ภัยแห่งสังสารวัฏนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าภัยอื่นใด - อัสติสะ
Group Blog
 
All blogs
 
๓๗๔ - พายุแห่งความโศก




ชายชราผู้หนึ่งนั่งเหม่อมองอยู่ริมลำธารเล็ก ๆ ซึ่งไหลลงทางทิศใต้ ผ่านป่าเขาและหมู่บ้านของเขาเอง ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงซึ่งอีกไม่นานมันก็ต้องลับลาขุนเขาและความมืดจะค่อย ๆ มาเยือน เขาหันหน้ามองดูก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่กำลังตั้งเค้า เป็นสัญญาณแห่งการมาเยือนของพายุใหญ่ บรรยากาศในช่วงเวลานี้ชวนให้เขารู้สึกหดหู่ใจได้ไม่น้อย ในขณะนั้นเขาก็เกิดความคิดว่า

' ระหว่างขุนเขากับเมฆดำทมึน สิ่งใดหนอจะบดบังแสงอาทิตย์ได้ก่อนกัน...? '

ชายชราครุ่นคิดและลุ้นติดตามดูเป็นเวลานาน ไม่ช้าความมืดมิดก็มาเยือน พร้อมกับสายฝนที่โปรยปราย ลงมา พระอาทิตย์ลับหายไปหลังเมฆดำทมึน แต่ทว่าชายชรากับไม่มีเวลามากพอที่จะเดินทางกลับถึงบ้าน ทั้งแสงสว่างก็ไม่มี อีกทั้งตัวก็ยังเปียกเพราะสายฝน


การใช้ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ ไม่ต่างอะไรกันนักกับความคิดของชายชรา เราใช้เวลามากมายในชีวิต หาคำตอบในบางสิ่ง ซึ่งบางสิ่งนั้นมีค่าน้อยหรือแทบจะไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ เลย แต่เราก็ชอบที่จะเสาะแสวงหามัน แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกตัวว่าเริ่มสายไปแล้ว ในตอนนั้นเรารู้สึกว่าเวลานั้นมีค่าเพียงใด และพยายามใช้เวลาที่เหลือน้อยนั้นให้เกิดประโยชน์ แต่ก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว

เช่นเดียวกัน ความโศกและความพลัดพราก ก็ไม่ต่างกัน ความโศกเปรียบได้กับพายุฝน ความพลัดพรากก็เปรียบได้กับดวงอาทิตย์ที่ต้องลับลาหุบเขา หากเรามัวแต่นั่งเหม่อมองดูว่าสิ่งเหล่านี้ สิ่งใดหนอจะมาก่อนกัน หรือเมื่อถึงเวลานั้นสิ่งใดจะทุกข์ทรมาณก่อนกัน หรือมัวแต่มองวิ่งตามความโศกและความพลัดพรากเหล่านั้น เพื่อไม่ให้สิ่งนี้ ๆ เกิดขึ้นมากับตัวซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีมันพ้น

พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เราหลีกหนีจากความโศกเศร้าหรือหนีจากความทุกข์ใด ๆ หากแต่สอนให้เรายอมรับ และเข้าใจธรรมชาติของสิ่งนั้น และหาทางแก้ไขอย่างถูกวิธี

ย้อนเวลากลับไปหาชายชราที่นั่งอยู่ริมธารคนเดิม หากเขามองเห็นธรรมชาติว่าพระอาทิตย์ต้องอัสดงแน่ ๆ (คนเราต้องตายแน่ ๆ ) และมองเห็นว่าพายุต้องมาแน่ ๆ (ความโศกเศร้า อาลัยจากคนรักต้องมีแน่ ๆ) เขาจะไม่เสียเวลาจ้องมองคิดใคร่ครวญสิ่งนั้นอีก แต่จะหาวิธีทางเพื่อให้ตัวเองปลอดภัยจากความมืดและสายฝน ซึ่งในที่นี้เปรียบได้ดังกับความทุกข์ซึ่งต้องมาเยือนแน่ ๆ

การใช้ชีวิตของเราจึงอยู่ที่มุมมอง ความเห็น และสติ ปัญญาของแต่ละคนที่จะเชื่อมโยงหาเหตุหาผล ใครสามารถค้นหาคำตอบของชีวิตได้ก่อน ก็รับประกันได้ส่วนหนึ่งว่าจะพ้นทุกข์ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับความวิริยะ พากเพียรในการจะเดินไปถึงจุดหมายของแต่ละคนด้วย เช่น ชายชราคนนั้นหากเขารู้แล้วว่าความมืดกำลังมาเยือน และฝนกำลังจะตก หากเขาไม่รีบกลับบ้าน หรือมัวโอ้เอ้แวะชมนกชมไม้ระหว่างทาง สุดท้ายความทุกข์ใหญ่แห่งสังสารวัฏก็มาเยือน จึงต้องมีวิริยะ และต้องมีสติ สมาธิ ประกอบด้วยจึงจะสามารถหลบฝนได้ทันและก่อนมืด

นี่เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ ง่าย ๆ ที่เราจะสามารถนำไปคิดประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้เราหลงจมอยู่กับความคิดหรือการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดนาน ๆ จนกระทั่งลืมทำสิ่งที่มีค่า มีความหมายที่สุดของชีวิตไป


ขอขอบคุณ รูปภาพงาม ๆ จาก //seedmagazine.comมากมาย ครับ

สารบัญ



Create Date : 13 กรกฎาคม 2555
Last Update : 13 กรกฎาคม 2555 0:01:18 น. 2 comments
Counter : 890 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะคุณอัส
แวะมาเยี่ยม
ขอบคุณข้อคิดดีๆที่นำมาฝากกัน
ทำงานด้วยความสุขนะคะ



โดย: pantawan วันที่: 17 กรกฎาคม 2555 เวลา:11:22:37 น.  

 
ขอบคุณครับ
เป็นคำเตือนสติที่มีคุณค่าจริงๆครับ


โดย: เพสตาชิโอ้ (เพสตาชิโอ้ ) วันที่: 17 กรกฎาคม 2555 เวลา:21:24:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อัสติสะ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ทุกข์ใดจะทุกข์เท่า การเกิด
ดับทุกข์สิ่งประเสริฐ แน่แท้
ทางสู่นิพพานเลิศ เที่ยงแท้ แน่นา
คือมรรคมีองค์แก้ ดับสิ้นทุกข์ทน






Google



New Comments
Friends' blogs
[Add อัสติสะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.