Husband ... แยกทางกันเดิน....
ในมิวเซียม การเดินของสามี ภรรยาคู่นี้ไปกันคนละทิศละทางก้อคนเราสนใจต่างกันนี่เค๊อะ ว่าแต่ตอนหิวค่อยมาเจอกันอีกทีแบบว่าคุยกันไว้ก่อนแล้วอ่ะ
ภาพเขียนฝีแปรง หมึกน้ำ ทำให้เรานึกได้ว่าเคยได้รับของขวัญวันวาเลนไทน์เป็นสไตล์นี้ล่ะ สมัยเป็นสาวกำดัด ประมาณมัธยมสองมั๊ง หุ หุ หึ หึ(กินของขม ชมเด็กสาว ท้าวความหลัง)
ในหนังสือว่าการศึกษาสำคัญที่สุดของสังคมคนเกาหลีว่ากันว่า คนไม่มีปริญญาเหมือนเดินแก้ผ้า หน้าอายจริงปัจจุบันนี้แก่ชราตาฝ้าฟางยังเข้าคอร์สเรียนภาษาอังกฤษมั่ง จีนมั่งส่วนเด็กๆ ก้อไปนอกกันเหมือนไปไร่ไปนาสมัยโบราณแจกันใส่น้ำหมึก แท่งที่ฝนหมึก โต๊ะเขียนอ่านจะอยู่จุดสำคัญของบ้านไว้โชว์แขกอ่ะแล้วมีแข่งกันด้วยน้าาาา สวยกว่า แบบเดิ้นกว่าอ่ะ ท้ายที่สุดก้อมารวมโชว์ในมิวเซียมด้วยกันนี่แหละ
ที่แคะหูของเซเลบ..มีผีเสื้อทองคำด้วย...
ชุ่มน้ำฉ่ำฝนค่าเพื่อนๆ ไม่ได้แพ้เมืองไทยนะค๊า เรื่องความชื้นเย็น ที่เต้นสลับจังหวะกะความร้อนอบสามีขับรถไปวนๆ หลงๆ อยู่แถวยออิโด อยู่ตั้งนานเราก้อถนัดแต่รถไฟฟ้า จะไปมิวเซียมกันน่ะฝนหนักอย่างนี้ ไปเที่ยวแบบชมป่ารักลมรักแดดไม่ไหวอ่ะจ้าเอารูปมาฝากกัน บรรยายไม่ได้หรอกไม่ชั้นก้อเธอล่ะคงหน้ามืดเป็นลมกันไปข้าง
คงเป็นเซเลบเกาหลีในรั้วในวังอ่ะนะ ที่จะมีที่แคะหูห้อยผีเสื้อตัวน้อยทำด้วยทองคำ ฮู้ววววว ต่างหูน่ารักๆ กะที่ใส่เครื่องหอม
เอเชียเหมือนกัน แต่...
มาออกกำลังขา เดินดูมิวเซียมแห่งชาติ ของกรุงโซลรีวิวตั้งกะตัวตึกยันข้างใน ยกเว้นห้องน้ำนะเพราะฝากกล้องกะคุณสามีอ่ะเลยไม่ได้เก็บภาพเค้าเก็บภาษีประชาชนมากกว่าบ้านเราหรือป่าวหือทำไมพิพิธภัณฑ์เค้ากะของเราช่างเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคลเหลือเกิ๊นนนนน สามีบอกว่าอยากไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่กรุงเทพ ดีใจมากที่ได้ยินเราก้ออยากพาเค้าไปเหมือนกันปากว่าไม่เท่าตาเห็นค่ะต้องพาไปดูด้วยตัวเอง หุหุ
ในรูปมีคนแก้กางเกงเห็นก้น กะลังถูกตีก้นแต่เราเซ็นเซอร์เอง อิ อิ บทลงโทษเนี่ยะใครดื้อนะ ต้องถูกทำโทษ มา มา แก้ผ้าออกเดี๋ยวนี้ เห็นก้นแล้ว ขอซัดด้วยแส้ ให้หลาบจำ จะได้ไม่ทำอีก
ดอกไม้ กะ ยาย ขากะเผลก
อากาศเมืองหลวงหน้าฝนปนหน้าร้อน กรุงโซลที่เราแฝงตัวอาศัยอยู่ร้อนเหมือนอบไอน้ำอากาศเริ่มร้อนลมนิ่ง วันสองวันบรรยากาศรอบตัวเหมือนหมอกลงมองไกลไม่ชัด ต่างจากหมอกความเย็นที่เรารู้จักแล้ววันที่สามหรือวันที่สี่ฝนจะเทกระหน่ำลงมาทั้งวันทั้งคืน
บานเชิดใส่แสงแดด ดอกไม้หน้าฝนสีส้ม สีส้มเป็นพวงล้นเครือชวนให้นึกถึงดอกจานบานเต็มต้นของบ้านเราไม่ว่าหนุ่ม แก่ สาว เด็ก ตอนนี้พกร่มกันฝนกันเป็นของคู่กายเพิ่มจากมือถือ และ MP3 ส่วนวันไหนที่ร้อนมากๆ ที่สถานีรถไฟฟ้าจะเห็นแต่ละคนมือเป็นระวิงถือพัดโบกหาลมเย็นกันให้วุ่น ได้กลิ่นกิมจิกะกระเทียม หึ หึ วันที่แดดร้อน สาวๆ เค้าพกร่มกันแดดคันกะจึ๋งนึงร่มกันแดดของสาวๆ ที่นี่น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนในการ์ตูนแคนดี้ มีระบาย ลายปักหวานมากๆ
เดินเลาะตามทางเดินขึ้นเนินเขา เห็นเครือองุ่นเกาหลี เราเรียกอย่างนี้แหละ ก้อเค้าไม่เหมือนองุ่นแดง หรือองุ่นเขียวที่เรากินกันในเมืองไทย หน้าตาลูกกลมปั้นๆ อย่างที่เห็น กินตอนลูกสุกงอมกลิ่นหอมแรง รสชาติไม่แพ้กลิ่นรสองุ่นเกาหลีแรงจัด ราคาแพงกว่าองุ่นแดงชิลีอีก เชื่อว่าครั้งแรกถ้าเพื่อนได้ลิ้มลองจะต้องบ้วนทิ้งเพราะรสเค้าแรงมาก ถ้าให้เปรียบเทียบก้อประมาณนุ่มเหมือนองุ่น ซ่านลิ้นเหมือนมะขามป้อม กลิ่นฉุนแรงพอๆ กับลูกตำลึงทองสุก มีวางขายเฉพาะฤดูกาลนี้เป็นผลไม้ราคาแพง ห่อแพ็กเกจอย่างหรูหรา
เดินไปเรื่อยๆ เห็นดอกบานชื่นตอนแรกไม่สนใจนัก แต่ชะงักหยุดดูเพราะแต่ละดอก มีเหล่าผึ้งขยันหาน้ำหวานขนาดกล้องถ่ายรูปจ่อใกล้ๆ เค้าก้อมุ่งมั่นหาทุกละอองเกสรไม่ได้บินหนีเราเลย (หรือมาต่อยเรา)ปะลิ ปะลิ แปลว่า เร็วๆ ซึ่งเด็กเกาหลีตัวเล็กๆ จะชอบร้องเรียกความสนใจจากพ่อแม่ที่มาเดินจ่ายตลาดในห้าง หรือตามสนามเด็กเล่น เราเริ่มจะชินกับความเร่งรีบที่นี่คนเกาหลีต้องรีบทำมาหากิน เพราะฤดูกาลเปลี่ยนเร็วมาก จากฤดูใบไม้ผลิ เป็นฤดูฝน เป็นฤดูร้อน แล้วก้อฤดูใบไม้ร่วงต่อติดด้วยฤดูหนาวหิมะลง ช้าไม่ได้เดี๋ยว อดไม่มีกิน
เดินผ่านดงหญ้า ขึ้นเนินสูงไปอีก ผ่านต้นเบอร์รี่สีแดง มีหนามแหลมๆ
จากทางเดินลงเขา ลุยป่าฝ่าดงในวัดพงอึนซา ข้างหน้ามองเห็นตึก World Trade Centre
ผึ้งหาน้ำหวานจากดอกไม้ จะมีผีเสื้อมาคอยกวน แล้วก้อนี่ มีแมลงตัวอ้วนที่มาแย่งน้ำหวานอีกอาทิตย์ก่อนเป็นหัวเข่าบวม ไม่ได้ออกนอกบ้านเลย ต้องกินกะนอนอยู่บ้าน พอเข่าหาย เดินได้ก้อกลุ้มอีกละ ก้อไอ้พุงที่ป่องเป็นชั้นๆ ไม่ได้เรียกมา ก้อมา กะ เอว อ่ะ เคยคลำเจออยู่น่ะ ตอนนี้มันดันหายไปด้วยน่ะจิ ไปวัดวันนี้เราปวดเข่านิดหน่อย พยายามเดินเบาๆ เอา อิ อิ แก่แล้วก้อต้องเข้าวัดนะจ๊ะ
หวานปานดอกไม้
มีครั้งนึง เราไปเสิร์ชหาว่าที่ไหนในโซล มีงานมหกรรมอะไรบ้างจากอินเตอร์เน็ต ก้อบังเอิญไปเจองานแสดงดนตรีในสวน ที่ศูนย์วัฒนธรรมประจำชาติเกาหลี เข้าชมฟรีด้วยดีจังวันหยุดเสาร์นั้น คุณสามีเลยได้ออกไปกินบรรยากาศนอกบ้าน
2008 Sunday Open Concert for Korean Traditional Music Green Concert of June in the hillsides of Mt. Umyeon แถวๆ เนินเขา อู มยอน อิ อิ เดาเอาว่าออกเสียงทำนองนี้แหละ (ถ้าน้องบุ๋มเห็นแล้วช่วยแก้ไขให้พี่ด้วยนะจ๊ะ)ขับรถออกจากบ้าน พร้อมแผนที่ในมือ ไปกันแบบตกลงกันแล้วว่า หากหลงทางห้ามบ่นว่าให้กันนะที่รัก
โอ เค กันแล้วทั้งสามีภรรยา ขับรถนั่งชมนั่นนี่ไปตามเส้นทางในแผนที่ แบบมั่นใจค่ะ ป้ายบอกทางในกรุงโซลมีทุกระยะ ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง นั่นเจอแล้ว อาคารใหญ่โต มีชื่อบอกในป้ายบอกทางจากถนนด้วยง่ายดีหาไม่ยากเลย เข้าไปจอดรถในอาคาร สะดวก สะอาด
เป็นการแสดงดนตรีประจำชาติของเกาหลี เรานั่งชมบนเนินเขาจริงๆเขียวสดไปด้วยหญ้า รายรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ ผู้คนชนรักดนตรีจูงลูกจูงหลานมาคอยก่อนเวลา จับจองที่นั่งไม้กระดานด้านหน้ากันเต็มก่อนแล้ว แม้ว่าตอนนั้นแดดยามบ่ายจะยังไม่คลายร้อน
สถานที่ชมการแสดง ที่นั่งเป็นแบบไล่ระดับขั้นบันได สูงขึ้นไป กลางแจ้ง นั่งรับลมเย็นๆ มีหญ้านุ่มๆ คั่นระหว่างแผ่นกระดานที่นั่งพอถึงเวลาที่ระบุปุ๊ป ก็เปิดการแสดงตามเวลาเป๊ะๆ ดนตรี มีทั้งการแสดงแบบตามวัฒนธรรมเกาหลีโบราณ และการแสดงแบบประยุกต์ดนตรีสมัยใหม่เข้าไป บรรยากาศงานเป็นแบบดนตรีในสวนเสียงดนตรีบรรเลงสไตล์หวานในอารมณ์ของปลายฤดูใบไม้ผลิ
ระบำ เป็นการแสดงประจำชาติเกาหลี ตั้งแต่การแสดงของนางใน เพื่อถวายกษัตริย์ ทอดพระเนตรรวมทั้งระบำนางในดอกบัว ที่กำเนิดจากความรักของนกกระสา
ไปจนถึงการแสดงแบบประยุกต์ชุดนี้ที่ใช้ชื่อว่า more beautiful than flowers