แอน..แอ่น..แอ๊นนนนนนน
 
ฮ่องกงไก่กา..ครั้งที่ 2 ในรอบปี (ตอนที่ 4) ชอปจนหยดสุดท้าย

วันที่ 4 เก็บแผนที่ปิดตาเดิน

วันนี้มีแพลนไปเดิน Harbour City และบ่ายๆ จะไปนั่งรถรางชมเมืองฝั่งฮ่องกง เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เราก็ไปหาไรกินกันที่ Food Republic ชั้นล่างของห้าง Silver cord centre ลงไปปุ๊บ เจอตู้ไข่เรียงเป็นตับ เลยเข้าไปขอไขหน่อย แต่ละตู้จะมีของข้างในต่างกัน ราคาก็ต่างกันด้วย ใครชอบอันไหนก็กดปุ่ม แล้วเอาบัตรออกโทพุส ไปแปะตรงเครื่องหมายทาบบัตร แล้วก็บิดไข่ออกมา บิดกันคนละ 4 – 5 อัน พอหอมปากหอมคอ ก็เข้าไปหาไรกินข้างใน ที่นี่มีร้านอาหารมากมายให้เลือก จะเป็นหน้าตาคล้ายฟู้ดคอร์ดตามห้างบ้านเรา มีอาหารให้เลือกมากมาย ทั้งบะหมี่ ข้าวหน้าต่างๆ อาหารญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะขายเป็นชุดๆ เช่นมีข้าว มีผัก มีซุป เมื่อเลือกอาหารได้ดั่งใจ ก็หาโต๊ะนั่ง อาหารที่นี่ปริมาณยิ่งใหญ่มาก เยอะจนคนที่คิดว่ากินเก่งแล้วยังต้องขอยอมแพ้ ราคาก็ 40 เหรียญขึ้นไป (ใหญ่จริงใหญ่จังอ่ะ)


ดิสเพลสีเจ็บปวดกับชุดสีแสบทรวง


ตู้ไข่ เหมาะกับคนน่ารัก กุ๊กกิ๊ก อย่่างพวกเรา (หมดไปคนละหลายร้อย)



(ได้ยางลบมา -*- ไ่ม่เคยมีดวงด้านนี้เลย)



กินข้าวกันที่นี่จ้า





ได้มาแล้ว อาหารเช้า

กินจนจุกก็ออกไปเดิน Harbour City ซึ่งอยู่ตรงฝั่งตรงข้าม ซึ่งเดินโฉบมา 3 วันละ ไม่มีโอกาสได้เข้าซักที เพราะโดนสิ่งยั่วยุรอบๆ ฉกตัวไปซะหมดเวลาตลอด ไม่ว่าจะเป็น H&M ESPRIT OUTLET ห้างเล็กห้างน้อย

วันนี้แผนที่เน่าๆ ขอบเปื่อยๆ ของเราไม่ได้ทำหน้าที่ของมัน เพราะทางแถบนี้เดินจนแทบปิดตาเดินได้ ย่ำซ้ำไปซ้ำมาหลายวัน วันละหลายรอบ เข้าห้างไปได้เท่านั้นหางตาเหลือบไปเห็น ZARA ทุกคนพุ่งถลาเข้า ZARA กับแบบมิได้นัดหมาย (คนข้างในเยอะยังกะแจกข้าวสารฟรี) ทั้งเลือก ทั้งรื้อ ทั้งทึ้ง ค้น ตบตีแย่งชิง เราก็ได้เสื้อมา 4 ตัว ยืนรอพวกพี่ๆ อยู่ อยู่ดีๆ ก็มีอาม่าเดินมาดูเสื้อในมือเรา แล้วแกทำท่าเหมือนอยากจะได้อันที่เราถืออยู่ เราก็เป็นคนใจดีอยู่หรอกน่ะ แต่...รวบทั้งหมดเดินหนีอาม่าอย่างไว (หนูอุตส่าห์ไปบุกป่าฝ่าคนมาน่ะอาม่า)

จ่ายตังค์ออกจากร้าน ก็เข้าร้านนู้น เข้าร้านนี้ แวะร้านนั้นตลอดทาง ของก็มีให้เลือกเยอะมาก ด้วยปณิธานอันแรงกล้า ยังไงช้านจะไป MUJI ให้จงได้ เดินไปถึง MUJI ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบตะกร้าคนละใบ แล้วแต่ละคนก็หายเข้าไปโลกแห่งมูจิ นานๆ โผล่หน้ามาดูกันทีว่ายังอยู่ดีรึเปล่า MUJI ที่นี่ใหญ่โตมาก มีครบทุกสิ่ง ตั้งแต่เครื่องเขียน สมุด ปากกา กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ของตกแต่งบ้าน ขนมหน้าตาดีมากมาย ชนิดที่เพลิดเพลินกันเลยทีเดียว อะไรๆ ก็น่าหยอกน่าจับไปซะหมด (หยิบมาเยอะสุดก็ไม่พ้นของกินนี่แหละ) เผลอแป๊บเดียว เกือบเย็นกันอีกแล้ว (ชอปปิ้งลืมเวลาอีกแล้ว) เป็นอันว่าโครงการนั่งรถรางตกไป



ขนมจากมูจิ



อันนี้ได้ข่าวว่ารสชาติเหมือนน้ำตาลกรวดบ้านเรา หะหะ แต่หน้าตาน่าเอ็นดู๊



อันนี้เอาไปฝากเพื่อน มันบอกว่าเหมือนขนมไข่คลุกน้ำตาล



หลังจากเอาของที่ช็อปปิ้ง Part 1 ไปเก็บที่พัก เรา 3 นางตัดสินใจเดินสำรวจร้านรวงแถบๆ นั้นตามซอกซอยที่ยังไม่ได้เดิน การชอปปิ้ง Part 2 ก็เริ่มขึ้น เดินถนนเส้น Cameron Road ไปเจอห้างๆ นึงโดยบังเอิญ ชื่อห้าง DNA (อยู่แถวเกือยบสุดซอยที่จะทะลุถนน Chatam Road) ภายนอกรวมถึงทางเข้าของห้างไม่ได้บ่งบอกอะไรเลยว่าเป็นห้าง มีแต่ป้ายเขียนไว้ว่าขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ อะไรประมาณนี้ (แปลจากภาษาอังกฤษหน้าห้างแบบกะโหลกกะลาของเรา) แล้วมองเข้าไปจะเห็นบันไดเลื่อนมืดๆ ลึกเข้าไป มองหน้ากัน เอาว่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองเข้าไปดูซิ สรุปเหมือนเจอขุมทรัพย์โดยบังเอิญ ของในห้างนี้จะเป็นของน่ารักกระจุกกระจิก ทั้งของจากญี่ปุ่น เกาหลี เสื้อผ้า รองเท้า ของใช้ จะออกแนวๆ วัยรุ่นๆ ทุกชั้นทุกร้านจะแต่งร้านเป็น THEME ของตัวเอง น่ารักมาก 3 หญิงแกร่งก็หลงใหลได้ปลื้ม เข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ อย่างเมามันส์ แล้วก็ได้ของฝากเก๋ๆ ส่วนใหญ่จากที่นี่ด้วย เมื่อมารู้ตัวอีกที 3 ทุ่มกว่าละ (รู้ตัวตอนเดินจนครบทุกร้าน ทุกชั้น) ก่อนออกก็กะจะหาห้องน้ำเข้ากัน ก็ถามจากพนักงาน เค้าก็ใจดีบอกพิกัดให้ แล้วยังบอกอีกว่า ต้องกดรหัส 4 หลักเข้าห้องน้ำ -*- งึมๆ แต่โชคดีที่เค้าบอกรหัสเรามาด้วย ไม่งั้นฉี่หน้าห้องน้ำจริงๆ ด้วย




ดิสเพลสวยๆ ตาลายๆ ทางเข้าห้าง



ของฝากน่ารักๆ จากห้าง DNA เป็นที่รองแก้วสังกะสีเพ้นท์ลายน่ารัก เอามาฝากน้องๆ ที่ทำงาน



ตัวปั๊ม A-Z เป็นไม้ ราคาถูกกว่าบ้านเราเยอะอยู่



ประตูห้องน้ำในห้างอย่างงาม แต่ต้องมีพาสเวิร์สน่ะ ถึงจะมีบุญได้เข้า -*-


ออกจากห้างได้ก็ตกลงกันว่าจะกลับไปล้างแค้นติ่มซำอีกซักรอบก่อนกลับ เพราะวันนี้วันสุดท้ายละ เลยมุ่งหน้าไปยังร้าน Linkee อีกรอบ แต่ก็ไม่วายวอกแวกระหว่างเส้นทาง (แหม่ ก็ของมันเยอะหนิ)

อันนี้อยากเล่า ระหว่างทาง มีตี๋คนนึงเดินสวนมากับเพื่อน ด้วยความที่เราไม่สูงมาก (สูงเมตรครึ่ง -*-) หัวเราก็ประมาณไหล่เค้า พอพี่แกสวนมาระยะประชิด พี่แกได้ทำการเรอเสียงดังมาก ระดับปากแกก็ระดับหน้าเราพอดี เรอเต็มหน้าเลยจ้า เต็มๆ แสรดดดดด เรอเสร็จเดินผ่านหน้าตาเฉยไม่มีไรเกิดขึ้น เราเลยเลยพูดเสียงดัง กลับมาอ๊วกใส่หัวเลยดีกว่ามั๊ย (กี๊ดดดดดด แอนรับ บ่ ได้) ปวดใจ ฮากันไป

กว่าจะพาร่างไปถึงร้านได้ 4 ทุ่มกว่าละ สั่งพนักงานด้วยความมั่นใจ 3 ที่ จะกินติ่มซำ พนักงานมองหน้าแล้วบอกว่า ติ่มซำพรุ่งนี้น่ะ แป่ววววว......... ตอนนี้มีแต่ฮอตพอตลื้อจากิงกันมั๊ย เอาว่ะ ฮอตพอตก็ฮอตพอต จัดไป ทิ้งทวน ก่อนเริ่มกระบวนการ บริกรหน้าตี๋ใส่แว่นเข้ามาบรรยายถึงราคาว่าเป็นแบบบุฟเฟ่ต์นะ ราคา 140 เหรียญ กว่าๆ ต่อคน มีน้ำชาฟรี เลือกซุปได้ รวมเบ็ดเสร็จ xxx เหรียญ เราก็ฟังๆ พยักหน้าหงึกๆ เข้าใจ 50% (ก็ภาษาอังกิก สำเนียงจีง พูกเร็วๆ อั๊วฟางไม่ทัง) ก็น่ะ เอาไรก็เอามาเต๊อะ พี่แกหายไปซักพัก อาซิ่มอีกคนก็เอาเมนูมาให้ เซอร์ไพรซ์สุดๆ เมนูเป็นภาษาจีน แต่มีภาษาไทยกำกับข้างหลัง ดีใจมว๊าก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสี่ยงสั่งอะไรประหลาดๆ มาต้ม

อย่างแรกที่เราต้องทำคือเลือกซุป เราขอเลือกซุป 2 อย่าง หม้อแบ่งครึ่ง ได้ซุปเอ็นหอย กับซุปหมูกวางโจว (มั้ง) มาลงบนเตา หน้าตาดีทีเดียว กระดูกหมูชิ้นโต๊โตอยู่ฝั่งซุปหมู ข้ามมาสำรวจฝั่งซุปหอย คว้านๆ ไป ในซุปจะมีปลาหมึกแห้งด้วย ช่วยให้ซุปกลมกล่อม มีข้าวโพด ฟัก ลอยตุ๊ปป่องๆ รสชาติซุปจะเข้มข้นมาก เหมือนกินแกงจืดกระดูกหมูก้นหม้อเลย

ส่วนน้ำจิ้ม จะมีขวดวางไว้บนโต๊ะ รสชาติคล้ายซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊ว ไรเทือกๆ นั้น มีพริกสดบด แล้วก็กระเทียม ให้ปรุง



อาวุธยุโทปกรณ์



มาแล้ว ซุปๆๆๆ


กระดูกหมูชิ้นโต



เห็ด อร่อยยย



ปลาสดๆ

แล้วเราก็เริ่มสั่ง สั่ง สั่ง สั่ง แล้วก็สั่ง ที่นี่มีเมนูให้เลือกเยอะมาก เรื่องปริมาณไม่ต้องพูดถึง มายิ่งใหญ่ จัดเต็มตลอดเวลา อยากกินหัวปลา สั่งไปรอบแรก ได้ลูกชิ้นปลาหมึกมา สั่งรอบ 2 ได้หนังปลาทอดกรอบมา สั่งรอบที่ 3 โดยพยายามเจรจา จิ้มให้เจ๊ดูว่าจะเอาอันเนี๊ยะ “ /@!#%^&$%^$ หัวปลา” เจ๊แกก็อ๋อ หัวปลาหมด แล้วแกก็จิ้มๆ ที่หัวแก กลัวเราจะไม่เข้าใจ 55555 เราก็ฮากันไป ผักที่สั่งมา มาเป็นตะกร้าจ้า ไม่ได้มากรุบกริบสวยงามน่ะ ตะกร้าพอๆ กะตะกร้าที่อยู่ตามร้านหมูกระทะบ้านเรา สั่งรอบเดียวก็กินได้ทั้งงาน กินกันอย่างขะมักเขม้น จนหลังๆ เริ่มเกี่ยงกัน ตักให้กันลวกให้กันบ้าง จนสุดท้ายสละเรือ ไม่ไหวจริงๆ

กว่าจะเสร็จภารกิจก็เที่ยงคืนกว่า (กินตั้งกะ 4 ทุ่ม) ขากลับออกจากร้านถึงขั้นอยากจะกลิ้งแทนการเดิน เราเลือกเดินกลับอีกซอย ซึ่งแอบเห็นรำไรว่ายังมีบางร้านที่ยังไม่ปิด สองข้างทางก็มีร้านที่ยังเปิดประปราย ไอ่เรากลัวเสียศักดิ์ศรีนักช๊อปแข้งเหล็ก เดินมันทุกร้าน ข้ามถนนซิกแซกเป็นฟันปลา ร้านไหนยังเปิดอย่าคิดว่าจะรอดเงื้อมมือ หึหึ

กลับถึงห้องพัก ล่วงไปเกือบตี 2 และวันนี้เราต้องแพคสมบัติลงกระเป๋า เพราะตอนเช้าต้องออกไวหน่อย ไปเดินทิ้งทวน เช็คเอ้าท์ก่อนเที่ยง แต่ก็ฝากกระเป๋าไว้ที่เกสเฮ้าท์ได้

ตอนขามา พี่ทั้ง 2 บอกว่า ของแค่ ¼ ของกระเป๋าเอง เอากระเป๋าใบใหญ่เกินไปมารึเปล่าน๊า??? แต่ขากลับนี่ เดชะบุญ ดีแล้วที่ลากใบใหญ่มา เพราะว่าแทบขึ้นไปนั่งทับเพื่อรูดซิป จัดหนัก จัดเต็มกันทั้งนั้น กว่าจะเรียงสมบัติลงกระเป๋าหมด ก็ตี 3 กว่า หลับเป็นตายอีกรอบ

วันที่ 5 กลับสู่แผ่นดินแม่

ตื่นเช้ากว่าวันอื่นๆ นิดหน่อย เพราะกะจะไปเดินเล่นในซุปเปอร์มาเก็ตแถวที่พัก หาขนมมาฝากพี่ๆ น้องๆ ผองเพื่อน ญาติสนิมมิตรสหาย ของกินดูเป็นอะไรที่เบสิคสุดแล้ว พอเดินไปซักระยะ รู้สึกได้ว่าปวดเอ็นร้อยหวายมาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอาการเลย ยิ่งเดินยิ่งปวด (ร่างกายเริ่มทรยศ) หลังจากเอาของที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตลงกระเป๋าเรียบร้อย เรา 3 ชีวิตก็เช็คเอ้าท์ก่อนเวลา แล้วขอฝากกระเป๋าไว้ที่เกสเฮ้าท์ แล้วจะกลับไปเอาตอนบ่าย 3 แวะซื้อทาร์ตไข่แสนอร่อย แล้วก็ต้องแวะร้านขายยา หาซื้อพลาสเตอร์ตราเสือ (ติดเพื่อบรรเทา) เราทำการรองท้อง (เหรอ) กันที่ Food Republic อีกรอบ เนื่องจากใกล้และหลากหลาย คราวนี้จัดผัดเปรี้ยวหวานหมู (แหม่ มาถึงนี่แล้วต้องกินให้ได้ซักมื้อ) ตามด้วยทาร์ตไข่ กะอิ่มถึงมื้อเย็น



รวมๆ



ทาร์ตไข่แสนอร่อย



ไก่เปรี้ยวหวาน เค้าจะเอาไก่ไปชุปแป้งทอดกรอบๆ ก่อน แล้วจึงเอามาผัดกะซอสเปรี้ยวหวาน


เมื่อกินอิ่ม ประเมินสถานการณ์ดูท่าแล้วข้อเท้าติดพลาสเตอร์อย่างเดียวยังรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีขึ้น และหนทางของเราอีกยาวไกล เลยหาซื้ออิลาสติกที่รัดขา (แบบที่นักกีฬาเค้าพันเวลาแพลงอะไรประมาณนั้น) ตอนบอกพนักงานก็นึกไม่ออกว่าเรียกอะไร ก็ชี้ไปที่ข้อเท้า เดินกะเผลกโชว์ แล้วก็ทำท่าพันๆ สุดท้ายได้ได้อิลาสติกมาสมใจ ทำการปฐมพยาบาลตัวเองเบื้องต้นเรียบร้อย ดีขึ้นเย๊อะ ก็เดินได้อีกไกล เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อย ก็เริ่มทำการชอปปิ้งทิ้งทวน เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ เดินกันจนบ่าย 2 กว่า เลยกลับไปเอากระเป๋า แล้วก็ลากมารอสาย A21 ที่นั่งมาตอนขามา โดยยึดหลักขึ้นฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่ลง ทุลักทุเลกันอยู่ตรงหน้าประตูรถเล็กน้อย ด้วยสัมภาระที่หนักขึ้น แล้วก็มีเจ๊ 2 คนที่ขึ้นก่อนหน้าเรา กระเป๋า 2 คน 3-4 ใบ บวกกับสัมภาระของเราอีกคนละใบ ก็แน่นอออยู่กันตรงหน้าประตู แล้วพอรถออกตัว กระเป๋าเจ๊แกก็พยายามจะวิ่ง จะไหลตลอดเวลา ถ้าคนในรถมองมาจะเห็นผู้หญิงต่างด้าว 5 คนโซเซทุลักทุเลกันอยู่ตรงประตูรถบัส

เมื่อจัดการกับกระเป๋าได้ และรอดพ้นมาจาก 2 เจ๊เจ้าปัญหา เราก็เลือกที่นั่งเหมาะๆ ตอนนั้นคนบนรถก็ยังไม่เยอะมากเลยเลือกได้อย่างสบายๆ พอนั่งได้ที่ มีเสียงเพลงประหนึ่งว่าแด๊นซ์อยู่ในผับดังมา หันไปทางต้นเสียง เป็นอาบังวัยหนุ่ม 2 คนเปิดเพลงจากโทรศัพท์ เปิดดังแบบไม่เกรงใจคนในรถ เราก็หันไปมอง 2-3 รอบ (เกือบจะบังคับตัวเองไม่ให้ลุกไปเต้นรูดเสารถเมล์แทบไม่ได้) รำคาญมากเลยคว้าหูฟังกล่อมตัวเองด้วยเพลงพี่บอยโกสิยะพงศ์ หลับทิ้งร่างจากไป

ถึงสนามบินเช็คอินเรียบร้อย สลัดสัมภาระออกจากตัวได้ ผ่าน ตม. เข้าไปในเกทได้ก็ยังพยายามจะกะเผลกดูของในดิวตี้ฟรี (จนหยดสุดท้ายจริงๆ) แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย ส่วนอีก 2 คน เฮือกสุดท้าย จ่ายจนเหลือแต่เหรียญ ชนิดที่กลับมาไม่ต้องเดือดร้อนหาที่แลกเงินกันเลยทีเดียว ขึ้นเครื่องได้แต่ละคนหลับ ตื่นมากิน แล้วก็หลับ ถึงแผ่นดินแม่อย่างกะเผลกโดยสวัสดิภาพ



ขึ้นรถเมล์กลับสนามบิน



รอขึ้นเครื่องกลับบ้าน



สภาพเท้าหลังผ่านศึกสังเวียนมาอย่างทรหดและอดทน


การท่องเที่ยวครั้งนี้สอนให้รู้ว่า

- การมีถุงชอปปิ้งไปด้วยเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะบางที่ไม่มีถุงให้ (ขอบคุณถุงผ้าจากร้านแสนน่ารัก ที่แค่ซื้อของก็ได้ถุงผ้าฟรีที่เราสามารถใช้ได้ตลอดงาน)

- ไปช่วงลดทั้งเกาะ ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ดีเสมอไป เคยไปตอนช่วงธรรมดา เที่ยวสบายกว่ากันเยอะ ถึงแม้จะลดไม่มาก ของราคาก็ไม่ได้แพงเว่อร์อยู่แล้ว

- รองเท้าเน้นคู่ที่ใส่สบาย ลุยได้ไม่ยั้ง พกร่มไปด้วย ฝนตกแน่นอน

- ภาษาอังกฤษแค่คำง่ายๆ พูดไปเถอะ เค้าก็พอเดาแล้วเข้าใจได้ อย่าได้อาย อย่าได้แคร์

- ไปถึงต่างเมือง เรื่องไดเอทเก็บกลับมาทำที่ไทยเถอะ เดี๋ยวจะพลาดกินอะไรดีๆ ^^ ของอร่อยเยอะเว่อร์ นี่ถ้ามี 4 กระเพาะ คงกินเยอะกว่านี้อ่ะ

- ห้องน้ำหายากเว่อร์ บางที่ก็สกปรก มีทิชชู่ กับทิชชู่เปียกไปจะดีมากกก

- เรื่องการเดินทาง หรือสายรถเมล์หาข้อมูลไปแต่เนิ่นๆ ก็ดีค่ะ จะสะดวกยิ่งขึ้นกับการเดินทางของเรา

ปล.บล็อกแอนจะเน้นเขียนเล่าประสบการณ์และสิ่งเล็กน้อยที่พบเจอระหว่างเดินทาง ไม่เน้นรีวิวนะคะ อ่านเอาขำไปละกัน แต่ถ้ามีอะไรสงสัย ถามได้ค่ะ อันไหนแอนบอกได้ก็จะบอกค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและแบ่งปันประสบกาารณ์กัน


Create Date : 30 กรกฎาคม 2554
Last Update : 30 กรกฎาคม 2554 15:39:46 น. 3 comments
Counter : 2544 Pageviews.  
 
 
 
 
แวะเข้ามาอ่าน ขอบคุณค่ะ
 
 

โดย: Mimi-jaiko วันที่: 30 กรกฎาคม 2554 เวลา:15:52:40 น.  

 
 
 
ขอบคุณที่แวะเข้ามาจ้า ^^
 
 

โดย: annandant วันที่: 30 กรกฎาคม 2554 เวลา:16:01:17 น.  

 
 
 
น่าสนุกจัง ชักอยากจะไปแล้วสิ สงสัยต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวเตรียมตังค์(สำคัญสุด) แล้วล่ะขอบคุณค่ะที่พาเที่ยว
 
 

โดย: Prettygirl IP: 49.49.226.73 วันที่: 30 กรกฎาคม 2554 เวลา:18:04:06 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

annandant
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add annandant's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com