|
๓๒๔ - แช่อิ่มความคิด
ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้า ไม่ค่อยมีสมาธิกับการปฏิบัติธรรม และการเขียนบันทึกมากนัก(สังเกตุว่าบางครั้งไม่ได้ update ข้อมูลหลาย ๆ สัปดาห์) เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเขียนโปรแกรม และหาความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทาย จนเบียดเบียนเวลาปฏิบัติธรรมอย่างรุนแรง แต่นั่นก็ไม่ใช่จะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด เพราะอย่างน้อยก็ยังทำให้เราใกล้ชิดกับโลกมากขึ้น ไม่ได้มีความคิดที่หลุดโลกออกไปเลย (+๕๕๕) ไม่อย่างนั้นเราก็จะอยู่คนทั่วไปได้ลำบาก การมีอะไรทำบ้างก็ดีเหมือนกัน ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างนั้นนะ
สิ่งเหล่านี้มองให้อีกที ก็เป็นการแช่อิ่มทางความคิด หมายถึงเรามีเรื่องบางสิ่งบางอย่างให้คิดอยู่ตลอดเวลาไม่มีเวลาพักความคิด การทำสมาธิจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก และไม่มีทางสงบหากไม่สามารถวางความคิดเหล่านั้นลงไปเสียได้ก่อน
สิ่งเหล่านี้กระมังที่เขาเรียกกันว่าความยึดติด และการยึดกับความคิดที่ฝังแน่น จนจิตใจหาความสงบไม่ได้ เพราะไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างชำนาญและต่อเนื่อง เมื่อกระบวนการแช่อิ่มดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ กิเลสทั้งหลายก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวเลยก็ว่าได้ เมื่อรู้อีกทีก็จมอยู่กับความทุกข์เสียแล้ว หรืออย่างอ่อน ๆ ก็เป็นเรื่องจิตตก คือหมายถึงตกจากอกุศล และความดี อย่างเลวร้ายคือถูกกิเลสครอบงำจนโงหัวไม่ขึ้น
การแช่อิ่มทางความคิดนี้ยังมีอีก คือการยึดติดกับความเห็นผิดขั้นสามัญ หมายถึง ขั้นปกติทั่วไป เช่น ความไม่เชื่อในเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องบาป บุญ คุณโทษ ไม่เชื่อเรื่องการทำดีแล้วได้รับผลแห่งความดีตอบแทน เป็นต้น แม้ว่าบางคนจะมีนับถือพุทธศาสนาแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่นับถือพุทธศาสนาจะมีความเห็นชอบหมดเหมือนกันทุกคน เพราะส่วนใหญ่ก็นับถือสืบทอดตาม ๆ กันมา มีศรัทธาเป็นหลัก เช่นเราเห็นพระพุทธรูปบางครั้งก็ยกมือไหว้เอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก แต่บางครั้งก็เป็นศรัทธาที่ออกแนวนอกลู่นอกทาง เช่น พวกที่นับถือภูต ผี ปิศาจ ทรงเจ้า เข้าผี รวมไปถึงพวกที่กราบไหว้รูปปั้นแปลก ๆ ต้นไม้ ผีสาง ทั้งผีปลอมผีจริงบ้าง พวกสักยันต์เล่นของ เสกคาถา เป่ามนต์ดำ เป็นต้น นับวันพุทธศาสนาที่แท้จริงกำลังจะถูกสิ่งเหล่านี้เกลือนกินไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ แทรกซึมเข้าเบียดเบียนความรู้ทางศาสนาที่แท้จริงออกไป เหมือนกับเอามันเทศแช่ลงไปในน้ำเชื่อม เมื่อเวลานานเข้าไป ความหวานก็จะเข้าไปทดแทนรสชาดที่แท้จริงของมันเทศ ทำให้ทุกครั้งที่เรากินเราจะไม่รู้รสชาดที่แท้จริงของมันเทศได้เลย เพราะถูกทดแทนด้วยความหวานไปเสียหมด
การแช่อิ่มทางความคิดนี้ ใครสามารถคลายได้ก่อน ก็พบความสุขที่แท้จริงได้ก่อน ส่วนคนที่ยังไม่สามารถคลายความเห็นได้ในตอนนี้ ก็ต้องสั่งสมบารมีกันต่อไป อย่างพึ่งกินลูกท้อเสียก่อนล่ะครับ...
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.egonzehnder.com มากมาย ครับ
Create Date : 08 พฤศจิกายน 2554 | | |
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2554 8:29:32 น. |
Counter : 367 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
๓๒๓ - เยื่อใยแห่งตัณหา ๓
ความเดิมจากตอนที่ ๒
“ผมก็ไม่ทราบแน่ชัด เพียงแต่รู้อย่างเดียวว่าต้องเดินไปทางทิศใต้เรื่อย ๆ ” ชายเจ้าของบ้านพยักหน้ารับ ดูเหมือนการไต่ถามเรื่องนี้เป็นแค่เพียงการถามเพื่อชิมลางเท่านั้น
“ท่านเดินทางโดยไม่ทราบที่อยู่ของจุดหมายได้อย่างไร ข้าว่าจะเสียเวลาไปเปล่าหรอกนะ เมืองนี้ก็อุดมสมบูรณ์รุ่งเรืองอยู่ ไม่อยากตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่หรือกระไร ” ชายเจ้าของบ้านเชิญชวน
“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่เคยคิดหรอกครับ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาก็ถูกเชิญชวนอย่างนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว” ชายนักเดินทางตัดบท
“น่าเสียดายจริง แต่ข้าก็อนุโมทนาในความมุ่งมั่นของพ่อหนุ่มนะ ว่าแต่พอจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแขนซ้ายของเจ้าได้ไหมว่า มันเกิดอะไรขึ้น ”
“เรื่องนั้นมันนานมากแล้วครับ สมัยที่ผมกำลังยกเลิกการเดินทางและใช้ชีวิตอยู่กับคนรัก และแล้วไม่นานก็เกิดไฟบรรลัยกัลป์ขึ้นมา ผมหนีรอดมาได้หวุดหวิด แต่คนรักของผมต้องเสียชีวิต ส่วนผมก็ต้องเสียแขนซ้ายไปอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละครับ ” ชายนักเดินทางเล่าอดีตอย่างคร่าว ๆ
“เสียใจด้วยนะพ่อหนุ่ม ช่างเป็นโศกนาฎกรรมที่โหดร้ายจริง ๆ ”
“ใช่แล้วครับ เหตุการณ์ครั้งนั้นย้ำให้ผมต้องออกเดินทาง ไปยังดินแดนที่พ้นจากพิษภัยต่าง ๆ นั่นคือนิพพานครับ ”
“อย่างนี้เองสินะ แต่ที่นี่ไม่มีไฟบรรลัยกัลป์หรอกนะ สบายใจได้ ” ชายเจ้าของบ้านพูดพรางหัวเราะไปด้วย แต่ในความเป็นจริง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสังสารภพ และการเกิดใหม่ของจักรวาล ทุกดินแดน ทุกพื้นที่ย่อมไม่สามารถรอดพ้นไปจากหายนะได้ มนุษย์ผู้มีอายุขัยสั้นดั่งมดปลวก มีความยึดแน่นในตัณหา และความเชื่อมั่นในความมีตัวตน ย่อมไม่อาจจะรับรู้ได้
ชายนักเดินทางยิ้มฝืน ๆ ยอมรับในความปรารถนาดีของเจ้าของบ้าน ในขณะที่ชายทั้งสองกำลังสนทนากันนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูเรียกเป็นสัญลักษณ์ในการขออนุญาตขอเข้ามาในห้อง
“เข้ามา...” ชายเจ้าของบ้านร้องบอก เสียงประตูเปิดออก ผู้ที่กำลังเข้ามาเป็นหญิงสาวสวย สวมชุดประจำท้องถิ่น สีชมพูอ่อน เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่มีการประดับด้วยเรื่องเพชรอัญมณีดูพองาม ด้วยวัยที่ยังเป็นรุ่นสาวกำลังแรกแย้ม การอยากรู้อยากเห็นของเธอนั่นเป็นแรงจูงใจสำคัญ เพราะเดือนก่อน เธอฝันติดต่อกันอยู่หลายครั้งของการมาเยือนของคนผู้หนึ่งที่อยู่หลังไอหมอก แม้ภาพในความฝันนั้นจะดูเลือนลาง แต่เธอเองก็จำลักษณะของชายผู้นั้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งแขนซ้ายของเขาคนนั้นก็ไม่มีเหมือนคนปกติทั่วไป หลังจากเมื่อวานที่ได้ทราบข่าวว่าพ่อของเธอซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน นำแขกผู้มาจากต่างถิ่นมาพัก หัวใจของเธอก็ยิ่งเต้นแรงขึ้น และแน่ใจว่าต้องเป็นบุคคลที่เธอเห็นอยู่ในความฝันทุกคืนเป็นแน่ เพราะอำนาจแห่งเยื่อตัณหาในอดีตชาติภพก่อนนั่น ซึ่งได้ผูกคนทั้งสองไว้นั่นเอง ให้กลับมาพบกันอีก แม้จะต่างสถานะและสถานที่ แต่กิเลสตัณหา มันก็สามารถที่จะทำงานได้อย่างไม่หยุดหย่อน
สายตาของเธอมองดูชายนักเดินทางอย่างไม่กระพริบ เช่นเดียวกับชายนักเดินทางเอง ก็ประหลาดใจ และมีความสั่นรัว ตื่นเต้นอย่างผิดปกติเมื่อพบเธอคนนั้น
“อ้าว...ลูกรัก มีธุระอันใดหรือ จึงเรียบด่วนเข้ามา ” ชายเจ้าของบ้านผู้เป็นพ่อถาม
“ลูกมีอาหารพิเศษมาให้ค่ะ เพิ่งทราบว่าพ่อกำลังมีแขก” หญิงคนนั้นพูดพร้อมหยิบอาหารในถาด ซึ่งใช้เป็นข้ออ้างแก้ขัดได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้
“อ๋อ ดีเลย นี่คือชายต่างถิ่น เขามาพักในเมืองเราเพื่อหาเสบียงเดินทาง พ่อเลยขอให้มาพักที่บ้านเรา เพื่อไตร่ถามความเป็นไปของโลกภายนอกน่ะ พรุ่งนี้เช้าเขาก็จะไปแล้ว ”
ชายหญิงทั้งสองต่างจ้องมองตากัน ไม่ช้าอนุสัญญาในอดีตชาติภพ ก็แสดงอำนาจให้คนทั้งสองสามารถระลึกชาติได้ และจดจำกันได้ในที่สุด
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //firodosia.comมากมาย ครับ
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2554 | | |
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2554 21:55:00 น. |
Counter : 584 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
๓๒๒ - เยื่อใยแห่งตัณหา ๒
ต่อจากตอนที่ ๑
ในเบื้องหน้าของชายนักเดินทางเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่มีความมั่งคั่งไปด้วยเพชร พลอย และอัญมณีที่มีค่า ซึ่งมีอยู่มากมายกลาดเกลื่อนไม่ต่างอะไรกับก้อนหินที่มีบนโลกมนุษย์ เขายืนตะลึงงึงงันในความงามของเมืองนี้ แม้ในระยะไกลขนาดนั้นก็ยังวิจิตจับใจยิ่งนัก หากเขาไปชมใกล้ ๆ กว่านี้จะวิเศษเพียงใด เพราะตั่งแต่เขาเกิดมาก็ไม่เคยเห็นเมืองที่มั่งคั่งและสวยงามขนาดนี้มาก่อนเลย ชายนักเดินทางเดินข้ามแม่น้ำเล็ก ๆ หวังจะเข้าไปในเมืองและขอเสบียงสำหรับการเดินทางต่อไป แต่ว่ากลิ่นหอมของดอกไม้เมื่อครู่ต่างหาก ที่เป็นแรงจูงใจให้เขาเดินเข้าไปในเมืองในครั้งนี้
“หยุดก่อน ๆ พ่อหนุ่มน้อย...กำลังจะไปไหน” เสียงใครบางคนที่ดูเหมือนจะเป็นยามรักษาการณ์ประตูเมืองร้องบอก
“สวัสดีครับ คือผมเป็นนักเดินทาง และกำลังจะเดินทางไปดินแดนนิพพาน อยากจะขอเข้าไปในเมืองเพื่อหาเสบียงสำหรับการเดินทางนิดหน่อย ” ชายนักเดินทางพูด
“อย่างนั้นเรอะ พ่อหนุ่มมีใบอนุญาตหรือเปล่า? ”
“ผมไม่มีหรอกครับ ผมเป็นคนต่างถิ่น ”
“งั้นก็เสียใจด้วย คนต่างถิ่นที่มีใบอนุญาตเท่านั้นถึงจะเข้าไปในเมืองได้ เลี่ยงไปที่อื่นเสียเถอะ...” ชายนักเดินทางได้ยินถึงกับคอตก
“อ้าว ๆ ตะโกนเสียงโวยวาย มีเรื่องอะไรกันรึ?... ” เสียงชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะมีตำแหน่งใหญ่โตร้องออกมา ชายผู้นั้นแต่ตัวด้วยเสียผ้าสีสันฉูดตา ประดับประดาด้วยเครื่องเพชรเม็ดเล็ก ๆ มีสร้อยระย้าตามเอวและชายเสื้อ ดูเป็นชายวัยกลางคนที่ท่าทางเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง
“ครับนายท่าน พ่อหนุ่มผู้นี้กำลังจะขอเข้าเมืองเพื่อหาเสบียงอาหาร แต่เขาไม่มีใบอนุญาตครับ ” นายทวารรายงาน
“จริงรี พ่อหนุ่ม...” ชายคนนั้นมองดูชายนักเดินทางที่มีท่าทางอิดโรย แถมแขนซ้ายก็ขาดดูเป็นคนพิการที่น่าเวทนายิ่งนัก
“จริงครับ ผมกำลังจะเดินทางต่อไปยังดินแดนนิพพาน แต่ว่าเดินหลงทางอยู่ในป่าเสียหลายวัน เสบียงสำหรับเดินทางก็หมด โชคดีที่เดินทางมาเจอเมืองนี้เสียก่อน ” ชายนักเดินทางอธิบาย ด้วยเสียหน้าที่เป็นมิตร
“ท่าทางเจ้านี่ไม่ได้มาคิดการร้ายอะไร แถมท่าทางอิดโรยและยังพิการอีก งั้นข้าจะอนุญาตเข้าเมืองได้ ๓ วัน ทหารช่วยนำชายผู้นี้ไปทำประวัติ ตรวจสอบข้อมูล และตรวจค้นให้ละเอียด และให้ใบอนุญาตชั่วคราว แล้วนำไปพักยังห้องรับรองที่จวนของข้า...” ชายผู้นั้นออกคำสั่ง
“พ่อหนุ่ม เดียวมาพักที่บ้านข้าก่อน เพราะเจ้ามีเรื่องที่ข้าน่าสนใจ นั่นคือ เมืองนิพพาน ข้าสนอยากจะคุยด้วย...ยังไงก็อย่าปฏิเสธเลยนะ” ชายนักเดินทางพยักหน้ารับ
เขารู้ดีใจและแปลกใจในเวลาเดียวกัน ทำไมชายผู้นี้ถึงใจดีนัก และเข้ามาในเวลาที่ถูกจังหวะเสียด้วย ซึ่งสิ่งที่ชายนักเดินทางฉงนใจและไม่มีวันที่จะรู้ได้นั้น แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงตัวละครฉากแรก ที่เกิดจากการปั้นแต่งของสมุนมารเท่านั้นเอง
ชายนักเดินทางไดัรับการต้อนรับจากเจ้าของบ้านอย่างดีเยี่ยม เขารู้สึกเกรงใจต่อไมตรีของคนในเมืองได้อย่างมาก หลังจากบ่ายวันที่สองของการเข้ามาพักในเมือง ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เรียกตัวชายนักเดินทางเข้าไปพบ
“เป็นอย่างไรบ้างพ่อหนุ่ม อาหารการกิน ที่พักอาศัยเรียบร้อยดีไหม ” ชายเจ้าของบ้านผู้มั่งคั่งกล่าวทักทาย
“เรียบร้อยดีมากครับ ผมต้องขอบคุณท่านมากที่ให้เกียรติต้อนรับผมมากขนาดนี้ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ” ชายนักเดินทางพูดอย่างนอบน้อม
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย บ้านเมืองนี้ถึงแม้จะโอ่อ่า รุ่งเรืองก็จริง ๆ แต่อนิจจา มันตั้งอยู่กลางหุบเขาการเดินทาง คมนาคมไม่สะดวก นาน ๆ จะมีแขกต่างเมืองเข้ามาพัก หรือเยี่ยมเยือนบ้าง ว่าแต่พ่อหนุ่มจะเดินทางไปดินแดนนิพพานกระนั้นรึ..” ชายเจ้าของบ้านถามเข้าประเด็น
“ถูกต้องแล้วครับ ผมปรารถนาเดินทางไปยังดินแดนที่สงบแห่งนั้น ”
“ได้ข่าวว่ายังไม่มีใครเคยไปถึงไม่ใช่หรือ แล้วดินแดนที่ว่านั้นอยู่แห่งใดกัน ” ชายเจ้าของบ้านร้องถาม
<อ่านต่อในเยื่อแห่งตัณหา ๓>
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //starchildglobal.comมากมาย ครับ
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2554 | | |
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2554 21:00:11 น. |
Counter : 420 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
๓๒๑ - ความเชื่อและความเห็น
ทุกวันนี้หากมีใครสักคนพูดเรื่องหรือคุยเรื่องศีลธรรมหรือเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่ฝืนต่อกิเลสหรือความรู้สึกที่ค้านต่อความคิดของตัวเอง เขาจะพยายามฉีกตัวออกห่าง และชวนคุยเรื่องอื่นมากกว่า ซึ่งมองดูก็เป็นเรื่องที่ปกติของคนทั่วไป เพราะส่วนตัวข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นคนที่ชอบพูดชอบเถียงมาก หากใครที่ชวนคุยและรู้สึกถูกคอก็จะคุยได้นาน แต่จะหาคนที่คุยเรื่องธรรมได้ถูกใจนั้นแทบยากแสนยาก ที่มีก็ออกแนวอวดอ้างตัวเองมากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายที่สุด
ส่วนเรื่องของการดื่มกิน เครื่องดื่ม สุรา ปลาปิ้ง แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยชอบมากมาย และไม่คิดว่าจะเลิกได้ แต่ก็สามารถที่จะทำได้ มันเป็นความภูมิใจที่แสนจะภูมิใจเลยทีเดียว ซึ่งไม่อาจจะเล่าให้พวกคอสุราแล้วเขาสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เพราะเขายังมองไม่เห็นความเสื่อมอันเกิดจากสุราได้ น่าแปลกที่เมืองเรานับถือศาสนาพุทธแต่ เรื่องเหล้าสุรากับการรักษาศีลดูน้อยมาก (ข้าพเจ้าอาจจะคิดมากไปเองก็ได้) แต่เท่าที่สัมผัสกับคนที่อยู่รอบข้างมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คนสมัยนี้เริ่มมองศาสนาเปลี่ยนไป ว่าเป็นความเชื่อถืองมงาย ไม่ทันสมัยเหมือนกับวิทยาศาสตร์ ทุกคนมักจะพูดกันติดปากว่า ศาสนาเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่แต่งมาลอย ๆ หรือนักเข้าไปใหญ่คิดถึงกับว่าตนเองไม่ต้องนับถือศาสนาก็ได้ ประมาณนั้น
ซึ่งในแท้จริงแล้วพุทธศาสนา หาใช่เป็นศาสน์ที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ตรงกันข้ามทีเดียว ความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ หรือที่เราเรียกว่าพระธรรมนั้น รอให้เราเข้าไปสำรวจและทันสมัยต่อการพิสูจน์ทุกกาล ทุกสมัย เพียงแต่เรากล้าหรือเปล่าที่จะพิสูจน์เท่านั้นเอง ซึส่วนความคิดประเภทที่มองพุทธศาสนาเป็นเรื่องหลอกลวงนี้มันมีมานานนม ตั่งแต่สมัยพุทธกาลก็มีมาแล้วเยอะแยะ จนมาถึงคนสมัยนี้ก็ยังไม่อาจจะละความคิดเห็นผิดขั้นหยาบนี้ได้ นั่นเพราะเหตุของความเห็นที่เราสั่งสมกันมานานมาก มันเป็นตัวการสำคัญทำให้เรามองสิ่งต่าง ๆ คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง เพราะขาดความรู้ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คำว่าต่อเนื่องนี่ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงชาติ แต่หากต้องอบรมการติดต่อมามากมายหลายต่อหลายชาติ ซึ่งหากนำไปพูดกับคนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด คนพวกนั้นก็จะส่ายหัวไม่ยอมรับอีก มันก็เลยไม่ยอมเข้าไปพิสูจน์กันเสียที เพราะกำลังของศรัทธา ปัญญอ่อนแรงเกินไป คนเหล่านี้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือความรวดเร็วไม่ช้าก็ต้องตกเป็นอาหารเต่า อาหารปลาในกาลข้างหน้าอย่างแน่นอน
สำหรับคนที่เริ่มหันมามองพุทธศาสนา และมีความคิดที่ถูกต้องชอบธรรมดีแล้ว และรักในการให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าเองก็ขออนุโมทนาด้วย แม้จะไม่ได้รู้จักทุกท่านก็ตามที เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นบุญใหญ่ เป็นสิ่งที่จะติดตัวท่านไป และช่วยเกื้อหนุนให้เรามีอัติภาพมราไม่ต้องตกต่ำในภพเบื้องหน้า
สำหรับคนที่มีความเห็นผิด เชื่อว่าโลกหน้าไม่มี สวรรค์ไม่มี นรกก็ไม่มี เราอาจจะรู้สึกสงสารในการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ของเขาในครั้งนี้ แต่หากคุยด้วยเขาเหล่านั้นอาจจะรู้สึกสงสารพวกปฏิบัติธรรมอย่างเรา ๆ มากกว่าก็ได้ เพราะชีวิตในสายตาพวกเขามีแต่ความจืดชื่นไม่มีชีวิตชีวาอะไร เที่ยวกินอะไรก็ไม่สนุก อะไรประมาณนี้
สิ่งเหล่านี้หาก เจอกับตัวและไม่สามารถสามารถช่วยเหลืออะไรได้ หรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ในตอนนี้ ก็จำเป็นต้องวางอุบกขาปล่อยไปก่อน คิดเสียว่านี่คงเป็นกรรมของเขาที่ต้องชดใช้ หากแต่บุคคลนั้น ๆ เป็นญาติมิตรก็คงต้องช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเสียก่อน หากไม่ไหวจริง ๆ ก็ใช้วางอุเบกขาเสีย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียเวลากับคนเหล่านี้ (ฟังดูใจร้ายนะ) แต่ขึ้นชื่อว่ากรรม และบารมีธรรมแล้วก็ต้องเป็นของใครของมัน ต่อให้พระพุทธเจ้ามาโปรดหากบารมีเดิมไม่มีก็หมดสิทธิ์ ตั้งหน้าตั้งตาเวียนเกิดเวียนตายในสังสารภพต่อไปได้เลย
เคยกล่าวถึงบารมีกันไปบ้างแล้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยเขียนไว้ประมาณ สี่ ห้า บท แต่เป็นเรื่องที่กระจายอยู่เลยไม่รู้ว่าแฝงอยู่ในบทไหน คนที่สนใจธรรมะ แต่เลิกกลางคันเพราะเหตุคิดว่าบารมีของตัวเองไม่ถึง หรือมีไม่พอ ก็อย่าเพิ่งท้อใจ ความจริงแล้วบารมีของคนที่เกิดมาใน ประเทศนี้ และพบพุทธศาสนาต่างก็สั่งสมบารมีกันมาพอสมควรทั้งนั้น ทุกคนสามารถมีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมเหมือนกันได้หมด หากแต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายดายเหมือนกับการปลอกกล้วย เพราะแม้จะมีบารมีเป็นทุนเดิม แต่ในปัจจุบันก็ต้องขวนขวายให้มากขึ้น เพียงคนที่ขาดความพยายามก็จะเสียกำลังใจและท้อใจในที่สุด ซึ่งหากพิจารณาให้ดี หากท่านตายไปก็จะต้องคิดเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน เพราะการจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ยากแสนยากยิ่ง พระพุทธเจ้าท่านจึงอุปมาเปรียบเหมือนเต่าตาบอดที่ว่ายอยู่ใต้ทะเลทั้งสี่ ในหนึ่งร้อยปีจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำสักครั้งหนึ่ง เป็นการยากหรือง่ายประการใดเล่า ที่เต่าตัวนั้นจะเอาหัวรอดเข้าไปในบ่วงที่ลอยอยู่บนน้ำทะเลซึ่งมีคลื่นซัดโคลงเคลงไปมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้นการกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ของวิสัยแห่งคนพาลก็ยากเช่นกัน
ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.sangkapan.comมากมาย ครับ
Create Date : 31 ตุลาคม 2554 | | |
Last Update : 31 ตุลาคม 2554 8:21:23 น. |
Counter : 579 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]
|
ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้ ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน
|
|
|
|
|
|
|
|