Group Blog
 
All Blogs
 
แนะนำหนังสือสอนไวยากรณ์และพจนานุกรมภาษาอังกฤษ

Smiley แนะนำหนังสือสอนไวยากรณ์


เล่มแรก


Essential Grammar in Use
ผู้แต่ง Raymond Murphy
สำนักพิมพ์ Cambridge University

เอาไว้อ่านและทำแบบฝึกหัด มีหลายเล่มให้เราเลือกระดับความยากที่เหมาะสมกับตัวเราเอง มีทั้ง Elementary, Intermediate, Upper-Intermediate





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.cambridge.org/elt/elt_projectpage.asp?id=2500270)

เล่มที่สอง

Practical English Usage
ผู้แต่ง Michael Swan
สำนักพิมพ์ Oxford University

เอาไว้เปิดอ้างอิงเวลาอยากค้นคว้าเรื่องไวยากรณ์ เช่น คำว่า such ใช้ยังไง หรือเวลาอ่านตัวเลขเศษส่วน ทศนิยมต้องอ่านยังไง เป็นต้น หนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างประโยค ตัวอย่างการใช้ไวยากรณ์ให้ดูเยอะดีค่ะ มีประโยชน์มากๆ เวลาเขียนภาษาอังกฤษ ไม่แน่ใจว่าใช้คำไหนยังไงก็เปิดเช็คจากเล่มนี้ล่ะค่





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.oup.com/elt/catalogue/isbn/7978?cc=global)

Smiley แนะนำพจนานุกรมดีๆ

เล่มแรก
The Oxford Wordpower Dictionary

เป็นพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษเล่มแรกๆ ของเราเหมือนกัน ใช้ตั้งแต่ตอนที่ยังเปิดพจนานุกรมไม่ค่อยเป็น เพราะอธิบายเข้าใจง่ายดี





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.oup.com/elt/catalogue/isbn/6860?cc=global)

เล่มที่สอง


Longman Dictionary of Contemporary English


เล่มนี้เหมาะกับคนที่ใช้พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษได้คล่องขึ้นแล้ว มีคำศัพท์เยอะดี แล้วก็มี CD-ROM ให้ใช้ด้วย เป็นพจนานุกรมเล่มที่เราใช้บ่อยที่สุด เพราะจัดกลุ่มความหมายของคำไว้ชัดเจน เปิดหาความหมายง่ายและเร็วดี





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.ldoceonline.com/)

เล่มที่สาม


Oxford Collocations Dictionary for Students of English

เป็นพจนานุกรมที่ขาดไม่ได้เวลาเขียน essay ส่งอาจารย์ค่ะ เล่มนี้จะบอกเราได้ว่าคำคำหนึ่งควรใช้คู่กับคำไหน เช่น เวลาเราจะเขียนถึงคำว่า idea แต่ไม่รู้ว่าจะใช้คำขยายว่าอะไรถึงจะแปลว่า idea ที่ดีๆ เจ๋งๆ จะใช้คำว่า good มันก็ฟังดูธรรมดาไปหน่อย ในพจนานุกรมเล่มนี้ก็จะให้คำศัพท์ที่ใช้ขยายคำว่า idea มาหลายคำ เช่นคำว่า bright ซึ่งให้ความหมายเหมาะกับที่เราต้องการ พอเลือกสองคำนี้มาใช้ประกอบกันก็เป็นวลีว่า bright idea เป็นต้น





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.oup.com/elt/catalogue/isbn/0-19-431243-7?cc=global)

เล่มที่สี่


Cambridge English Pronouncing Dictionary

เหมาะสำหรับใช้เปิดหาคำอ่านของชื่อศัพท์เฉพาะ เช่น ได้ยินชื่อมหาวิทยาลัย Berkeley แต่ไม่รู้ว่าคำนี้อ่านว่า เบอร์กลี่ย์ หรือว่า เบอร์กเล่ย์ กันแน่ ก็เปิดพจนานุกรมเล่มนี้ดู จะพบว่าคำอ่านแรกเป็นคำอ่านที่ถูกต้อง เป็นต้นค่ะ ที่จริงพจนานุกรมเล่มนี้มีคำอ่านสำหรับคำศัพท์ทั่วๆ ไปที่เจอในพจนานุกรมเล่มอื่นๆ ด้วย แต่เราชอบเอาไว้เปิดหาคำอ่านของชื่อเฉพาะมากกว่า เพราะหาในพจนานุกรมทั่วไปไม่ได้มี CD ให้ด้วย แม้จะอ่านสัญลักษณ์ไม่เป็นก็สามารถใช้ CD เปิดฟังคำอ่านที่ถูกต้องได้ อยากให้ลองหัดอ่าน phonetic symbols ให้เป็น เพราะอ่านไม่ยากนะคะ ถ้าจำสัญลักษณ์ไม่ได้ ก็สามารถเปิดดูคำอธิบายได้ อ่านบ่อยๆ ฟังคำอ่านจาก CD บ่อยๆ ก็จะจำได้เอง





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.cambridge.org/elt/dictionaries/cepd.htm)

Smiley แนะนำหนังสือสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษ

ถ้าอยากฝึกสำเนียงอังกฤษ ก็ต้องเล่มนี้ค่ะ
English Pronunciation in Use Pack Book and Audio CD  
ผู้แต่ง Mark Hancock
สำนักพิมพ์ Cambridge University

เค้าทำบทเรียนได้น่าสนใจ และเป็นขั้นเป็นตอน ศึกษาง่ายดี มีหลายระดับให้เลือกตามพื้นความรู้ของเราทั้ง Elementary, Intermediate และ Advanced





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.cambridge.org/elt/elt_projectpage.asp?id=2500664)

ถ้าเป็นสำเนียงอเมริกัน เล่มนี้ก็ดีค่ะ

Clear Speech: Pronunciation and Listening Comprehension in American English
ผู้แต่ง Judy B. Gilbert
สำนักพิมพ์ Cambridge University

อธิบายได้ละเอียดชัดเจน มีรูปประกอบว่าต้องทำปากทำลิ้นยังไงบ้าง มีแบบฝึกหัดให้ฟังและออกเสียงตามเยอะดี มีเทปให้ฟัง ถ้าซื้อมาศึกษาเอง ก็คงจะต้องซื้อ Teacher's Book อีกเล่มเพื่อไว้ดูเฉลยค่ะ





(ที่มาของรูปจากเว็บ //www.cambridge.org/us/esl/cluster/clear-speech_01.asp)

ตามความเห็นเรา ไม่ค่อยอยากแนะนำให้ซื้อนิตยสารสอนภาษาอังกฤษ ประเภทให้เรียนภาษาอังกฤษโดยอ่านเทียบบทความภาษาอังกฤษกับบทแปลภาษาไทย เพราะเราเห็นบางเล่มก็แปลผิดความหมายอยู่บ่อยๆ เลยอาจจะทำให้คนอ่านจำความหมายที่ไม่ถูกต้องไปใช้

ตัวเราเองพบว่าเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้หนังสือและพจนานุกรมที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ไม่มีภาษาไทย ทำให้เราเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น เพราะเราจะชินกับการอ่านภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจความหมายเลยโดยที่ไม่ต้องมาแปลความคิดให้เป็นภาษาไทยก่อนซึ่งจะทำให้ความคิดช้าลง และอ่านได้ช้ากว่าด้วยค่ะ อีกอย่างนึง การที่เรียนภาษาอังกฤษโดยมานั่งแปลความคิดเป็นภาษาไทยก่อน มักจะมีผลทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ไม่คล่องเท่าที่ควร คือพอชินกับการคิดเป็นภาษาไทย เวลาพูดก็เลยนึกเป็นภาษาไทยก่อนแล้วค่อยคิดประโยคภาษาอังกฤษ กว่าจะพูดได้แต่ละประโยคเลยต้องใช้เวลาประมวลผลในสมองอยู่นาน ถ้าเป็นไปได้ พยายามเรียนภาษาอังกฤษจากหนังสือภาษาอังกฤษจะดีกว่าค่ะ


สำหรับคนที่เตรียมตัวไปเรียนที่อังกฤษ และอยากหัดฟังหัดพูดสำเนียงอังกฤษ


มีรายการทีวีที่พูดสำเนียงอังกฤษมาแนะนำเพิ่มเติมค่ะ เป็นรายการกีฬา อาจจะฟังยากหน่อยเพราะคนบรรยายมักจะพูดเร็ว แล้วก็ใช้ศัพท์กีฬา แต่ถ้าฟังช่วงที่มีพิธีกรมาพูดคุยให้ฟัง ก็จะฟังง่ายขึ้นนิดนึง ยังไงลองฟังให้คุ้นสำเนียงอังกฤษไว้ก่อนก็ยังดีค่ะ ถ้าใครติดเคเบิ้ลทีวีก็พยายามเปิดช่องเหล่านี้ดูบ่อยๆ นะคะ

- รายการฟุตบอลอังกฤษอย่าง English Premier Football League
- รายการแข่งรถ Formula One


ส่วนรายการสารคดีทางช่อง Discovery หรือ National Geographic หรือ History Channel ก็มีสารคดีที่บรรยายเป็นสำเนียงอังกฤษให้ฟังบ้างเหมือนกัน แต่ถ้ายังฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่องอาจจะแยกไม่ถูกว่าเสียงที่บรรยายเป็นสำเนียงอังกฤษหรือสำเนียงอเมริกัน

ลองฟังสองสำเนียงนี้เทียบกันที่เว็บนี้นะคะ

//www.universitetsforlaget.no/baep/hoved.html

ทางซ้ายมือจะเป็นบทเรียนสำเนียงอเมริกัน (AE) แต่ทางขวามือเป็นบทเรียนสำเนียงอังกฤษ (RP)
ถ้าคลิกรูปลำโพง จะมีเสียงบทเรียนให้ฟัง สนุกดีค่ะ


เรื่องสถาบันสอนภาษาเนี่ย เราไม่ค่อยทราบว่าที่ไหนดี เพราะไม่ค่อยได้เรียนตามสถาบันต่างๆ น่ะค่ะ แต่ถ้าสนใจจะไปเรียนภาษาที่อเมริกา น่าจะเรียนกับอาจารย์ชาวอเมริกัน จะได้ฟังสำเนียงอเมริกันให้คุ้นหู ถ้าเรียนที่เมืองไทยให้ภาษาดีขึ้นในระดับนึงก่อน ปูพื้น grammar ให้แน่น แล้วค่อยไปเรียนภาษาต่อที่เมืองนอกก็จะดีค่ะ เพราะถ้าไปเริ่มจากศูนย์ที่เมืองนอก อาจจะต้องใช้เวลาเรียนนานหน่อย ทำให้ต้องเสียค่าเรียนมากโดยไม่จำเป็น และเวลาไปอยู่เมืองนอก คุยกับเจ้าของภาษา จะได้พัฒนาทักษะการพูดให้คล่องขึ้นก็จริง แต่เรื่อง grammar อาจจะไม่ค่อยได้ฝึก เพราะเวลาพูดกับเจ้าของภาษา เค้าก็ไม่มาบอกเราว่าตรงนี้ grammar ผิดนะ ออกเสียงคำนี้ยังไม่ชัด หรือใช้คำศัพท์ผิด แค่ให้เค้าฟังพอจับความได้ก็สื่อสารกันรู้เรื่องแล้วน่ะค่ะ


ส่วนเรื่องหลักไวยากรณ์ของอังกฤษกับอเมริกันไม่ต่างกันค่ะ จะต่างก็แค่ศัพท์และสำนวนบ้างนิดหน่อย

ส่วนหนังสือ Essential Grammar in Use ที่แนะนำไว้เล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งค่ะ อาจารย์ที่สอนสาขาภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยมักจะแนะนำให้ใช้เล่มนี้ อาจารย์หลายคนเวลาสอนภาษาอังกฤษก็มักจะซีรอกซ์บทเรียนจากหนังสือเล่มนี้มาให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดเหมือนกัน การจะอ่านและทำแบบฝึกหัดจนหมดเล่ม ต้องใช้เวลาพอสมควรค่ะ พยายามหาเวลามานั่งอ่านทุกวัน วันละ 1 บท จะดีกว่าอ่านอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 10 บท เพราะภาษาเป็นเรื่องที่ต้องสะสมไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ทำไปวันละนิดวันละหน่อยก็ได้ หนังสือเล่มนี้จะสอนหลักไวยากรณ์แบบปูพื้นฐานให้เราค่อยๆ ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ ไม่ได้สอนให้จำๆๆๆ แบบเร่งรัด อ่านก่อนนอนทุกวันก็ดีค่ะ เพราะว่าพออ่านเสร็จก็จะไม่มีอะไรมารบกวนสมอง จะได้ไม่ลืมบทเรียน

ที่สำคัญคือควรจะพยายามทำให้การเรียนภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับตัวเราเอง เริ่มเรียนภาษาอังกฤษจากสิ่งที่เรา "ชอบ"
แม้แต่การนั่งฟังเพลงซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อแกะเนื้อเพลง หรือดูหนังที่เราชอบมากๆ เป็นสิบรอบ จนจำคำพูดเด่นๆ ในหนังได้ ก็ช่วยให้เราได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษได้เหมือนกัน อย่างเราเองเริ่มจำ present perfect ได้ก็เพราะจำมาจากเพลงที่ร้องว่า Have you ever seen the rain? ทำให้จำ tense นี้ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ที่ย้ำให้เรียนภาษาอังกฤษจากสิ่งที่สนใจก็เพราะถ้าเรียนภาษาอังกฤษจากสิ่งที่รู้สึกว่าน่าเบื่อ ก็จะทำให้เราเบื่อและหมดความพยายามไปเสียก่อน พอเรียนไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ภาษาอังกฤษของเราดีขึ้น จะรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับความพยายามของเราจริงๆ ค่ะ


อีกอย่างที่อยากบอกอีกครั้งก็คือ ไม่จำเป็นว่าต้องไปเรียนภาษาที่เมืองนอกเท่านั้นถึงจะเก่งภาษาอังกฤษได้ เรียนที่เมืองไทยก็เก่งได้เช่นกันนะคะ สอบ TOEFL ที่เมืองไทยก็สามารถจะได้คะแนนเกิน 600 ได้ถ้าฝึกฝนอย่างจริงจัง นักเรียนไทยที่เรียนสาขาภาษาอังกฤษในเมืองไทยแต่ไม่เคยไปเมืองนอกเลย หลายคนก็พูด ฟัง อ่าน เขียนได้ดีกว่าคนที่อยู่เมืองนอกนานๆ เสียอีก

ประโยชน์จริงๆ ที่ได้รับจากการไปอยู่เมืองนอกก็คือประสบการณ์การใช้ชีวิต การรู้จักพึ่งพาตัวเอง ได้เรียนรู้คนหลายๆ แบบที่อาจจะมีพื้นฐานความคิดไม่เหมือนเรา ช่วยเปิดมุมมองของเราให้กว้างขึ้น ไปอยู่เมืองนอกดีตรงที่เราจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ก็เลยต้องพยายามพูดภาษาอังกฤษให้ได้ จะเรียกว่า ต้องพูดภาษาอังกฤษให้เป็นเพราะสถานการณ์บังคับก็คงจะได้ แต่ถ้าอยู่เมืองไทยแล้วได้ฝึกฝนทักษะเรื่องภาษาอย่างถูกวิธี ก็สามารถจะเก่งภาษาอังกฤษได้เหมือนกันค่ะ Smiley




Free TextEditor


Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2552 1:46:19 น. 7 comments
Counter : 4037 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ คุณ Aoyama

เห็นชื่อ Blog entry น่าสนใจ ชื่อเจ้าของ blog ก็คุ้น ๆ
หนังสือที่แนะนำก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นแล้ว

อ้าว คุณ Aoyama ที่เราเคยอ่านคำแนะนำในกระทู้ห้องไกลบ้านนี่เอง

ขอบคุณมาก ๆ ค่ะสำหรับกระทู้ดี ๆ และ blog ดี ๆ เป็นประโยชน์มากค่ะ


โดย: Flowery วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:31:46 น.  

 
ขอบคุณ สำหรับความรู้ดี ๆ ค่ะ


โดย: แม่มดตัวจิ๋ว IP: 124.121.156.234 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:18:27 น.  

 
อยากจะทราบว่าจะสั่งซื้อหนังสือเหล่านี้ได้ที่ไหนบ้างคะ


โดย: ครูผู้น้อย IP: 118.172.156.25 วันที่: 18 ตุลาคม 2553 เวลา:12:23:43 น.  

 
แม้บล็อกนี้ เจ้าของบล็อกจะไม่ได้กลับมาอ่านก็ตามนะครับ

แต่บอกได้เลยว่า look like love สุด ๆ ครับ แนะนำดีมากๆ ให้กำลังใจสุดๆ และดูเหมือนพี่จะเป็น เซียน ตัวจริงครับ

รักเลยยยยยยยย


โดย: iris IP: 115.87.245.151 วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:4:42:43 น.  

 
ขอบคุณคำแนะนำดีๆนะค่


โดย: pp IP: 61.91.163.60 วันที่: 12 มิถุนายน 2554 เวลา:1:02:37 น.  

 
อยากใช้ภาษาอังกฤษให้เป็น แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่า
แต่ก็จะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ นะค่ะ มีประโยชน์มากเลยค่ะ


โดย: fern IP: 124.122.154.59 วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:4:39:47 น.  

 
ขอบคุณมากครับ....ผมกำลังอ่านอยู่เลย จะทำตามดูนะครับ มีอะไรดีๆ ก็บอกเพิ่มได้นะครับ


โดย: เทอดศักดิ์ IP: 124.122.160.186 วันที่: 21 ตุลาคม 2554 เวลา:19:29:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aoyama
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สมาชิก Pantip รุ่นดั้งเดิม เคยวนเวียนอยู่ห้องไกลบ้านอยู่สองสามปี จากนั้นเมื่อกลับมาเมืองไทยก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับธรรมะ โดยเฉพาะแนวดูจิต สนใจเรื่องอาหารการกิน โดยเฉพาะช็อกโกแลตอร่อย ๆ ^_^

แม้จะเล่นเทนนิสไม่เป็นแต่นักเทนนิสคนโปรดคือ Roger Federer เพราะประทับใจที่ Federer มักจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับเด็ก ๆ ในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของคุณแม่ของเค้า
Friends' blogs
[Add Aoyama's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.