ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 
๔๒๗ - ธรรมอันเป็นสิ่งเดียวกัน



เคยเห็นน้ำตาที่อาบรินจากสองตานั้นของบุคคลที่สูญเสียคนอันเป็นที่รักไป อย่างไม่มีวันกลับ ช่างสะท้อนใจกับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก หากชีวิตเราเลือกได้ เราคงไม่ต้องการจากคนที่เรารักไปชั่วกาล กลไกลของเวลามักล้อเล่นกับความรู้สึกของมนุษย์อยู่เสมอ เวลาทำให้คนสองคนมีโอกาสพบกัน และเวลาก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราจากกันไกล มีสักกี่คน ที่เมื่อถึงคราวสูญเสียคนที่รัก แล้วจะสามารถอดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้

แม้คนที่อ้างว่าเข้าใจสัจธรรมอย่างข้าพเจ้า ก็ยังไม่อาจกลั้นน้ำตา เมื่อลองนึกดูว่าวันหนึ่งเราสูญเสียคนที่เรารักในครอบครัว หลาย ๆ ครั้งพยายามซ้อมรับกับความตาย และการจากลา โดยการใช้จินตนาการก่อน แค่จินตนาการก็รู้สึกหดหู่มากมายถึงเพียงนี้ หากเวลานั้นมาถึงจริง เราจะเป็นอย่างไร

บางทีสิ่งที่เราหมั่นปฏิบัติธรรมมาตลอด ๖ ปี มันอาจจะยังไม่พอ บ่อยครั้งที่รู้สึกว่าที่ทำมันน้อยไปด้วยซ้ำ สัจธรรมที่แท้จริง มันรู้สึกอยู่ใกล้ แต่ทำไมเวลาจะเข้าไปสัมผัส สิ่งนั้นกับดูไกลออกห่าง จนเหนื่อยในการตามหา

"เราไม่ได้ฝึกปฏิบัติธรรม เพื่อไม่ให้เสียน้ำตา ในตอนที่คนที่เรารักจากไป" เสียงในหูมักจะย้ำเตือนโสตภายในเสมอ

แล้วเหตุใด คนที่ปฏิบัติธรรมประจำถึงยังไม่หมดกิเลสเสียที ยังต้องร้องไห้ เสียใจ ยังมีกามราคะ มีอารมณ์โกรธ กระทบกระทั่งทางอารมณ์อยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายสุด ๆ มันเข้ามากระทบทั่งอยู่เป็นประจำ และพรากความสงบออกไปจากจิตใจ จนหลายครั้งรู้สึกหงุดหงิดกับความเสื่อมของจิตใจตัวเอง

อย่างน้อยในความไม่สงบ ก็มีเรื่องดีอยู่บ้าง ข้าพเจ้ามักจะนึกถึงความตายเสมอ โดยเฉพาะความตายของตัวเอง การระลึกถึงความตาย ไม่ได้หมายความว่าอยากตาย แต่นึกถึงธรรมชาติสุดท้ายของรูปขันธ์ ในอัตภาพความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ มันน่าแปลกที่เราระลึกไปแล้วกับมีความสุขมากความทุกข์ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ระลึกถึงความตายของตัวเอง แทบจะกระวนวายใจทุกที แต่เดี๋ยวนี้กับไม่เป็นอย่างนั้น เรียกว่าเลยได้ทุกเวลา แต่นั่นไม่ได้เป็นการทำตัวประมาท ล้อเล่นกับความตายหรือใช้ชีวิตบ้าบิ่นแต่อย่างใด

ตลอดเวลาเกือบ ๖ ปีที่ผ่านมา หลังจากวันนั้น พระพุทธเจ้าและธรรมะก็เข้ามาอยู่ในใจเสมอ ทุก ๆ วัน ทุก ๆ ชั่วโมง เรียกว่าทุก ๆ นาทีเลยก็ได้ ก่อนนอน ตื่นนอน เป็นอย่างนี้ทุกวันไม่เคยขาด ไม่ต้องระลึกก็มาเอง ไม่ต้องสวดมนต์ ไม่ต้องนั่งสมาธิ ก็มาเอง ธรรมะอะไรที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน มาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ก่อนเราไม่ได้เป็นอย่างนี้ อ่านหนังสือธรรมะหลับอย่างเดียว แต่เดียวนี้ไม่ได้ อ่านหนังสืออย่างอื่นไม่ได้ ไม่อิ่มใจเท่ากับอ่านธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นการอ่านเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้บอกใคร นอกจากการเขียนเป็นบันทึก(ที่ไม่ได้เขียนก็มีมาก แต่จะฟุ้งไปเสียมาก)




ที่ผ่านมาการที่คนใกล้ตัวรับทราบความคิดของเรา ก็พลอยจะทำให้เขาเป็นกังวล เวลาคุยกับเราก็จะเกร็ง ๆ ข้าพเจ้ามักจะชอบทำเสแสร้ง คุย ๆ ไร้สาระไป หรือไม่ก็ชอบเปลี่ยนเรื่องอื่นที่คนชอบ แต่กระนั้นคนที่อยู่รอบ ๆ ข้างก็มักจะมองเราว่าเป็นคนธรรมะ ธรรมโม บอกตรง ๆ ว่าข้าพเจ้าไม่ชอบคำ ๆ นี้เลยจริง ๆ มันดูเป็นคนเรียบร้อยเกินไป ขัดกับความเป็นจริง ถ้าเรียกว่าเป็น ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เป็นลูกของพระพุทธเจ้า อย่างนี้จะชอบมากกว่า

นี่เป็นฤทธิ์ของธรรมะ ที่สามารถเปลี่ยนคน ๆ หนึ่งให้มีชีวิตและแนวคิดเปลี่ยนไปได้ เพื่อนสนิทของข้าพเจ้าคนหนึ่งเคย บอกแบบหยาบ ๆ ว่า "ข้าพเจ้าเปลี่ยนจากหลังตีนเป็นหน้ามือ" ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงชม แสดงว่าอดีตของข้าพเจ้าในสายตาเพื่อนคนนั้นคงแย่เอาเรื่องอยู่

บันทึกบทนี้จึงเป็นบทที่พิเศษ ที่ทำให้เข้ารู้สึกนึกย้อนกลับไปดูตัวเองอีกครั้ง ทั้งความรู้สึกต่อความตาย ความรู้สึกที่มีต่อศาสนา ต่อพระพุทธเจ้า มันเป็นความรู้สึกที่เกินบรรยายจริง ๆ เพราะคุณของพระพุทธเจ้านั้นเหลือล้นเหลือประมาณเกินที่จะบรรยายได้หมด ความอัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจจะนำมาเขียนบรรยาย ให้เห็นภาพได้ เป็นเรื่องปัจจัตตัง คือรู้ได้ตัวเอง นอกจากคน ๆ นั้นจะศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเอง หากปฏิบัติถูกต้อง ก็จะสามารถสัมผัสได้ รับรู้ได้ในธรรมอันเป็นสิ่งเดียวกัน


ปล. ขอยกคำหลวงปู่เทสก์ มาจากเว็บพลังจิต เพื่อขยายความตอนท้ายครับ

"จิตนี้เมื่อเราฝึกหัดอบรมเต็มที่ ด้วยการเอาสติเข้าไปควบคุมให้อยู่ในพุทโธเป็นอันเดียวแล้ว จะไม่ส่งส่ายไปในที่ต่างๆ แล้วจะรวมเข้ามาเป็นหนึ่ง และคำบริกรรมนั้นก็จะหายไปโดยไม่รู้ตัว จะมีความสงบเยือกเย็นเป็นสุขหาอะไรเสมอเหมือนไม่ได้

ผู้ไม่เคยได้ประสบ เมื่อประสบเข้าแล้วจะบรรยายอย่างไรก็ไม่ถูก เพราะความสงบสุขชนิดนี้ ซึ่งไม่มีคนใดในโลกนี้ได้ประสบมาก่อน ถึงเคยได้ประสบมาแล้วก็มิใช่อย่างเดียวกัน

ฉะนั้น จึงบรรยายไม่ถูก แต่อธิบายให้ตัวเองฟังได้ ถ้าจะอธิบายให้คนอื่นฟัง ก็จะต้องใช้อุปมาอุปมัยเปรียบเทียบจึงจะเข้าใจได้ ของพรรค์นี้มันเป็น ปัจจัตตัง ความรู้เฉพาะตน"

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง หนองคาย


ที่มา //board.palungjit.com/f10/ปัจจัตตัง-ความรู้เฉพาะตน-88790.html

ขอบคุณรูปภาพจาก //2.bp.blogspot.com และ //media-cache-ec4.pinterest.com





Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2556 22:32:13 น. 7 comments
Counter : 516 Pageviews.

 
ไม่เป็นไรคะ
เราจะก้าวที่สองไปด้วยกัน


โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:22:51:34 น.  

 
สวัสดีค่ะ..

แวะมาอ่านบทความธรรมะด้วยคนค่ะ..

มีความสุขมากๆนะค่ะ



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:23:12:28 น.  

 


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:23:37:48 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
...
นั่นสินะคะ
มีความสุขมากมากค่ะ คุณอัสติสะ


โดย: Nissan_n วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:10:41:59 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณอัส
ผ่านมารับข้อคิดดีๆ
ตอนนี้ก็พยายามปลงอยู่ แต่บางเรื่องก็ทำไม่ได้ค่ะ
มีความสุขมากๆนะคะ




โดย: pantawan วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:21:22:27 น.  

 
เขียนนิยายรักปกติธรรมดานี่แหละคะ


โดย: เหมือนพระจันทร์ วันที่: 1 มีนาคม 2556 เวลา:8:15:11 น.  

 
โมทนาสาธุกับบันทึกบทนี้ค่ะ


โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 9 มีนาคม 2556 เวลา:19:26:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.