★☆ ~ ลมตะวันออกที่บินไปกับปีกตะวันออก ~★☆



ผู้เขียน: ญามิลา
ราคา: 110 บาท
สำนักพิมพ์: ไม้ไต่เขียน


- ไม่มีห้องเรียนใดสอนเรื่องชีวิตได้ดีเท่ากับห้องเรียนที่เราสร้างด้วยตนเอง
- ชีวิตของศิลปินจากบางคน ถึงแม้จะไม่ได้เขียนรูปหรือเขียนหนังสือ แต่เขาเขียนชีวิตของตนเองตามทางที่ได้เลือกแล้ว
- มีคนโชคร้ายในโลกอยู่มากมาย เลือกอะไรไม่ได้สักอย่าง ลังเลในการเลือกที่จะไป เลือกที่จะเป็น
- เราแต่ละคนก็ล้วนอยู่ในกับดักที่ใหญ่เกินไปทั้งสิ้น เราอาจจะแก้ข้อบกพร่องให้ตนเองไม่ได้มากนัก แต่กับความบกพร่องของผู้อื่น ถ้าเราพยายามเรียนรู้ อาจจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
- ความเหงาเป็นเรื่องเก่าๆ ถึงแม้เราจะมีวิธีใหม่ๆ มาบรรเทา อย่างการพูดทาง ICQ เพื่อให้ความว้าเหว่ออนไลน์ออกไปบนระนาบของความจริงและความฝัน แต่เราจำนอนไม่น้อยก็วางความหวังไว้กับมัน แล้วหัวเราะบ้างและร้องไห้บ้างกับเพลงยาว ICQ...เราไม่ได้ตกเป็นทาสของเทคโนโลยีเลย ความเหงาต่างหากที่มากขึ้นเอง

* ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา แต่ละคนล้วนเกิดมาแล้วไม่รู้กี่หน หากมีกระดูกกองให้เห็นก็จะสูงเป็นภูเขาทีเดียวและบางเวลา ความเก่าอาจจะเลือนรางอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ทำไมสถานที่บางแห่งเราเหมือนเคยไปมาแล้ว คนบางคนเหมือนเคยรู้จักมาก่อน เหตุการณ์บางอย่างราวกับว่าเคยเกิดมาแล้ว ฯลฯ
* วันหนึ่งทุกคนก็จะจากเราไปหมด เราก็จะจากทุกคนด้วยเช่นกัน ไปสู่ที่ชอบๆ กระนั้นหรือ ขณะที่มีชีวิตอยู่ไม่มีสิทธิไปยังที่ชอบๆ เลย เพราะบ้างก็กังวลกับการหาเงิน บ้างก็ห่วงอยู่กับระเบียบวินัยในชีวิตของตนเอง บ้างก็วางกฎไว้ให้ชีวิตมากไปและเผื่อกฏนั้นให้กับคนข้างเคียงด้วย
* เรียนรู้ที่อยู่และรักก่อนความเฒ่าชราจะมาเยือน...เราเลือกรักเฉพาะบางคนก็ได้ แต่ก็สามารถอ่อนโยนกับทุกๆ คนได้เช่นกัน เราเลือกที่อยู่ให้ดีและมีค่าตามลำพังก็ได้ แต่เรามีกำลังที่จะเผื่อแผ่ให้กว้างขึ้นได้เช่นกัน

- ไม่มีใครไม่เคยได้รางวัลสำหรับการมีชีวิต แต่บางเวลาเราอยากได้มากเกินไป เพราะเรามองไปยังผู้ที่มากกว่าโดยไม่กลับมาเห็นผู้ที่มีน้อยกว่า บางทีเราก็ไม่ได้ขาดหรอก แต่อยากได้มากเกินไป
- ความรักที่เต็มไปด้วยการให้ป็นรางวัลนั้นผู้รับและผู้ให้ การร้องขอใช้ได้บางกรณี แต่ใช้กับความรักได้น้อยเหลือเกิน ความฝันที่มีปีกเป็นรางวัล ความสุขที่ไม่ยึดติดจะได้ความทุกข์น้อยๆ หรือไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลยเป็นรางวัล
- รางวัลหลายรางวัลบนโลกใบนี้ทำให้คนเราคล้ายกับว่าเหาะได้ แต่เมื่อถึงเวลาของความหิวและโหยหาบางสิ่งทุกคนก็ต้องกลับคืนสู่พื้นดิน

* บอลลูนและเครื่องร่อนเติบโตเป็นเครื่องบิน จากนั้นก็เป็นยานอวกาศ ยิ่งสูงขึ้นไปเราก็ยิ่งมีความเข้าอกเข้าใจแผ่นดินน้อยลง และละเลยคนบนดินด้วยกันมากยิ่งขึ้น เมื่อมีการเติบโตจะมีความสูญเสียเพิ่มเข้ามาเสมอ..
* ...การเติบโตของแต่ละคนล้วนมีเดิมพันที่หนักหนาด้วยกันทั้งนั้น ความฝันจะงอกงามเป็นความจริงตรงหน้าไม่ได้ เมื่อเราไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่างเลย
* เมื่อชีวิตเดินทางมาถึงอีกบางขณะ เราจะเลือกไม่อยู่ตรงไหน ยึดอยู่กับอะไรในการเติบโต ไม่มีใครบอกใครได้อย่างแท้จริง ไม่มีใครเป็นแม่แบบที่สมบูรณ์ให้แก่ใครได้...
* นักฝันนั้นฝันมากกว่าปกติ ความจริงตรงหน้ามีราคาน้อยกว่าความจริงที่มีอยู่ในใจ

- การแสวงหาเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ แต่สิ่งที่แสวงหาขึ้นอยู่กับปัจจัย ความหวังของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน สิ่งไร้สาระสำหรับบางคนอาจหมายถึงสาระของอีกคน
- อุดมคติมีอยู่จริงแต่มักอยู่ไม่นาน เพราะวันหนึ่งความจริงตรงหน้ามีค่ากว่าความจริงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ยกเว้นบางคนที่ยืนหยัดและพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับอุดมคติของตนเอง
- "แรงบันดาลใจ...มันเกิดขึ้นจากหลายๆ ด้าน แต่ที่ชัดอยู่คือคำถามว่าตัวเองมีชีวิตทำไม อยู่ทำไม อยู่เพื่ออะไร สร้างอะไรได้บ้าง"
- เราฝันกันเล็กลง และเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ น้อยลง...เราอาจจะไม่ยอมรับความจริงก็ได้ แต่ไม่มีสิทธิไปตั้งข้อแม้กับมัน
- นักเดินทางมีห้องเรียนเป็นเส้นทางต่างๆ ความชื่นใจของพวกเขาคือการได้ออกจากที่อยู่อาศัยเพื่อรอนแรมไปยังถิ่นฐานอันแปลกใหม่
- การเผชิญหน้ากับของใหม่ โดยของเก่ายังไม่ถูกสะสางทำให้โลกกระด้างขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

* เราเข้าโรงเรียนกันทุกๆ วัน เรียนที่จะเป็นคนเข้มแข็ง เรียนที่จะเป็นคนประสบความสำเร็จ เรียนที่จะเลิกกลัวความโดดเดี่ยว ฯลฯ และหลายวัน เราจำนวนไม่น้อยก็สอบตก บ้างเบื่อหน่ายในการดำเนินชีวิตต่อไป
* ชีวิตคือความเบื่อหน่ายอันเนิ่นนาน เราจึงมีกิจกรรมมากมายเพื่อเข่นฆ่าความเบื่อ บ้างไปทางบวก บ้างอยู่กลางๆ และมหาศาลทีเดียวที่ไปในทางลบ แต่สุดท้ายความเบื่อก็ไม่หนีไปไหนมันวนเวียนอยู่แถวๆ ชีวิตนี่แหละ
* ความน่าจะเป็นคืออะไรเมื่อสายไปแล้วเสมอ
* การเอาตัวรอดของปลาใหญ่ไม่เหมือนการเอาตัวรอดของปลาเล็ก คนดีหรือคนร้ายแยกกันไม่ค่อยออก สำหรับการเอาตัวรอด หลายเรื่องเป็นสิ่งที่เรียนกันใหม่และไม่เคยทำกันมาก่อน แต่เพื่อการเอาตัวรอดทั้งนั้นเหมือนคนนอก หากไม่สง่างาม เพราะเป็นคนนอกของความดี
* ...การจากไปของผู้หญิงคนหนึ่งมักจะตามด้วยการมาของผู้หญิงอีกคนเสมอ

- พอเวลาหยุดยาวๆ เกิดขึ้น ขบวนของคนเหนื่อยก็อพยพออกจากเมืองหลวงชั่วคราว ไปแย่งกันกินอยู่แถวชายทะเลหรือริมภูเขา แล้วก็สมมติว่าชีวิตนั้นมีความสุข เพื่อจะกลับมาทำงานต่อและรอคอยวันหยุดยาวๆ ครั้งต่อไป ระหว่างทำงาน เราก็อาจเผลอทำร้ายคนที่อยู่ข้างๆ เพราะอยากปกป้องตนเองให้ปลอดภัย
- ใครๆ ล้วนเหนื่อย แล้วความเหนื่อยก็เปิดเผยออกมาทางหน้า-ตา-ท่าทาง เขาอาจจะอยากสุภาพมากกว่านี้ ทว่าความเหนื่อยใช่ไหมที่ทำให้เขาหยาบคาย เธออาจจะอยากรักผู้อื่นให้มากกว่าที่เป็น แต่ความเหนื่อยก็พรากให้เธอออกห่างจากความหวังดี และสำหรับความเห็นแก่ตัว..หากวันนี้เราเหนื่อยกันน้อยลง เราก็สามารถนึกถึงผู้อื่นได้มากขึ้น แต่เรามองไม่ค่อยเห็นใครเลย นอกจากตัวเอง-ตัวเอง-ตัวเอง-และตัวเอง
- เมื่อเราอยากได้น้อยลงและรู้จักให้มากขึ้น เหนื่อยที่มีอยู่ก็จะเปลี่ยนไป

*ความรักมีดีมีร้าย แต่อย่างน้อยความรักก็ฆ่าเวลาได้ ความเกลียดนั้นฆ่าอะไรไม่ได้เลย นอกจากฆ่าความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ตัวของผู้ที่เกิดความรู้สึกนั้น เกลียดแล้วหนัก รักนั้นเบากว่า
* เมื่อเริ่มต้นแสดงเวลาก็เคลื่อนไปข้างหน้าโดยไม่มีการหยุดพัก ฉากสุข-เวลาดูเหมือนจะบินได้ ฉากเศร้า-เวลาถูกแช่ให้อิ่มอยู่ข้างใน และหลายฉากก็น่าเบื่อหน่ายที่ต้องแสดง แต่ไม่แสดงก็ไม่ได้ พอถึงเวลาสลับฉากอาจมีรางวัลให้ผู้ที่เล่นดี ส่วนตอนจบที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ นักแสดงคนอื่นที่คุ้นเคยก็จะมาร่วมกันเสียใจ จากนั้นพวกเขาก็วุ่นวายกับการฆ่าเวลาของตนเองต่อไป จนกว่าจะถูกเวลาฆ่าอย่างเด็ดขาด

- เราหวัง-สมหวังและผิดหวังไปตามประสา ใครสักคนเมื่อเริ่มรักนั้น เงื่อนไขไม่มากเท่าขณะที่รักไปแล้ว ต่างเคยพยายามเป็นคนดีที่หนึ่งของอีกคนแต่ไม่ง่ายเลย ธรรมชาติสร้างให้เรารวมกันเป็นสองก็จริง ทว่าในระหว่างสองก็คือหนึ่งที่ต่างคนต่างมา แล้ววันหนึ่งความรักก็ไม่ใหญ่พอที่จะชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะตัวตนของแต่ละคนใหญ่กว่า ที่เคยได้ก็ไม่ได้ ที่เคยง่ายก็ไม่ง่าย จึงมีคนเหงาเพราะผิดหวังจากใครสักคนเกลื่อนกลาดราวกับโลกนี้ไม่มีใครเกิดมาเพื่อใคร ธรรมชาติลวงให้อยากอยู่ด้วยกัน เพราะจะได้ต่อเติมเผ่าพันธ์ต่อไป จากนั้นธรรมชาติก็เปิดเผยความจริงออกมา
- เราทำงานหนัก เที่ยวหนัก และอีกหลายๆ หนักเพื่อลืมใครสักคน (ที่อาจจะไม่เคยมีอยู่จริง) และเราก็ค้นหาใครสักคน (ที่อาจจะมีอยู่จริง) อย่างเฝ้าคอยโดยลืมไปว่าบนฟ้ากำหนดมาแล้วทั้งนั้นสำหรับแต่ละชีวิต
- หล่นแล้วไม่แตก - ไม่มี

* ความโกรธอาจเดินทางเร็วกว่าแสง แต่มันไม่มีแสงเพื่อสว่าง การให้อภัยไม่ได้ทำให้เย็นตรงแก้ม (น้ำตา) ทว่าทำให้เย็นอยู่กลางใจต่างหาก
* ขณะที่เอกภพกำลังขยายตัวออกไปตลอดเวลา หลายๆ คนในชีวิตของเราก็กำลังหายตัวออกไปจากชีวิตตลอดเวลาเช่นกัน
* แค่ความเจ็บป่วยมาเยือน เราส่วนใหญ่ก็ไม่อาจรักใครได้มากกว่ารักตนเอง แต่ความทุกข์ท้อมารออยู่ตรงหน้าเราส่วนใหญ่ก็ไม่อาจนึกถึงใครได้มากกว่านึกถึงตนเอง
* ไม่กี่ปีที่เราอยู่บนโลกก็มีการสร้างและทำลายจนทุกอย่างย่อยยับ เราไม่เคยสร้างโดยไม่ทำลาย แล้วเราก็ใช้สิทธิที่ไม่รู้ว่าใครอนุญาตยึดดาวดวงนี้เป็นของตนเอง แบ่งแยกและซื้อขายแผ่นดิน แก่งแย่งและช่วงชิงแผ่นดิน เราจะดูแลโลกได้อย่างไรในเมื่อยังทะเลาะกันด้วยวิธีทีไม่แตกต่างจากสัตว์ดุร้ายหลายประเภท ที่สำคัญเรายังรู้จักโลกและธรรมชาติน้อยเกินกว่าจะเป็นผู้นำ และถ้าจะให้ตาม เราก็เป็นผู้ตามที่ไม่ดีอีก
* เราหาทางปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงด้านกายภาพเพื่อให้การดำรงชีวิตอมตะเท่าที่เป็นไปได้ แต่น่าเสียใจที่เราต่างไม่รู้จักหนทางที่จะอยู่ร่วมกันโดยให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด
* เมื่อพูดถึงความสงสาร เราส่วนใหญ่สงสารเพราะรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าหรือเปล่า

-...การใช้ชีวิตไม่ใช่การดำเนินธุรกิจ กำไรหรือขาดทุนเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ แล้วเมื่อบริหารเวลาดีๆ ชีวิตก็จะมีคุณค่าขึ้น เพราะบางทีเราก็วุ่นวายกับผู้อื่นมากเกินไป หมกมุ่นกับตนเองมากเกินไป รื่นรมย์มากเกินไป โศกเศร้ามากเกินไป ฯลฯ เราต่างพยายามแสวงหาความสุขด้วยวิธีต่างๆ ตรงไปตรงมาบ้าง และคดในข้องอในกระดูกบ้าง ซึ่งมันไม่ยากเกินไปที่จะได้มา ทว่าความสุขจริงๆ อยู่ตรงไหนเล่า...
- ทุกคืนวันมีหัวใจกี่หมื่นกี่แสนด้วยที่แตกสลายเพราะคำพูดจาที่ทำร้ายกัน แม้ไม่ใช่สงคราม หากก็คือการก่อการร้ายในวงกลมของความเป็นคน และพวกเราก็ล้วนเสียเวลาเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือถูกกระทำ
- ความรักอาจมีเรื่องให้ต้องเสียใจ แต่ไม่เสียเวลาแน่นอน ในการมีความรัก เพราะรักจะกล่อมเกลาความกระด้างให้กลายเป็นความอ่อนโยน ที่ผู้คนทะเลาะกันนั้นไม่ใช่เพราะความรัก แต่เพราะความโง่และความหยาบต่างหาก
-...สิ่งเดียวที่ต้องทำตลอดเวลาของการมีชีวิต-ทำใจกับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไป
- โลกนี้มีเรื่องยากกับเรื่องไม่ยากอยู่คู่กัน เรื่องยากคือสิ่งที่ยังไม่กล้าทำ เรื่องมันไม่ยากคือสิ่งที่ลงมือทำไปแล้ว
- การเป็นคนดีต้องอาศัยศิลปะไหม? และงานศิลปะชนิดใดที่ทำให้เป็นคนดีได้? แต่การเป็นคนธรรมดาต้องมีศิลปะอย่างแน่นอน คนธรรมดาที่สามารถวางน้ำหนักของรัก โลภ โกรธ หลงให้ลงตัวโดยไม่มีตรงไหนมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งศิลปะชนิดนี้ทุกคนสามารถ (พยามยาม) ทำกันได้ทุกวัน

* ผู้หญิงหรือผู้ชายเมื่อทำความผิดแบบเดียวกัน ความใหญ่โตของความผิดจะไปอยู่ฝ่ายหญิงมากกว่า อาจเป็นเพราะผู้ชายได้เริ่มต้นความผิดมากนานกว่าผู้หญิงจนกลายเป็นปกติ
* สงครามใช้เงิน (และชีวิตผู้คน) ไปมากกว่าสันติภาพตลอดเวลาของอารยธรรมสมัยใหม่ แต่สันติภาพนั้นถึงจะมีเงินท่วมฟ้าก็ซื้อหาไม่ได้ ความผิดของสันติภาพมีอยู่ประการเดียวคือมาทีหลังสงครามเสมอ ก่อนจะนึกถึงสันติภาพก็หลังสงครามปิดฉากไปแล้ว เมื่อพูดถึงสันติภาพ...เรากลัวสงครามหรือรักสันติภาพกันแน่
* นักโทษประหารกับโทษของเขาทำให้ความถูกต้องงอกงามหรือเปล่า แต่ถ้าแยกถูกและผิดออกไปห่างๆ การเข่นฆ่ากันเป็นความเศร้ามากกว่าความใดๆ ไม่ว่าจะฆ่ากันตามกฎหมายหรือนอกกฎหมายก็ตาม เมื่อใครสักคนถูกฆ่าจะมีใครอีกหลายคนที่ทุกข์ตรมอยู่เนิ่นนานโดยไม่เกี่ยวว่าทำไมจึงต้องตาย
* ความใคร่โดยตัวของมันเองแล้วไม่ผิด แต่การควบคุมไม่ได้ มักนำมาซึ่งสิ่งไม่ถูกต้อง ความรักยิ่งไม่มีความผิด คนที่มาเกี่ยวข้องกับมันต่างหากที่ใส่ความถูกหรือความผิดลงไป เราเกิดมาจากความรักหาใช่ความผิดไม่ แต่เป็นเพราะความไม่รู้ต่างหาก ตราบชั่วชีวิตของคนทั่วไป ความไม่รู้แสดงบทบาทมากกว่าความรู้เสมอ

- พอทุกอย่างได้มาการฝันและการรอคอยก็จบลง จากนั้นก็จะมีสิ่งใหม่ๆ มาทำให้บางคืนบางวันมีชีวีตชีวาอีก ถ้าความหวังคือการเดินทางเราก็ไปกันไม่ค่อยถึงไหน ไปแล้วกับมาตั้งต้นใหม่ด้วยวิธีเดิมๆ แต่แตกต่งที่รายละเอียด เราไม่เหนื่อยหรือไม่ยอมเหนื่อยกันก็ไม่รู้ แล้วชีวิตมันก็มีเท่านี้เองหรือในการเกิดมา
- ...ขณะหนึ่งของชีวิตนั้นการก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ -ยาวกว่าการพ่วงความอึกทึกไปด้วย
- ....โลกทุกวันนี้ต้องการคนที่วางของลงจาบ่า เพราะเมื่อหนักก็ต้องก้ม พอก้มแล้วเราก็มองได้ไม่ไกลเลย หลายสิ่งที่คิดว่าไม่มี ไม่ได้หมายความว่าไม่มี ก็แค่มองไม่เห็นกันเอง
- เป็นไปได้ใช่ไหมที่ธรรมชาติเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วในการมาถึงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหรือยารักษาโรค มันสมองหรือนิ้วมือทั้งห้าในแต่ละมือ ตลอดจนสองขาสำหรับยืนและเดินไปข้างหน้า ส่วนหัวใจดีๆ นั้นธรรมชาติก็เตรียมไว้ให้เหมือนกัน เพียงแต่มันถูกขโมยไประหว่างทาง

* แต่เราเคยบอกอะไรที่งดงามกับตนเองและผู้อื่นบ้าง เราโกหกกันมากขึ้นและพูดความจริงกันน้อยลง โกรธกันง่ายขึ้นและให้อภัยกันน้อยลง ถกเถียงกันมากขึ้นแต่ได้ข้อสรุปน้อยลง เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นจนเห็นแก่ผู้อื่นน้อยลง
* โลกเต็มไปด้วยคำถามแต่ตอบอะไรไม่ได้ ประเทศร่ำรวยก็ร่ำรวยกันต่อไป ขณะที่ความยากจนของประเทศซึ่งจนอยู่แล้วก็กลายเป็นวิกฤต คนเก่งจะเก่งยิ่งขึ้นและคนไม่เก่งก็จะมีพื้นที่ให้ยืนหยัดน้อยลง การอยู่ร่วมกันจะเป็นสิ่งเก่าเก็บในนิทานพื้นบ้าน ผู้คนทำอะไรยากๆ ได้มากมาย แต่ผู้คนไม่รู้เลยหรือว่าการอยู่ร่วมกันโดยสันตินั้นต้องทำเช่นไร ไม่มีการศึกษาจากสถาบันใดอบรมสั่งสอนเลยหรือเกี่ยวกับสันติภาพถาวร...ไม่รู้และไม่มี...ไม่มีและไม่รู้
* ...เราสื่อสารกันได้ง่ายขึ้นแต่กลับมีความเข้าอกเข้าใจกันน้อยลง กลายเป็นต้นไม้สูงที่เปราะและพร้อมจะหักได้เสมอ

- สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้บนโลกนี้ เรามักโยนให้เป็นหน้าที่ของความบังเอิญเสมอๆ แต่ความบังเอิญซึ่งธรรมดา หากน่าทึ่งมากก็คือ การที่คนสองคนได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าสุดท้ายใครจะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย ทว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่รู้อยู่แล้วอย่างแน่นอน
- ทำไมคนๆ นั้นคล้ายว่าเราเคยพบที่ไหนมาก่อน สถานที่นี้เหมือนเราเคยอยู่หรือเคยไปมาแล้ว เหตุการณ์ประมาณนั้นรวมกับเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ แล้วทำไมบางคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องจึงมีหน้าตาคล้ายคลึงกันได้มากกว่าพี่น้องซึ่งคลานตามกันมา เวลานอนหลับทำไมจึงเหมือนหายไปจากโลกนี้ เวลาหายไปไหนหรือ...บางทีปาฎิหาริย์ก็อยู่รอบตัวเรานี่แหละ ทว่าเราละเลยที่จะสัมผัสเอง
- ความทุกข์สร้างปาฎิหาริย์ได้มากกว่าความสุข หากไม่ยอมแพ้แก่มัน ความสุขที่มีการแบ่งปันก็สามารถสร้างปาฎิหาริย์ได้เหมือนกัน
- ...และเมื่อเลือกที่จะรอคอย การไปเบียดเบียนผู้อื่นน้อยลง พอไม่มีใครเบียดเบียนใครความดีงามก็เกิดขึ้น...
- เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเองและผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับเรา พบกันตอนเช้า ตอนเย็นอาจจะไม่ได้พบ อยู่ด้วยกันตอนกลางคืน ตอนเช้าอาจมีคนลาจากไปแล้ว จึงจำเป็นต้องทำดีต่อกันให้สม่ำเสมอ เพราะวันหนึ่งเราอาจจะเสียใจเพิ่มขึ้น...เสียใจเพราะใครบางคนจากไป...เสียใจเพราะก่อนจากเราไม่ได้อยู่ด้วยกันดีๆ พุดจากันดีๆ

* โลกยุติธรรมหรือเปล่าก็ไมรู้ แต่เมื่อเราไม่คิดร้ายกับใครก็ยากที่จะมีผู้อื่นมาคิดร้ายด้วย เมื่อเราคิดอิจฉา ข้างในของเราก็เหมือนมีเตาขนาดใหญ่คอยเผาไหม้ใจอยู่ เมื่อเราเต็มใจให้ผู้อื่นข้างในของเราก็เต็ม ...แต่เนื่องจากเป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้คนสร้างขึ้นเอง เมื่อสร้างเสร็จก็ผูกมัดและยึดติดจนลืมเหตุผลของโลกไป
* ถ้าไม่มีการพลัดพรากเลย มิตรภาพก็คงมีค่าน้อยลง โลกมีเหตุผลสำหรับเรื่องใหญ่ๆ และเรื่องเล็กๆ เสมอ
* คงดีเหมือนกันที่เราสามารถรู้ต้นธารและปลายธารของชีวิตว่ามีที่มาและที่ไปอย่างไร แต่มันจะมีประโยชน์อะไรต่อการดำรงอยู่ของพวกเราหรือเปล่า





Create Date : 07 พฤษภาคม 2551
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2551 10:13:16 น.
Counter : 390 Pageviews.

3 comments
  
เคยอ่านงานของญามิลา แต่ไม่มากนักค่ะ

ที่เอามานี่จากหนังสือหรือว่าอ่านแล้วทำให้คิดอย่างนี้คะ?
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 7 พฤษภาคม 2551 เวลา:18:07:10 น.
  
สวัสดีอีกรอบค่ะ

การท่องเที่ยวเยอะๆ ก็ดีนะคะ

เป็นการชาร์จแบตฯ อย่างหนึ่งแล้วก็ทำให้เราเห็นอะไรเยอะ คิดอะไรได้มากอยู่เหมือนกัน

สนับสนุนให้เที่ยว+เดินทางบ่อยๆ ค่ะ
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:17:14:07 น.
  
^
^
นั่นน่ะสิคะ
เดินทางบ่อยๆทำให้หาย
เครียดได้จริงๆ ^^

จขบ.สบายดีนะคะ
เราไม่เคยอ่านงานของคนนี้เลยค่ะ
ท่าทางน่าสนใจดีนะคะ
โดย: ดอกคูณริมฝั่งโขง วันที่: 23 พฤษภาคม 2551 เวลา:18:29:52 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

arete
Location :
สมุทรสาคร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ความเป็นตัวของตัวเอง เป็นคนที่เรารู้จัก เราไม่จำเป็นต้องเป็นใครที่เราไม่รู้จัก...เพื่อใครบางคน
All Blog