ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 
โสดาปัตติมรรค-แนวทางเพื่อทรงคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน ตอน ๒

แต่บัดนี้พระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำเนินมาเลยครึ่งทางแล้ว ในคัมภีร์ พระไตรปิฎกกล่าวว่าเป็นยุคเสื่อมของศีลธรรมและพระสัทธรรม พระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดาจะถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริง จะมีมนุษย์ผู้มีเจตนาไม่ดีนำโอวาทของพระพุทธเจ้ามาแต่งเติมเสริมแต่งตามความเข้าใจของตนเอง กลายเป็นมลทินกับพระสัทธรรม มนุษย์ที่เกิดมายุคหลังก็จะหลงผิด ยึดติดตำรานี้มากกว่าคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า ภิกษุจะละเลยในแนวทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะยินดีต่อลาภสักการะทั้งหลายซึ่งเป็นแนวทางที่สวนกับวัตถุประสงค์ของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง

พระพุทธเจ้าทรงทอดทิ้งพระราชสมบัติที่เป็นวัตถุทั้งหลาย แสวงหาความสันโดษจากป่าเขาลำเนาไพร แต่ภิกษุปัจจุบันกลับวิ่งเข้าหาทรัพย์สมบัติ ละทิ้งความสันโดษจากป่าเขาลำเนาไพรไปเสีย จึงเป็นเรื่องที่น่าละอายใจมาก ที่เขียนมานี่ข้าพเจ้าสรุปตามที่ศึกษามา อย่าเพิ่งหาว่าข้าพเจ้ากล่าวบิดเบือนเลยเพราะความจริงนั้นก็เห็นกันอยู่ พระพุทธเจ้าผู้มีพระญาณมองเห็นอนาคตกาลไกลเป็นแสนกัป ทำไมแค่หลังพุทธกาลอีก๒๕๕๐ ปี พระองค์จะไม่ทราบได้อย่างไร พวกท่านสามารถหาอ่านจากพุทธทำนาย ๑๖ ข้อ ที่ทรงทำนายพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เลย ตรงกับเหตุการณ์เมืองไทย เมืองพุทธศาสนายุคปัจจุบันทุกหัวข้อทีเดียว


พวกเรามัวแต่เห่อคำทำนายนอสตราดามุส แต่ไม่มองคำทำนายของพระพุทธเจ้าเลยสุดท้ายก็โดนฝรั่งต้มเละ น่าสังเวชใจนัก


เมื่อย้อนเวลากลับไปสัก ๗ ถึง ๘ ปีก่อน ข้าพเจ้ามีความคิดว่าข้าพเจ้าโชคดีหนักหนาที่ได้เกิดมาในยุคนี้ เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกสบายทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อมา แล้วก็นึกสงสารคนคนสมัยก่อนที่ล้าหลังทางเทคโนโลยี ขาดสีสันของชีวิตที่ไม่ได้รู้จักกับ คอมพิวเตอร์ รถยนต์ ยานอวกาศ ฯลฯ ข้าพเจ้ารู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องถึงความโชคดีนี้อยู่นานหลายปี


จนกระทั่งมาศึกษาพุทธศาสนา ความคิดข้าพเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนไป รู้สึกท้อใจ เสียใจ เศร้าใจเป็นอย่างมาก ที่เกิดมาในยุคนี้ ยุคที่มากไปด้วยตัณหา ยุคที่มากไปด้วยความมืดบอดทางปัญญา ยุคที่มนุษย์เข่นฆ่ากันเป็นผักปลา ข้าพเจ้ารู้สึกสลดใจยิ่งนัก คิดว่าตัวเองคงทำบุญมาไม่พอกระมังจึงไม่ได้เกิดทันยุคพุทธกาล แล้วเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่อ่านพุทธประวัติจบ น้ำตาแห่งความเศร้าก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวเนื่องด้วยข้าพเจ้าคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหลายสมัยพุทธกาล


แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเราเกิดมาในยุคนี้แล้วก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป แต่กระนั้นก็ยังมีความน้อยใจอยู่นิด ๆ ด้วยความน้อยใจนี่เองจึงชักนำให้ข้าพเจ้าเดินทางมานมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีอีกครั้ง เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ข้าพเจ้าคลายความเศร้าไปได้


ข้าพเจ้าก้มกราบรอยพระพุทธบาท ๓ ครั้งแล้วนึกตัดพ้อในใจว่า


“ข้าแด่พระพุทธเจ้าผู้ทรงปรินิพพานไปนานแล้ว ทรงทิ้งไว้แต่เพียงรอยพระบาทให้ข้าพเจ้าได้กราบบูชาไว้ต่างหน้า เหตุฉไหนพระองค์จึงทรงทอดทิ้งให้ข้าพเจ้าศึกษาธรรมอยู่ในยุคที่มืดมัวเช่นนี้ด้วยเล่า”


ในขณะนั้นเอง จิตของข้าพเจ้าก็เหมือนมีคำตอบผุดขึ้นมาภายในทันทีว่า


“หากเกิดทันยุคพุทธกาลของเราแล้ว ฉไหนเลย พระศาสนาของตถาคต จะดำรงอยู่ครบตลอด ๕,๐๐๐ ปีไปได้”


แค่นั้นเอง ความเศร้า ความน้อยใจ ความท้อใจ ได้หายไปสิ้น มีแต่กำลังใจที่จะต้องศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนเข้ามาแทนที่ ทำไมหนอเหตุผลเพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าจึงคิดไม่ออก แต่พอมาอยู่เบื้องรอยพระพุทธบาทกลับคิดออก ช่างอัศจรรย์จริง ๆ พุทธานุภาพของพระศาสดา


<อ่านต่อตอน ๓>



Create Date : 15 มีนาคม 2551
Last Update : 15 มีนาคม 2551 20:04:57 น. 1 comments
Counter : 416 Pageviews.

 
" สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ " กับ
" จะมีเวลาเพียงพอ สำหรับสิ่งที่สำคัญเสมอ "
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะคะ


โดย: jintean วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:13:18:22 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.