★☆ ~ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ~★☆


ผู้เขียน: ทันตแพทย์สม สุจีรา
ราคา: 175 บาท
สำนักพิมพ์: อมรินทร์

* ไอน์สไตน์ได้กล่าวว่า "สสารย่อมมีการสูญสลาย นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากสสารที่หายไป"
* ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพเวลาจะหยุดได้ในกรณีเดียวคือทำความเร็วเท่ากับแสง ซึ่งในทางกายภาพไม่มีทางทำได้เลย แต่พระพุทธองค์ทรงค้นพบการหยั่งรู้โดยจิตหยุดเวลาได้ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน
* พระพุทธองค์ตรัสว่า "ความรู้ต่าง ๆ ที่ทรงรู้มาจากสัพพัญญุตาญาณนั้นมากมายเหลือเกิน เหมือนใบไม้ทั้งป่า แต่ความรู้ที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นประดุจดังใบไม้เพียง 2-3 ใบในกำมือ ความจริงที่รู้มีมากมาย แต่เราไม่ได้สอน เพราะความจริงเหล่านั้นไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจอันถ่องแท้ ไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายของศาสนาคือ นิพพาน"

* เรื่องของโลกและจักรวาล พระพุทธองค์ทรงถือว่าเป็นอจินไตยคือเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิด ไม่เข้าใจได้ด้วยการอธิบาย ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง เข้าใจด้วยตนเอง ประจักษ์ด้วยประสบการณ์ของตนเอง โดยพัฒนาปัญญาญาณให้เกิดขึ้น
* พระพุทธองค์ตรัสเกี่ยวกับเรื่องโลกและจักรวาลไว้ว่า...สำหรับผู้ที่ฝึกจิตจนเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลสใดจรมารบกวน มีความตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว ก็ย่อมสามารถโน้มจิตไปเพื่อรู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งโลก จักรวาล ภพภูมิต่าง ๆ โดยอาศัยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์เหนือตาเนื้อของมนุษย์

* วิถีทางที่จะทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ และเป้าหมายที่ต้องการเหมือนกันข้อหนึ่งก็คือ แสวงหาความจริงในธรรมชาติเพื่อการพ้นทุกข์ แต่มุมมองของวิทยาศาสตร์มองไปที่เหตุปัจจัยทางกายภาพ ว่าเป็นตัวการทำให้มนุษย์ทุกข์ ในขณะที่พุทธศาสนามองว่า ตัวการที่ทำให้มนุษย์ทุกข์คือปัจจัยทางนามธรรมภายในตัวมนุษย์เอง
* ธรรมะเป็นของรู้ได้เฉพาะตน (ปัจจัยตัง)
* แสงเป็นส่วนหนึ่งของนิมิต อภิญญา อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เป็นอุปสรรคต่อการหลุดพ้น

* เมื่อใดก็ตามที่จิตว่างจากเวทนา ตัณหา อุปาทาน แม้เพียงชั่วครู่ ชั่วครู่นั้นเจ้ากรรมนายเวรก็ทำอะไรเราไม่ได้ และเมื่อใดที่จิตมีความว่างอย่างยิ่ง ว่างถาวร ว่างนิรันดร์ เมื่อนั้นก็จะบรรลุเข้าสู่นิพพาน

* ถ้ามนุษย์ฝันอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ก็จะเชื่อว่าวัตถุในความฝันมันมีอยู่จริง ทุกวันนี้มนุษย์ไม่ได้เฉลียวใจเลยสักนิด ก็ที่เรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละคือความฝัน ความฝันที่ไม่มีวันตื่น ถ้าไม่บรรลุถึงสัจธรรม ความจริงแท้ของจักรวาล แล้วไปหลงยึดติดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นมันคือความจริง
* ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล เราสัมผัสได้ก็เพราะมันเปลี่ยนคุณสมบัติดั้งเดิมที่ไม่มีตัวตนมาเป็นรูปที่มีตัวตนชั่วคราว พอเราสัมผัสได้เราก็นึกว่ามันมีอยู่จริง

* ต้นไม้ที่ล้มในป่าลึก ม้นก็จะต้องมีเสียงอยู่นั่นเอง ถึงแม้จะไม่มีคนได้ยิน

* มนุษย์เท่านั้นที่อยู่ในสถานะที่สามารถใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นสัจธรรม...พวกสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย อยู่ในสถานะที่ชีวิตยากลำบากและปัญญามืดททึบเกินไป ส่วนเทวดาในชั้นกามาก็สุขสบายเกินไปมัวแต่เสวยสุขในกามคุณทั้ง 5 จนไม่เห็นธรรม...เหมือนหนอนในกองขี้ พอได้เวลาก็กลายเป็นผีเสื้อไปดื่มด่ำความหวานของเกสรดอกไม้ แล้วก็กลับมาเป็นหนอนในกองขี้อีกวนอยู่อย่างนี้

* พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พระสารีบุตรว่าพระองค์เองก็ตระเวนไปเกิดตามชั้นต่าง ๆ นับไม่ถ้วนเป็นอเนกอนันตชาติจนชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษยื จึงสามารถตรัสรู้บรรลุเข้าสู่นิพพาน เหตุที่ต้องเป็นชั้น 5 เท่านั้น ก็เพราะว่าม่แต่ชั้นของมนุษยืเท่านั้นที่สามารถปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน 4 ได้
* วิทยาศาสตร์ต่างจากศาสนา วิทยาศาสตร์พยายามทำความเข้าใจในธรรมชาติรอบ ๆ ตัวมนุษย์ แต่ศาสนาพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติภายในตัวมนุษย์

* เมื่อจิตของคนเข้าสู่สมาธิจนถึงจตุตถฌาณ สรรพเสียงจะดับไป แม้แต่ฟ้าผ่าในบริเวณใกล้ ๆ ก็ยัไม่ได้ยินเสียง
* การหยั่งรู้เกิดจากปัญญาญาณ ไม่ได้เกิดจากการคิด การคิดเป็นเรื่องของสมอง แต่การหยั่งรู้เป็นปรากฎการณ์ที่ผุดขึ้นมาผ่านช่องทางหรือสภาวะที่เรียกกันว่า "สมาธิ"

* ความรู้มีสองอย่างคือ ความรู้แบบมีเหตุมีผลทางตรรกศาสตร์กับความรู้แบบหยั่งรู้ ความรู้แบบเหตุผลจะมาจาการวิเคราะห์คิดแบบเส้นตรง แต่ความรู้แบบหยั่งรุ้เกิดจากการเข้าถึงความเป็นจริงโดยไม่ต้องคิด
* ความจริงแท้ของจักรวาลมีความจริงเดียว และความจริงนั้นเป็นนามธรรม...ปัญญาญาณก็เป็นนามธรรมจึงเข้าถึงและหยั่งรู้ในความจริงนั้นได้

* ชัยชนะเป็นของชาวตะวันตกก็เพราะมีวิธีคิด วิธีวิจัยแบบวิทยาศาสตร์
* การเกิดดับของจิตหนึ่งครั้งเกิดขึ้นภายในเวลาที่สั้นมาก ประมาณเศษหนึ่งส่วนล้านล้านวินาที
* เซลล์เก่า ๆ ของร่างกายเรา...มีการเกิดดับ ๆ ของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งในหนึ่งนาที...เซลล์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาจะได้รับการสืบทอด
คุณสมบัติบางอย่างจากเซลล์อันเดิมด้วย

* สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนพบการเกิดดับของจิตจะไม่กลัวตาย ยกเว้นสำหรับผู้ที่หลงใหลยึดติดในระบบประสาทสัมผัสทั้งหกและขันธ์ 5 จะมีชีวิตในช่วงสุดท้ายก่อนตายอย่างทรมาน

* หญิงชายก็มีความแตกต่าง ธรรมชาติสร้างให้เพศหญิงมีระบบประสาทสัมผัสทั้งหกที่มีประสิทธิภาพเหนือว่าผุ้ชายหลายเท่า ดังนั้นในช่วงเวลาก่อนเสียชีวิต ถ้าไม่เคยฝึกจิตมาก่อน เพศหญิงจะเสียชีวิตยากกว่าเพศชาย
* ยิ่งเห็นทุกข์ยิ่งเห็นธรรม
* ความเข้าใจในระดับภาวนาปัญญาญาณจะอธิบายเล่าให้ผู้อื่นเข้าใจไปด้วยไม่ได้ ถ้าอยากจะรู้ต้องปฏิบัติให้ถึงจุดนั้นด้วยตัวเอง

*ถ้าเราอยู่บนยานอวกาศที่มีความเร็วมาก ๆ เวลาจะเดินช้าลง โดยจะช้าลงในอัตราส่วนเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความเร็วของยานเมื่อเทียบกับความเร็วแสง ยิ่งยานเร็วมาก เวลาจะยิ่งเดินช้าลง คนที่อยู่บนยานก็จะแก่ช้าลงไปด้วยเมื่อเทียบกับคนบนโลก
*อัลเบิร์ต ไอส์สไตน์ เองก็เคยอธิบายเรื่องสัมพัทธภาพเชิงเปรียบเทียบด้วยการบอกว่า "วางมือบนเตาร้อนเพียงหนึ่งนาที รู้สึกร้อนเพียงหนึ่งนาที รู้สึกราวกับนานเป็นชั่วโมง นั่งกับสาวงามนานหนึ่งชั่วโมง กลับรู้สึกเหมือนแค่หนึ่งนาที นี่แหละสัมพัทธภาพ"

* ศาสตร์การต่อสู้ของโลกตะวันออกทุกศาสตร์จึงเน้นเสมอว่าให้กำหนดจิตไปที่การเคลื่อนไหว หรือเอาใจไปไว้ที่กระบี่ ขณะที่ให้ใจเย็น จิตนั่ง ปฏิกิริยาเคมีภายในร่างกายจะช้าไปด้วย ทำให้เวลาเดินไปอย่างช้า ๆ ถ้าใจร้อนรุ่ม หัวใจจะเต้นเร็ว หายใจเร็ว ความดันขึ้น เลือดลมฉีด ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาจะผ่านไปเร็ว เวลาในที่นี้หมายถึงเวลาของจิต...เวลาของจิตซึ่งเป็นเวลาจริง ๆ ของจักรวาลจะไม่เท่ากัน

* หัวใจของวิปัสสนากรรมฐานคือให้เพ่งที่การเิกิดดับ
* ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติกรรมฐานมาก่อน ควรเริ่มต้นที่วิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่แรก เพื่อเดินในทางสายเอก ไม่ต้องหลงไปเดินทางสายอื่นให้เสียเวลา

* ในอดีตกาลมีผู้บรรลุอรหันต์หลายท่านที่ค้นพบความจรงแท้ในเรื่องมิติโดยที่ยังเป็นสามัญชนอยู่ ได้พบความจริง มหัศจรรย์ของมิติแห่งเวลามากมายซึ่งอยู่เหนือโลก ดังนั้นผู้บรรลุอรหันต์ถ้ายังไม่รีบบวชเพื่อยกตนเข้าสู่โลกุตระจะเสียชีวิตภายในเจ็ดวันเพราะปรับตัวไม่ได้




Create Date : 24 มิถุนายน 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 10:09:48 น.
Counter : 464 Pageviews.

3 comments
  
น่าสนใจ เรามีเพื่อนให้ยืมอ่านฟรีค่ะ
โดย: printcess of the moon วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:18:55:52 น.
  
สรุปได้อย่างงดงาม เข้าใจได้ง่าย มีประโยชน์มากครับ
โดย: Insignia_Museum วันที่: 24 มิถุนายน 2551 เวลา:21:18:48 น.
  
กำลังอ่านอยู่ค่ะ
ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจหรือเปล่า
แต่ขอบคุณมากที่สรุปช้วย
มีประโยชน์มากค่ะ
โดย: แม่ของอ๊บ IP: 88.68.27.78 วันที่: 25 มิถุนายน 2551 เวลา:3:43:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

arete
Location :
สมุทรสาคร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ความเป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่เรารู้จัก เราไม่จำเป็นต้องเป็นใครที่เราไม่รู้จัก...เพื่อใครบางคน
All Blog