|
๒๙๔ - เหนือเจตนา
วิถีของจิตที่สามารถเข้าใกล้มรรค ผล นิพพานนั้น เป็นวิถีจิตที่พ้นจากเจตนา หมายความว่า การกระทำใด ๆ ไม่ว่าด้วยเรื่องกาย วาจา ใจ จะประกอบด้วยกุศลกรรมที่สามารถเกิดขึ้นได้เอง โดยที่เราไม่ต้องตั้งใจทำ คือ เกิดขึ้นมาได้เอง ไม่ต้องมีใครบอก แต่ธรรมชาติของจิตที่พัฒนาแล้วจะสามารถเรียนรู้ได้ตัวของมันเอง ยกตัวอย่างเช่น คนที่บรรลุธรรมในขั้น โสดาบันเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นในสมัยพุทธกาลนั้น เมื่อจิตเคลื่อนเข้าสู่กระแสมรรค ผล นิพพานแล้ว ส่วนมากท่านก็สามารถที่จะรู้ได้เองว่า ชาติ ภพ ของเรานั้นเหลือน้อยเต็มทีแล้ว จะเป็นฆราวาส หรือพระภิกษุก็ดี จะมีความยินดีในพระรัตนตรัย มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความยินดีในการปฏิบัติตามหลักศีล ๕ (สำหรับฆราวาส) ในเรื่องศีล ๕ อันเป็นศีลที่พระโสดาบันรักษาได้โดยเหนี่ยวแน่นนั้น ก็เกิดขึ้นมาเอง คือ จิตจะรักษาของมันเองโดยที่ผู้นั้นไม่ต้องสมาทาน หรือไม่ต้องตั้งใจว่าจะต้องรักษาให้ได้ ผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันในพุทธกาล บางท่านไม่ทราบด้วยตัวเองว่าเป็นพระโสดาบัน แต่จะมีอาการหรือความประพฤติที่อยู่บนคุณสมบัติของพระโสดาบันไปแล้ว หากต้องการความชัดเจนที่สุด ก็ต้องอาศัยพุทธญาณจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรวจสอบว่าตอนนี้ท่านเป็นพระโสดาบันหรือไม่ ซึ่งเรื่องพุทธญาณเป็นญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองด์เดียวเท่านั้นที่จะหยั่งรู้ได้ ส่วนพระอรหันต์องค์อื่น ๆ หากไม่มีวาสนาบารมีเคยสั่งสอนอบรมกันมาในอดีตชาติ ย่อมไม่สามารถทำนายมรรค ผล นิพพานให้กันและกันได้เลย
สำหรับพระอริยบุคคลชั้นต้นผู้อยู่นอกเหนือพุทธทำนาย คือหลังจากสมัยที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็มีเพียงตำราในพระไตรปิฎก และคำสอนของครูบาอาจารย์ที่สอนสืบกันมา หากต้องกับคำสอนทุกอย่างพระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้ทำนายมรรค ผล ได้ด้วยตัวเอง คือรู้ได้ด้วยตัวเอง เช่น จิตที่หลุดพ้นไปจากอาสวะ ก็ย่อมรู้ชัดว่าจิตนั้นหลุดพ้น แต่ทรงห้ามนำอวดอ้าง เพราะเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน หากเป็นพระแล้วไม่มีคุณธรรมของพระอริยบุคคลจริงก็ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ
ในเรื่องจิตที่อยู่เหนือเจตนานี้ เช่นการรักษาศีลของพระอริยบุคคลชั้นต้น ตามที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาธรรมชาติ ดังน้ำได้ดิน เมื่อขุดดินลงไปลึก ๆ น้ำก็ซึมออกมาเอง เป็นไปตามธรรมชาติ ในเรื่องของ สติ ปัญญาก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่เข้าถึงมรรค ผล นิพพาน สิ่งที่คล้อยติดตามมีคือ ญาณ (หมายถึงปัญญา เครื่องรู้ ไม่ใช่ฌาณ ที่เกิดการเพ่ง หรือสมาธิ ) ญาณหรือปัญญา เมื่อจิตเข้าสู่กระแส มรรค ผล นั้นจะเกิดตัวปัญญา มีความรู้ขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ คือ รู้ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือ อธิบายธรรมที่สอดคล้องกับพุทธพจน์ แม้จะไม่เคยได้ฟังธรรมข้อนั้น ๆ จากพระพุทธเจ้ามาก่อนก็ตาม หากเป็นสาวกปกติจะพูดได้เพียงสอดคล้อง แต่หากเป็นข้อธรรมที่ลึกซึ้งอาจผิดพลาดได้ตามวิสัยของพุทธสาวกธรรมดา แม้จะเป็นพระอรหันต์ก็ตามที เช่น ลองหาอ่านสาวกประวัติที่บรรลุธรรมในสมัยพุทธกาล บางรูปหลังจากบรรลุธรรมแล้ว ก็สามารถเทศนาธรรม ขยายหรือย่นย่อข้อธรรมได้เลย เรียกว่ามีปฏิสัมภิทาญาณ เรียกว่าไม่ต้องติวเข้มใด ๆ จากพระพุทธเจ้าอีกก็ได้ แต่มีหลายครั้งที่พระพุทธเจ้าท่านก็ตำหนิพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ด้วยเช่นกัน เพราะญาณ หรือ เครื่องรู้ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน เป็นการอบรมบารมีมาแต่อดีตชาติไม่เท่ากัน เพียงแต่มีสภาพจิตและคุณธรรมของพระอริยบุคคลเท่ากันเท่านั้น
สิ่งที่แตกต่างระหว่างพระอริยบุคคลชั้นต้น กับปุถุชนทั่วจึงอยู่ที่สภาพจิต และการประพฤติ ความนึกคิด การเรียนรู้การปรุงแต่งของจิต จิตที่อยู่เหนือเจตนา ประกอบด้วยกุศลกรรม เป็นไปอย่างอัติโนมัติ เป็นจิตชั้นสูง ซึ่งคนทั่วไปนั้นจะไม่สามารถรู้หรือ หยั่งจิตของพระอริยบุคลได้เลย เปรียบเทียบกับบ่อน้ำก็เป็นบ่อน้ำที่ประมาณหาความลึกมิได้ และไม่ใช่วิสัยของคนทั่วไปที่จะคาดคะเนเอาได้นั่นเอง...
Create Date : 07 เมษายน 2554 |
Last Update : 7 เมษายน 2554 8:15:45 น. |
|
7 comments
|
Counter : 505 Pageviews. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 เมษายน 2554 เวลา:8:26:00 น. |
|
|
|
โดย: แม่ีมณี IP: 182.53.65.43 วันที่: 7 เมษายน 2554 เวลา:13:38:00 น. |
|
|
|
โดย: Nissan_n วันที่: 7 เมษายน 2554 เวลา:14:48:57 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:5:06:13 น. |
|
|
|
โดย: Budratsa วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:21:19:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 เมษายน 2554 เวลา:6:16:50 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 10 เมษายน 2554 เวลา:6:55:26 น. |
|
|
|
| |
|
|
กับปุถุชนทั่วจึงอยู่ที่สภาพจิต
.
.
เห็นด้วยเลยครับ