่ยังไม่เคยคิดถึงปัญหาหรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปัญหานั้นไม่สามารถแก้ไขได้ให้เข้ามา
มีส่วนร่วมแก้ปัญหาดังกล่าว
• โอกาสที่เปิดกว้างมักเป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก แต่เมื่อมีแล้วมันก็เป็นแนวทางที่ดีสำหรับการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่างๆ

• ผู้นำที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ได้จะต้องตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับตนเองมากกว่าที่
โลกภายนอกคิดถึงตัวเอง
• การสื่อสารระหว่างผู้คนจะด้อยลงเมื่อพวกเขาอยู่ห่างกันเกินสามสิบเมตร
• การรับฟังผู้อื่นแสดงความคิดเห็นจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นรู้สึกดีกว่าเราเท่านั้น
• ...บริษัทที่มีเงินทุนหนาแต่ขาดประสบการณ์จริง คงแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เพียงในจินตนาการเท่านั้น
• ...ถ้าเห็นว่ามาตรฐานไม่เหมาะสม คุณควรต่อสู้และเปลี่ยนแปลงหรือยืดเวลาออกไป แต่อย่ายอมรับมันง่ายๆ
• ถ้าต้องการผลิตสินค้าที่เป็นนวัตกรรมชิ้นล่า ให้คิดค้นและสร้างสรรค์อย่างเต็มที่จนคุณไม่ต้องกังวลกับเงื่อนเก่าๆ เลย
• การจ้างงานภายนอกมักเป็นการมองการณ์ในระยะสั้นที่หวังเพียงว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย ขณะที่ความจริงคุณต้องเสียค่าจ่ายมากขึ้น และอาจทำลายความสามารถในการแข่งขันของตนเองลง

• ...กอริลล่าก็คือกอริลล่า เพราะมันเกิดมาเป็นเช่นนั้น มันไม่ได้กลายเป็นกอริลล่าเพียงเพราะว่ามันเลียนแบบสิ่งที่กอริลล่าทำ
• เมื่อคุณถามผู้คนว่าเขาต้องการอะไร เขาจะไตร่ตรองว่า เขาควรตอบคำถามนั้นๆ อย่างไร เพื่อให้ตัวเองดูดี นอกจากนี้เขายังตอบตามคนอื่นด้วย ตรงกันข้าม หากคุณไม่ถามพวกเขาเพียงแต่จับตาดูพวกเขาว่าพวกเขาจะเลือกอะไร ก็จะเห็นได้ชัดว่ากิริยาแสดงออกเปล่งดังกว่าคำพูด
• ...นักวิจัยเชื่อว่าเมื่อคนงานรู้ว่ามีการสังเกตพวกเขาอยู่ พวกเขาก็จะทำงานให้ได้ผลผลิตดีขึ้น
• ถ้าคุณอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับส่วนอื่นๆ ของป่า จงหมั่นกระโดดไปเกาะต้นไม้หลายๆ ต้น บังคับตัวเองให้เดินทางไปที่ที่คุณไม่เคยไป ซื้อของในร้านที่คุณไม่ค่อยได้เข้า ทานอาหารในร้านที่ยังไม่เคยลอง อ่านหนังสือและนิตยสารที่อยู่นอกเหนือจากความถนัดหรืออาชีพของคุณ และเข้าชมงานแสดงสินค้าของอุตสาหกรรมอื่น
• คุณอาจจะคิดฝัน สร้างสรรค์ ออกแบบ และสร้างสถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกได้ แต่สถานที่นั้นต้องมีคนเข้าไปใช้บริการ มันถึงจะเป็นความจริง

• เมื่อคุณมีตำแหน่งที่มีอำนาจและความรับผิดชอบ คุณไม่ควรปล่อยเรื่องต่างๆ ผ่านไป ถ้าเห็นว่ามันขัดแย้งอย่างรุนแรงกับสัญชาตญาณพื้นฐาน คุณควรจะต้องได้แย้งและยืนยันความเห็นของคุณจนกว่ามีคนทำให้คุณเชื่อได้จริงว่าความเห็นของคุณผิด หรือจนกว่าคุณทำให้ทุกคนเชื่อตามคุณได้
• คนที่ยิ่งมีความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก ก็ยิ่งมีความมั่นใจมาก และอาจมีโอกาสผิดพลาดได้สูงด้วย
• ...คุณมักจะพูดกับตัวเองว่า “นึกแล้วเชียว” แต่ถ้าเป็นการคาดการณ์ที่ถูกต้องจริงต้องพูดเช่นนั้นก่อนเหตุการณ์จะเกิด
• การทำให้ผู้เชี่ยวชาญพึงพอใจเป็นเรื่องที่คุณยังต้องเสี่ยง แต่การทำเพื่อลูกค้าคุณไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน

• ...พวกเขายอมรับความผิดพลาดของตนเอง (เพราะพวกเขามีความตั้งใจที่ดี) แต่ไม่ยอมรับความผิดพลาดของผู้อื่น (เพราะผลลัพธ์แย่มาก)
• ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาขโมยความคิดของคุณ ถ้าความคิดของคุณมีข้อดีอยู่บ้าง ดีกว่าคุณต้องยัดเยียดมันให้คนอื่นได้รับรู้





Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 10:26:42 น.
Counter : 451 Pageviews.

2 comment
★☆ ~กลยุทธ์รู้ใจคน~ ★☆


ดนัย จันทร์เจ้าฉาย (ผู้เรียบเรียง) อิทธิพน เรืองศรี (ผู้แปล)

* จะเป็นผู้นำตนเอง ให้ใช้สมองนำ หากจะนำผู้อื่น จงใช้หัวใจ
* การเดินทางกับผู้อื่นย่อมช้ากว่าไปตามลำพัง เป็นบททดสอบของการอดทน หรือบททดสอบเพื่อนนั้น ไม่ใช่การอยู่เคียงข้างเพื่อนเมื่อเพื่อนล้ม หากอยู่ที่ว่าเราดีใจแค่ไหนเมื่อเพื่อนทำสำเร็จ โดยปราศจากความรู้อิจฉาภายในใจ หรือ 'ไม่มีของขวัญใด ยิ่งใหญ่กว่าการทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจ'
* สิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จมี แต่ผู้ล้มเหลวขาดอยู่ก็คือ ทักษะเรื่องคนนั่นเอง ทักษะด้านนี้เป็นสิ่งประเมินค่าไม่ได้ ไม่ว่าคุณอยากจะทำอะไรก็ตาม ถ้าเอาชนะใจคนได้ คุณจะชนะในท้ายที่สุด!
* เราแต่ละคนมีจุดสนใจต่างกัน ซึ่งสิ่งนั้นจะคอยแต่งแต้มสีสันให้กับทุกภาพที่เรามองเห็น ดังนั้นสิ่งที่อยู่รอบตัวเราไม่ได้กำหนดว่าเราจะมองเห็นอะไร สิ่งที่กำหนดคือ สิ่งซึ่งอยู่ภายในจิตใจของเราต่างหาก
* บุคลิกภาพของคุณจะแสดงออกมาให้เห็น เมื่อคุณพูดถึงคนอื่นและแสดงออกกับพวกเขา ขณะที่คนอื่นซึ่งไม่รู้จักคุณก็พอจะบอกได้ว่า คุณเป็นคนอย่างไรโดยอาศัยหลักการง่าย ๆ แบบนั้น
* ...คุณเป็นผุ้สอนให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อคุณอย่างไร สิ่งที่คุณสอนผู้อื่น ย่อมมาจากมุมมองของคุณที่มีต่อโลกและต่อชีวิต ซึ่งมุมมองนี้ขึ้นอยู่กับว่าตัวตนของคุณเป็นอย่างไร
* ความหายนะทั้งหลายในโลกนี้ ครึ่งหนึ่งเกิดมาจากคนเราอยากมีความสำคัญ คนเหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร เขาเพียงแต่หมกหมุ่นอยู่กับการคิดถึงแต่ตนเองในแง่ดีตลอดเวลาเท่านั้นเอง

* คนเรามักขานรับสิ่งที่ตัวเองพร้อมจะเชื่ออยู่แล้ว และสิ่งที่ทำให้คนเราเชื่อก็คือประสบการณ์ชีวิตที่พบเจอมานั่นเอง
* ..เรากลับไปแก้ไขประสบการณ์ในอดีตไม่ได้ แต่ปรับปรุงตัวเราเสียใหม่ด้วยประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้
* ...ผมเปลี่ยนแปลงโลกรอบข้างไม่ได้ก็จริง แต่สิ่งที่อยู่ภายในตัวเองนั้น ผมเปลี่ยนได้
* "ความแตกต่างระหว่างตัวคุณในวันนี้ กับตัวคุณในอีกห้าปีข้างหน้า ขึ้นอยู่บุคคลที่คุณคบหาและหนังสือที่คุณอ่าน"
* อย่าพยายามไปเปลี่ยนคนอื่นให้ลำบาก...หากคุณเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นบุคคล ตามที่คุณปรารถนาอยากจะเป็นได้ เมื่อนั้นคุณถึงจะเริ่มมองผู้อื่นด้วยมุมมองแบบใหม่ และจะส่งผลให้การปฏิบัติตัวต่อคนรอบข้างของคุณเปลี่ยนไปด้วย
* "มองดูตัวเองให้ดี นี่คือภาพที่ลูกค้าจะมองเห็น"
* คนที่มีความเจ็บปวด มักทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดด้วย และตนเองก็เจ็บปวดเพราะคนอื่นได้ง่าย
* ...ให้มองดูเพื่อนสนิทสามคนของตัวเอง ถ้าเพื่อนเราดูปกติดีไม่มีปัญหา ก็หมายความว่าตัวเองนั่นแหละที่น่าเป็นห่วง!

* มนุษย์เราก็เหมือนตัวเม่น ที่เบียดเข้าหากันในคืนหนาวเหน็บของฤดูเหมันต์
o ยิ่งอากาศภายนอกหนาวเย็นมากเท่าไร เราก็ยิ่งเบียดตัวอิงแอบกันแน่นเข้าเพื่อความอบอุ่น แต่ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร เราก็ยิ่งเจ็บปวดจากหนามแหลมที่ทิ่มแทงกันและกัน สุดท้ายในคืนหนาวอันเปล่าเปลี่ยว เราจึงเริ่มห่างเหินกัน เราออกเดินทางร่อนเร่ไปตามลำพัง และตายไปด้วยความเหน็บหนาวอย่างเดียวดาย
* "เมื่อคุณเกลียดใครสักคน คุณเกลียดอะไรบางอย่างในตัวเขา เพราะบางอย่างที่ว่านั้น มีอยู่ในตัวคุณเองด้วย อะไรที่ไม่ใช่เรา ย่อมไม่ขัดหูขัดตาเรา"
* ผู้ที่มีบาดแผลในใจรุนแรงที่สุด จะสร้างความเจ็บปวดให้ผู้อื่นได้รุนแรงที่สุด
* หากใครสักคนตำหนิติเตียนคุณเสียใหญ่โตเกินกว่าเหตุที่เป็นอยู่ สาเหตุนั่นอาจจะมาจากเรื่องอื่น ไม่ใช่เพราะสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนั้น
* ผู้ที่ไม่สามารถให้อภัยคนอื่นได้ เท่ากับเขาทำลายสะพานซึ่งตัวเขาเองจะต้องใช้ข้าม
* สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าคนอื่นพูดถึงคุณอย่างไร สำคัญที่ว่าคุณมีความเชื่อมันอย่างไรต่อตนเอง
* ถ้ามีใครตำหนิติเตียนคุณ สิ่งที่ดีที่สุดคือ ให้อภัยเขาเสีย แล้วก้าวต่อไป
* หากท่านต้องการพิชิตโลก จงทำให้มันหลอมละลายด้วยความรัก อย่าเอาค้อนกระหน่ำทุบ
* เมื่อใดที่ผมเกิดความขัดแย้งกับใครสักคนที่ผมรัก ผมจะระลึกไว้ในใจเสมอว่า ผมจะต้องสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเขาให้ได้
* ฟัง ซักถาม ฟังอีกครั้ง ซักถามเพิ่มเติม ฟังอีกสักนิด แล้วค่อยตอบ
* สิ่งสำคัญอยู่ที่ คุณทำอะไรลงไป ไม่ได้อยู่ที่คุณจะทำเมื่อไร
* ศิลปะที่แท้จริงของการสนทนา ไม่ได้อยู่ที่ว่าการพูดสิ่งที่เหมาะสมในจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น แต่คุณยังต้องละเว้นไม่พูดบางอย่างออกไป ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเย้ายวนน่าพูดสักเพียงใดก็ตาม

* คนเราต้องการเพื่อนแท้ในช่วงที่เรารู้สึกว่า ไม่มีใครชอบเราอยู่เลย
* หากเครื่องมืออย่างเดียวที่คุณมีอยู่คือฆ้อน คุณก็มักจะมองว่าปัญหาทุกปัญหาเป็นตะปูไปเสียหมด
* หากเราติฉินนินทาใคร แสดงว่าเราไม่ได้รักคน ๆ นั้น เพราะเมื่อเรารักใคร เราจะไม่ตำหนิติเตียนเขา หากเรารักพวกเขา เราจะเจ็บปวดไปกับความล้มเหลวของเขา เราจะไม่ป่าวประกาศบาปของคนที่เรารัก เช่นเดียวกับที่ไม่ป่าวประกาศบาปของตัวเราเอง
* เราต้องรับผิดชอบถ้อยคำที่ไร้คุณค่า ดุจเดียวกันนั้น เราจึงต้องรับผิดชอบต่อความเงียบที่ไร้คุณค่าด้วย
* คนเรามีทั้งผู้ที่เพิ่มคุณค่าให้ผู้อื่น ช่วยแบ่งเบาภาระ ช่วยให้คนอื่นมีความสุข มีทั้งผู้ที่ลดทอนคุณค่าในตัวผู้อื่น คิดถึงแต่ตนเอง และพาให้ผู้อื่นหมดความสุขไปด้วย
* ทำความดีทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ต่อคนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ให้นานตราบเท่าที่จะทำได้
* มิตรภาพประกอบขึ้นจากหูที่พร้อมรับฟัง หัวใจที่เมตตา และมือที่พร้อมช่วยเหลือ

* กว่าจะได้เก้าอี้แสนสวยสักตัว ช่างฝีมือดีต้องทุ่มทั้งเวลา แรงกายและแรงความคิด แต่การทุบเก้าอี้ตัวนั้นให้พังภายในอึดใจ กลับไม่ต้องใช้ฝีมือใด ๆ เลย
* ประชากรทั้งหมดบนโลก ล้วนประกอบด้วย "คนอื่น"
* ชีวิตของคน ๆ หนึ่งเริ่มต้นเมื่อเขาเลิกสนใจแต่ชีวิตตนเอง
* ถ้าฉันชอบ มันคือของฉัน ถ้าฉันแย่งมาจากคุณได้ มันคือของฉัน ถ้าฉันเคยครอบครอง มันคือของฉัน ถ้าฉันบอกว่ามันคือของฉัน มันย่อมเป็นของฉัน ถ้าฉันมองดูเหมือนของฉัน มันคือของฉัน ถ้าฉันเห็นก่อน มันคือของฉัน ถ้าคุณกำลังสนุกกับมัน มันยิ่งเป็นของฉันใหญ่ ถ้าคุณวางมัน มันย่อมเป็นของฉัน ถ้ามันพัง...มันเป็นของคุณ
* เมื่อไรที่คุณเห็นแก่ตัว มองหาแต่ผลประโยชน์ของตน จะมีคนเพียงคนเดียวทำงานให้คุณ นั่นคือตัวคุณเอง แต่เมื่อไรที่คุณช่วยแก้ปัญหาให้คนสิบคน จะมีคนสิบคนช่วยทำงานให้คุณ
* โลกนี้ประกอบด้วยคนอื่น หาใช่เราเพียงคนเดียว แถมคนส่วนใหญ่บนโลกก็ไม่รู้จักเรา...คนส่วนใหญ่ที่คุณรู้จักอาจมีความจำเป็นและปัญหาหนักหน่วงกว่าคุณ คุณเลือกได้ว่าจะเมินเฉยต่อพวกเขาและสนใจแต่ตัวเอง หรือจะเลิกนึกถึงแต่ตนเอง แล้วเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือคนอื่น
* กุญแจแห่งความเร็จอยู่ที่การครุ่นคิดครึ่งเวลาแรก มองจุดแข็งของคุณ แล้วตั้งเป้าหมายว่าครึ่งเวลาหลังคุณจะทำอะไรเพื่อคนอื่น
* หากคุณมีมุมมองที่แคบเกี่ยวกับคน ลองไปในที่ซึ่งคุณไม่เคยเหยียบย่างสิ ไปพบคนซึ่งคุณไม่รู้จัก ทำสิ่งที่คุณไม่เคยทำ แล้วสิ่งเหล่านั้นจะเปลี่ยนความคิดของคุณ

* แทนที่จะกำหนดความคิดของใคร ให้ลองเอาตัวไปอยู่ในตำแหน่งของเขา
* เรามักมองตัวเองในแง่ของความตั้งใจ แต่ประเมินคนอื่นจากการกระทำ...เราตัดสินตัวเองโดยมองศักยภาพที่เราจะทำได้ ทว่าคนอื่นตัดสินเราโดยมองสิ่งที่เราทำไปแล้ว
* เมื่อเราเข้าใจมุมมองของคนอื่น เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามทำ เราจะเห็นว่าเก้าในสิบครั้ง เขาจะพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง

* คนแต่ละคนที่เราพบ ล้วนมีบางอย่างซึ่งสอนเราได้
* เราสามารถเรียนรู้บางอย่างได้จากที่ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรให้เรียนรู้ จากคนซึ่งไม่น่าสอนอะไรเราได้ เพราะคนทุกคนล้วนมีเรื่องราวเล่าขาน
* เหตุผลอย่างเดียวที่คนอื่นสอนอะไรเราไม่ได้ คือเราเองไม่อยากเรียนรู้
* ความสัมพันธ์ช่วยกำหนดสิ่งที่เราเป็น รวมทั้งสิ่งที่เรามุ่งมั่นจะเป็น
* คนที่ถามถูกเรื่องคือผู้ที่เรียนรู้ได้มากที่สุด
* การเรียนรู้เริ่มจากการฟัง แต่ต้องไม่จบแค่การฟัง
* สองเดือนที่คุณสนใจคนอื่น จะทำให้คุณได้เพื่อนมากกว่าสองปีที่คุณพยายามทำให้คนอื่นสนใจคุณ
* "กฎเพชร": จงพูดคุยกับผู้อื่น เหมือนอย่างที่คุณอยากให้เขาพูดคุยกับคุณ
* จงหลีกห่างผู้ซึ่งกดความทะเยอทะยานของคุณไว้ คนที่เล็กน้อยต่ำต้อยจะปฏิบัติเช่นนั้นต่อคุณเสมอ แต่คนที่ยิ่งใหญ่จะทำให้คุณรู้สึกว่า คุณเองก็สามารถยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน
* หากเราสิ้นหวังในตัวเขา พวกเขาก็จะสิ้นหวังในตัวเอง...เมื่อเราเชื่อมั่นสิ่งดีที่สุดของคนอื่น สิ่งดีที่สุดของพวกเขาก็จะเผยโฉมออกมา
* จงมองวันทุกวันเป็นโอกาสในการสร้างสิ่งดี ๆ ให้แก่คนอื่น
* หากต้องการเพิ่มคุณค่าให้แก่ใคร คุณต้อง "เห็นคุณค่า" ของพวกเขาก่อน
* ชีวิตแต่งงานที่เป็นสุขคือ สามีภรรยาชื่นชมยกย่องกันและกัน มากกว่าคนอื่นยกย่องสามีหรือภรรยาของตน เพราะเมื่อไรที่ฝ่ายใดนับถืออีกฝ่ายน้อยกว่าที่คนภายนอกนับถือ นั่นคือสัญญาณว่าเกิดปัญหาในความสัมพันธ์แล้ว
* ผู้ตัดสินก่อนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดคือคนโง่
* การรู้กับการเข้าใจต่างกัน..คุณอาจจะรู้เรื่องบางเรื่องดี แต่ไม่เคยเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
* วิธีจูงใจคนที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่งคือรับฟังสิ่งที่เขาพูด
* ใครที่คิดจะจูงใจคน ขั้นแรกต้องให้อีกฝ่ายเชื่อว่า 'คุณคือเพื่อนผู้จริงใจ' หากคุณบงการความคิดเห็น สั่งการให้เขากระทำ หรือเพ่งเล็งว่าเขาเป็นคนน่ารังเกียจ ในใจของเขาย่อมถอยห่างจากคุณ คุณจะไม่มีทางเข้าถึงเขาได้อีก

* ความงดงามของมิตรภาพมิได้อยู่ที่มือซึ่งยื่นมาช่วยเหลือ มิใช่รอยยิ้มอ่อนโยน หรือความสุขใจยามมีคนเคียงข้าง หากคือแรงบันดาลใจอันลึกซึ้ง เพราะรู้ว่ามีใครคนหนึ่งเชื่อมั่นในตัวคุณและปรารถนาจะไว้ใจคุณด้วยมิตรภาพ
* เราไม่สามารถใช้จริยธรรมแบบหนึ่งในการทำธุรกิจ แล้วใช้อีกแบบในชีวิตส่วนตัวได้ เพราะคนเราแบ่งภาคแบ่งอุปนิสัยใจคอไม่ได้ หากใครขอให้คุณช่วยเขาโกหกคนอื่นในเรื่องหนึ่ง อย่าเชื่อเด็ดขากว่าเขาจะไม่โกหกคุณบ้างเมื่อสบโอกาส เมื่อเขายอมทำสิ่งใดร่วมกับคุณ สักวันเขาก็จะทำสิ่งนั้นกับคุณด้วย เพราะนิสัยของคนย่อมแพร่กระจายไปในทุกด้านของชีวิต
* การกอบกู้ความไว้วางใจกลับคืนมาใช้เวลามากกว่าการทำลาย
* ความไว้วางใจต้องกู้คืนด้วยการกระทำ ไม่ใช่เพียงคำพูด
* การให้อภัยผู้อื่นไม่ได้หมายความว่ายินยอมให้เขาทำผิดต่อคุณซ้ำ ๆ
* อย่าปล่อยให้ปัญหามีคุณค่าเหนือความสัมพันธ์
* การเห็นปัญหาไม่ต้องใช้ความสามารถล้ำเลิศ...ถ้าคนเราจ้องแต่จะมองหาปัญหา ก็ย่อมเจอปัญหาอย่างแน่นอน แต่การแก้ปัญหาสิ..ต้องใช้ความสามารถที่ล้ำเลิศกว่า
* ไม่มีของขวัญใดยิ่งใหญ่กว่าการทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจ
* คนฉลาดจะค้นพบว่า ชีวิตเป็นส่วนผสมของวันดีกับวันร้าย ชัยชนะกับความพ่ายแพ้ การให้กับการรับ เขาจะเรียนรู้ว่าการมีจิตใจ่อนไหว้เปราะบางเกินไปไม่เกิดประโยชน์
* ตราบใดที่งานเสร็จ ไมสำคัญหรอกว่าจะได้รับคำชม
* ความมีเมตตาเป็นภาษาที่คนโง่พูดได้ คนหูหนวกได้ยินและเข้าใจความหมาย

* คนที่หัวเราะตนเองได้นับว่าประเสริฐ
* คนที่พูดคุยด้วยง่ายแสดงตัวตนแท้จริงเสมอ ไม่เสแสร้งหลอกลวง
* ในยามมั่งคั่งเพื่อนฝูงรู้จักเรา ในยามตกอับเราจะได้รู้จักเพื่อน
* ผลที่ได้ขึ้นอยู่กับว่าทุ่มเทไปมากเพียงไร
* มิตรภาพก็เหมือนเงินตรา หาง่ายแต่รักษายาก

* ความสัมพันธ์ทุก ๆ ความสัมพันธ์ต้องการการดูแลใส่ใจจึงจะเติบโต
* เราทุกคนล้วนมีคนยิ่งใหญ่อยู่ในชีวิต
* จงแต่งงานเถิดเพราะถ้าท่านได้ภรรยาดีท่านจะมีความสุข แต่ถ้าท่านได้ภรรยาไม่ดี ท่านก็จะกลายเป็นนักปรัชญา...การมีชีวิตคู่ที่ดีต้องอาศัยหลายสิ่งที่มากกว่านั้น ก่อนแต่งงาน เรามีจุดโฟกัสอยู่ที่คนซึ่งจะมาร่วมแบ่งปันอนาคตด้วยกัน ทว่าหลังแต่งงาน เรากลับสนใจแต่ตัวเอง ในช่วงคบหาดูใจ เราได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุขของอีกฝ่าย แต่ทว่าการแต่งงานทำให้เราเห็นสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจาก 'สิ่งดี ๆ'
* วิธีหนึ่งที่จะรักษาสายใยผูกพันระหว่างกันโดยไม่ต้องฝืน คือสร้างประวัติศาสตร์ของครอบครัว...สร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกันเสมอ
* คำสัญญาอาจสร้างเพื่อน แต่การทำตามสัญญาคือสิ่งที่รักษาเพื่อนเอาไว้
* ถ้าคนสองคนทำงานอย่างเดียวกัน และเห็นพ้องกันตลอดเวลา แสดงว่าคนหนึ่งไร้ประโยชน์ แต่ถ้าทั้งสองขัดแย้งกันไม่หยุดหย่อน แสดงว่าทั้งคู่ไร้ประโยชน์
* สถานการณ์ขัดแย้งส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องชั่วคราว 'เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว' ปล่อยให้มันผ่านไป เก็บแรงไว้สำหรับสิ่งที่จะเกิดผลดีในระยะยาวดีกว่า
* ในเรื่องที่จำเป็น จงใช้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ในเรื่องที่ยังไม่แน่ใจ จงใช้เสรีภาพ ส่วนในเรื่องทุกเรื่อง จงใช้ความเมตตา
* คนที่มีเพื่อนพันคน ไม่มีเพื่อนคนใดว่างมาเจอ แต่คนที่มีศัตรูหนึ่งคน กลับเจอศัตรูทุกแห่งหนไป
* เมื่อใดก็ตามที่คุณมองหาจุดร่วมในผู้อื่น ก็เท่ากับคุณเพิ่มโอกาสสร้างมิตร
* คนมีความสุขที่สุดไม่จำเป็นต้องมีอะไร ๆ เยี่ยมยอดกว่าคนอื่น เพราะพวกเขา 'ทำให้อะไร ๆ' กลายเป็นเรื่องเยี่ยมยอดต่างหาก

* การเดินทางกับผู้อื่นย่อมช้ากว่าไปตามลำพัง
* สำหรับมิตรภาพของคนสองคน ความอดทนของหนึ่งคนเป็นสิ่งจำเป็น
* อดทนโดยปราศจากความเข้าใจ ความสัมพันธ์ย่อมขาดพลัง เข้าใจโดยปราศจากความอดทน ความสัมพันธ์ย่อมไม่เติบโต เข้าใจพร้อมกับอดทน ความสัมพันธ์มีทั้งพลังและศักยภาพที่จะเติบโต
* คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือคุณธรรมข้อที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากที่สุด
* เราทุกคนคิดว่าเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราควรได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ และคนอื่นควรอดทนต่อเราให้มาก ๆ แต่ความจริงต้องสลับกันคือ เราต้องนึกภาพตัวเองอยู่ในสถานการณ์ของคนอื่นและอดทนต่อพวกเขาให้มาก ๆ
* คนยิ่งตำแหน่งสูง ภาระหน้าที่จะยิ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องคน และการสื่อสารกับคนมากขึ้น ผู้บริหารระดับสูงที่เราศึกษาใช้เวลาร้อยละ 90 หมดไปกับการพูดคุยและใช้เวลาเท่า ๆ กับการแก้ปัญหาเละเทะที่คนอื่นสร้างไว้
* หัวใจสำคัญของกฎความอดทนได้แก่ หากคุณเดินทางตามลำพังคุณอาจจะไปได้เร็วขึ้น แต่การเดินทางจะไม่น่าพึงพอใจ และไปได้ไม่ไกลเท่าร่วมทางกับผู้อื่น เมื่อมีคนเดินทางไปพร้อมคุณ คุณจะอดทนต่อพวกเขาเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย เราจะอดทนต่อพวกเขาเพราะนึกถึงผลที่จะได้กลับมา และเมื่อมีคนอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา เราจะอดทนต่อพวกเขาเพราะเหตุผลทั้งสองประการที่ว่ามา เพราะทุกความสัมพันธ์ล้วนต้องใช้ความอดทนเป็นส่วนประกอบ และในท้ายที่สุดคุณจะพบว่าผลของความอดทนนั้นคุ้มค่าเสมอ
* บททดสอบเพื่อนแท้ไม่ใช่แค่เคียงข้างเมื่อเพื่อนล้ม หากอยู่ทีว่าเราดีใจแค่ไหนเมื่อเพื่อนทำสำเร็จ
* เราต้องหัดนำความผิดพลาดของตัวเราเองมาเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ
* คุณสมบัติที่ทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ ความใจแคบ และความอิจฉาริษยา มักจะทำให้พวกเขาไม่ยินดีต่อความสำเร็จของคนอื่นด้วย คนเหล่านี้เอาแต่นึกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และคิดว่าตนขาดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ผลที่ได้คือ พวกเขามองไม่เห็นคนอื่นนอกจากตัวเอง
* เพียงแค่คิดยังไม่พอ คุณต้องพูดออกไปด้วย เพราะนั่นคือการชำระหัวใจให้สะอาด การร่วมฉลองกับคนอื่นคือวิธีเอาชนะความอิจฉา

* ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือชัยชนะที่บ้าน
* จงขุดหลุมใหญ่ไว้หลังบ้าน เอาไว้เป็นสุสานฝังความผิดพลั้งของเพื่อน ๆ คุณ
* ถ้าคุณสาดโคลนใส่ใคร คุณจะเสียจุดยืนทันที แท้จริงแล้วหนทางที่เราจะใช้รับมือคน มีอยู่ 3 เส้นทางเท่านั้น
1. ทางต่ำ-ปฏิบัติต่อคนอื่น เลวร้ายกว่าที่คนอื่นปฏิบัติต่อเรา
2. ทางสายกลาง-ปฏิบัติต่อคนอื่น เหมือนที่คนอื่นปฏิบัติต่อเรา
3. ทางสูง-ปฏิบัติต่อคนอื่น ดีกว่าที่คนอื่นปฏิบัติต่อเรา
* ...ไม่สำคัญว่าอะไรเกิดขึ้นกับคุณ สิ่งสำคัญคืออะไรเกิดขึ้นในใจคุณต่างหาก
* คนที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่หยิบก้อนอิฐซึ่งคนอื่นขว้างปาใส่ มาก่อเป็นรากฐานอันมั่นคง
* จงปฏิบัต่อผู้อื่นประหนึ่งว่าเขาเป็นในสิ่งที่เขาควรจะเป็น ดังนั้นแล้วท่านจึงจะช่วยให้เขาบรรลุศักยภาพสูงสุด
* ถ้าฝ่ายหนึ่งให้อยู่ฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งรับเพียงอย่างเดียว ในที่สุดคนให้จะหมดใจ และที่น่าขันก็คือ ฝ่ายรับก็จะไม่พึงพอใจเช่นกันเพราะรู้สึกว่าตนได้รับไม่มากพอ

* ทุกครั้งที่คุณเอาชนะความโลภด้วยการให้คุณจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวน้อยลง
* คนเราจะเชื่อถือในตัวผู้นำก่อน แล้วจึงเชื่อวิสัยทัศน์ของผู้นำ
* ชะตากรรมกำหนดเราเป็นพี่น้อง ไม่มีใครแยกย้ายไปตามลำพัง ทุกสิ่งที่เรายื่นให้ชีวิตผู้อื่น ล้วนกลับมาหาชีวิตเราเป็นอนิจจัง
* เมื่อคุณลงทุนกับผู้อื่น มันจะย้อนกลับมาหาตัวคุณเหมือนบูมเมอแรง และบางครั้งมันจะเข้ามาหาโดยที่คุณคาดไม่ถึง
* สิ่งที่ผมให้เพื่อนได้มากที่สุดก็คือความเป็นเพื่อนกับเขา
* เพื่อนแท้...คือผู้ที่มองเห็นส่วนที่เลวร้ายสุดของคุณ แต่ไม่เคยลืมส่วนดีสุดของคุณ คือผู้ที่คิดว่าคุณดีวิเศษมากกว่าที่คุณเป็นจริง ๆ เล็กน้อย คือผู้ที่คุณสามารถพูดคุยหรืออยู่กันแบบเงียบ ๆ ได้เป็นชั่วโมง สุขใจกับความสำเร็จของคุณมากเท่า ๆ กับตัวคุณเอง ไว้ใจที่จะพูดกับคุณอย่างหมดเปลือกโดยไม่เสแสร้ง ไม่ทำตัวว่ารู้ดีกว่า ฉลาดกว่าหรือเป็นครูส่วนตัวของคุณ
* คุณทำสิ่งที่ฉันทำไม่ได้ ฉันทำสิ่งที่คุณทำไม่ได้ เราร่วมมือกัน ย่อมทำเรื่องยิ่งใหญ่สำเร็จ
* เลขหนึ่งเป็นจำนวที่น้อยเกินกว่าจะทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้
* ...จงทำดีสุดความสามารถสุดใจ จงภูมิใจในตัวเองแต่อย่าลืม ว่าไม่มีใครเป็นคนที่ขาดไม่ได้

* จุดประสงค์ของชีวิตไม่ใช่เพื่อเอาชนะ จุดประสงค์ของชีวิตคือการเติบโต และการแบ่งปัน เมื่อคุณย้อนทบทวนสิ่งที่ทำมาในชีวิต คุณจะอิ่มใจกับความสุขที่มอบให้คนอื่นมากกว่าการที่คุณเอาชนะและข่มเหงพวกเขา
* จงร่วมมือเพื่อช่วยให้ผู้อื่นได้รับชัยชนะของเขาแล้วชัยชนะของคุณจะตามมา พิถีพิถันเลือกคนมาร่วมเป็นเจ้าของกับคุณ เพราะคุณจะต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน จงเลือกคนที่ทำงานด้วยแล้วมีความสุข แล้วอย่าลืมแบ่งปันดอกผลจากความพยายามร่วมกันให้แก่เพื่อนร่วมงานเมื่อประสบความสำเร็จ
* ชีวิตที่มีคุณค่าได้แก่ชีวิตที่อยู่เพื่อคนอื่น
* ..."โอ้ ช่างเป็นความรู้สึกปลอดภัย แสนสบายใจยามอยู่กับใครคนนั้น ไม่ต้องชั่งใจหรือปั้นแต่งคำพูด แค่พูดโพล่งออกไปดังที่ใจอยากพูด ทั้งเปลือกทั้งเมล็ดปนกันไป เพราะรู้ว่ามือที่ซื่อสัตย์จะรับฟัง และเก็บแต่สิ่งดี ๆ แล้วปอกเปลือกทิ้งไปด้วยลมหายใจกรุณา"




Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 9:50:22 น.
Counter : 876 Pageviews.

2 comment
★☆ ~ชีวิตพลิกได้ด้วยตัวคุณ~ ★☆



ผู้แปล: ธัญพร ขจรรุ่งศิลป์
สำนักพิมพ์: ดีเอ็มจี
ราคา: 295 บาท


* จงอย่าละทิ้งความฝันของตัวเอง แล้วก็อยากกบอกด้วยว่าจงเชื่อมั่นในตัวของคุณเอง จงมองโลกในแง่ดี จงมอบความรักโดยปราศจากเงื่อนไข และจงช่วยเหลือผู้อื่น เพราะสิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิต
* มนุษย์เรามีแค่ชีวิตเดียว และเมื่ออยู่ที่ปลายทางแห่งชีวิตนั้น เมื่อคุณมองย้อนกลับไปคุณอยากเห็นอะไร
* ...วิธีคิดของคุณมีผลต่อสิ่งที่คุณเชื่อ สิ่งที่คุณเชื่อมีผลต่อวิธีการปฏิบัติ วิธีการที่คุณปฏิบัติมีผลต่อพฤติกรรมการแสดงออก และพฤติกรรมการแสดงของคุณจะส่งผลต่อสิ่งที่คุณได้รับกลับคืนมา
* ชีวิตไม่ใช่เรื่องของฟ้าลิขิต มันไม่ได้ถูกวาดไว้ในวิมานดาว แต่มันถูกลิขิตด้วยตัวคุณเอง ชีวิตของคุณเปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่ยังปราศจากอักษรใด...ผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนั้นก็คือตัวเรานั่นเอง และอะไรก็ตามที่เราเลือกที่จะเขียนลงไป เราก็จะได้มันมา..
* คนเรามักตีกรอบล้อมตัวเองด้วยการด่วนสรุป เราด่วนสรุปอะไรต่ออะไรที่เกี่ยวกับตัวเอง ด่วนสรุปศักยภาพของตัวเองและด่วนสรุปคนอื่น ซึ่งการสรุปนี้ก็มีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เราเชื่อว่าจริงนั่นเอง
* ...มีหนังสือเป็นร้อยเล่มที่พูดถึงการพัฒนาตนเอง แต่ก็ไม่มีปรัชญาใดสำเร็จรูปพอที่จะเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ด้านได้
* ชีวิตคือการเดินทางและทุกการเดินทางก็ล้วนต้องเริ่มต้นจากการกำหนดจุดหมายปลายทางในใจ เพื่อเป็นแรงบันดานใจให้กับชีวิตของเรา เราต้องตัดสินใจให้ได้ว่าเราจะไปที่แห่งใด มิฉะนั้นการเดินทางก็จะสิ้นสุดลงเพียงเมื่อสายลมโบกพัดพาเราไป
* มนุษย์เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมเครื่องมือที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือพวกเราไม่มีคู่มือแนะนำการใช้เครื่องมือเหล่านั้น

* ความสามารถในการคิดของคุณคือกุญแจไขสู่การเปลี่ยนแปลง ชีวิตจิตใจของคุณคือการจัดระบบที่สุดยอกที่สุดในจักรวาล มันมีอานุภาพมากกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดใดในโลกนี้ มันไม่เคยหยุดทำงาน มันถูกใช้มา 240 ล้านปี..
* ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ก็คือ คอมพิวเตอร์ต้องพึ่งคนอื่นในการผลิตซอฟท์แวร์ให้ แต่มนุษย์เราสามารถผลิตซอฟท์แวร์ใช้เองได้ และนี่เองคืออานุภาพแห่งความคิดและสัมปชัญญะของมนุษย์
* จงระลึกไว้ว่าความรู้ไม่ใช่อำนาจ แต่การรู้จักนำความรู้มาใช้ต่างหากคืออำนาจ
* จงอย่ารอคอยเวลา เพราะมันไม่มีวัน 'พร้อม' จงเริ่มต้น ณ จุดที่คุณยืนอยู่ และใช้อาวุธอะไรก็ได้ที่มีอยู่ในมือ จากนั้นอาวุธที่ดีกว่านี้จะถูกค้นพบเองในระหว่างทาง
* ไม่มีใครที่ทำให้คุณรู้สึกต่ำต้อยได้ ถ้าคุณไม่ยอมรับความรู้สึกนั้น
* ถ้าความคิดนำทางคุณว่าคุณจะล้มเหลว คุณก็จะล้มเหลว แต่ถ้าความคิดบอกคุณว่าคุณจะประสบความสำเร็จ คุณก็จะประสบความสำเร็จจริง ๆ
* อย่ามัวใส่ใจสิ่งคุณทำไม่ได้ แต่จงมุ่งมั่นไปยังสิ่งที่คุณทำได้ แล้วค่อยเรียนรู้ที่จะทำสิ่งที่คุณทำไม่ได้

* ความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่ความรู้สึก เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ที่จะรักตัวเองอย่างไม่มีเงื่อนไข ความรักที่ว่านั้นจะมาซึ่งความสำเร็จ ความนับถือตนเอง และความตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนมีความเป็นตัวตนของแต่ละคนเอง
* เรามีอะไรต่อมิอะไรที่ต้องทำมากมาย และมีอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตที่ไม่ได้ทำ
* เราตกเป็นทาสของเวลา เราวางแผนเพื่ออนาคต วางแผนนัดหมาย และทำนั่นทำนี่ จนกระทั่งช่วงเวลาแห่งความสุขเท่าที่ระลึกได้ก็มีแค่ความทรงจำในอดีตเท่านั้น
* ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา ความสุขไม่ได้รอคอยเราอยู่ที่ใดในอนาคต แต่มันอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง
* แทนที่จะมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน กลับกลายเป็นว่าเรามัวแต่สนใจกับ 'สิ่ง' ที่เป็นเรื่องของอนาคตที่เราไม่อยากพบพาน
* บางครั้งในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิต ความหวังก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ มันทำให้เรามีชีวิตต่อไปได้ แต่มันหาใช่เครื่องช่วยบอกทิศทางไม่
* เราเป็นผู้ก่อร่างสร้างอุปนิสัย แต่หลังจากนั้นอุปนิสัยจะก่อร่างสร้างความเป็นเรา

* ทันทีที่คุณลงมือทำอะไรสักอย่าง จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น มันอาจจะไม่เหมือนกับที่คุณคาดหวังไว้ แต่อย่างน้อยสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความเปลี่ยนแปลง และผลพวงที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงนี้ จะนำคุณให้เข้าไปใกล้หรือไม่ก็ออกมาไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้
* แค่ความรู้ไม่พอ แต่เราต้องประยุกต์ใช้เป็นด้วย แค่ความมุ่งมั่นไม่พอ เราต้องลงมือกระทำด้วย
* ความฝันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของสมการ แต่อีกส่วนหนึ่งคือคุณต้องลงมือกระทำเอง
* ความสำเร็จจะติดตามมาหลังจากความล้มเหลวครั้งสุดท้าย เพียงแต่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้น
* ในชีวิตของคุณมักจะมีทางเลือกแค่สองทางคือ ไม่ทำอะไรเลยหรือลงมือกระทำอะไรบางอย่าง ถ้าเราเลือกที่จะทำอะไรบางอย่าง นั่นก็เท่ากับเราได้ให้โอกาสแห่งความสำเร็จและสมหวังแก่ตัวเองแล้ว
* คุณลักษณะหกประการที่เติมเต็มชีวิตมนุษย์ หนึ่งในคุณลักษณะของผู้ที่มีความสุขกับการทำงานคือกิจกรรมยามว่าง คือการได้ใช้ทักษะของตัวเองในกิจกรรมนั้น ๆ เป็นความสุขกับสิ่งที่ทำได้ เพราะสิ่งที่ทำนั้นทำให้เขาใจจดจ่ออยู่กับมัน
* คนเราเป็นอย่างที่เราเชื่อนั่นแหละ
* ...การมีเป้าหมายเพื่อไว้ให้บรรลุ และการมีความฝันไว้ให้ไขว่คว้า เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิตของคนเรา

* มนุษย์คือสัตว์ที่แสดงหาเป้าหมายในชีวิต ชีวิตมนุษย์จะมีความหมายก็ต่อเมื่อเขากล้าที่จะก้าวเดินและไปให้ถึงเป้าหมาย
* ความล้มเหลวคือโอกาสแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้เราได้ลองอีกครั้งโดยปราศจากความกลัว
* จงอย่าขี้ตื่นหรือจุกจิกกับการกระทำของตนเองมากเกินไป ชีวิตคือการทดลอง ยิ่งทดลองมากขึ้น คุณจะยิ่งเก่งขึ้น
* สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือ ผลลัทธ์ของสิ่งที่เราทำอยู่ ณ ปัจจุบัน
* สิ่งที่คุณได้รับจากประสบการณ์คือ ภาวะที่คุณจะมองตัวเอง
* ถ้ามีใครสักคนปฏิเสธข้อเสนอของคุณ นั่นคือเขากำลังปฏิเสธข้อเสนอที่คุณหยิบยื่นให้ แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธตัวคุณ
* ถ้าคุณมีทัศนคติที่เข้มแข็ง มั่นใจ และเป็นเชิงบวก คุณจะมีอิทธิพลต่อผู้อื่นไปเองโดยที่คุณไม่รู้ตัว
* ทัศนคติของคุณสำคัญยิ่งกว่าสติปัญญาเสียอีก คนที่มองโลกในแง่ดีจะหาวิธีการแก้ปัญหา แต่คนมองโลกในแง่ร้ายจะมองหาแต่ปัญหา
* คนเราจะล้มเหลวได้ก็เพราะว่าท้อถอยและยอมแพ้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นหลังการพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียว
* ความล้มเหลวคือครู บนเส้นทางสู่ความสำเร็จ
* โลกใบนี้เต็มไปด้วยคนที่เอาแต่ร้องขอ และต้องการ แต่ถ้าไม่ลงมือกระทำ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
* คุณต้องลุกขึ้นยืนใหม่ทุกครั้งที่ล้มลง
* บนเส้นทางชีวิต เราจะได้พบผู้คนมากมายที่ไม่ได้เป็นทั้งเพื่อนและไม่ได้เป็นศัตรู พวกเขาอาจเป็นเพียงแค่คนคุ้นเคยที่แนะนำอะไรแก่เรา ที่ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ให้กำลังใจ หรือบอกทางที่ถูกต้องให้เราเมื่อเราคิดอยู่ที่ทางแยก

* ความสุขและความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรือเป็นเรื่องของโลก มันเป็นผลมาจากการมุ่งมั่นที่จะกระทำและไล่ตามในสิ่งที่คุณต้องการ
* ลองมองดูช่างที่กำลังเหวี่ยงค้อนลงบนก้อนหิน แม้ร้อยครั้งอาจจะยังไม่เกิดรอยแยกในหิน ถึงกระนั้นการเหวี่ยงครั้งที่หนึ่งร้อยหนึ่งหินอาจแตกเป็นสองเสี่ยง ข้าพเจ้ารู้ดีว่าการที่หินแตก ไม่ใช่เพราะแรงเหวี่ยงครั้งสุดท้าย แต่เป็นเพราะทุกๆ จังหวะที่กระหน่ำลงไปก่อนหน้านั้นต่างหาก
* อย่ายอมแพ้ จงพากเพียรเข้าไว้ และเรียนรู้จากความผิดพลาด
* คนเราไม่ได้ล้มเหลวเพราะโชคร้าย แต่ล้มเหลวเพราะล้มเลิก
* คุณยังไม่แพ้ ตราบเท่าที่คุณยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
* ความกลัวคือศัตรูหมายเลขหนึ่งของความสำเร็จ ความกลัวคือเหตุผลที่ทำให้คนไม่ลงมือกระทำ
* ‘ไม่มีสิ่งใดที่น่ากลัว ยกเว้นความกลัว’
* เราไม่ควรจะต้องเสียใจกับความล้มเหลวในสิ่งที่ได้กระทำ แต่เราควรจะเสียใจกับสิ่งที่อยากทำแต่กลับกลัวที่จะทำมากกว่า
* คนเราต่างพยายามหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในทุกๆ ด้าน แต่หารู้ไม่ว่ามันทำให้เราพลาดบทเรียนชีวิตดีๆ ที่มีคุณค่าไปไม่น้อยทีเดียว
* ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดโดยใช้ผลของการได้-ตกเป็นเกณฑ์
* มีความล้มเหลวเป็นศัตรู มนุษย์ควรฉลาดกว่านี้ และไม่ควรจะคิดว่าความล้มเหลวจะทำให้เรากลายเป็นผู้แพ้ ความจริงก็แค่เรากำลังเรียนรู้บทเรียนที่ได้รับจากความล้มเหลวต่างหาก

* ความล้มเหลวไม่ใช่การที่คุณสอบไม่ผ่าน แต่ความล้มเหลวคือการที่คุณไม่เติมเต็มชีวิตของตัวเองต่างหาก
* จงยอมรับทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ ด้วยความสง่างามผ่าเผยประดุจกัน
* อย่าให้เหตุการณ์ที่เกิดกับคุณเป็นตัวกำหนดความเป็นตัวตนของคุณ
* ความล้มเหลวก็เหมือนความสำเร็จตรงที่มันเป็นแค่บทเรียนช่วงหนึ่งในช่วงชีวิต สิ่งที่ผ่านพ้นไปไม่ได้เป็นตัวกำหนดความเป็นตัวตนของเรา แต่วิธีการที่เราตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้เราเป็นอย่างที่เราเป็น
* “ความล้มเหลวเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ และเป็นสิ่งที่ทำให้ความสำเร็จมีความหมาย”
* ความจริงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องใช้เมื่อจะต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ในชีวิต แต่ปกติแล้วในชีวิตประจำวันเราไม่ได้พูดความจริงกันตลอดเวลาหรอก
* ความจริงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย เมื่อมันถูกค้นพบ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า จะค้นพบมันได้อย่างไร
* ชีวิตคนแบ่งออกเป็นสองช่วงตอน ได้แก่ ชีวิตที่เคยเป็น ชีวิตที่เป็นอยู่ และชีวิตที่จะเป็น จงเรียนรู้จากอดีตเพื่อตักตวงจากปัจจุบัน และนำไปสร้างอนาคตที่ดีให้ชีวิต
* เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิต และเราไม่สามารถควบคุมได้ มันจำทำให้เราว้าวุ้นใจ หรือรู้สึกไม่มั่นคง เราจึงเลือกที่จะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง...ไม่มีใครรู้ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงแต่อย่างน้อย มันก็เป็นอีกทางหนึ่งให้ลองทำ
* “ไม่มีใครมอบความชาญฉลาดให้เราได้ เราต้องค้นหามันด้วยตัวเอง ผ่านการเดินทางที่ไม่มีใครทำแทนเราได้”
* อย่าจมอยู่กับอดีต หรือกังวลกับอนาคต

* เรามีชีวิตอยู่ในสังคม ‘สำเร็จรูป’ ทำให้คนเราสูญเสีย ความสามารถในการอดทน เวลาที่อะไรๆ ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ และมันทำให้เรากลายเป็นคนเครียดง่าย เราคิดไปว่าชีวิตเราไม่ได้ให้สิ่งที่เราสมควรจะได้รับ
* เราต้องใช้ความถ่อมตนในการดำเนินชีวิต...มันคือคุณลักษณะที่จะช่วยให้คนธรรมดาอย่างเรามีวุฒิภาวะได้
* ความถ่อมตนจะช่วยปลดปล่อยเราจากความคิดว่าตัวเองต้องเป็นคนสำคัญ
* ผู้คนอาจจะลืมว่าคุณพูดอะไรกับเขา แต่เขาจะไม่มีวันลืมว่าคุณทำให้เขารู้สึกอย่างไร
* คนเราทุกคนต่างก็อยากมีคุณค่าในตัวเอง แต่คนเราไม่ควรมีเป้าหมายอยู่ที่การอยากเป็นคนสำคัญ เป้าหมายของเราควรอยู่ที่ความสุขและความสำเร็จมากกว่า
* ในระหว่างการเดินทางของชีวิต จงเป็นคนถ่อมตน อย่าพยายามเป็นศูนย์กลางของโลก แต่จงเป็นแค่ส่วนหนึ่งของมัน
* จงเป็นตัวเอง คนเพียงคนเดียวที่คุณต้องสร้างความประทับใจให้ก็คือตัวคุณเอง
* ชีวิตของคนไม่ได้ถูกวัดจากสิ่งที่เราทำ แต่ตัดสินจากตัวตนที่เราเป็น
* การรักใครสักคนอย่างสุดซึ้ง เป็นบ่อเกิดแห่งพลังผลักดัน การได้รับความรักจากใครสักคนอย่างสุดซึ้ง เป็นจุดกำเนิดแห่งกำลังใจ
* ชีวิตคือความท้าทาย จงเผชิญหน้ากับมัน ชีวิตคือเสียงเพลง จงร้องมัน ชีวิตคือความฝัน จงดื่มด่ำกับมัน ชีวิตคือเกม จงเล่นกับมัน ชีวิตคือความรัก จงเป็นสุขกับมัน
* ความรักคือผืนผ้าที่ตบแต่งด้วยธรรมชาติ และถักทอด้วยจินตนาการ
* เราจะพัฒนาตัวเองไปสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตได้ เมื่อเราได้แสดงออกซึ่งความรัก
* จงระมัดระวังคำพูดและการกระทำที่คุณจะแสดงต่อผู้อื่น อะไรก็ตามที่คุณทำและเมื่อใดก็ตามที่ทำ จงกระทำลงไปด้วยความรัก

* มีเพียงความปรารถนา ที่แรงกล้าเท่านั้น ที่ผลักดันจิตวิญญาณมนุษย์สู่ความยิ่งใหญ่ได้
* ชีวิตคนเราได้รับการสอนเรื่องอะไรหลายต่อหลายเรื่อง แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยมีใครสอนให้เราสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
* ...ชีวิตคือการเดินทางระยะยาว จงอย่ายอมแพ้ จงจดจ่ออยู่กับเป้าหมาย และมองไปข้างหน้าเสมอ เมื่อถึงปลายทางแล้วมองย้อนกลับมา คุณจะไม่รู้สึกเสียดายกับสิ่งใดเลย และนั่นคือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่คุณควรมี
* ความสุขเหมือนกับความสำเร็จตรงที่เกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลของการกระทำ
* สิ่งที่ส่งผลถึงประสบการณ์และความรู้สึกที่คุณมีไม่ใช่สิ่งที่คุณทำ แต่มันคือวิธีการที่คุณคิด
* คนที่มีความสุขคือคนที่มองโลกในแง่ดี ...คือคนที่มีความพึงพอใจในตนเอง ...คือคนที่สามารถควบคุมตนเองได้ ...คือคนที่มีใจกว้าง
* รอยยิ้มที่เปี่ยมสุขจากภายในจิตใจเป็นสิ่งไร้ราคา แต่ความเบิกบานใจที่แผ่ซ่านออกมาเป็นที่ประมาณค่ามิได้
* เราควรยอมรับในตัวตนของผู้อื่นอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น เราไม่ควรตัดสินผู้อื่น แต่เราควรพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุด เพราะการทำเช่นนั้น จะทำให้เรารู้สึกเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น
* คุณจะเปลี่ยนแผนเมื่อไหร่ก็ได้ เป้าหมายต่างหากที่ควรจะเหมือนเดิมอยู่ตลอดไป
* ถ้าชีวิตของใครเพียงแค่คนหนึ่งดีขึ้นมาได้จากการใช้ชีวิตของคุณแล้วล่ะก็ นั่นแหละเพื่อนเ๋อ๋ย...คุณประสบความสำเร็จแล้ว

* การที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณมีคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณเป็นเสียก่อน
* อย่าเข้าใจผิดว่าความล้มเหลวเพียงครั้งเดียวจะหมายถึงจุดสิ้นสุด อย่าลืมว่าบุคคลในอดีตที่ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายคนล้วนเคยผ่านประสบการณ์แห่งความล้มเหลวมาก่อน หากเรารู้จักความล้มเหลว หากเรารู้จักจุดตกต่ำในชีวิต แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือยันกายลุกขึ้นยืน ปัดเศษดินหิน แล้วเดินหน้าต่อไป
* จงจำไว้ว่า ‘ความสำเร็จจะเกิดตามมาหลังจากความล้มเหลวครั้งสุดท้าย’
* ถ้าคุณพบกับความล้มเหลว จงมองว่ามันเป็นประสบการณ์ และมองหาบทเรียนที่คุณจะเรียนรู้ได้ อย่ามองว่ามันคือหลักฐานที่แสดงถึงความสิ้นท่าของคุณ
* ความสำเร็จไม่ใช่จุดหมายปลายทอง แต่มันเป็นเพียงแค่ประสบการณ์หนึ่งในระหว่างการเดินทาง
* คนทุกคนเกิดมาพร้อมศักยภาพที่จะเป็นผู้ชนะ ฉะนั้นจงมองตัวเองอย่างผู้ชนะ เพราะว่าชัยชนะที่ได้มาระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้คุณก้าวต่อไปเพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น
* ก้าวที่น่าสะพรึงกลัวและยากลำบากที่สุดก็คือก้าวแรก แต่ก็จงก้าวออกไปเถอะ ถึงแม้จะเป็นเพียงก้าวสั้นๆ เพราะก้าวนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณเดินทางไปยังเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันจะช่วยให้คุณเดินไปข้างหน้าและคุณจะไม่วันเสียใจเลย



Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 10:29:41 น.
Counter : 515 Pageviews.

0 comment
★☆ ~มุมหนึ่งของความคิดที่จะทำให้ชีวิต...ดูง่ายขึ้น~ ★☆


โดย : เฌอมาณย์ รัตนพงศ์ตระกูล
สำนักพิมพ์ : ปลายดาว
ราคา : 160 บาท

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 ไปเดิน B2S ใน Big C เจอหนังสือหลายเล่ม กะจะซื้อกลับมา 3 เล่ม แต่พอเปิดดูกะตังในกะเป๋า มีอยู่ 300 กว่าบาท เลยต้องวาง แล้วก็เลือกได้มา 1 เล่มๆ นี้ดูเข้าท่าหน่อย ให้ข้อคิดดีๆ อ่านแล้วก็โดนใจ สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ ถือว่าเรามาแบ่งปันความคิดและความรู้สึกดีๆ ร่วมกันนะจ๊ะ


 หากเรามีความตั้งใจจริงที่จะมองสิ่งๆ หนึ่งให้กลายเป็นสิ่งที่ดี เราก็จะสามารถเห็นด้านดีของมันได้เสมอ ไม่ว่าสิ่งๆ นั้นมันจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายสักแค่ไหนก็ตาม
 ถ้าเรารู้จักที่จะคิดและมองโลกอย่างเข้าใจ ในแบบที่มันเป็น ทุกๆ วันของชีวิตเราก็จะเป็นวันที่ดีได้เสมอ
 เรื่องทุกเรื่อง...จะดูเป็นเรื่องดี หรือร้ายแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่ที่เราจะมองให้มันเป็นอย่างไร
 ถึงแม้ทุกอย่างที่เราคิด...มันจะดูเหมือนเป็นแค่การปลอบใจตัวเอง แต่อย่างน้อย...มันก็ยังดีกว่าการหาทุกข์เพิ่มให้ตัวเองไม่ใช่หรือ
 ถ้าไม่อยากให้ชีวิตเรา...ต้องเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาด ก็จงปล่อยให้ความรู้สึกที่ไร้สาระทั้งหลาย มันเกิดขึ้นและผ่านพ้นไปตามวิถีของมัน
 หากพบว่าทางข้างหน้ายังไมหน้าเดิน...เราจะหยุดเดินบ้างก็ได้ ไม่จำเป็นที่ชีวิตของเรา...จะต้องเดินก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลาหรอก
 ความสำเร็จไม่ได้วัดจากการที่เราได้ทำทุกอย่าง แต่มันวัดจากการที่เราทำอะไรสักอย่าง...แล้วได้เรื่องต่างหาก
 ไม่ต้องกลัวหรอกว่าวันร้ายๆ จะอยู่กับเรานาน ตราบใดที่โลกยังหมุนอยู่ตลอดเวลา ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาก็ต้องผ่านไปทั้งนั้น
 อย่าเสียใจไปเลย...กับการที่ต้องเสียน้ำตาในวันนี้ คิดเสียว่ามันเป็นบททดสอบอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้เรารู้ว่า...แท้จริงแล้วเราเข้มแข็งแค่ไหน
 จะเป็นไรไป...หากชีวิตเราจะมีวันร้ายมากหน่อย วันดีน้อยหน่อย ดีเสียอีกที่เป็นอย่างนี้...เราจะได้เรียนรู้คำว่า "ชีวิต" ได้อย่างเต็มที่ ให้คุ้มกับที่ได้เกิดมาเป็นคน
 คนแต่ละคนในโลกนี้...ล้วนต่างความคิด ต่างที่มา แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องการเหมือนๆ กันก็คือ...การได้มีใครสักคนคอยเข้าใจ เมื่อทุกคนต่างมีความต้องการเหมือนกัน และต่างเลือกจะทำหน้าที่เป็นผู้รอคอยที่จะได้รับความเข้าใจเหมือนกัน ทุกคนจึงเหงา...จึงอ่อนไหวและมีกำลังใจน้อยเกินไปที่แบ่งปันไปให้คนอื่น


 คนที่ไม่รู้จักพอ...ย่อมไม่มีวันได้รู้จักความสุข แม้ว่าตัวเองจะมีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ก็จะยังทุกข์ไม่เลิก
 ไม่สำคัญหรอกว่า...วันสุดท้ายของลมหายใจเราจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่สำคัญก็คือตอนที่เรายังหายใจ เราได้ทำทุกอย่างที่เราอยากทำแล้วหรือยัง
 แทนที่จะมานั่งนึกเสียดายเวลาในอดีต สู้มาคิดถึงอนาคตที่กว่า...ว่าจะทำอะไรดีกับเวลาที่ยังเหลือ
 ถึงเคยทำพลาด..แต่ก็ดีกว่าไม่เคยทำอะไรเลย อย่างน้อยคนที่เคยผิดพลาดอย่างเรา วันนี้ได้กลายเป็นคนใหม่ที่ฉลาดและเข้มแข็งขึ้นแล้ว
 จะแคร์ทำไมกับคำพูดของคนอื่นในเมื่อเรารู้ว่าเราไม่ใช่อย่างที่เขาพูด ก็ถือว่าเราไม่รับมันไว้ก็แล้วกัน
 ...มันจะจำเป็นตรงไหนที่เราจะต้องไปคอยสนใจกับคำพูดที่เขาพูดออกมาเรื่อยเปื่อย ซึ่งเราก็รู้ว่า...เขาไม่ได้พูดออกมาด้วยสมอง แต่แค่พูดออกมาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกมีความสุข ตามประสาคนมีปัญหาทางจิตใจที่มันรู้สึกดีเมื่อได้ทำร้าย...ทำลายคนอื่นที่ดีกว่าตัวเอง
 คนที่ไม่คิดจะเข้าใจเรา ก็จะไม่มีวันเข้าใจเราได้ เมื่อเขาไม่ได้คิดอยากรู้จักเราจากตัวตนแท้จริงที่เราเป็น แต่เขากลับชอบที่จะสรรสร้างจินตนาการถึงตัวเราในแบบที่เลวร้ายมากกว่า ก็ปล่อยให้เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาอยากทำไป ส่วนเราก็ยังคงมีความสุขของเรา ในฐานะคนที่รู้จักตัวเองและเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ
 เคยคิดไหม...ว่าความเหงานั้นก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่อยากจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเราเหมือนกัน ที่มันเดินทางมาหาเราก็เพราะว่ามันอยากให้เราลองใช้เวลากับมันดูบ้าง เผื่อว่าจิตใจที่เคยสับสนวุ่นวายของเราจะได้มีโอกาสอยู่ลำพังอย่างสงบเงียบ เพื่อคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ และทำความเข้าใจกับตัวเองให้มากขึ้น
 ต่อให้เราออกไปดิ้นรนเสาะหาคนสักร้อยคนมาอยู่เป็นเพื่อน ใจเราก็ยังคงเหงาอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะความเหงามันทำร้ายเราหรอก แต่เป็นเพราะเราไม่เข้าใจเอง...ว่าใจเราต้องการอะไร
 ...ความเหงา...เพียงต้องการให้เราลองฝึกที่จะอยู่กับตัวเอง เพราะถ้าเราอยู่กับตัวเองไม่ได้ จะอยู่กับใครก็ไม่มีความสุข


 ทุกอย่างล้วนโคจรเข้ามาอยู่ในชีวิตของเราตามวิถีของมันซึ่งสวรรค์เป็นผู้กำหนด และเรา...อาจมีหน้าที่เพียงแค่ได้เป็นผู้ดูแลมันในช่วงเวลาหนึ่งหรืออาจได้มีความสุขกับมันตามสมควร และหลังจากนั้น...เมื่อถึงเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิด เราก็ต้องยินยอมพร้อมรับ...อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
 ชีวิต...ไม่ได้น่ากลัว แต่เราต่างหาก...ที่กลัวการใช้ชีวิต
 วันคืนอันสวยงามที่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว คงไม่มีวันย้อนคืนกลับมาได้อีก แต่วันคืนที่ยังเหลือต่อไปจากนี้ ยังคงเฝ้ารอให้เราแต่งแต้ม เติมสีสันที่งดงามให้กับมัน ลบลืมความเจ็บช้ำให้หมดสิ้นไปจากใจ แล้วมีความสุขกับการได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งเถอะ
 เมื่อต้องอยู่คนเดียว...อีกครั้ง ก็จงอยู่ให้ได้...อย่างมีความสุขที่สุด
 ร่างกายก็เหมือนเครื่องจักร เมื่อเหนื่อยก็ต้องพัก...ถ้าไม่พักมันก็รวน
 ...เมื่อวันที่ได้ไปยืนอยู่ตรงเส้นชัยแล้ว เราจะยังมีสภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรงพอให้ได้เดินกินลมชมวิวบนเส้นทางชีวิตที่ยาวไกลนี้ต่อไปหรือเปล่า หรือว่าพอถึงเส้นชัยแล้วเราก็ต้องล้มลงคุกเข่ากองกับพื้นอย่างคนไม่มีเรี่ยวแรง แม้จะก้าวเดินต่อไปอีกเพียงก้าวเดียว
 ...ถ้าถึงเส้นชัยแล้ว...ชีวิตต้องจบ สู้ไม่ถึงเส้นชัย...แต่ยังคงมีชีวิตที่มีความสุข...มันยังจะดีเสียกว่า
 บางทีความสุขของชีวิตในแบบที่เราคาดหวัง อาจก้าวเดินอยู่เคียงข้างเราทุกขณะ
 เพียงแค่เราชะลอการก้าวเดินให้ช้าลงแล้วค่อยๆ ละเลียดไปกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของวันแต่ละวัน มันก็อาจเพียงพอแล้ว...สำหรับคำว่า “ชีวิตที่ดี”


 ช้าหรือเร็ว...เดี๋ยวเราก็ต้องลุกขึ้นมาเดินต่อ แล้วทำไมไม่รวบรวมแรงพลังลุกขึ้นมาเสียเดี๋ยวนี้ล่ะ ที่ผ่านมาเคยเจออะไร ก็ช่างอดีตมัน วันข้างหน้าจะเจออะไร ก็ช่างอนาคต สำคัญก็คือตอนนี้ นาทีนี้ เราทำอะไรอยู่...เดินหรือว่าล้ม...สู้หรือว่าแพ้
 คำพูดวิเคราะห์ วิจารณ์จากคนอื่นอาจเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ หากรู้จักที่จะเลือกรับฟัง แต่หากว่าถ้อยคำบางถ้อยคำจากใครบางคน ทำให้เราต้องรู้สึกแย่กับตัวเองและสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไป ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปทนนั่งรับฟังหรือเชื่อในการตัดสินของเขา เพราะคนแต่ละคนมีความคิดและมุมมองที่ต่างกัน ในขณะนี้ที่ใครบางคนมองว่าเราไร้ค่า อาจมีใครอีกหลายๆ คนที่กลับมองว่า...เรามีค่าเหลือเกิน
 บางที...การได้เห็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง นั่นอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก็อาจเพียงพอแล้ว...สำหรับชีวิตง่ายๆ ของเรา
 จงใช้ชีวิตให้เหมือนกับเล่นเกม...ที่แม้ต้องต่อสู้กับศัตรูอยู่ตลอดเวลา เราก็ยังยิ้มได้...สนุกได้
 การแบกรับปัญหาไว้อย่างมีความทุกข์ กับการแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข อย่างไหนจะดีกว่ากัน
 โกรธไป...ก็เปลืองใจ แก้แค้นไป...ก็เปลืองเวลา ให้อภัยเสียดีกว่า...เพื่อตัวเราเอง
 เหมือนกับชายทะเลแห่งหนึ่งที่แสนว่างเปล่า เงียบงัน แต่มันคือที่แห่งเดียว...ที่เราจะรู้สึกสุขเมื่อได้ไปยืน
 ...ไม่จำเป็นหรอก ที่เราจะต้องเป็นใครที่สำคัญเพราะการที่เราได้อยู่อย่างมีความสุข...บนเส้นทางชีวิตของเราเองมันก็เพียงพอแล้ว
 ทุกความหวัง ทุกความอยาก ล้วนทำให้เราทุกข์ สาเหตุที่เราทุกข์ทุกวัน ไม่ใช่เพราะเรามีไม่พอ แต่เป็นเพราะเราไม่เคยรู้ว่า...ความสุขของชีวิตที่จริงแล้วมันอยู่ตรงไหน
 ถ้าเราแค่วางดินสอลง แค่หยุดลากเส้น ภาพมันก็เสร็จแล้ว ส่วนมันจะสวย...หรือไม่สวย ก็ขึ้นอยู่ที่เราจะมองให้มันเป็นอย่างไร...แต่หากเรายังวาดต่อไปอีก ไม่แน่...ภาพชีวิตภาพนี้ อาจไม่สวยเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้


 ถ้าเรากลัวที่จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายเราอาจไม่ทำ ถ้าเรากลัวที่จะต้องพบเจอปัญหา เราอาจไม่ได้เริ่มต้นทำอะไรเลย ถ้าเรากลัวที่จะต้องเจ็บกับบางสิ่ง เราอาจไม่มีแม้แต่โอกาสได้สัมผัสความสุขจากสิ่งนั้น
 หากวันนี้ชีวิตกำลังพบกับมรสุม จงยืนหยัดต่อสู้และเฝ้าดูความเป็นไปของมันอย่างเข้มแข็งเถอะ ไม่ช้า...เดี๋ยวมันก็จะสงบลงเองและจะเหลือทิ้งไว้แค่ตัวเรา...กับชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
 ...วันนี้และพรุ่งนี้ต่างหาก...คือสิ่งสำคัญที่เราควรนึกถึง ว่าจะทำอย่างไร...ไม่ให้มันต้องกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายอีก
 ไม่มีคำว่า...สายเกินไป...สำหรับชีวิต หากเรายังคงคิดจะเริ่มใหม่...อะไรก็ไม่สาย
 ชีวิต...มีไว้ให้เรียนรู้ ยิ่งเรียนรู้มาก...เราจะยิ่งช่ำชองมาก
 ...ถึงแม้ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง คอยปลอบ คอยให้กำลังใจ แต่เราก็ยังมีตัวเราที่ให้กำลังใจตัวเองได้เสมอ และทุกครั้งไป...เข้มแข็งเสียที แล้วจะรู้ว่าโลกใบนี้...ไม่ได้โหดร้ายเลย





Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 10:31:53 น.
Counter : 603 Pageviews.

0 comment
★☆ ~องศาที่ 361~ ★☆




เขียนโดย: พีรพล ภัทธนุธาพร >> "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
สำนักพิมพ์: บายเนเจอร์ พับลิชชิง
ราคา: 155 บาท


หนังสือเล่มนี้ซื้อไกลถึง ร้านนายอินทร์ ห้างเทสโก้ โลตัส อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยมาราชการแล้วไปเดินดู เปิดอ่านดูน่าสนใจเลยซื้อมาอ่าน ขอบอกเลยนะว่าไม่ผิดหวังจริงๆ

* ชีวิตของเราแต่ละคน ที่มีจุดเริ่มตันไม่เหมือนกัน และเมื่อโตขึ้นมาก็ต้องเจอทางแยกที่ต้องตัดสินใจไม่เว้นแต่ละวันว่าจะเดินไปบนถนนเส้นใด
* ...เคยชื่นชมสิ่งดีๆ ที่ตัวเรามีเหมือนที่เคยชื่นชมข้อดีของคนอื่นบ้างไหม
* ...มนุษย์นั้นมิใช่เกิดมาเพื่อถูกทำให้พ่ายแพ้
* เราถนัดมองหาความสุขจากที่อื่น และถนัดที่มองเห็นแต่ความทุกข์จากสิ่งที่เรามี
* หนังคือหลักฐานของการดำรงอยู่ของชีวิต มันจะเปี่ยมไปด้วยเรื่องราว และเต็มไปด้วยจิตใจ ซึ่งหากเราไม่เพียงแต่ดูผ่านๆ เราจะค้นพบความหมายของชีวิตและจิตใจได้อย่างไม่ยากเลย
* ...จากเดิมเคยหกล้มสิบครั้ง วันนี้หกล้มเก้าครั้ง สิ่งที่ควรทำคือ ชื่นชมที่หกล้มน้อยลง ไม่ใช่ตำหนิที่ยังหกล้มอยู่ จากเคยทำผิดสิบครั้ง วันนี้ทำผิดเจ็ดครั้ง สิ่งที่ควรทำคือ ให้กำลังใจที่ทำผิดน้อยลง ไม่ใช่ตำหนิที่ยังทำผิดอยู่
* มนุษย์เราจะรู้จักว่าตัวเองมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเขาเคยสามารถสัมผัสได้ถึง ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง คนเราจะรู้สึก ความรักก็ต่อเมื่อได้สัมผัสความรักที่แท้จริง
* ขอเพียงมีโอกาส มนุษย์เราก็อยากเลือกเป็นคนดี เนื้อแท้ของมนุษย์ทุกคนไม่ได้อยากจะทำชั่วร้ายใคร แต่การเติบโตที่ไร้เข็มทิศ ขาดโอกาสที่จะได้ซึมซับสิ่งดีๆ ทำให้หลายๆ คนเริ่มต้นชีวิตด้วยวิธีการที่ผิด ต้องทำผิดช้ำๆ เพื่อเอาตัวรอดจนกลายเป็นความเคยชิน

* ความเคยชินเป็นเหมือนตัวแปรที่ค่อยๆ ละลายความสามัญสำนึกของผู้คน
* จะเป็นอย่างไร หากเรามีพ่อแม่ที่แค่มองเห็นพฤติกรรมแย่ๆ ของลูก แล้วก็ปักใจว่าเมื่อเค้าโตขึ้นจะไม่มีวันได้ดี ... แน่นอนว่าเราก็จะไม่มีวันมีคนดีเพิ่มขึ้นบนโลกใบนี้อีกแม่แต่คนเดียว
* ไม่ใช่ตัวเราหรอกที่ไม่ดี เพียงแค่ว่าเรายังหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเราไม่ได้เท่านั้นเอง
* อย่าให้คุณค่าในตัวคุณถูกตัดสินจากคนอื่น
* ...เธอไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มากมาย แค่ให้เธอเป็นตัวของตัวเอง
* ....หลายต่อหลายคนจึงแสวงหาการยอมรับในวิถีทางผิดๆ พาตัวเองเข้าสู่กับดักของชีวิต เพียงเพราะต้องการการยอมรับ อยากจะเป็นเหมือนคนอื่น อยากจะมีเหมือนคนอื่น อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในสังคม
* คุณค่าในตัวเราไม่ได้ลดลงเลย แต่เราเองเป็นคนยื่นมือมองคุณค่าในตัวเองให้คนอื่นเป็นคนประเมิน
* ...เราทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม เราทุกคนมีข้อบกพร่องและมีจุดที่ยังจะต้องพัฒนา เพียงแต่ถ้าเราคอยบั่นทอนตัวเองด้วยการตำหนิตัวเองตลอดเวลา มองตัวเองเห็นแต่แง่ลบ เหมือนเอาแว่นขยายส่องแต่ข้อเสียที่เรามี ไม่เคยให้กำลังใจ ไม่เคยชื่นชมเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต หรือเผลอไผลคอยแต่รอให้คนอื่นบอกว่าตัวเราดีหรือไม่ดี...เราก็สูญเสียโอกาสที่จะค้นพบความงดงามภายในตัวเอง

* ...อย่าให้ตัวคุณเองสวยน้อยลงเพราะคำของใคร อย่าให้ตัวคุณเองต่ำต้อยด้วยค่าเพราะฟังเสียงของใคร อย่าปล่อยให้ความงามหรือคุณค่าในตัวคุณต้องขึ้นอยู่คนอื่น อย่ามอบสิทธิให้คนอื่นมาตัดสินหรือประเมินค่าว่าตัวคุณดีหรือไม่ดี เราทุกคนต่างก็มีดีในตัวเอง ดีในแบบที่เป็นอยู่ ดีโดยไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
* คนบางคนมองว่า "โชคดี" ที่ได้เจอนั้นเป็นมากกว่าโชค มากกว่าความบังเอิญ แต่โชคที่ได้รับเป็นเหมือนสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง เป็นหลักฐานว่าใครบางคนเบื้องบนเฝ้ามองอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็จะมีผู้มาช่วยเหลือ นั่นทำให้คนกลุ่มนี้เมื่อเผชิญปัญหาเขาอาศัยอยู่ได้ด้วย "ความหวัง"
* บางสิ่งที่ดำรงอยู่อาจไม่สามารถใช้มาตรวัดทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวพิสูจน์ว่ามีหรือไม่มี ความสำคัญของการศรัทธาไม่ได้อยู่ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่ ความสำคัญของการได้รักไม่ได้อยู่ที่ว่าได้อยู่ชิดใกล้หรืออยู่ห่างไกลกัน คุณค่าของความศรัทธาหรือความรักไม่ได้อยู่ที่การมีหรือไม่มีหลักฐาน แต่มาจากประสบการณ์ภายในที่เราได้สัมผัสและเก็บไว้ในใจ
* การไม่มีตัวตน ไม่ได้แปลว่ามันไม่คงอยู่
* มนุษย์เรานั้นหากปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ ความเชื่อผิดๆ ถูกปลูกไว้ในใจ เมื่อเติบโตหยั่งรากลึกในใจเราจนกลืนความคิด มันย้อนส่งผลให้เราไม่ได้แปลความจริงตามสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เราแปลความอย่างที่ใจคิด

* ขอเพียงมนุษย์ปลูกเมล็ดพันธุ์ของความดีงาม ถึงจะเติบโตพร้อมกับรูปแบบความศรัทธาที่แตกต่าง สุดท้ายคือย่อมแตกดอกออกผลเป็นความดีงามให้เชยชม
* ไม่ว่าจะหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ มันก็คือความหวังและมันก็ยังมีสิทธิเป็นไปได้ สำคัญที่ว่าเจ้าตัวนั้น ตั้งต้นที่ความเชื่อมั่น หรือเชื่อว่ามันเป็นเพียงความฝันที่เป็นไปไม่ได้
* คนที่มีเป้าหมายและตั้งต้นด้วยความเชื่อมั่นว่า ความฝันของตัวเองเป็นไปได้ ถึงสุดท้ายจะไปไม่ถึงฝั่ง แต่ความฝันก็ทำให้การมีชีวิตของพวกเขาอยู่อย่างมีคุณค่า เช่นหลายคนที่ค้นพบว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตไม่ใช่การได้ไปถึงความฝัน แต่คือช่วงเวลาที่ได้เดินทางตามความฝันของตัวเอง
* ตั้งเป้าหมายแล้วมุ่งไปถึงดวงจันทร์ แม้สุดท้ายจะไปไม่ถึง แต่อย่างน้อย ณ จุดนั้นเราก็ได้อยู่ท่ามกลางดวงดาว
* ...ไม่มีหรอกความฝันที่เป็นไปไม่ได้ มีแต่ความฝันที่นั่งรอคอยว่าเจ้าของความฝันจะกล้าเดินทางมาหาอยู่หรือเปล่า
* ความจนไม่ใช่ข้ออ้างที่เราจะขโมยของใคร

* ...ชีวิตที่คิดว่าสู้เต็มที่ จนอยากยกธงยอมแพ้ ชีวิตที่คิดว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้ว อยู่ไปก็ไร้ค่า แน่ใจแล้วหรือว่าเราสู้เต็มที่แล้ว แน่ใจแล้วหรือว่า ความยากจนคือชีวิตที่ไร้คุณค่า
* ...เงินก้อนหนึ่งอาจช่วยเราได้แค่ครั้งเดียว แต่ความรักและศรัทธาที่คนใกล้ตัวมอบให้ จะเป็นน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้ต่อสู้ได้ชั่วชีวิต
* ไม่ใช่เขาที่ไม่ได้ เพียงแต่ยังไม่มีใครเหมาะสมสำหรับเขาเท่านั้นเอง
* คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นอยู่การถูกเลือกหรือไม่ถูกเลือก
* คนที่ตัดสินใจเลือกก้าวไปข้างหน้า ย่อมสามารถสร้างปัจจุบันและอนาคตได้ดั่งต้องการ
* ความสำเร็จให้เราได้แค่คำชมเชย ในขณะที่ความล้มเหลวนั้นกลับไปให้อะไรดีๆ แก่เรามากกว่านั้น
* ความล้มเหลวช่วยให้เราเรียนรู้ข้อบกพร่อง ความผิดหวังทำให้เราแข็งแกร่งและเติบโต ทุกหนึ่งแผลที่เราล้มเราจะเรียนรู้ว่า เราจะเดินอย่างไรไม่ให้ล้มอีก ทุกหนึ่งหยดน้ำตาที่เราร้องไห้ เราจะเติบโตขึ้นและรู้ว่าเราจะใช้ชีวิตเช่นไรที่ไม่ต้องปาดน้ำตาอีก
* ความล้มเหลวหรือความผิดหวังคือสัญลักษณ์ของคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตนิ่งเฉย แต่เป็นคนที่กล้าต่อสู้กับปัญหา
* คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่สำเร็จหรือล้มเหลว แต่คุณค่าของคนอยู่ที่ว่าหลังจากพบกับความล้มเหลว แล้วจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร

* ไม่สำคัญว่าเราปล่อยหมัดใส่คู่ต่อสู้ได้หนักแค่ไหน แต่สำคัญที่ว่าเรารับมือกับหมัดหนักๆ ของคู่ต่อสู้ได้มากเพียงใด ไม่สำคัญว่าเราจะชนะหรือประสบความสำเร็จได้มากเพียงใด แต่สำคัญที่ว่าเมื่อเราประสบปัญหา เราสามารถยืนหยัดรับมือกับมันได้มากเพียงใด เราจะลุกขึ้นสู้หลังจากล้มลงได้บ่อยแค่ไหน
* เวทีชีวิตไม่ได้มีจำนวนยกเหมือนเวทีมวย เรามีโอกาสลุกขึ้นสู้ได้ทุกครั้งตราบที่ยังมีลมหายใจ และตราบที่ใจยังไม่ยอมแพ้
* ...เราทุกคนล้วนมีน้ำที่ไม่เต็มแก้ว ขึ้นอยู่กับว่าเรามองน้ำในแก้วตัวเองอย่างไร ระหว่างครึ่งแก้วที่ว่างเปล่ากับครึ่งแก้วที่มีน้ำอยู่
* เราถนัดมองหาความสุขจากที่อื่น และถนัดที่จะมองเห็นแต่ความทุกข์จากสิ่งที่เรามี
* ทุกครั้งที่เราเปิดหน้าต่าง เพียงลืมตาเราอาจแค่เห็น แต่วันใดที่เราเปิดใจ เราจะเห็นมากกว่าที่ตามอง
* สังคมที่ทดสอบบทต่างๆ ถูกส่งมาท้าทายให้เราต้องเลือกเดินและเลือกตัดสินใจ การตัดสินใจที่บางครั้งเราต้องเลือกว่าเราจะเห็นแก่ตัวเองมากแค่ไหนหรือเราจะแคร์คนอื่นมากเพียงใด เราสามารถที่จะทำลายความฝันของเพื่อนเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ เราพร้อมหรือไม่ที่จะเหยียบย่ำความฝันของคนอื่นเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝันของตัวเอง

* เราทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ที่เดินหน้าไปหาเป้าหมายด้วยกันทั้งสิ้น เพราะหากมัวแต่ย่ำอยู่กับที่หรือก้าวถอยหลังชีวิตก็คงไม่มีวันไปถึงไหน แต่เราอาจลืมไปว่าชีวิตยังมีอะไรมากกว่า การไปถึงเป้าหมาย
* ...อย่าลืมว่าระหว่างการเดินทางของชีวิต ช่วงเวลาจากจุดเริ่มต้นไปถึงเส้นชัย นั่นก็คือชีวิต ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เราก็ได้บทเรียนและได้รู้จักชีวิต ไม่ว่าจะไปถึงหรือไม่ถึง เราก็ได้ประสบการณ์ชีวิตที่จะทำให้เราเติบโต
* ...ไม่จริงหรอกที่ว่ามนุษย์ไม่มีทางเลือก เราทุกคนมีทางเลือกในชีวิตเสมอ เพียงแต่ทางเลือกนั้นอาจไม่ถูกใจเราเท่านั้นเอง
* แม้เราจะเคยมีวันวานที่แสนเศร้า วันวานที่เลวร้ายจนอยากจะลบออกจากความทรงจำ วันวานที่เราไม่อาจเลือกย้อนเวลากลับไปแก้ไข แต่เราทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะมีชีวิตอย่างไรในวันพรุ่งนี้
* ไม่มีหรอกชะตากรรม ชีวิตของเราเรามีแต่ 'ทางเลือก' สุดแต่เราจะเลือกเดินไปทางใด
* ช่วงเวลาที่ยาวนานแต่อยู่อย่างไร้คุณภาพ ต่อให้เป็นอมตะก็ไม่มีความหมายอันใด เมื่อเทียบกับเวลาเพียงช่วงสั้นๆ แม้เพียงหนึ่งนาที ที่คนสองคนได้อยู่คู่กัน แล้วก่อเกิดความสุขความผูกพันที่จะจดจำไปตลอดชั่วชีวิต จะมีชีวิตอมตะไปเพื่ออะไร หากชีวิตที่เหลือจากนั้นคือ การยืนดูคนรักของเราจากไป และหลงเหลือแต่ความโดดเดี่ยวทุกข์ทรมานกับกิเลสที่เราต้องยึดติดไปอีกพันๆ หมื่นๆ ปี



Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 10:34:19 น.
Counter : 398 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  

arete
Location :
สมุทรสาคร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ความเป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่เรารู้จัก เราไม่จำเป็นต้องเป็นใครที่เราไม่รู้จัก...เพื่อใครบางคน
All Blog