ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๒๗๔ - ตะกอน




ในสมัยที่ข้าพเจ้ายังเด็ก มีอยู่ช่วงหนึ่งต้องตามพ่อกับแม่ไปทำงานที่ไร่ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวบ้านพักพอสมควร ข้าพเจ้ายังนึกอยู่เสมอว่า สิ่งจำเป็นสิ่งหนึ่งที่พ่อกับแม่ต้องมีติดตัวไว้คือ สารส้ม สาเหตุเพราะน้ำที่เราใช้กินเป็นน้ำบาดาล เมื่อสูบขึ้นมา น้ำจะมีความขุ่นค่อนข้างมาก แม่ของข้าพเจ้าจะเอาสารส้มแกว่ง เพื่อให้ตะกอนของเศษดิน ทรายนอนก้นเสียก่อน รอสักพักหนึ่งน้ำที่ได้ก็จะใสขึ้น เพียงพอที่จะใช้ดื่มกินได้ นี่เป็นวิธีง่าย ๆ ในการทำให้น้ำสะอาดขึ้น

ในกระบวนการซักฟอกของจิตก็ไม่ต่างกัน การที่จะทำให้จิตเราใสสะอาดได้ต้องอาศัยการประพฤติ ปฏิบัติ ตามหลักแห่งศีล สมาธิ ปัญญา ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอาศัยความพากเพียรอุตสาหะ ความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้าต่าง ๆ นา ๆ
กว่าที่จิตของเราจะบริสุทธิ์ได้ จึงต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ เป็นเวลานานแสนนาน บางครั้งอาจจะยาวนานถึงอสงไขยเลยก็ได้ แต่ทว่าต่อให้ยาวนานสักเพียงใด แต่ก็นับว่ายังสั้นกว่าการที่เราต้องทนต่อการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏนี้เสียอีก

ซึ่งบางครั้งกาลเวลาอาจจะทำให้ทำท้อใจ ไม่ปฏิบัติธรรมต่อและคิดไปเองว่า ตัวเองไม่มีบุญวาสนาบารมีเพียงพอที่จะบรรลุธรรมได้ เพราะต้องใช้เวลาอีกนานแสนนาน
แต่ใครจะทราบได้ การที่เรามาเกิดในดินแดนที่มีพระพุทธศาสนานี้ แสดงว่าเราก็ต้องบำเพ็ญบารมีมาอย่างมากมายแล้ว และมีความพร้อมที่จะรู้ธรรมตามพระพุทธเจ้าได้

หากแต่กฎแห่งกรรมที่หมุนกงล้อแห่งวัฎฎะนั้น มันมีความแยบยลมากกว่านั้น บางคนที่มีสติปัญญาดีมาในอดีต แต่จากกฎแห่งกรรมธรรมเกิดในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ห่างไกลต่อพุทธศาสนา ก็ขาดปัจจัยเกื้อหนุนยากที่จะเรียนรู้ธรรม หรือบางคนที่มีโอกาสเกิดใกล้กับศาสนาวัดวา แต่ก็ทิ้งประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ หันไปหาสิ่งยั่วยวนที่ทางโลกเสกสรรให้มากกว่า ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

คนที่เกิดมาภายใต้ร่มเงาของพุทธศาสนาแห่งนี้ นับว่ามีทุนแห่งบารมีเดิมมาแล้วมากกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือ ความศรัทธา ศีล สมาธิ ปัญญา จะต้องขวนขวาย และมีการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอในปัจจุบัน ณ ชาตินี้

ดังนั้นจิตที่ขุ่นมัว เป็นดั่งน้ำบาดาลที่เจาะขึ้นมาใหม่ ๆ หากเรารู้จักวิธีการแกว่งสารส้ม และกระทำอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้กุศลและอกุศลจิตแยกแยะจนตกตะกอนชัดเจน วันนั้นเราก็จะได้ความบริสุทธิ์แห่งจิตในเวลาไม่นาน

และจากหัวข้อข้างต้น เราสามารถเรียนรู้ได้ว่า "สารส้มสามารถทำให้น้ำใสเร็วขึ้นได้ฉันใด ธรรมะก็สามารถที่จะทำให้จิตของมนุษย์และเทวดาบริสุทธิ์ได้เร็วขึ้นฉันนั้น" ขอเพียงเราตั้งใจอย่างแท้จริง ไม่นานก็จะบังเกิดผลอย่างแน่นอน ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกนับชาตินับภพอีกหลายอสงไขย

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //images.thaiza.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 07 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2553 22:24:16 น.
Counter : 516 Pageviews.  

๒๗๓ - ความเสมอของสุขและทุกข์



ตามปกติของคนทั่วไป ในยามที่มีสุขย่อมไม่ค่อยเข้าหาวัด หรือศึกษาเรื่องธรรมะกันนัก เหตุนั้นเพราะความสุขนั้น บังใจเราเอาไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งชีวิตเราได้รับความทุกข์ เราก็จะร้องโหยหาทางออก โดยทางออกหนึ่งในนั้นก็คงเป็นศาสนา หรือบางคนก็เข้าสิ่งศักดิ์ อ้อนวอนร้องขอให้ความทุกข์ของตนเองหรือคนในครอบครัวจางหายโดยพลัน หรือบางคนมีปัญหาชีวิต หากเป็นผู้ชายสิ่งที่คิดได้อย่างหนึ่งก็คือการบวช โดยหวังว่าศาสนาจะเป็นที่พักใจ และช่วยเป็นกรอบกำบัง เพื่อให้ความทุกข์ลดน้อยลง

บางคนมีปัญหาชีวิตในเรื่องการงาน เช่น ทำงานมีอุปสรรค ไม่ราบรื่น เจอปัญหาเรื่องหนี้สิน ก็บ่นว่าคงทำบุญมาน้อย ก็ต้องเสาะแสวงหาที่ทำบุญถวายสังฆทาน โดยมุ่งหวังว่าผลแห่งทานนั้น จะมีผลช่วยบรรเทาทุกข์ในปัจจุบันของตนได้จางหายลงไป

บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ความไม่สมหวัง ก็เฝ้าวิงวอนขอ พระพุทธรูปให้ช่วยเหลือ โดยไม่ได้คิดให้ดีว่า พระพุทธรูปนั้นท่านก็ไม่มีคู่อยู่แล้ว เหตุใดจะมีอำนาจในการแสวงหาจัดคู่ให้ชาวโลกได้สมหวังกันทุกคนได้

ปัญหานั้นจึงมีอยู่เยอะแยะมากมายในโลกปัจจุบัน แม้แต่ตัวเราเองก็มีปัญหา และบางครั้งก็เป็นตัวสะสมปัญหาเสียเอง แต่ที่เลวร้ายที่สุด นอกจากจะมีปัญหาขอตัวเองที่แก้ไขไม่ตกแล้ว ยังจะมีส่วนให้คนที่อยู่รอบข้างเดือดร้อนไปด้วยก็มี

ทางแก้ของปัญหาต่าง ๆ นั้นมีที่ไปที่มาของมัน เพียงแต่เราไม่ได้มีสติหรือปัญญาในการสางปมของปัญหานั้น ๆ เหตุเพราะเรามีพุทธศาสนาที่สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้ทุกระดับ แต่เราพอใจเพียงเรียนรู้พุทธศาสนาแต่เพียงเปลือกเพียงกระพี้ มีทุกข์ทีไรก็ค่อยแวะเข้าหาวัดหาเจ้ากันสักที พอหมดทุกข์ศาสนาวัดวา ก็อยู่นอกสายตาหมดความหมายไป เรื่องนี้คงยากจะปฏิเสธสำหรับสังคมในปัจจุบัน
แต่อย่างน้อยก็ดีหน่อยที่เราก็ยังมีที่พักใจ ไม่ให้คิดอะไรฟุ้งซ่านจนไป เช่น การหาทางออกโดยการฆ่าตัวตาย

สี่ปีก่อนเคยมีคนถามข้าพเจ้าว่า "หากถูกหวยได้เงินมาหนึ่งล้านบาทจะเอาเงินไปทำอะไรบ้าง "
ข้าพเจ้าตอบว่า "จะนำไปทำบุญสัก สี่แสนบาท "
คนที่ถามก็ดูสีหน้าไม่ชื่อ ปน ๆ กับความแปลกใจ แต่ก็นั่นเอง คนเรามักจะมีความโลภความเห็นแก่ตัว ไม่ยอมแบ่งโชคลาภวาสนาในปัจจุบัน เพื่อสะสมไว้ใช้ต่อไปในอนาคต การทำบุญก็ไม่ต่างอะไรกับกับการฝากเงินในธนาคาร ยิ่งฝากนานดอกเบี้ยก็ยิ่งเยอะเป็นสัดส่วนกัน (ส่วนการทำบาปก็ไม่ต่างกัน )

หากวันหนึ่ง หรือ วันนี้ก็ตาม ถ้าท่านกำลังมีความสุขอยู่ ขอให้ท่านน้อมใจไปมองดูความทุกข์ และสำเนียกตัวเองไว้ว่า วันข้างหน้าเราจะต้องทุกข์ ๆ อย่างนี้เสมอ และ หมั่นเข้าวัดกันในตอนที่มีความสุข เพราะเมื่อเราเข้าวัดในตอนที่มีความสุข จิตใจเราก็จะเบิกบาน กำลังแห่งบุญย่อมสูงกว่าตอนที่มีความทุกข์ แล้วหนีเข้าวัดอย่างแน่นอน

อีกอย่างหนึ่งการสำเนียงระลึกถึงความสุขความทุกข์อยู่เสมอ เป็นการระลึกถึงความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวง เป็นการฝึกวิปัสสนาไปในตัว เพราะหากวันหนึ่งข้าง เราเกิดมีความทุกข์ใด ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าทุกข์นั้นจะร้ายแรงเพียงใด เราก็จะมีภูมิคุ้มกัน พร้อมยิ้มรับกับทุกข์นั้น มีกำลังของสติ ปัญญา ช่วยในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ ให้ผ่านไปได้โดยง่าย...ครับ

ขอขอบคุณ รูปภาพที่น่าประทับใจจาก //img294.imageshack.usมากมาย ครับ




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2553    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2553 8:12:46 น.
Counter : 389 Pageviews.  

๒๗๒ - กลไกของจิต



ธรรมชาติการปรุงแต่งของจิตนั้น ไม่ว่าจะกุศลหรืออกุศลก็ดี ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าไปบีบบังคับให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ หรือ หากได้ก็ต้องมีสมาธิสูง ใช้กำลังใจในการบังคับมาก ธรรมดาของสัตว์ทั้งจึงไม่มีอำนาจในการฝืนต่อ การปรุงแต่งของจิตได้ นอกจากจะได้รับการฝึกปฏิบัติอย่างถูกวิธี หลายต่อหลายชีวิตยอมปล่อยให้จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสฝ่ายต่ำ เพราะไม่อาจจะฝืนต่อความปรุงแต่งของรูปภายในและภายนอก

เปรียบดั่งฟันเเฟืองของเครื่องยนต์ ที่ส่งถ่ายกำลังกันเป็นทอด ๆ จากลูกสูบ ไปยังชุดเกียร์ เพลา ล้อ การหมุนนี้สืบต่อกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว เราไม่สามารถนับได้ด้วยตาเปล่าว่า รอบของเครื่องยนต์นี้หมุนไปแล้วกี่รอบต่อวินาที การสืบต่อการปรุงแต่งของจิตนี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะมันสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว จาก อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะฯ รถนี้เคลื่อนที่ได้เป็นการสืบต่อของพลังงานผ่านฟันเฟือง เพลา ล้อ

การที่จะเข้าไปขัดจังหวะการทำงานของจิตได้นั้น จึงจำเป็นต้องมีระดับของสมาธิที่สูง เพราะจิตของเราเกิดดับเร็วมาก แต่ทว่าสัตว์ในไตรภพส่วนใหญ่จะไม่ยอมที่จะเรียนรู้ ธรรมชาติการปรุงแต่งนี้ เหตุเพราะบางพวกยังมีความสุขอยู่มาก มองไม่เห็นทุกข์ บางพวกมีทุกข์มาก มองไม่เห็นสุข การที่จะเรียนรู้ธรรมเหล่านี้ได้ จึงต้องเป็นพวกที่มีทั้งสุขและทุกข์อยู่ นั่นคือภพของมนุษย์

แต่ก็ใช่ว่าเกิดในภพของมนุษย์แล้วจะสามารถเรียนรู้ เรื่องการปรุงแต่งของจิตนี้ได้เองง่าย จะต้องอาศัยคนที่มีความรู้อย่างพระพุทธเจ้าสั่งสอน สืบต่อกันมาอีกที เพราะสติของคนธรรมดาไม่อาจจะสืบเข้าไปตรัสรู้ธรรมเหล่านี้ได้ นอกจากคนที่สั่งสมบารมีมาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกเท่านั้น

อ่านแล้ว ดูอาจจะยากมากสำหรับคนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ เพราะแกนของพุทธนั้น คือการเข้าไปสืบดูกระบวนการภายในของจิต เพื่อหยุดวงจรแห่งการปรุงแต่ง เมื่อไม่มีการปรุงแต่งของจิต กิเลสก็เข้ามาครอบงำไม่ได้ ซึ่งก็เท่ากับการหยุดการเกิด หยุดชาติ หยุดภพ หยุดชรา ความทุกข์ในภายหน้าก็ย่อมไม่มี เพราะเชื้อแห่งการเกิดได้ดับสิ้นแล้ว...นั่นเอง

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //gotoknow.orgมากมาย ครับ




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2553    
Last Update : 24 ตุลาคม 2553 20:38:12 น.
Counter : 689 Pageviews.  

๒๗๑ - ผู้เฝ้าวัฏฏะ



อาทิตย์ก่อนได้ฟังพระเทศน์ในรายการวิทยุแห่งหนึ่ง พอดีกับได้สะดุดคำพูดคำหนึ่งนั่นคือ "ผู้เฝ้าวัฏฏะ” ฟังผ่านแล้วตั้งใจว่าจะลืม แต่มาลองทบทวนดูก็เป็นคำพูดน่าคิดมาก ก็เลยอยากจะเอาประโยคนั้นมา ขยายความเพิ่มตามทัศนะของตัวเองดูบ้าง

ผู้เฝ้าวัฏฏะ หมายถึงสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายเวียนเกิดอยู่ในสามภพ (กามภพ รูปภพ และอรูปภพ) รวมความถึงโลกมนุษย์ด้วย เพราะโลกมนุษย์ก็ตกอยู่ภายใต้กามภพ ซึ่งมีทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่สวยงามน่าพอใจ และที่ไม่น่าพอใจ สิ่งเหล่านี้เราหาได้ทั้งหมดบนโลกมนุษย์ ต่างจากกามภพในอีกมิติหนึ่งคือ นรก ซึ่งก็เป็นสถานที่กักขังของสัตว์ที่ยังติดข้องอยู่ในกามเช่นกัน และต้องอยู่ในสถานะที่แห่งนี้ เพื่อชำระล้างบาปอกุศลที่เคยก่อไว้ในอดีต ดังนั้นในนรก จึงมีแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจ มีความเจ็บปวดเร่าร้อน ซึ่งมีสภาพตรงกันข้ามกับสวรรค์ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งมิติ โดยสัตว์ผู้อาศัยบนสวรรค์ จะอยู่กันอย่างมีความสุข ไม่ค่อยมีความทุกร์ร้อน ให้ลำบากใจ แต่ก็อยู่ในระหว่างชดใช้กรรมเช่นกัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่สิ่งที่ตอบสนองนั้น มีแต่สิ่งที่น่าพอใจทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นนรก หรือ สวรค์ เมื่อหมดอายุขัย สัตว์เหล่านั้นก็ต้องพเนจร จุติไปยังภพ ภูมิ ตามกำลังและอำนาจของ กุศล และอกุศลที่เคยทำไว้ เปรียบดั่งเรือสำเภาลำใหญ่ ที่ต้องอาศัยทิศทางของลมในการเคลื่อนที่ หรือ ดั่งว่าวที่ต้องอาศัยลมในการลอยขึ้นบนท้องฟ้า เมื่อไม่มีลมพัดลมก็ตกลงมา และเมื่อมีลมพัดมาใหม่ เมื่อนั้นก็ลอยขึ้นอีก เป็นอยู่อย่างนี้เสมอ ๆ

วัฏฏะสงสารนี้จึงเป็นดั่งที่ทิ้งซากศพของสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีใครเลยที่จะไม่เคยตายมาก่อน และน้อยคนที่จะรู้จักอำนาจของวัฏฏะทุกข์แห่งนี้ นอกจากผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกผู้บรรลุธรรมตามคำสอนของพระองค์ ข้าพเจ้าเคยอ่านในพระสูตร สูตรหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า กระดูกของสัตว์ที่เวียนตายบนโลกนี้ หากไม่ย่อยสลายไปเสียก่อน จะมีมากมายมหาฬาร มากกว่าภูเขาบนโลกมนุษย์รวมกันเสียอีก

แต่อนิจจา หากสัตว์ทั้งหลายมีปัญญาเสมอกัน และไม่มีกิเลสแล้วไซร้ วัฏฏะสงสารนี้ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้

เราทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้จึงไม่ต่างอะไรกับผู้ที่เกิดมาเพื่อ เวียนเฝ้า เวียนแย่ง สมบัติเก่าที่ตัวเองทิ้งไว้ นั่นคือ ซากกระดูก ซากดิน ซากปุ๋ย ซากศพของตัวเราเอง ซึ่งเมื่อหมักไปนานไปก็กลายเป็นพลอย ทองคำ น้ำมัน ฯ เป็นสิ่งมีค่าขึ้นมา เพื่อกิเลสของมนุษย์พอกพูลขึ้นอีก ไม่ยอมให้มนุษย์นี้หนีจากวังวนของสังสารวัฏได้โดยง่าย

เราจึงม่ต่างอะไรกับผู้เฝ้าที่เวียนวนอยู่กับความทุกข์ ความสุข เมื่อใดที่มีสุขก็ลืมทุกข์ เมื่อใดที่มีทุกข์ก็โหยหาความสุข จะมีใครบ้างหนอที่ในขณะมีความสุขก็จะสำเนียกตัวเองว่า อีกไม่นานความทุกข์ก็คลานเข้ามาหาเรา หรือ คนที่เคยมีแต่ความสุข เมื่อได้ประสบกับความทุกข์บ้าง และไม่เคยรับรู้ถึงความทุกข์ ก็จะไม่สามารถยอมรับได้ และหาทางออกโดยการฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย

ดังนั้นการเป็นผู้เฝ้าวัฏฏะที่ดีนั้น คือ การรู้จักเรียนรู้ที่จะเป็นแค่ผู้เฝ้าดู คอยเฝ้าระวัง อย่าทำตัวกลายเป็นผู้เล่น ผู้แสดงเสียเอง ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่มีทางหลีกหนี พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ไปได้เลย

ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //www.weekendhobby.comมากมาย ครับ




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2553    
Last Update : 11 ตุลาคม 2553 8:30:27 น.
Counter : 602 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.