ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 

๑๔๕-วงล้อมของเงากิเลส



ฝนที่ตกมาในตอนเช้า ทำให้ชายนักเดินทางจำเป็นต้องหยุดการเดินทางสักพักหนึ่ง
เขาหาที่หลบฝนที่เงื้อมผาแห่งหนึ่ง เป็นที่เหมาะกับการหยุดพัก หยุดพิจารณาถึงการเดินทาง เมื่อไม่กี่วันมาที่ผ่านมา เขาได้พบกับคนที่เป็นอาจารย์ในอดีต ท่านเป็นคนที่ได้ให้คำแนะนำ อบรม สั่งสอนให้เขารู้จักการเดินทาง เพื่อไปสู่ดินแดนที่มีชื่อว่าพระนิพพาน

แต่เขาก็ต้องจำใจเดินจากผู้เป็นอาจารย์มา อย่างไม่อาจฝืนโชคชะตาตัวเองได้

ลมพายุได้พัดเอาความหนาวเหน็บเข้ามาเยือน อากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทาง เริ่มปรารถนาอยากจะได้สถานที่พักผ่อน ที่มีความมั่นคงมากกว่านี้

นานมาแล้วที่เขาไม่เคยหยุดการเดินทางเลย การได้พักเสียบ้าง คงพอจะทำให้ร่างกายและจิตใจได้ฝื้นตัวขึ้นมา ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่ล้า แม้แต่จิตใจของชายนักเดินทางก็เริ่มอ่อนล้าลงเช่นกัน เมื่อไม่สามารถหาที่ที่เหมาะสมมากกว่านี้ได้ เขาคิดว่าที่แห่งนี้แม้จะไม่ใช่ที่ที่ดีนัก แต่ก็คงสามารถให้ความปลอดภัยแก่เขาได้ในระดับหนึ่ง เขาจึงเอนตัวลงนอนราบกับพื้น แล้วหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

…

เสียงคุยของคนกลุ่มหนึ่งดังเข้ามากระทบยังโสตของชายนักเดินทาง เขาพยายามเปิดเปลือกตาออกมาเพื่อสำรวจดูเจ้าของต้นเสียง แต่เปลือกตานั้นก็หนักเอาการ มันไม่ยอมที่จะเปิดขึ้นได้ง่าย ๆ ตามคำสั่ง เขาฝืนพยายามอยู่นานที่บังคับเปลือกตาให้เปิดออก ในที่สุดก็สำเร็จ เขากวาดสายตามองบริเวณที่เขานอนอยู่ มีมนุษย์จิ๋วจำนวนมาก ตั้งวงล้อมเขาอยู่ ทุกคนมีหน้าตาเหมือนกันหมด แต่มีคนคนหนึ่งซึ่งท่าทางจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม เพราะมีความสูงกว่าคนอื่น และอยู่ใกล้ชายนักเดินทางมากที่สุด การสนทนาระหว่างชายนักเดินทางและมนุษย์จิ๋วจึงเริ่มต้นขึ้น

“ตื่นแล้วเหรอครับนาย...”มนุษย์จิ๋วผู้เป็นหัวหน้าพูด
ชายนักเดินทางรู้สึกตกใจกับสภาพของมนุษย์ตัวเล็กประหลาด และยังสามารถพูดสื่อสารกับคนได้อีก เมื่อเขาคืนสติได้จึงรีบไถลตัวไปชิดกับผนังของกำแพงหิน เพราะเริ่มไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง
“พวกคุณเป็นใครกัน แล้วผมอยู่ที่ไหน” ชายนักเดินทางถาม

มีเสียงหัวเราคิก ๆ ดังมาจากมนุษย์จิ๋วบางกลุ่ม แต่นั่นก็ได้ทำให้ชายนักเดินทางรู้สึกกังวลมากขึ้น
“อ้าว ...นายลืมพวกผมแล้วเหรอครับ พวกผมคือคนที่คอยช่วยเหลือนายตลอดเวลานะครับ”
“ช่วยเหลือผมอย่างนั้นหรือ ทำไมผมจึงไม่ทราบ หรือ เคยเห็นพวกคุณมาก่อนเลย” ชายนักเดินทางถาม
“นายเดินทางมาถึงที่นี่ก็เพราะพวกผมนะครับ พวกผมคือส่วนหนึ่งของนายนะครับ”
ชายร่างจิ๋วที่ตัวสูงที่สุดพุด

เรื่องพิศดาร ลึกลับได้เกิดขึ้นกับชายนักเดินทางมามากนักต่อนักแล้ว เรื่องนี้อาจจะเป็นอีกเรื่องซึ่งไม่เกินความคาดหมายของเขานัก เมื่อเขาคืนสติได้พอสมควรแล้วจึงถามต่อไปว่า

“ส่วนหนึ่งหรือ อะไรคือส่วนหนึ่งที่คุณบอก”
เสียงร้องไห้งอแง เริ่มดังขึ้นจากมนุษย์จิ๋วกลุ่มหนึ่่่่ง
”ความทรงจำของมนุษย์นี้ มีข้อจำกัดเหลือเกิน” มนุษย์จิ๋วคนเดิมเปรยขึ้น

ความทรงจำของมนุษย์เหรอ ชายนักเดินทางก็เป็นมนุษย์ เขาเรียนรู้แล้วว่าความทรงจำของ ผู้ที่เดินทางจะค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อย ๆ หรือว่าบุคคลจิ๋วเหล่านี้ คือเพื่อนที่ไม่ได้พบกันนาน เหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับผู้เป็นอาจารย์

เขาตัดสินใจที่จะสนทนา เพื่อดูท่าทีของมนุษย์จิ๋๋๋๋๋วกลุ่มนั้นไปก่อนสักระยะหนึ่ง
“พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของนายยังไงล่ะครับ นายเคยอยู่กับพวกเรามานานแสนนานแล้วครับ วันนี้เป็นวันที่พวกเราได้มีโอกาสออกมาจากตัวของนาย” คนที่ดูท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่มพูด

“พวกคุณคือ...” ชายนักเดินทางมีท่าทีพอจะนึกออก
“ใช่ครับ ผมคือ บรรดากิเลสที่อยู่กับตัวนายมานานแสน พวกเราเติบโตมาพร้อมกับนายครับ จริง ๆ แล้วต้องพูดว่ากับสัตว์ทุกตัวที่ยังอาศัยเกาะเกี่ยวอยู่ในวัฏฏะนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่สักหน่อย ที่นายสามารถมองเห็นพวกเรา และแยกแยะความเป็นจิตและตัวตนออกมาได้ คนทั่วไปที่ยังหลงไหล อยู่ในวงวนแห่งวัฏฏะ แม้ดวงตาของเขาจะเปิดกว้างอยู่ตลอดเวลา แต่หากยังไม่มองเห็นพวกเรา ก็ได้ชื่อว่าคน ๆ นั้นยังตาบอดอยู่ครับ” ชายคนนั้นอธิบายต่อ

ชายนักเดินทางพยายามจะเข้าใจเหตุและผลตามที่เขาอธิบายมา

“นายสังเกตุเห็นพวกเราดีแล้วใช่มั้ย พวกเราจริง ๆ แล้วมีมากกว่านี้อีก ที่นายยังมองไม่เห็น บางพวกเป็นพวกมารร้ายที่แฝงอยู่ในสันดานจิตที่ละเอียดที่สุด พวกนี้ไม่ค่อยจะแสดงตนมาหากว่ายังไม่ถึงเวลา พวกผมที่นายเห็นนี้ล้วนแต่เป็นกิเลสฝ่ายดีทั้งนั้น บางกลุ่มจะเป็นพวกที่อ่อนแอ อ่อนไหวต่อความรู้สึกผิดชั่ว บางพวกเป็นกลุ่มของศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ พวกนี้จะมาปรากฎให้นายได้เห็นก่อน ซึ่งตัวผมเองนั้นเป็นหัวหน้า มีชื่อว่าปัญญา” ผู้เป็นหัวหน้ากล่าว

“ปัญญาเหรอ ปัญญาที่หมายถึง ความรู้แจ้งเห็นจริงอย่างนั้นเหรอ” ชายนักเดินทางถาม
“ที่นายพูดถึงนั้นยังห่างไกลนัก ปัญญาที่นายว่าเป็นปัญญาที่สุงสุด ละเอียดที่สุด จะปรากฏให้นายเห็นเองหากถึงเวลาที่สมควร เมื่อถึงเวลานั้นนายอย่างรู้อยากเห็นสิ่งใด ก็จะไม่มีอะไรมาขัดขวางนายได้อีก”
ชายนักเดินทางพยักหน้ารับ เขามีคำถามอีกมากมายที่ต้องการถามชายที่มีชื่อว่าปัญญา แต่ด้วยความหนาวเหน็บ และลมกระโชกแรงวูบหนึ่งได้พัดผ่านมา ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน

-จบ-

ในชีวิตประจำวันของเรา ๆ ท่าน ๆ ต่างก็ประสบต่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ความผิดชอบชั่วดีกันไม่เว้นแต่ละวัน แต่ละวินาที หากองค์ประกอบของอารมณ์นั้นไม่ได้ประกอบด้วยสติ ระลึกรู้เท่านั้นต่ออกุศลกรรมนั่น ๆ แล้ว เราก็จะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกิเลสฝ่ายต่ำทันที สิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนทหารที่ถูกวงล้อมของเหล่าข้าศึกคือ กิเลส ซึ่งได้ตีวงล้อมไว้ทุกด้าน ยากที่จะตีฝ่าออกไปได้ หากขาดอาวุธที่เรียกว่าสติ และปัญญาที่สมบูรณ์...ครับ




 

Create Date : 06 เมษายน 2552    
Last Update : 6 เมษายน 2552 12:34:41 น.
Counter : 1387 Pageviews.  

๑๔๔-โรงงาน Recycle




คุณคงเคยกินน้ำอัดลมที่บรรจอยู่ในขวดแก้วกันใช่ไหม และเคยคิดไหมว่าเมื่อเราทิ้งขวดแก้วใบนั้นแล้ว มันต้องเดินทางไปที่ไหนอีก แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่คุณคิดได้ก็คือ การนำไป recycle เพื่อลดจำนวนขยะนั่นเอง ใช่ไหม

แต่พวกเราเคยคิดกันบ้างไหมว่า ชีวิตของเราก็ไม่ต่างอะไรกับขวดน้ำอัดลมใบนั้น เมื่อตอนเราเกิด หรืออยู่ในวัยเด็ก โลกทั้งโลกยังสดใสบริสุทธิ์ไม่ต่างอะไรกับขวดน้ำที่บรรจุน้ำอัดลมพร้อมดื่ม แต่เมื่อเติบโตขึ้นมา ได้ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านชีวิต การเรียนรู้โลก การทำงาน การแต่งงาน ฯลฯ ก็ทำให้ขวดแก้วที่ความบริสุทธิ์ ต้องสกปรกหมองลงทุกที
หากยิ่งมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำอกุศลด้วยแล้ว ขวดแก้วนี้ก็จะหมอง สกปรกมากขึ้น โดยอกุศลที่ทำให้ขวดแก้วใบนี้หมองส่วนมากก็มาจาก โลภะ โทสะ โมหะ นั่นเองเป็นการสำคัญ

และวันหนึ่งขวดแก้วนั้นก็ต้องถูกทอดทิ้งลง เพราะมันหมดค่าหมดความหมาย น้ำอัดลมที่เคยเป็นเหมือนเพื่อนสนิทไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป ขวดแก้วถูกปล่อยทิ้งลงในถังขยะ ถูกความสกปรกจากสิ่งแวดล้อมปกคลุม ทำให้มันแทบจำตัวเองไม่ได้

การที่จะทำให้ขวดแก้วใบนั้นกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่า recycle เป็นกระบวนการที่ออกทารุณสักหน่อยสำหรับขวดแก้ว เพราะมันต้องผ่านน้ำร้อน ผ่านน้ำเย็น ผ่านการอบ ผ่านการหลอม ผ่านการฆ่าเชื้อใหม่ จนกว่าจะทำให้ขวดแก้วใบนั้นกลับมาบริสุทธิ์เหมือนเดิม

มาถึงตอนนี้คุณอาจจะพอนึกออกบ้าง ว่าทำไมข้าพเจ้าจึงเปรียบชีวิตเราเหมือนกับขวดแก้วน้ำอัดลม

ทุกครั้งที่จิตเราประกอบด้วยอารมณ์ของอกุศลกรรม(ขอมองในแง่อกุศลก่อน) จิตมันจะบันทึกหรือจดจำความรู้สึกทางอารมณ์นั้นไว้ เหมือนกับขวดแก้วที่ตกลงไปในถังขยะ ทิ้งไปนานวันก็จะสกปรก เช่นเดียวกับขยะที่อยู่ในถังใบนั้น การที่จะสลายอกุศลกรรมเพื่อให้จิตนี้กลับมาบริสุทธิ์เช่นเดิมก็ต้องผ่านโรงงานแห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกทางพุทธศาสนาว่า “นรก” ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการ recycle จิตของเหล่าสัตว์ที่ไม่บริสุทธิ์ ด้วยวิธีการทารุณอย่างแสนสาหัส ด้วยความร้อน และการลงทัณฑ์ที่หนักเบาตามปริมาณของอกุศลกรรมนั้น ๆ เพื่อรักษาสมดุลให้จิตของสัตว์นั้น ให้สามารถเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารนี้ได้อีกต่อไป เป็นดุลของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีสอนหรือมีการเสนอเป็นตัวอย่างในชีวิตประจำวัน

ดังนั้นหากแต่เราขาดการพิจารณา และไม่อาจน้อมใจเข้าหาธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ เราก็จะต้องเป็นขวดที่ต้องผ่านการ recycle ต่อไปอีก อย่างไม่มีวันจบสิ้น...




 

Create Date : 03 เมษายน 2552    
Last Update : 3 เมษายน 2552 8:04:57 น.
Counter : 594 Pageviews.  

๑๔๓-ถ้ามีใครชักชวน บอกว่าน่าจะลองเปลี่ยน…



ในอดีตที่ผ่านมาการได้สัมผัส การได้เรียนรู้ท่ามกลางอิทธิพลของศาสนาอีกศาสนาหนึ่ง นอกจากศาสนาพุทธ(ซึ่งเราคงนึกกันออก)
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อปรารถนาจะชี้ว่าดีกว่า หรือต้องการการแบ่งแยก และเชื่อมาโดยตลอดว่าศาสนาทุกศาสนา สอนแต่เรื่องที่ดีงาม และเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และโลกมนุษย์จริง หากแต่ว่าเราอยู่บนโลกนี้ก็ย่อมเกิดความกระทบกระทั่งและความเห็นที่แตกต่างกันไปบ้าง

แม้แต่ครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่ก็มีการกระทบกระทั่งระหว่างศาสนาอย่างมากมายเช่นกัน
หากแต่ศาสนาพุทธเรานั้น เน้นกันที่ตัดสินปัญหา ความถูกผิด กันโดยใช้ปัญญา(ต้องใช้ให้เป็น)

ซึ่งก็คงจะไม่ผิดอะไรมาก หากคนสองคน สองศาสนาจะเกิดการสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึกกันบ้าง

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ในช่วงที่พักทานอาหารก็มีนักเผยแพร่ศาสนาของศาสนาหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพูดคุย สนทนาด้วย ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ตั้งท่ารับมือไว้อยู่แล้ว

ต้องออกตัวก่อนว่าสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ความศรัทธามากเท่าทุกวันนี้ แต่ที่ตอบที่คุยได้นั้น คงเป็นสัญชาติญาณซะมากกว่า ข้าพเจ้ากับคนนั้นแรก ๆ ก็คุยกันโดยดีไม่มีอะไร
เขาเริ่มชักชวนด้วยความอัศจรรย์แห่งศรัทธา และเมื่อระลึกถึงศาสดาของเขาก็จะประสบความสำเร็จเสมอ เขายกตัวอย่างเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การรอดจากอุบัติเหตุ การได้รับสิ่งตอบแทนที่เกินความคาดหมาย หรือการหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
อย่างไม่น่าเป็นไปได้

แต่สิ่งที่ทำให้เราโต้เถียงกันรุนแรงมากขึ้น คงเป็นตัวอย่างที่เขายกนำมาอธิบายว่า สมมติว่ามีกล่องใบหนึ่งวางอยู่ในอวกาศ ภายในบรรจุนาฬิกาข้อมือไว้เรือนหนึ่ง โดยนาฬิกาเรือนนี้ถูกชำแหละออกเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ จำนวนมาก ถ้าหากทิ้งนาฬิกานั้นไว้ในกล่องใบนั้นในอวกาศ และปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานหลายร้อยล้านปี นาฬิกาเรือนนั้นจะกลับมาประกอบเป็นนาฬิกาที่สมบูรณ์เช่นเดิม

ฟังดูแล้วก็รู้สึกประหลาดในความคิดเหลือเกิน จริงอยู่ถ้าเทียบตามกฏของสมการความน่าจะเป็นแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ภายใต้เงื่อนไขของเวลาดังกล่าว เพราะกล่องใบนั้นเคลื่อนที่อยู่เสมอ ๆ และอาจจะเป็นผลให้ชิ้นส่วนของนาฬิการมาประกอบต่อรอยกันสมบูรณ์ ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้าก็อาจจะเป็นไปได้

แต่ความคิดอย่างนี้ข้าพเจ้าก็ค้านสุดโต่งว่าเป็นความคิดในอุดมคติ คุณอาจจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นได้ตามที่ใครสักคนสั่งสอนมาให้เชื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในทางพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ไม่มีวัตถุ(รวมทั้งชีวิตสัตว์โลก)ใด ๆ ที่จะอยู่ยาวนานขนาดนั้นโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง หรือถูกทำลายไปเสียก่อน เพราะอย่าลืมว่าโจทย์เขาตั้งไว้ก่อนว่ากล่องที่บรรจุนาฬิกาลอยเคว้งอยู่ในอวกาศ ดังนั้นจะต้องมีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่จะทำให้มันสูญสลาย หรือเปลี่ยนรูปร่างไป ก่อนที่มันจะวนกลับมาประกอบเป็นนาฬิกาซึ่งมีวงจรการทำงานที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนได้สำเร็จ

เราเถียงกันอยู่นาน จนก็ต้องมาวัดกันโดยเหตุผลว่าใครจะมีหลักมากกว่ากัน
เขาเล่าให้ฟังอีกว่า แต่ก่อนเขาก็นับถือพุทธศาสนา แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนศาสนาแล้ว เพราะศรัทธาและเชื่อในคำสอนอีกศาสนาหนึ่งมากกว่า

ข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า ข้าพเจ้าเองก็เติบโตมาและถูกแวดล้อมมาจากศาสนาที่คุณเปลี่ยนไปนับถือมาพอสมควร แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนใจได้ เพราะเชื่อมั่นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามีเหตุมีผลมากกว่า และไม่ได้มีความคิดว่าจะมีใครมาดลบันดาลทำให้เรามีความสุข ไปเกิดในสวรรค์หรือแม้กระทั่งล้างบาปแทนเราได้ นอกจากเราจะช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น

ในที่สุดต่างฝ่ายต่างยอมเลิกรากันไป เพราะหากคุยกันต่อไปคงมีแต่อารมณ์ขุ่นมัวด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เรื่องแนวนี้เป็นเรื่องที่คุณอาจจะคิดว่า ไม่น่านำมาเขียนเพราะมันเป็นเรื่องระหว่างศรัทธา ความเชื่อที่อยู่บนเส้นขนานเดียวกัน และไม่แน่ว่าวันข้างมันก็อาจจะจรดกันในที่ใดที่หนึ่งก็ได้ วันนี้ไม่มีใครถูกหรือผิด วันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่าไม่มี แต่สิ่งที่มีอยู่ เป็นจริงอยู่ก็มีเพียงสิ่งเดียว เหมือนกับเรามองก้อนหินก้อนหนึ่ง ก้อนหินก้อนเดียวกัน แต่คนมองมองคนละมุมก็บอกลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกัน พูดคนละอย่าง ทั้งที่มองก้อนหินก้อนเดียวกัน เหมือนกับศาสนาทั้งสองต่างก็สอนโดยมีหลักการเช่นเดียวกัน นั่นคือสอนให้ทุกคนเป็นคนดี มีศีลธรรม...ก็แค่นั้นเอง




 

Create Date : 01 เมษายน 2552    
Last Update : 1 เมษายน 2552 8:16:09 น.
Counter : 460 Pageviews.  

๑๔๒-สถานที่คุ้นตา



หลายคนคงเคยไปเที่ยวยังที่ต่าง ๆ มาบ้าง เช่น ภูเขา น้ำตก ทะเล โดยส่วนตัวข้าพเจ้าชอบไปเที่ยวตามป่าเขามาก หากมีหัวข้อให้เลือกระหว่างภูเขาและทะเล ก็ไม่ลังเลที่จะเลือกภูเขาเลย เคยมีเพื่อนเคยถามบ่อยเหมือนกันว่าทำไมชอบ และอยากไปแต่ป่าเขา ข้าพเจ้าเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

ย้อนเวลากลับยังสมัยเรียนมหาวิทยาลัยปี ๒ ข้าพเจ้าชวนเพื่อนราว ๆ ๕ คนไปเที่ยวยังภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์ การเดินทางค่อนข้างต้องใช้กำลังใจมาก เป็นสถานที่ที่สวยอีกแห่งหนึ่ง แม้บริเวณบนยอดภูจะไม่กว้างขวางเหมือนภูกระดึง แต่สำหรับคณะท่องเที่ยวอยากสำผัสการเดินทาง และความท้าทายจากป่าเขาลำเนาไพร ภูสอยดาวก็ไม่เลวนัก

พวกเรานอนพักอยู่สองคืน แล้วก็ลงเดินทางกลับ ในระหว่างเดินทางกลับนั้น ก็เกิดมองไปเห็นยอดเขาเตี้ย ๆ ยอดหนึ่งรู้สึกสะดุดตามาก ๆ มันเป็นความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับเราเคยผ่านมาที่แห่งนี้แล้ว หรือไม่ก็เคยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น

กาลเวลาผ่านไปเป็นแรมปี ภาพภูเขาลูกนั้นย้อนคืนกลับมาในความทรงจำข้าพเจ้าอีกครั้ง ในช่วงที่กำลังใกล้จะจบการศึกษา และกำลังวุ่นวายกับการเรียนอยู่นั่นเอง

ภาพหลวงตาแก่ ๆ และพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งลอยมาในมโนภาพ สภาพแวดล้อมเป็นวัดเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขา มีพระจำวัดเพียงสองรูปเท่านั้น ที่แห่งนั้นห่างไกลจากข่าวสารบ้านเมือง นาน ๆ จะมีหนังสือพิมพ์เก่า ๆ หลุดมาสักฉบับ บริเวณวัดร่มรื่นน่าพักอาศัย

ข้าพเจ้ามักจะปัดเอาภาพนั้นออกจากจิตใจนั้นไปเสีย และไม่อยากจะนึกถึงอีก แต่ภาพวัดและหลวงตาก็มารบกวนจิตใจข้าพเจ้าเป็นระยะ ๆ ในช่วง ๔ – ๕ ปีที่ผ่านมา

หรือนี่จะเป็นนิมิต และภิกษุหนุ่มคนนั้นก็คือข้าพเจ้านั่นเอง ซึ่งตอนนั้นที่คิดก็ค่อนข้างตกใจมาก ๆ กับการได้เห็นชะตากรรมของตัวเองในอนาคต

“ไม่ ๆ เป็นไปไม่ได้ เราจะต้องไม่เป็นพระ และต้องไม่บวช” ตอนเรียนจบใหม่ ๆ ก็กลัวมาก ๆ กลัวว่า เราจะใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า กลัวกับการที่จะต้องเป็นพระ

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมักจะปัดความรู้สึกพวกนี้ทิ้งไปเสมอ ๆ และเมื่อถึงช่วงที่จะต้องบวช ตามประเพณี ข้าพเจ้าก็หาข้ออ้างผัดผ่อนได้เพียงปีเดียว แต่ก็ต้องบวชเมื่ออายุเข้าวัยเบญจเพศพอดี

และช่วงนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญช่วงหนึ่ง ข้าพเจ้าบวชเพียง ๗ วัน แม้วัดที่บวชจะเป็นวัดบ้าน ๆ แต่ก็สามารถซึมซับอะไรบางอย่างที่มันดูผิดปกติไปจากการดำเนินชีวิตปกติได้พอสมควร

สิ่งที่ข้าพเจ้ากลัวมาโดยตลอดมันกำลังจะเกิดขึ้น ธรรมดาคนที่กลัวเข็มฉีดยามาก ๆ แต่เมื่อได้สัมผัสแล้วว่า การถูกฉีดยานั้นเจ็บเพียงช่วงแรก ๆ และมีประโยชน์ต่อเราเองอย่างมาก (แต่คนก็ยังกลัวเข็มกัน)

การบวชครั้งนั้นแม้เพียงชั่วเวลา ๗ วันแต่หลังจากนั้น ศาสนา ธรรมะก็ค่อย ๆ ซึมซับและแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจเรื่อย ๆ อย่างที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ ศรัทธาค่อย ๆ ก่อกำเนิดขึ้นเป็นดั่งคลื่นที่ไหลอยู่ใต้น้ำ

และเพิ่มพูนมากขึ้นเมื่อปลายปี ๒๕๔๘ มีโอกาสได้เดินทางไปนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีเป็นครั้งแรกในชีวิต ความปลื้มปีติเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันเป็นความอบอุ่น ความสุขใจ ที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ นี่คงเป็นศรัทธาอย่างที่พระศาสดาตรัสไว้

ภายหลังจากนั้นก็พยายามศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และทุกครั้งที่ผ่านจังหวัดสระบุรี ก็จะแวะไปนมัสการพระพุทธบาทเสมอ

มีช่วงหนึ่งที่เคยท้อใจ อ่อนแอใจ ได้แต่ตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ที่ไม่สามารถเกิดทันสมัยพระพุทธองค์ได้ จึงต้องมาเกิดในยุคกึ่งพุทธกาล ยุคที่วุ่นวาย เกิดความเสื่อมถอยทางศีลธรรมและศาสนาเช่นนี้ ตอนนั้นมันรู้สึกเสียใจจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เดินทางมาหาที่พึ่งสุดท้าย ซึ่งก็คือรอยพระพุทธบาทแห่งนี้
มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาในมโนความคิด

“หากคนเช่นเธอ เกิดทันสมัยพุทธกาลเสียด้วยกันหมด แล้วศาสนาของตถาคตจะตั้งมั่นครบตลอด ๕๐๐๐ ปีได้อย่างไร”

นั่นสินะ…

หากเราปรารถนาเกิดทันสมัยของพระพุทธเจ้า แล้วจะเหลือใครที่จะนำสิ่งดีงาม รวมทั้งคำสอนของพระพุทธองค์ให้ดำรงอยู่ได้ นอกจากพวกเราที่อาสาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแผ่สิ่งที่ดีงาม เพื่อสนองคุณต่อพระพุทธเจ้า และผู้ที่จะสามารถบรรลุมรรค ผล ในช่วงกึ่งพุทธกาลนี้ก็ต้องมีความเพียงความอุตสาหะ ที่มากกว่าสมัยพุทธกาลหลายเท่า

นี่คงเป็นเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของพวกเราเองอีกสิ่งหนึ่ง




 

Create Date : 30 มีนาคม 2552    
Last Update : 30 มีนาคม 2552 7:50:16 น.
Counter : 591 Pageviews.  

๑๔๑-จิตที่มีแต่ความสามัคคี



ความสามัคคี ?
มันจะใช่เรื่องที่ว่ามีคนยื่นตะเกียบหนึ่งกำมือ ให้ใครสักคนหักดู แล้วให้คิดว่าความสามัคคีหน้าตาเป็นอย่างไรหรือเปล่า
ข้าพเจ้ามักจะนึกถึงความสามัคคี ในตอนที่เข้าค่ายลูกเสือในสมัยเด็กประถมเสมอ ๆ ซึ่งตอนวันสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน เราจะยืนล้อมเป็นวงกลม เอามือไขว้กัน และจับกันแน่น แล้วก็ร้องเพลงสามัคคีชุมนุม ซึ่งเป็นเพลงที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นหนึ่งในเพลงไม่กี่เพลงบนโลกที่ร้องวนเวียนไปมา จนไม่รู้ว่าท่อนจบมันอยู่ตรงไหน

สุดท้ายเราก็เดินสัมผัสมือกันอย่างอาลัย แทบจะห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ เหมือนกับเวลาที่เราจากกันไปไกลแสนไกลอย่างนั้น ทั้งที่อีกสองวันเราก็มาพบเจอกันอีกที่โรงเรียน

แต่ก็เอาเถอะ นี่เป็นเพียงสัญญา หรือความทรงจำตามความเข้าของเด็ก ๆ ที่ว่าความสามัคคีคือ การที่เรามาร่วมกันทำงานอะไรสักอย่าง ที่เป็นประโยชน์ จนบรรลุเป้าหมาย และสำเร็จร่วมกันโดยที่มีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเสมอภาค

แต่ข้าพเจ้าเชื่อไปอีกว่า ความสามัคคีในแง่มุมของคุณคงมีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าข้าพเจ้า และเราสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคมร่วมกัน หากแต่ต้องไม่มีความเห็นแก่ตัวมาบดบังความคิดและการกระทำของเราไปเสียก่อน

เมื่อมีใครสักคนป่าวประกาศว่าเรากำลังแตกความสามัคคี และกำลังแตกแยกทางความคิด แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ไม่มีใครจะปฏิเสธได้ แต่อย่าว่าเพียงบุคคลภายนอกเลย แม้แต่จิตใจของเราเอง ก็ยังแตกความสามัคคีถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายเสมอ นั่นคือ กุศล และ อกุศล เหล่านี้มันเกิดขึ้นอยู่ภายในใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว

จิตนี้เองมันก็สามัคคีให้เราคิดแต่เรื่องกุศลฝ่ายเดียวนั้นก็ยาก หรือจะคิดแต่เรื่องที่เป็นอกุศลฝ่ายเดียวนั้นก็ไม่ง่าย(สำหรับบางคน) เพราะฉะนั้นหากเราไม่ได้เข้าข้างตัวเองมากไป เราก็สามารถมองได้ว่าตัวเราเองก็ยังไม่มีความสามัคคีเลย แล้วเราจะเอาความสามัคคีตัวไหนให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมได้ เรื่องนี้จึงต้องนำมาพิจารณากัน

หากความหมายของสามัคคีคือ การร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อทำการงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ ในความหมายของสังคมในระดับจิต สามัคคีนี้ก็คือ การสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นนั่นเอง เพราะสมาธิก็มีความหมายเป็นนัยเดียวกันคือ การอยู่ในอารมณ์ตั้งมั่นชอบจนเกิดเป็นอารมณ์เดียวคือ เอกัคคตารมณ์ เราจึงจะเรียกว่าเป็นสมาธิที่แท้จริงได้

โดยสรุปแล้ว การที่เราปรารถนาจะให้สังคมส่วนใหญ่ร่มเย็นเป็นสุข ประชาชน มีความสามัคคีที่ยั่งยืนได้นั้น เราเองก็ต้องสามัคคีในระดับจิต ให้เกิดขึ้นเสียก่อน จากนั้นสังคมส่วนใหญ่ก็จะบังเกิดความร่มเย็นตามมา

หากแต่การเขียนนี้ก็เป็นเพียงวางลายหมึก ลายปากกาฝากไว้บนกระดาษ มันไม่ได้ถูกจาลึกลงในหัวจิตหัวใจของใครหลาย ๆ คน ให้รู้จักคิดและปฏิบัติตามได้ ซึ่งข้าพเจ้าก็เข้าใจในความเป็นไป ของเรื่องนี้เป็นอย่างดี




 

Create Date : 27 มีนาคม 2552    
Last Update : 27 มีนาคม 2552 8:04:07 น.
Counter : 447 Pageviews.  

1  2  

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.