ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๓๒๕ - ลำธารนั้น



“หลวงพี่ พาผมมาที่นี่ทำไมครับ... ” พระหนุ่มถามอย่างสงสัย

“หลวงพี่อยากให้พระได้เห็นอะไรบางอย่าง ” พระพี่เลี้ยง ซึ่งเป็นพระหนุ่มแต่บวชมานานบอก

พระพี่เลี้ยงพาพระใหม่เดินทางมายังป่าหลังวัด ซึ่งเป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะกับการวิปัสสนาพิจารณาธรรมเป็นอย่างยิ่ง ใกล้ ๆ กันนั้น มีสาขาลำธารเล็ก ๆ ซึ่งเป็นน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา ก่อนที่มันได้ไหลลงมารวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ บริเวณต้นหมู่บ้านข้างล่าง พระพี่เลี้ยงได้ชี้ไปที่แม่น้ำสายเล็ก ๆ สายนั้น

“พระเห็นลำธารน้ำนั่นใช่ไหม ...” พระพี่เลี้ยงถาม

“เห็นครับ หลวงพี่ ”

“น้ำนี้มาจากไหนกัน ” พระพี่เลี้ยงถาม

“มาจากภูเขาครับ ”

“แล้วไปที่ไหน ”

“ไหลรวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ และไหลลงทะเลครับ”



“ฉันใดก็ฉันนั้นนะพระ ธรรมชาติของจิตใจของเราก็ไม่ต่างกัน มันมีวิสัยแห่งการลงต่ำเสมอ อนุสัยกิเลสที่พอกพูล สะสมอยู่ในใจ พระอาจจะคิดว่าน้อยนัก เราไม่ต้องสนใจก็ได้ สิ่งเล็กน้อยนี้เปรียบเหมือนลำธารเล็ก ๆ หากลำธารเล็กนี้มีการกระจายตัวอยู่มากก็จะไหลรวมกันเป็นแม่น้ำใหญ่ แม่น้ำใหญ่หลาย ๆ สายรวมเข้าก็ไหลลงมหาสมุทร ยังน้ำให้มหาสมุทรเพิ่มขึ้นมาได้ เข้าใจใช่ไหม” พระพี่เลี้ยงสาธยาย และย้อนถาม

“เอ่อ...หลวงพี่ครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก อะไรคือจิตใจที่ลงต่ำ ใช่การทำชั่วหรือเปล่าครับ ”

“ก็คือ จิตที่ประกอบด้วยอกุศลนั่นแหละคือ วิสัยสัยแห่งการลงต่ำ การทำชั่วที่เราเข้าใจนั้น ส่วนใหญ่เป็นการแสดงออกมากาย วาจา แต่ก่อนที่แสดงออกมาได้นั้น มันก็เริ่มต้นกลั่นมาจากจิตใจของเราก่อน เช่น เมื่อเราไม่ชอบใจใครสักคน เราก็เก็บความไม่ชอบใจ ขุ่นเคืองใจไว้ทีละนิด ๆ เหมือนกับสายลำธารแห่งนี้ เมื่อมากเข้าเราทนไม่ไหว ก็เริ่มมีปากเสียงต่อว่ากัน นี่เป็นการแสดงออกทางวาจา ถ้าเปรียบสายน้ำนี้ ก็เหมือนกับน้ำในลำธารเล็ก ๆ มันสะสมจนได้เป็นแม่น้ำใหญ่ขึ้นมา เราเป็นนักบวช การกระทำทางกาย วาจา ถือว่าสามารถสำรวมได้ง่ายกว่าฆราวาส เพราะมีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมมาก ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยพันธะการทำมาหากิน ค้าขาย สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองได้ง่าย สงบได้ยาก อีกทั้งหน้าที่รับผิดชอบของฆราวาสก็มีมาก แต่ตรงข้ามกับประโยชน์ในกาลแห่งอนาคตนั้นมีน้อย ” พระใหม่ยิ้มฝืน ๆ แม้ว่าจะพอเข้าใจในคำของพระพี่เลี้ยง แต่เขาเองก็ยังชอบใจในเพศฆราวาสอยู่ การบวชครั้งนี้ ในใจของก็บวชไปอย่างนั้นเอง ตามประเพณีเพื่อให้ครอบครัวสบายใจ

แต่เมื่อได้ฟังหลวงพี่ยกตัวอย่างให้ฟังก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเห็นคุณค่าของการบวชขึ้นมาบ้าง


“หลวงพี่ครับ แต่ผมเคยได้ยินบางคนเขาพูดว่า พวกนักบวชเป็นพวกขี้เกียจ วัน ๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่เดินขอข้าวชาวบ้าน ไม่ต่างอะไรกับขอทาน ”

“แล้วพระคิดว่าอย่างไรล่ะ...”

“ผมว่าไม่ใช่อยางนั้นนะครับ เพราะหน้าที่ของพระอย่างหนึ่งก็คือสอนคนในสังคมรู้จักรักษาศีล ไม่เบียดเบียดชีวิตและสิ่งของซึ่งกันและกัน ไม่ผิดลูกเมียกัน ไม่พูดเท็จใส่ร้ายกัน และไม่ดื่มสุราซึ่งเป็นสาเหตุของการขาดสติ เกิดเรื่องทะเลาะจนกระทั่งเข่นฆ่ากัน หากไม่มีพระคอยสอน คอยอบรม ผมว่าสังคมนี้คงต้องวุ่นวายพิลึกเลยนะครับ ”

“ถูกต้องแล้วล่ะพระ อีกหน้าที่หนึ่งของพระคือการทำหน้าที่เป็นนาบุญ อุปมาได้กับการสร้างผืนนาให้ชาวบ้านเขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งบุญกุศล หากนาบุญนั้นเป็นที่นาอันดี เมล็ดพันธุ์แห่งบุญก็จะสามารถเจริญงอกงาม เป็นผลย้อนกลับไปหาชาวบ้านเอง อย่างนี้ไงล่ะ ”

“แหม สุดยอดเลยครับหลวงพี่ ผมเลยชักอยากจะบวชนาน ๆ แล้วสิ อยากเป็นนาบุญให้โยมพ่อ โยมแม่ครับ ” พระพี่เลี้ยงยิ้ม ในความซื่อของพระใหม่

“เอาเถอะพระ เรื่องนี้นะ มันเป็นเรื่องของวาสนาและบารมี ถึงเวลามันก็จะเป็นไปตามนั้นเอง บุคคลผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ใดไว้ ก็ย่อมได้ผลแห่งเมล็ดพันธุ์นั้นแหละน่ะ ”

“ครับหลวงพี่ผม จะจำไว้ครับ ”

“คราวนี้พระพอเข้าใจเรื่องกิเลสของตัวเองบ้างหรือยัง ”พี่เลี้ยงวกกลับมาถาม

“พอเข้าใจครับ แต่ว่าก็ยังงงอยู่ ว่าทำไม เราต้องละกิเลสด้วยครับ เห็นหลวงตาพูดอยู่เสมอ ”

“แหม พระนี่เรื่องง่ายนิดเดียว เพราะอนุสัยกิเลสนี้ เป็นตัวชักพาให้เรา เวียนตายเวียนเกิดอย่างไงล่ะ ยิ่งเกิดบ่อย ๆ มาก ๆ มันก็มีความทุกข์มาก เรียกว่าความทุกข์เป็นเงาดำที่ติดตัวเราไปทุกหนทุกแห่งเลยทีเดียว ไม่ว่าช่วงตอนเด็ก วัยรุ่น แก่ ชรา เราก็มีความทุกข์อยู่รอบตัวไม่เพียงแต่เราเท่านั้นนะที่มีความทุกข์ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทุกข์กว่าเราหลายเท่า การพ้นไปเสียจากความทุกข์ทั้งปวงเสียได้ นับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ”

“ความทุกข์มันร้ายกาจขนาดนั้น ทำไมคนยังไม่พอใจที่จะละกิเลสกันครับ อย่างเช่นผมเป็นต้น ”

“คำตอบมันก็อยู่ในคำถามนั้นแหละ คือถูกกิเลสมันครอบงำเอา มันสรรหาความสุขชั่วคราวมาให้เรา แล้วทำให้รู้ว่าสิ่งนี้แหละเป็นความสุข แท้จริงแล้วความสุขนั้น เป็นเพียงความผ่อนคลายจากความทุกข์ชั่วคราว บางทีความสุขที่ได้มาช่วงสั้น ๆ นั้นก็กลับกลายเป็นการทุกข์มหาศาลในอนาคตก็มี เพราะคนเราขาดความรู้ของที่ไปที่มาตนเอง ทั้งในอดีต เช่นว่าตนเองมีที่มาอย่างไร อะไรเป็นเหตุแห่งการเกิด และในอนาคตจะไปไหน อะไรเป็นเหตุแห่งการได้มาซึ่งอัตภาพแห่งใหม่ โดยรวมแล้วก็คือความไม่รู้นั่นเองเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้สัตว์ทั้งยังจมเมื่อมอยู่กับสังสารวัฏต่อไป ” พระพี่เลี้ยงอธิบายเสียยาว โดยไม่ทันมองว่าพระใหม่ของตนเอง กำลังส่งสายตาวิงวอนว่ายากไปแล้ว ๆ

“เรื่องความสุข ทุกข์นี่ผมก็พอเข้าใจครับ ส่วนที่ว่าอะไรคือที่มา อะไรคือที่ไปนี่ ผมยังไม่เข้าใจ ”

“จริง ๆ มันก็คือเรื่องของกรรมนั่นแหละพระ ในชั้นนี้ก็รู้ว่า ทำกรรมดี ก็ได้ผลของกรรมดี ทำกรรมชั่วก็ได้รับผลลัพธ์ที่ชั่วก็พอนะ ไม่ใช่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่างที่สำนวนเขาตัดบทเอาเองนะ เลยทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี ไม่เห็นมีรถราคาแพง ๆ ไม่เห็นได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งเลย ซึ่งจริง ๆ ฟังดูเรื่องเดียวกัน แต่มันดีคนละอย่าง ดีของคนทั่วไปมันเป็นดีแบบพื้น ๆ แบบอนุบาล ๆ ซึ่งเขาต้องการความสบายเข้าตัว แล้วก็ล้วนประกอบด้วยโลกธรรมนะ มันไม่จีรังหรอก ส่วนเรื่องที่ไปที่มาของการกระทำในอดีต และอนาคต พระอย่าไปสนใจเลย คิดมากมันมีแต่ฟุ้งซ่าน เป็นเรื่องเหนือวิสัยของเรา ”

“จริงอย่างหลวงพี่ว่ามาครับ ”

“เอาล่ะพระ นี่ก็เกือบเย็นแล้ว เราต้องไปจัดเตรียมสถานที่ทำวัตรกันต่อ กลับวัดกันเถอะ ...” พระพี่เลี้ยงพูด

หลังจากนั้นทั้งสองพระก็เดินกลับวัด ซึ่งเป็นเวลาบ่ายคล้อยใกล้จะเย็นเต็มที เมฆฝนที่ตั้งเค้าเหนือภูเขา ก็กำลังกลั่นตัวเองลงมาเป็นเม็ดฝน ตกลงสู่ลำธารสายเล็ก ๆ นั้น นั่นเอง...

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.horhook.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2554 14:42:25 น.
Counter : 1016 Pageviews.  

๓๒๔ - แช่อิ่มความคิด




ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้า ไม่ค่อยมีสมาธิกับการปฏิบัติธรรม และการเขียนบันทึกมากนัก(สังเกตุว่าบางครั้งไม่ได้ update ข้อมูลหลาย ๆ สัปดาห์) เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเขียนโปรแกรม และหาความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทาย จนเบียดเบียนเวลาปฏิบัติธรรมอย่างรุนแรง แต่นั่นก็ไม่ใช่จะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด เพราะอย่างน้อยก็ยังทำให้เราใกล้ชิดกับโลกมากขึ้น ไม่ได้มีความคิดที่หลุดโลกออกไปเลย (+๕๕๕) ไม่อย่างนั้นเราก็จะอยู่คนทั่วไปได้ลำบาก การมีอะไรทำบ้างก็ดีเหมือนกัน ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างนั้นนะ

สิ่งเหล่านี้มองให้อีกที ก็เป็นการแช่อิ่มทางความคิด หมายถึงเรามีเรื่องบางสิ่งบางอย่างให้คิดอยู่ตลอดเวลาไม่มีเวลาพักความคิด การทำสมาธิจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก และไม่มีทางสงบหากไม่สามารถวางความคิดเหล่านั้นลงไปเสียได้ก่อน

สิ่งเหล่านี้กระมังที่เขาเรียกกันว่าความยึดติด และการยึดกับความคิดที่ฝังแน่น จนจิตใจหาความสงบไม่ได้ เพราะไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างชำนาญและต่อเนื่อง เมื่อกระบวนการแช่อิ่มดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ กิเลสทั้งหลายก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวเลยก็ว่าได้ เมื่อรู้อีกทีก็จมอยู่กับความทุกข์เสียแล้ว หรืออย่างอ่อน ๆ ก็เป็นเรื่องจิตตก คือหมายถึงตกจากอกุศล และความดี อย่างเลวร้ายคือถูกกิเลสครอบงำจนโงหัวไม่ขึ้น

การแช่อิ่มทางความคิดนี้ยังมีอีก คือการยึดติดกับความเห็นผิดขั้นสามัญ หมายถึง ขั้นปกติทั่วไป เช่น ความไม่เชื่อในเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องบาป บุญ คุณโทษ ไม่เชื่อเรื่องการทำดีแล้วได้รับผลแห่งความดีตอบแทน เป็นต้น แม้ว่าบางคนจะมีนับถือพุทธศาสนาแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่นับถือพุทธศาสนาจะมีความเห็นชอบหมดเหมือนกันทุกคน เพราะส่วนใหญ่ก็นับถือสืบทอดตาม ๆ กันมา มีศรัทธาเป็นหลัก เช่นเราเห็นพระพุทธรูปบางครั้งก็ยกมือไหว้เอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก แต่บางครั้งก็เป็นศรัทธาที่ออกแนวนอกลู่นอกทาง เช่น พวกที่นับถือภูต ผี ปิศาจ ทรงเจ้า เข้าผี รวมไปถึงพวกที่กราบไหว้รูปปั้นแปลก ๆ ต้นไม้ ผีสาง ทั้งผีปลอมผีจริงบ้าง พวกสักยันต์เล่นของ เสกคาถา เป่ามนต์ดำ เป็นต้น นับวันพุทธศาสนาที่แท้จริงกำลังจะถูกสิ่งเหล่านี้เกลือนกินไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ แทรกซึมเข้าเบียดเบียนความรู้ทางศาสนาที่แท้จริงออกไป เหมือนกับเอามันเทศแช่ลงไปในน้ำเชื่อม เมื่อเวลานานเข้าไป ความหวานก็จะเข้าไปทดแทนรสชาดที่แท้จริงของมันเทศ ทำให้ทุกครั้งที่เรากินเราจะไม่รู้รสชาดที่แท้จริงของมันเทศได้เลย เพราะถูกทดแทนด้วยความหวานไปเสียหมด

การแช่อิ่มทางความคิดนี้ ใครสามารถคลายได้ก่อน ก็พบความสุขที่แท้จริงได้ก่อน ส่วนคนที่ยังไม่สามารถคลายความเห็นได้ในตอนนี้ ก็ต้องสั่งสมบารมีกันต่อไป อย่างพึ่งกินลูกท้อเสียก่อนล่ะครับ...

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.egonzehnder.com มากมาย ครับ




 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2554 8:29:32 น.
Counter : 367 Pageviews.  

๓๒๓ - เยื่อใยแห่งตัณหา ๓



ความเดิมจากตอนที่ ๒

“ผมก็ไม่ทราบแน่ชัด เพียงแต่รู้อย่างเดียวว่าต้องเดินไปทางทิศใต้เรื่อย ๆ ” ชายเจ้าของบ้านพยักหน้ารับ ดูเหมือนการไต่ถามเรื่องนี้เป็นแค่เพียงการถามเพื่อชิมลางเท่านั้น

“ท่านเดินทางโดยไม่ทราบที่อยู่ของจุดหมายได้อย่างไร ข้าว่าจะเสียเวลาไปเปล่าหรอกนะ เมืองนี้ก็อุดมสมบูรณ์รุ่งเรืองอยู่ ไม่อยากตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่หรือกระไร ” ชายเจ้าของบ้านเชิญชวน

“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่เคยคิดหรอกครับ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาก็ถูกเชิญชวนอย่างนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว” ชายนักเดินทางตัดบท

“น่าเสียดายจริง แต่ข้าก็อนุโมทนาในความมุ่งมั่นของพ่อหนุ่มนะ ว่าแต่พอจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแขนซ้ายของเจ้าได้ไหมว่า มันเกิดอะไรขึ้น ”

“เรื่องนั้นมันนานมากแล้วครับ สมัยที่ผมกำลังยกเลิกการเดินทางและใช้ชีวิตอยู่กับคนรัก และแล้วไม่นานก็เกิดไฟบรรลัยกัลป์ขึ้นมา ผมหนีรอดมาได้หวุดหวิด แต่คนรักของผมต้องเสียชีวิต ส่วนผมก็ต้องเสียแขนซ้ายไปอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละครับ ” ชายนักเดินทางเล่าอดีตอย่างคร่าว ๆ

“เสียใจด้วยนะพ่อหนุ่ม ช่างเป็นโศกนาฎกรรมที่โหดร้ายจริง ๆ ”

“ใช่แล้วครับ เหตุการณ์ครั้งนั้นย้ำให้ผมต้องออกเดินทาง ไปยังดินแดนที่พ้นจากพิษภัยต่าง ๆ นั่นคือนิพพานครับ ”

“อย่างนี้เองสินะ แต่ที่นี่ไม่มีไฟบรรลัยกัลป์หรอกนะ สบายใจได้ ” ชายเจ้าของบ้านพูดพรางหัวเราะไปด้วย แต่ในความเป็นจริง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสังสารภพ และการเกิดใหม่ของจักรวาล ทุกดินแดน ทุกพื้นที่ย่อมไม่สามารถรอดพ้นไปจากหายนะได้
มนุษย์ผู้มีอายุขัยสั้นดั่งมดปลวก มีความยึดแน่นในตัณหา และความเชื่อมั่นในความมีตัวตน ย่อมไม่อาจจะรับรู้ได้


ชายนักเดินทางยิ้มฝืน ๆ ยอมรับในความปรารถนาดีของเจ้าของบ้าน ในขณะที่ชายทั้งสองกำลังสนทนากันนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูเรียกเป็นสัญลักษณ์ในการขออนุญาตขอเข้ามาในห้อง

“เข้ามา...” ชายเจ้าของบ้านร้องบอก เสียงประตูเปิดออก ผู้ที่กำลังเข้ามาเป็นหญิงสาวสวย สวมชุดประจำท้องถิ่น สีชมพูอ่อน เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่มีการประดับด้วยเรื่องเพชรอัญมณีดูพองาม ด้วยวัยที่ยังเป็นรุ่นสาวกำลังแรกแย้ม การอยากรู้อยากเห็นของเธอนั่นเป็นแรงจูงใจสำคัญ เพราะเดือนก่อน เธอฝันติดต่อกันอยู่หลายครั้งของการมาเยือนของคนผู้หนึ่งที่อยู่หลังไอหมอก แม้ภาพในความฝันนั้นจะดูเลือนลาง แต่เธอเองก็จำลักษณะของชายผู้นั้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งแขนซ้ายของเขาคนนั้นก็ไม่มีเหมือนคนปกติทั่วไป หลังจากเมื่อวานที่ได้ทราบข่าวว่าพ่อของเธอซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน นำแขกผู้มาจากต่างถิ่นมาพัก หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นแรงขึ้น และแน่ใจว่าต้องเป็นบุคคลที่เธอเห็นอยู่ในความฝันทุกคืนเป็นแน่ เพราะอำนาจแห่งเยื่อตัณหาในอดีตชาติภพก่อนนั่น ซึ่งได้ผูกคนทั้งสองไว้นั่นเอง ให้กลับมาพบกันอีก แม้จะต่างสถานะและสถานที่ แต่กิเลสตัณหา มันก็สามารถที่จะทำงานได้อย่างไม่หยุดหย่อน

สายตาของเธอมองดูชายนักเดินทางอย่างไม่กระพริบ เช่นเดียวกับชายนักเดินทางเอง ก็ประหลาดใจ และมีความสั่นรัว ตื่นเต้นอย่างผิดปกติเมื่อพบเธอคนนั้น

“อ้าว...ลูกรัก มีธุระอันใดหรือ จึงเรียบด่วนเข้ามา ” ชายเจ้าของบ้านผู้เป็นพ่อถาม

“ลูกมีอาหารพิเศษมาให้ค่ะ เพิ่งทราบว่าพ่อกำลังมีแขก” หญิงคนนั้นพูดพร้อมหยิบอาหารในถาด ซึ่งใช้เป็นข้ออ้างแก้ขัดได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้

“อ๋อ ดีเลย นี่คือชายต่างถิ่น เขามาพักในเมืองเราเพื่อหาเสบียงเดินทาง พ่อเลยขอให้มาพักที่บ้านเรา เพื่อไตร่ถามความเป็นไปของโลกภายนอกน่ะ พรุ่งนี้เช้าเขาก็จะไปแล้ว ”

ชายหญิงทั้งสองต่างจ้องมองตากัน ไม่ช้าอนุสัญญาในอดีตชาติภพ ก็แสดงอำนาจให้คนทั้งสองสามารถระลึกชาติได้ และจดจำกันได้ในที่สุด

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //firodosia.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2554 21:55:00 น.
Counter : 584 Pageviews.  

๓๒๒ - เยื่อใยแห่งตัณหา ๒



ต่อจากตอนที่ ๑

ในเบื้องหน้าของชายนักเดินทางเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่มีความมั่งคั่งไปด้วยเพชร พลอย และอัญมณีที่มีค่า ซึ่งมีอยู่มากมายกลาดเกลื่อนไม่ต่างอะไรกับก้อนหินที่มีบนโลกมนุษย์ เขายืนตะลึงงึงงันในความงามของเมืองนี้ แม้ในระยะไกลขนาดนั้นก็ยังวิจิตจับใจยิ่งนัก หากเขาไปชมใกล้ ๆ กว่านี้จะวิเศษเพียงใด เพราะตั่งแต่เขาเกิดมาก็ไม่เคยเห็นเมืองที่มั่งคั่งและสวยงามขนาดนี้มาก่อนเลย ชายนักเดินทางเดินข้ามแม่น้ำเล็ก ๆ หวังจะเข้าไปในเมืองและขอเสบียงสำหรับการเดินทางต่อไป แต่ว่ากลิ่นหอมของดอกไม้เมื่อครู่ต่างหาก ที่เป็นแรงจูงใจให้เขาเดินเข้าไปในเมืองในครั้งนี้

“หยุดก่อน ๆ พ่อหนุ่มน้อย...กำลังจะไปไหน” เสียงใครบางคนที่ดูเหมือนจะเป็นยามรักษาการณ์ประตูเมืองร้องบอก

“สวัสดีครับ คือผมเป็นนักเดินทาง และกำลังจะเดินทางไปดินแดนนิพพาน อยากจะขอเข้าไปในเมืองเพื่อหาเสบียงสำหรับการเดินทางนิดหน่อย ” ชายนักเดินทางพูด

“อย่างนั้นเรอะ พ่อหนุ่มมีใบอนุญาตหรือเปล่า? ”

“ผมไม่มีหรอกครับ ผมเป็นคนต่างถิ่น ”

“งั้นก็เสียใจด้วย คนต่างถิ่นที่มีใบอนุญาตเท่านั้นถึงจะเข้าไปในเมืองได้ เลี่ยงไปที่อื่นเสียเถอะ...” ชายนักเดินทางได้ยินถึงกับคอตก

“อ้าว ๆ ตะโกนเสียงโวยวาย มีเรื่องอะไรกันรึ?... ” เสียงชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะมีตำแหน่งใหญ่โตร้องออกมา ชายผู้นั้นแต่ตัวด้วยเสียผ้าสีสันฉูดตา ประดับประดาด้วยเครื่องเพชรเม็ดเล็ก ๆ มีสร้อยระย้าตามเอวและชายเสื้อ ดูเป็นชายวัยกลางคนที่ท่าทางเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง

“ครับนายท่าน พ่อหนุ่มผู้นี้กำลังจะขอเข้าเมืองเพื่อหาเสบียงอาหาร แต่เขาไม่มีใบอนุญาตครับ ” นายทวารรายงาน

“จริงรี พ่อหนุ่ม...” ชายคนนั้นมองดูชายนักเดินทางที่มีท่าทางอิดโรย แถมแขนซ้ายก็ขาดดูเป็นคนพิการที่น่าเวทนายิ่งนัก

“จริงครับ ผมกำลังจะเดินทางต่อไปยังดินแดนนิพพาน แต่ว่าเดินหลงทางอยู่ในป่าเสียหลายวัน เสบียงสำหรับเดินทางก็หมด โชคดีที่เดินทางมาเจอเมืองนี้เสียก่อน ” ชายนักเดินทางอธิบาย ด้วยเสียหน้าที่เป็นมิตร

“ท่าทางเจ้านี่ไม่ได้มาคิดการร้ายอะไร แถมท่าทางอิดโรยและยังพิการอีก งั้นข้าจะอนุญาตเข้าเมืองได้ ๓ วัน ทหารช่วยนำชายผู้นี้ไปทำประวัติ ตรวจสอบข้อมูล และตรวจค้นให้ละเอียด และให้ใบอนุญาตชั่วคราว แล้วนำไปพักยังห้องรับรองที่จวนของข้า...” ชายผู้นั้นออกคำสั่ง

“พ่อหนุ่ม เดียวมาพักที่บ้านข้าก่อน เพราะเจ้ามีเรื่องที่ข้าน่าสนใจ นั่นคือ เมืองนิพพาน ข้าสนอยากจะคุยด้วย...ยังไงก็อย่าปฏิเสธเลยนะ” ชายนักเดินทางพยักหน้ารับ

เขารู้ดีใจและแปลกใจในเวลาเดียวกัน ทำไมชายผู้นี้ถึงใจดีนัก และเข้ามาในเวลาที่ถูกจังหวะเสียด้วย ซึ่งสิ่งที่ชายนักเดินทางฉงนใจและไม่มีวันที่จะรู้ได้นั้น แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงตัวละครฉากแรก ที่เกิดจากการปั้นแต่งของสมุนมารเท่านั้นเอง

ชายนักเดินทางไดัรับการต้อนรับจากเจ้าของบ้านอย่างดีเยี่ยม เขารู้สึกเกรงใจต่อไมตรีของคนในเมืองได้อย่างมาก หลังจากบ่ายวันที่สองของการเข้ามาพักในเมือง ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เรียกตัวชายนักเดินทางเข้าไปพบ

“เป็นอย่างไรบ้างพ่อหนุ่ม อาหารการกิน ที่พักอาศัยเรียบร้อยดีไหม ” ชายเจ้าของบ้านผู้มั่งคั่งกล่าวทักทาย

“เรียบร้อยดีมากครับ ผมต้องขอบคุณท่านมากที่ให้เกียรติต้อนรับผมมากขนาดนี้ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ” ชายนักเดินทางพูดอย่างนอบน้อม

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย บ้านเมืองนี้ถึงแม้จะโอ่อ่า รุ่งเรืองก็จริง ๆ แต่อนิจจา มันตั้งอยู่กลางหุบเขาการเดินทาง คมนาคมไม่สะดวก นาน ๆ จะมีแขกต่างเมืองเข้ามาพัก หรือเยี่ยมเยือนบ้าง ว่าแต่พ่อหนุ่มจะเดินทางไปดินแดนนิพพานกระนั้นรึ..” ชายเจ้าของบ้านถามเข้าประเด็น

“ถูกต้องแล้วครับ ผมปรารถนาเดินทางไปยังดินแดนที่สงบแห่งนั้น ”

“ได้ข่าวว่ายังไม่มีใครเคยไปถึงไม่ใช่หรือ แล้วดินแดนที่ว่านั้นอยู่แห่งใดกัน ” ชายเจ้าของบ้านร้องถาม


<อ่านต่อในเยื่อแห่งตัณหา ๓>

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //starchildglobal.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2554 21:00:11 น.
Counter : 420 Pageviews.  

๓๒๑ - ความเชื่อและความเห็น



ทุกวันนี้หากมีใครสักคนพูดเรื่องหรือคุยเรื่องศีลธรรมหรือเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่ฝืนต่อกิเลสหรือความรู้สึกที่ค้านต่อความคิดของตัวเอง เขาจะพยายามฉีกตัวออกห่าง และชวนคุยเรื่องอื่นมากกว่า ซึ่งมองดูก็เป็นเรื่องที่ปกติของคนทั่วไป เพราะส่วนตัวข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นคนที่ชอบพูดชอบเถียงมาก หากใครที่ชวนคุยและรู้สึกถูกคอก็จะคุยได้นาน แต่จะหาคนที่คุยเรื่องธรรมได้ถูกใจนั้นแทบยากแสนยาก ที่มีก็ออกแนวอวดอ้างตัวเองมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายที่สุด

ส่วนเรื่องของการดื่มกิน เครื่องดื่ม สุรา ปลาปิ้ง แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยชอบมากมาย และไม่คิดว่าจะเลิกได้ แต่ก็สามารถที่จะทำได้ มันเป็นความภูมิใจที่แสนจะภูมิใจเลยทีเดียว ซึ่งไม่อาจจะเล่าให้พวกคอสุราแล้วเขาสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เพราะเขายังมองไม่เห็นความเสื่อมอันเกิดจากสุราได้ น่าแปลกที่เมืองเรานับถือศาสนาพุทธแต่ เรื่องเหล้าสุรากับการรักษาศีลดูน้อยมาก (ข้าพเจ้าอาจจะคิดมากไปเองก็ได้) แต่เท่าที่สัมผัสกับคนที่อยู่รอบข้างมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คนสมัยนี้เริ่มมองศาสนาเปลี่ยนไป ว่าเป็นความเชื่อถืองมงาย ไม่ทันสมัยเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ทุกคนมักจะพูดกันติดปากว่า ศาสนาเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่แต่งมาลอย ๆ หรือนักเข้าไปใหญ่คิดถึงกับว่าตนเองไม่ต้องนับถือศาสนาก็ได้ ประมาณนั้น

ซึ่งในแท้จริงแล้วพุทธศาสนา หาใช่เป็นศาสน์ที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ตรงกันข้ามทีเดียว ความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ หรือที่เราเรียกว่าพระธรรมนั้น รอให้เราเข้าไปสำรวจและทันสมัยต่อการพิสูจน์ทุกกาล ทุกสมัย เพียงแต่เรากล้าหรือเปล่าที่จะพิสูจน์เท่านั้นเอง ซึส่วนความคิดประเภทที่มองพุทธศาสนาเป็นเรื่องหลอกลวงนี้มันมีมานานนม ตั่งแต่สมัยพุทธกาลก็มีมาแล้วเยอะแยะ จนมาถึงคนสมัยนี้ก็ยังไม่อาจจะละความคิดเห็นผิดขั้นหยาบนี้ได้ นั่นเพราะเหตุของความเห็นที่เราสั่งสมกันมานานมาก มันเป็นตัวการสำคัญทำให้เรามองสิ่งต่าง ๆ คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง เพราะขาดความรู้ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คำว่าต่อเนื่องนี่ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงชาติ แต่หากต้องอบรมการติดต่อมามากมายหลายต่อหลายชาติ ซึ่งหากนำไปพูดกับคนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด คนพวกนั้นก็จะส่ายหัวไม่ยอมรับอีก มันก็เลยไม่ยอมเข้าไปพิสูจน์กันเสียที เพราะกำลังของศรัทธา ปัญญอ่อนแรงเกินไป คนเหล่านี้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือความรวดเร็วไม่ช้าก็ต้องตกเป็นอาหารเต่า อาหารปลาในกาลข้างหน้าอย่างแน่นอน

สำหรับคนที่เริ่มหันมามองพุทธศาสนา และมีความคิดที่ถูกต้องชอบธรรมดีแล้ว และรักในการให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าเองก็ขออนุโมทนาด้วย แม้จะไม่ได้รู้จักทุกท่านก็ตามที เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นบุญใหญ่ เป็นสิ่งที่จะติดตัวท่านไป และช่วยเกื้อหนุนให้เรามีอัติภาพมราไม่ต้องตกต่ำในภพเบื้องหน้า

สำหรับคนที่มีความเห็นผิด เชื่อว่าโลกหน้าไม่มี สวรรค์ไม่มี นรกก็ไม่มี เราอาจจะรู้สึกสงสารในการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ของเขาในครั้งนี้ แต่หากคุยด้วยเขาเหล่านั้นอาจจะรู้สึกสงสารพวกปฏิบัติธรรมอย่างเรา ๆ มากกว่าก็ได้ เพราะชีวิตในสายตาพวกเขามีแต่ความจืดชื่นไม่มีชีวิตชีวาอะไร เที่ยวกินอะไรก็ไม่สนุก อะไรประมาณนี้

สิ่งเหล่านี้หาก เจอกับตัวและไม่สามารถสามารถช่วยเหลืออะไรได้ หรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ในตอนนี้ ก็จำเป็นต้องวางอุบกขาปล่อยไปก่อน คิดเสียว่านี่คงเป็นกรรมของเขาที่ต้องชดใช้ หากแต่บุคคลนั้น ๆ เป็นญาติมิตรก็คงต้องช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเสียก่อน หากไม่ไหวจริง ๆ ก็ใช้วางอุเบกขาเสีย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียเวลากับคนเหล่านี้ (ฟังดูใจร้ายนะ) แต่ขึ้นชื่อว่ากรรม และบารมีธรรมแล้วก็ต้องเป็นของใครของมัน ต่อให้พระพุทธเจ้ามาโปรดหากบารมีเดิมไม่มีก็หมดสิทธิ์ ตั้งหน้าตั้งตาเวียนเกิดเวียนตายในสังสารภพต่อไปได้เลย



เคยกล่าวถึงบารมีกันไปบ้างแล้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยเขียนไว้ประมาณ สี่ ห้า บท แต่เป็นเรื่องที่กระจายอยู่เลยไม่รู้ว่าแฝงอยู่ในบทไหน คนที่สนใจธรรมะ แต่เลิกกลางคันเพราะเหตุคิดว่าบารมีของตัวเองไม่ถึง หรือมีไม่พอ ก็อย่าเพิ่งท้อใจ ความจริงแล้วบารมีของคนที่เกิดมาใน ประเทศนี้ และพบพุทธศาสนาต่างก็สั่งสมบารมีกันมาพอสมควรทั้งนั้น ทุกคนสามารถมีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมเหมือนกันได้หมด หากแต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายดายเหมือนกับการปลอกกล้วย เพราะแม้จะมีบารมีเป็นทุนเดิม แต่ในปัจจุบันก็ต้องขวนขวายให้มากขึ้น เพียงคนที่ขาดความพยายามก็จะเสียกำลังใจและท้อใจในที่สุด ซึ่งหากพิจารณาให้ดี หากท่านตายไปก็จะต้องคิดเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน เพราะการจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ยากแสนยากยิ่ง พระพุทธเจ้าท่านจึงอุปมาเปรียบเหมือนเต่าตาบอดที่ว่ายอยู่ใต้ทะเลทั้งสี่ ในหนึ่งร้อยปีจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำสักครั้งหนึ่ง เป็นการยากหรือง่ายประการใดเล่า ที่เต่าตัวนั้นจะเอาหัวรอดเข้าไปในบ่วงที่ลอยอยู่บนน้ำทะเลซึ่งมีคลื่นซัดโคลงเคลงไปมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้นการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ของวิสัยแห่งคนพาลก็ยากเช่นกัน


ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.sangkapan.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2554    
Last Update : 31 ตุลาคม 2554 8:21:23 น.
Counter : 579 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.