ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 

บทที่ 13 – หนึ่งต่อเก้าร้อยเก้าสิบเก้า

13 – หนึ่งต่อเก้าร้อยเก้าสิบเก้า

ข้าอยากจบความสิ้นหวังนี้ ข้าอยากปลดปล่อยราพลังก้าให้เป็นอิสระ!
...ข้าอยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป...นางผู้เป็นที่รักของข้า...

มาโอกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง ขณะกรีดขาของตนอีกแผลหนึ่ง

ยาในลูกดอกช่างแรงนัก เขาต้องกรีดแทงตนเองถึงสามแผลเพื่อประคองสติให้นำพาร่างมาถึงที่วิหารแห่งเทพหายนะ...ยิ่งไม่นับว่าต้องเสียเวลาจัดการกับชาวเมืองอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับคำสั่งให้มาดับชีวิตของตนคากระท่อมว่างเปล่าของราพลังก้าทั้งๆ ที่แทบไม่เหลือสติ

เมืองนี้มันบ้าไปแล้ว...ถ้าเพียงแต่ข้าเกลี้ยกล่อมให้ราพลังก้าไปด้วยกันตั้งแต่ก่อนหน้านั้น

ถ้าเพียงแต่ข้า...ยอมบอกความจริงต่อนาง...


...ว่ามาโอ ทรูเอลีวาธ อัศวินประจำวิหารวารีแห่งพาสตาเลีย ได้รับคำสั่งให้มาเสาะหาเรย์วาเทลในแดนไกลผู้สามารถขับขานเมตาฟาลิก้า บทเพลงแห่งการสรรค์สร้างได้ เพื่อให้แผนการสร้างทวีปใหม่เสร็จสิ้นตามบัญชาแห่งมหาวิหาร

...ว่ามาโอ นักเดินทางพเนจรผู้ปลอมตนมาตามคำสั่งนั้นไม่อาจทำสำเร็จด้วยความกลัว เขาจำได้ติดใจถึงเรื่องเล่าขานว่าครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่อินเฟล สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวารี และเนเนช่า สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีประสานมนต์เพลงเมตาฟาลิก้าคู่กันเพื่อการสร้างทวีปใหม่จบลงเช่นไร เนเนช่าที่ไม่อาจทานทนอำนาจมหาศาลของบทเพลงสิ้นชีวิตลงกลางพิธี หากนั่นยังมิใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด สงครามปะทุขึ้นระหว่างพาสตาเลียกับเทพธิดาเฟรเลียผู้เห็นการขับขานเมตาฟาลิก้าเป็นภัย อินเฟลรับหน้าที่ผู้นำสูงสุดแห่งพาสตาเลียในการรบครั้งนั้น ก่อนจะหายสาบสูญไปหลังจากสงครามสงบลงได้เพียงปีเดียว ผู้คนโจษจันกันว่านางถูกลอบสังหาร หรือตัดสินใจจะวางมือจากตำแหน่งเองด้วยความสำนึกผิดที่เป็นเหตุให้เนเนช่าต้องตาย และกระทำสิ่งต่างๆ ที่ไม่สู้ดีนักขณะเป็นผู้นำในการรบ แผนการสร้างทวีปใหม่ดูเหมือนจะล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิงหลังจากนั้น...แต่ก็เพียงในเปลือกหน้า เพราะอัศวินประจำวิหารผู้หนึ่งได้รับหน้าที่ให้ตามหาหนึ่งในผู้ขับร้องเมตาฟาลิก้าบทวารี และพานางกลับมาทำพิธีร่วมกับท่านหญิงรัคช่า สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีคนปัจจุบัน

...ว่ามาโอ อดีตเด็กกำพร้าที่ได้รับการอุปการะจากมหาวิหารแห่งพาสตาเลียหลังสงครามที่ทำลายล้างบ้านเกิดของตน ไม่อาจหักใจบอกความจริงต่อเรย์วาเทลกำพร้าเช่นกันตั้งแต่เห็นนางขับขานบทเพลงเมตาฟาลิก้าต่อหน้าโดยไม่คาดฝันและบันดาลให้มหาพฤกษางอกงาม นางเป็นเรย์วาเทลที่ใสสะอาดเกินกว่าจะให้ไปยุ่งเกี่ยวกับการชิงอำนาจในมหาวิหาร นางไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย นางอยู่ได้ด้วยความฝันและการเชื่อใจผู้คนในโลกใบเล็กๆ ของนาง
แต่เหนือสิ่งอื่นใด...เขาเกรงจะสูญเสียนางไปหากนางขับขานเมตาฟาลิก้าอีกครั้ง เมตาฟาลิก้าที่มิได้ตั้งใจสร้างสรรค์เพียงต้นไม้ใหญ่หรือความอุดมสมบูรณ์ของเมืองเมืองเดียว แต่เป็นทวีปใหญ่ทั้งทวีป

...แต่เรื่องทั้งหมดนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว ข้าต้องช่วยนางให้รอดชีวิตในตอนนี้ให้จงได้...มิเช่นนั้น...

สายฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องเหนือหอคอยทำให้สองขาของมาโอเริ่มวิ่งกวดทั้งๆ ที่ปวดแปลบเป็นระยะ เขาจะเสียเวลาไปมากกว่านี้มิได้อีก

มาเถิด! เทพแห่งหายนะผู้แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า!
เจ้าสาวผู้ถูกสังเวยเอย ทุกสิ่งเป็นไปเพื่อพวกเรา!
หากปรารถนาแห่งเรามิได้รับการตอบสนอง! หายนะจักบังเกิดในโลหิตหลั่งนอง

แสงที่สว่างเจิดจ้าขึ้นทันใดยังผลให้มาโอยกมือขึ้นป้องตา เสียงครืนครันดังไล่หลังมาในเวลารวดเร็วก่อนดวงตาของเขาจะทันหายพร่าเสียด้วยซ้ำ

ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือร่างสูงใหญ่มหึมา นัยน์ตาสีแดงฉานปรากฏจากใต้หมวกเกราะมันเลื่อมราวโลหะสีดำ ตลอดร่างนั้นปกคลุมด้วยโลหะสีดำเช่นกัน ชาวเมืองส่งเสียงครางเมื่อมือขนาดใหญ่ที่แลดูคล้ายกรงเล็บค่อยๆ คืบลงมาสู่สตรีในชุดขาวที่นอนนิ่งอยู่

“หนี! หนีเร็วสิราพลังก้า!” ชายหนุ่มพลันตะโกนก้อง “หนีไปเสีย! ข้าไม่เป็นไรแล้ว! เจ้าไม่จำเป็นต้องยอมเสียสละเพื่อใครอีกทั้งนั้น!”

หนีเร็วนารีเอ๋ย! จงหนีเข้าสู่แสงสว่าง! จงหนีไปจากเทพหายนะ!

ใบหน้าของหญิงสาวเบือนมาทางเขาน้อยๆ ทว่ามาโอก็ไม่อาจบอกได้ว่านางเห็นหรือได้ยินเขาหรือไม่ หรือว่าจะสิ้นสติไปแล้วด้วยอาการของโรคที่กำลังรุมเร้า มิเช่นนั้นก็ความกลัวร่างดำทะมึนของเทพมารที่อยู่ใกล้เพียงค้ำร่างน้อยๆ ของนาง

ผู้ที่มีความเคลื่อนไหวกลับกลายเป็นทหารชาวเมือง ซึ่งชักอาวุธออกทันควันตามเสียงร้องของเจ้าเมือง

“ฆ่ามัน! ฆ่ามาโอให้ได้! อย่าปล่อยให้มันเข้าไปทำลายพิธีสังเวยได้เด็ดขาด!!”

เจ้าผู้ที่อาศัยในเมืองอันชุ่มโชกไปด้วยเลือดเพื่อความรุ่งเรืองของพวกเจ้าเอง เจ้าผู้ที่ยัดเยียดการไถ่ถอนให้แก่นารีแห่งเสียงเพลง จงปล่อยนางไปเสีย!



เพื่อความรุ่งเรืองแห่งดินแดนนี้ เราจำต้องสังเวยดวงวิญญาณนับไม่ถ้วน...แม้นว่าพวกเราจะต้องฝ่าฝืนศีลธรรม แม้นว่าเราจะต้องคำสาป!

เจงอย่ากลัว...คิดเพียงว่าจะปกป้องราพลังก้าและช่วงชิงอิสรภาพจากเทพหายนะได้อย่างไรก็พอ!
จงอย่ากลัว...คิดเพียงว่าจะปกป้องราพลังก้าและช่วงชิงชีวิตจากเทพหายนะได้อย่างไรก็พอ!



--------------------------------------------------------------------------

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมค่อนข้างตั้งหน้าตั้งตารอจะเขียนอยู่มาก ตรงกับช่วงกลางเพลง Utau Oka - Salavec Rhaplanca ที่เริ่มร้องถึงการสังเวยและการสู้รบ ชาวบ้านทำเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้เสียแล้ว

มาโอจะสามารถสู้กับเทพหายนะและช่วยราพลังก้าได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2552 9:31:41 น.
Counter : 291 Pageviews.  

บทที่ 12 - เจ้าสาวแห่งเทพหายนะ

12 – เจ้าสาวแห่งเทพหายนะ

เทพเจ้าแห่งหายนะ เทพเจ้าแห่งหายนะเอย เราขอสังเวยราพลังก้าเป็นเจ้าสาวของท่าน!
เรายอมรับความสิ้นหวังอันยิ่งใหญ่นี้ และใฝ่หาอำนาจอันยิ่งใหญ่จากท่านผู้ปกครองโลกทั้งมวล!
เราปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับท่านและบูชาท่านชั่วนิรันดร์ เทพหายนะเอย!


--------------------------------------------------------------------------

ราตรีอันยาวนานที่สุดในรอบปีนั้นมืดมิดที่สุดเช่นกัน ฟ้าในคืนนั้นปราศจากแสงใดๆ โดยแท้ เดือนแรมสิบห้าไม่ปรากฏให้เห็น ขณะที่แสงดาวถูกบดบังสิ้นด้วยเมฆครึ้ม

กระนั้น ลานกว้างแห่งเมืองเรเลนทัสหน้าหอคอยวิหารองค์เทพเจ้ากลับสว่างไสวด้วยกองไฟที่ลุกโชน ราพลังก้าผู้สวมชุดสีขาวพิสุทธิ์นอนนิ่งอยู่บนแท่นบูชายาว มีเครื่องประดับฐานะเจ้าสาวครบครัน ทั้งช่อดอกไม้สีขาวที่สอดประสานในมือทั้งสอง มงกุฎดอกไม้เล็กๆ สีขาว และผ้าคลุมโปร่งบางบนใบหน้ากับเรือนผม กระนั้น เมื่อเครื่องเหล่านั้นประกอบกับร่างที่นอนนิ่งแทบไม่ไหวติงและใบหน้าซีดเผือดของนาง...ก็ดูราวกับศพของหญิงพรหมจรรย์ที่จะฝังในรูปลักษณ์ของเจ้าสาวแห่งความตายมากกว่า แม้นทรวงอกที่ไหวน้อยๆ ตามลมหายใจ และนัยน์ตาที่ลืมค้างเลื่อนลอยจะบอกว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม

...แต่จิตใจเล่า...

ราพลังก้าคิดว่าตนไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว นางไม่ทราบว่าจะรู้สึกอะไร นางนึกถึงสิ่งที่นางเคยทำ บทเพลงที่นางเคยร้อง ความเขียวขจีที่นางเคยสรรค์สร้าง นางปลุกเมล็ดพืชทั้งหลายให้งอกเงย ปลุกมาลีทั้งหลายให้ผลิดอกออกผล...เพียงเพื่อให้พืชพรรณเหล่านั้นจบชีวิตด้วยคมเคียวและคมมีดของคนหยาบช้าเหล่านี้เท่านั้นหรือ

นางได้รับการช่วยเหลือในฐานะเมล็ดพืชน้อยๆ...เพียงเพื่อเลี้ยงดูให้เติบใหญ่เป็นดอกผลที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกินตามใจชอบอย่างนี้น่ะหรือ

ท่านยายคะ...ที่ท่านยายบอกว่าหากต้องการสิ่งใดจากผู้อื่นก็จงมอบสิ่งนั้นให้กับเขา...เป็นคำลวงเท่านั้นหรือคะ

นางนึกไม่อีกออกแล้ว...ภาพรอยยิ้มใสสะอาดที่เคยทำให้ใจของนางชุ่มชื่นที่สุด เด็กน้อยที่นางเคยรักษาจากอาการไข้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่ออกไปรบนอกกำแพงเมืองโดยไม่กลับมา เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับนางล้วนแต่งงานกับชายอื่นๆ จนหมดสิ้น หลายคนกลายเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดลูกน้อย ทว่านางกลับนึกใบหน้าของเด็กเหล่านั้นไม่ออก นึกไม่ออกกระทั่งเสียงอ้อแอ้ไร้เดียงสาของชีวิตที่ยังไม่สัมผัสกับความแปดเปื้อนของโลก

แต่จะนึกถึงไปไยกัน...เด็กทารกย่อมโตขึ้นเป็นเด็กที่แกล้งสัตว์เล็กๆ หรือเด็กที่อ่อนแอกว่า โชคร้ายกว่าในไม่ช้า แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมรับฟังเสียงของคนที่มีความฝันกับความคิดเห็นแตกต่างกัน และทำได้ทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด

...แม้แต่ทำลายชีวิตของผู้อื่นแท้ๆ...

แค่นี้ก็พอแล้ว...ข้าเห็น...โลกนี้มามากพอแล้ว...

มีเพียงมาโอที่รอดไปได้ก็พอ มาโอที่มองเห็นความจริงข้อนี้ก่อนหน้านางมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังเลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของคนโง่เขลาอย่างนาง ราพลังก้าที่ร้องเพลงไม่ได้ ซ้ำยังล้มป่วยหนักเจียนตายจนไม่อาจพูดคุยกับเขา ไม่อาจแย้มยิ้มสดใสให้เขายังจะเหลือสิ่งใดให้อาลัยอีก

...ขอหลับใหลชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ในภพแห่งความว่างเปล่า...

การเป็นเจ้าสาวแห่งเทพหายนะ...มีความหมายเช่นนี้ใช่ไหมนะ


--------------------------------------------------------------------------

“เตรียมการเสร็จหรือยัง” เจ้าเมืองถามผู้ช่วยของตนซึ่งเพิ่งรับรายงานจากฝ่ายต่างๆ ที่แยกย้ายไปทำตามคำสั่ง

“ขอรับ แต่...มาโอ...”

“มาโอ...ทำไม” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “มันหนีรอดไปได้หรือ”

“ข...ขอรับ แต่มีรอยเลือดเป็นทางอยู่บนพื้นกระท่อมออกไปข้างนอก คนของเรากำลังตามไปอยู่ มันถูกฤทธิ์ยาเข้าไปซ้ำได้รับบาดเจ็บอย่างนั้น คงหนีไปได้ไม่ไกลหรอก”

“เข้าใจแล้ว” ผู้ฟังหรี่ตาลง “อีกไม่นานก็จะใกล้ฤกษ์พิธี ขอแค่กันไม่ให้มันเข้ามายุ่มย่ามได้จนถึงตอนนั้นก็พอ แต่จากนั้นก็คงปล่อยมันให้รอดไม่ได้”

อันที่จริงชายหนุ่มคนนั้นก็น่าเห็นใจ แต่เจ้าเมืองเรเลนทัสทราบดีว่าความเห็นใจไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะนำพาคนส่วนมากในเมืองให้รอดพ้นไปได้ มาโอเป็นคนนอก เป็นคนที่ไม่ยอมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ไม่ยอมสร้างประโยชน์ให้กับเมืองและเก็บงำความลับของตนไว้มากมาย ซ้ำยังมีท่าทีว่าจะเป็นภัยอย่างชัดแจ้งเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างนี้

...ถือเป็นคราวเคราะห์ของมันเอง...

โปรดมารับเครื่องสังเวยเถิด โปรดกลืนกินนางเข้าไปในกายาอันหิวกระหายของท่าน!
โปรดปกป้องเราคนบาป! โปรดมล้างโลกนี้เสีย!
โปรดดื่มกินโลหิตของเจ้าสาวหนึ่งเดียว
และมอบความสุขให้แก่ผู้คนเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคนที่ท่านโปรดปรานตามสัญญา!


--------------------------------------------------------------------------




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2552 9:30:26 น.
Counter : 337 Pageviews.  

บทที่ 11 – พรากจาก

11 – พรากจาก

มาโอกุมมือของร่างบอบบางบนเตียงแนบแน่น เขาไม่เคยเห็นราพลังก้าดูอ่อนระโหยเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะนึกฝันว่านางจะมีอาการหนักเช่นนี้จากสาเหตุใดที่คิดออกด้วยซ้ำ

อาการ...ไม่เหมือนทุกทีเลย ริมฝีปากซีดจางขยับช้าๆ พอให้เขาอ่านออก

“ก็ไม่ใช่อย่างทุกครั้งน่ะสิ ราพลังก้า” ชายหนุ่มได้แต่พยายามปลอบ “แต่ไม่เป็นไรหรอก เจ้าจะต้องหายดีได้แน่ๆ อีกไม่นาน...อีกไม่นานเท่านั้นเอง”

ไม่ใช่อย่างทุกที...เพราะอาการอย่างทุกทีนั้นเขาเป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นเองเพื่อต่อชีวิตของนาง เรย์วาเทลรุ่นที่สามมีอายุแสนสั้น เนื่องจากร่างกายที่มีสายเลือดมนุษย์ไม่อาจทนทานอำนาจเวทมนตร์จากหอคอยอาร์ โทเนลิโก้ที่ไหลผ่านร่างได้นาน หากไม่ได้ยาเฉพาะสำหรับต่อชีวิต ก็ย่อมมีอายุขัยอยู่ได้ไม่เกินสิบห้าถึงยี่สิบปี ด้วยเหตุนี้เองที่มาโอไม่อาจอยู่ที่นี่กับราพลังก้าที่รักของเขาตลอดไป อย่างน้อยก็จนกว่าจะปฏิเสธหน้าที่ที่ได้รับมาจากวิหารวารีแห่งพาสตาเลียและถอนตัวจากสถานที่นั้นได้ พร้อมๆ กับนำยาติดตัวออกมาพอให้ราพลังก้าได้อยู่เคียงข้างเขาชั่วชีวิต...

...หลังจากที่เคยนำยาออกมาให้นางทีละเล็กทีละน้อย...เพียงพอแก่การประทังชีวิตนางไปเป็นคราวๆ ...และให้ยาที่สร้างความเจ็บปวดแต่ยืดอายุให้แก่นาง โดยผสมในอาหารไม่ให้นางรู้ตัว เพื่อไม่ให้นางต้องระแคะระคายถึงความเปราะบางและยากลำบากของชีวิตเรย์วาเทล

แล้วนี่มันอะไรกัน เขาพยายามทำทุกสิ่ง เพียงเพื่อกลับมาพบว่านางล้มป่วยลงด้วยโรคอีกอย่างซึ่งเขาเกรงว่าจะร้ายแรงกว่านั้น

หญิงผู้เมตตาดูแลราพลังก้าในช่วงที่มาโอไม่อยู่บอกเขาว่าหญิงสาวเริ่มมีไข้สูงมาตั้งแต่พยายามร้องเพลงกล่อมนาข้าวสาลีไม่สำเร็จแล้วฟุบล้มสิ้นสัมปชัญญะ ไข้ของนางไม่เคยลดหลังจากนั้น ซ้ำนางยังเป็นลมหมดสติไปบ่อยๆ และไม่อาจดื่มกินอะไรได้เลย

อาการนั้นทำให้มาโอนึกออกเพียงอย่างเดียว...เพียงอย่างเดียวที่น่ากลัวยิ่งกว่า

...กลุ่มอาการอินเฟลฟีร่า...

หากเป็นโรคนี้จริง ก็ไม่มีทางจะพานางไปยังพาสตาเลียด้วยกัน ในเมื่อมหาวิหารแห่งพาสตาเลียมีบัญชาแข็งกร้าวว่าเรย์วาเทลที่มีอาการอินเฟลฟีร่าต้องถูกกักกันบริเวณ และอาจทำลายเสียหากเป็นภัยต่อผู้อื่น ทางเดียวที่จะรักษาอาการนี้ต้องใช้วิธีการบำบัดด้วยไดฟ์...การดำดิ่งเข้าไปในจิตของเรย์วาเทลเพื่อแก้ปมที่ไม่อาจคลายในใจของนาง ซึ่งถือกันว่าเป็นอันตรายและไม่เป็นที่ยอมรับจากวิหารแห่งพาสตาเลียเช่นกัน

มาโอรู้ว่าเขาต้องพานางไปยังรัคเชค เมืองที่สาวกแห่งมหาวิหารพาสตาเลียได้ทอดทิ้งไป เพื่อรับการบำบัดโดยเร็วที่สุด ทว่าเขาก็กังขาเหลือเกินว่าราพลังก้าจะรับการเดินทางในสภาพนี้ไหวหรือ แต่ถึงอย่างไร...อาการไข้และเป็นลมหมดสติของนางก็ยังดีกว่าอาการตรงข้าม คือคลุ้มคลั่งทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ซึ่งอาจทำให้นางฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัวได้

“ข้าจะรีบพาเจ้าไปรักษาที่รัคเชค” ชายหนุ่มกระซิบ “อาจเดินทางยากลำบากสักหน่อย แต่เข้มแข็งไว้นะ ราพลังก้า”

ดวงหน้าซีดเซียวบนหมอนเพียงพยักหน้ารับรู้น้อยๆ มาโอลูบหน้าผากของนาง หมายจะเอ่ยคำปลอบใจอื่น แต่กลับถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตูเสียก่อน

“เดี๋ยวข้ากลับมา” ชายหนุ่มบอกก่อนจะลุกจากเก้าอี้

--------------------------------------------------------------------------

“อาการของราพลังก้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายวัยกลางคนตรงหน้าเอ่ยถามทันทีที่ประตูเปิดออก

“ท่านเจ้าเมืองเองหรือ” มาโอบังคับเสียงของตนให้เรียบขึ้น

“ข้า...ได้ยินว่าท่านกลับมาดูแลนาง จึงอยากมาถามว่าท่านทราบโรคที่นางเป็นไหม”

“...ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่นางคงจะใช้มนต์เพลงไม่ได้จนกว่าจะได้รับการบำบัด ข้าจะรีบพานางไปยังรัคเชคตั้งแต่วันรุ่ง แล้วจะรีบกลับมา”

“...อย่างนั้นหรือ” เจ้าเมืองพยักหน้าช้าๆ “...นางไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”

“ทำไม” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

“ก็...ข้าเพียงแต่ได้ยินมาว่าเรย์วาเทลมีอายุขัยสั้นเพียงไม่เกินยี่สิบปี แม้กระทั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งพาสตาเลียล้วนเป็นเช่นนั้น ข้าจึง...เกรงว่าราพลังก้าจะเป็นเช่นเดียวกัน”

ข้อมูลเก่าแท้ๆ ... ชายหนุ่มนึกในใจ เรเลนทัสคงปิดตนเองขาดจากโลกภายนอกมานานจนไม่รู้ว่าท่านหญิงอินเฟล อดีตสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้ปราดเปรื่องแห่งวิหารวารี ผู้นำกึ่งหนึ่งของมหาวิหารพาสตาเลีย ได้คิดค้นยายืดอายุขัยของเรย์วาเทลรุ่นที่สามขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว ปัจจุบันนี้เรย์วาเทลมากมายในพาสตาเลียและดินแดนข้างเคียงล้วนได้ใช้ยานั้น รวมทั้งท่านหญิงรัคช่า สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นธิดาแห่งท่านหญิงซูเฟล สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีคนก่อนที่เกษียณตนเองไปในวัยยืนยาวถึงสี่สิบปี

แต่เขาก็ไม่อยากบอกความจริงกับชาวเมืองเรเลนทัสเลย เพราะหากคนพวกนี้ทราบว่าราพลังก้าอยู่ได้ด้วยยาเฉพาะที่ต้องนำมาจากพาสตาเลีย ก็ไม่ทราบว่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกนางหรือนำเรื่องยามาขู่นางให้ยินยอมกระทำสิ่งใดอีก

“นั่นเป็นข่าวลือทั้งเพ เรย์วาเทลก็มีอายุยืนได้เหมือนคนทั่วไป ท่านอย่ากังวลไปเลย” มาโอตอบอย่างระแวดระวัง “นางอยู่ให้พวกท่านใช้งานไปได้นานเกินวันตายของท่านเชียวล่ะ”

อีกฝ่ายหัวเราะ

“ท่านมาโอช่างพูดเล่นได้น่ากลัวนัก”

ชายหนุ่มหรี่ตามองอีกฝ่ายซึ่งดูตื่นหวาดอย่างปกติ ก่อนจะเย็นสันหลังวาบเมื่อได้ยินเสียงถ้วยแตกดังมาจากภายในบ้าน

มาโอหมุนตัวกลับวิ่งเข้าไป เพียงเพื่อพบหน้าต่างห้องของหญิงสาวเปิดกว้าง ถ้วยน้ำที่วางไว้ข้างเตียงตกแตก ชายอีกสองคนพยุงร่างอ่อนระโหยของเจ้าของห้องเอาไว้ ราพลังก้ามองมาทางเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างหวาดหวั่น ริมฝีปากเผยอโดยไร้เสียง

ทว่าสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มใจหายเป็นที่สุดคือคมมีดที่จ่อลำคอของนาง

“พวกเจ้า!”

“ได้โปรดอย่าโกรธแค้นพวกเราเลย ท่านมาโอ” ชายคนหนึ่งในนั้นพยายามพูดทั้งๆ ที่เสียงสั่นน้อยๆ “พวกเรา...พวกเราแค่ได้รับคำสั่งให้ทำเช่นนี้เพื่อเรเลนทัสเท่านั้น”

“ทำอะไร!” ชายหนุ่มถามเสียงกร้าว “พวกเจ้าจะพานางไปไหน!”

“พ...พวกเราก็ไม่ทราบ แต่ท่านเจ้าเมือง...ท่านเจ้าเมืองบอกว่านางเป็นผู้เดียวที่จะช่วยเรเลนทัสได้”

“ตอนนี้นางป่วยหนักจนไม่อาจใช้มนต์เพลงได้แล้ว พวกเจ้ายังคิดจะพานางไปทำอะไรอีก!”

ไม่มีเสียงตอบจากชายทั้งสอง มาโอได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศที่ตนเคยรู้จัก เขาหันกลับไปทันเห็นลูกดอกลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาเสียบที่ไหล่ขวาของตนเท่านั้น

ชายหนุ่มข่มความเจ็บปวดยามขยับแขน ชักดาบที่ข้างเข็มขัดออกก่อนจะวิ่งไปยังชายถือหน้าไม้ที่หน้าประตู แต่ไม่ทันถึง...เสียงของเจ้าเมืองก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“หากท่านทำร้ายชาวเมืองเพียงคนเดียว...เราจะสังหารราพลังก้าในทันที”

มาโอกัดฟันกรอด

“ไอ้บัดซบ! พวกแกทำอย่างนี้เพื่ออะไร!”

“ราพลังก้า...กำลังจะตายอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเคร่งขรึม “เรเลนทัสเอง...หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างก็คงไม่พ้นต้องถูกตีแตก พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจาก...ขอให้นางช่วยเสียสละครั้งสุดท้ายเพื่อเมืองของเราด้วย”

“เสียสละบ้าบออะไร! นางป่วยหนักจนร้องเพลงไม่ได้อยู่แล้ว!” มาโอตวาดทั้งๆ ที่กุมไหล่ขวาซึ่งมีเลือดไหลโชก

“แต่นางยังมีชีวิตอยู่ และชีวิตของนางก็สามารถใช้เป็นเครื่องสังเวยต่อเทพแห่งหายนะได้...เพื่อแลกกับชัยชนะของเรเลนทัส”

“พวกเจ้า...” ชายหนุ่มสาปแช่งกลุ่มคนตรงหน้าอยู่ในใจ “พวกเจ้านี่มัน...!”

“พวกเราทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ท่านมาโอ ตั้งแต่ตอนที่รอบๆ หมู่บ้านเป็นทะเลทรายแร้นแค้นแล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านพูดขึ้น

“แต่ครั้งนี้มันก็เกินไป!” มาโอยังคงแย้ง “ราพลังก้าเป็นผู้ทำให้เรเลนทัสอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา แต่พวกเจ้าก็กลับตอบแทนด้วยการใช้งานนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า...คิดได้กระทั่งใช้นางเป็นเครื่องสังเวย ทั้งๆ ที่นางเป็นผู้มีบุญคุณต่อพวกเจ้าถึงเพียงนี้น่ะหรือ!!”

“ชาวเรเลนทัสเลี้ยงดูนางตั้งแต่นางยังแบเบาะ” เจ้าเมืองอ้าง “นางต่างหากที่ต้องตอบแทนบุญคุณพวกเรา และที่จริง ถามความสมัครใจของนางเสียจะดีไหม ดูซิ นางอ้อนวอนให้ท่านหันไปมองนางมานานเท่าไรแล้ว”

มาโอหันกลับไปมองราพลังก้า เห็นนัยน์ตาสีเขียวของนางจ้องตรงมาทางเขา

ไปเถิด มาโอ... ริมฝีปากของนางขยับช้าๆ ไปจากที่นี่...หากข้าไม่ยอมทำตามที่พวกเขาบอก ข้าเกรงว่าพวกเขาจะฆ่าท่าน...

ไม่ได้! ราพลังก้า ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้! ชายหนุ่มเพียงสั่นศีรษะ

หญิงสาวกลับผงกศีรษะ และเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มเศร้าๆ ให้เขา

ไปเสีย ข้า...ไม่อยากให้ท่านตาย ท่านทำให้ข้ามีความสุขมากแล้ว...ที่ได้รักท่าน...

“วางใจเถอะ ราพลังก้า” เจ้าเมืองเอ่ยเบาๆ ข้างหลังชายหนุ่ม “หากเจ้ายินยอมเป็นเครื่องสังเวยแต่โดยดี พวกเราจะปล่อยมาโอให้รอดชีวิตไป”

“แล้วถ้าข้าไม่ยอมล่ะ” มาโอขัดพร้อมกับหันขวับมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนด้านหลังอีกครั้ง ก่อนจะประหลาดใจเมื่อพบว่าชายวัยกลางคนเพียงแต่ยืนนิ่งอยู่

ชายหนุ่มเริ่มรู้เหตุผลเมื่อมือของตนคลายจากด้ามดาบเอง ก่อนเขาจะทรุดลงด้วยอาการง่วงงุนอย่างประหลาด

“...นี่...มัน...”

“วางใจเถิด ลูกดอกนี่อาบเพียงยาสลบ แต่เมื่อท่านฟื้นคืนมา ทุกสิ่งก็จะจบลง และท่าน...ก็จะถูกพาออกไปนอกเมืองเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาที่เหลือนี้ล่ำลากับราพลังก้าให้เรียบร้อยเถอะนะ”

มาโอทำได้เพียงหันไปมองหญิงที่เขารัก...ซึ่งบัดนี้แลเห็นเป็นเพียงภาพร่างสีขาวเลือนรางดุจภูตพราย ก่อนที่ศีรษะของเขาจะฟุบลงกับพื้น

--------------------------------------------------------------------------

ขณะที่ความมืดสั่นสะเทือนผืนพิภพ นารีแห่งเสียงเพลงถูกพรากตัวไป
มือที่เกาะกุมกันถูกแยกจากด้วยคมดาบ
อัศวินถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง เพียงคำสัตย์สัญญาของทั้งสองผุดขึ้นในใจ

ให้ยอมรับความกลัวนี่หรือ...ข้าสงสัยเหลือเกิน...ไยราพลังก้าจึงต้องถูกสังเวย
นางเป็นผู้ที่หาใครมาแทนไม่ได้ต่อข้าแท้ๆ
ให้ยอมรับความโกรธนี่หรือ...ข้าสงสัยเหลือเกิน...ไยข้าจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้
...กับบาปอันทุกข์ทรมานและสิ้นหวังของข้า...


--------------------------------------------------------------------------




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2552 9:29:00 น.
Counter : 265 Pageviews.  

บทที่ 10 - วิหคที่ไม่อาจขับขาน

10 – วิหคที่มิอาจขับขาน

การรบยืดเยื้อยาวนานกว่าที่คิด ทหารของเมืองเรเลนทัสที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสงครามใดๆ นานหลายปีถูกตีร่นกลับมาโดยเร็วจนได้แต่ตั้งรับอยู่นอกกำแพงเมือง ผู้คนถูกเกณฑ์ไปรบมากขึ้น ไม่เว้นเด็กชายที่เพิ่งย่างเข้าสู่วัยรุ่น ชาวเมืองบางคนรวมทั้งท่านเจ้าเมืองถามไถ่ข้าว่ามาโอจะกลับมาเมื่อใด ข้าเองก็อยากให้เขากลับมาอยู่เคียงข้างข้าโดยเร็ว กระนั้นยังลอบยินดีอยู่เพียงประการเดียวที่ข้ามิทราบว่าเขาจะกลับมาในเร็ววันนี้ เพราะเขาลั่นวาจาว่าจะไม่เข้าร่วมสงครามของเรเลนทัสเด็ดขาด

ชาวเมืองไม่เคยขอให้ข้าออกรบดังที่มาโอเกรงกลัว สิ่งที่พวกเขาขอให้ข้ากระทำคือการร้องเพลงปลอบขวัญพวกเขา รักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเร่งพืชผลให้เติบโตเพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงในระหว่างถูกปิดล้อมเท่านั้น กระนั้น...หน้าที่เหล่านี้ก็ทำให้ข้าลำบากใจ เสียงกรีดร้องหรือครวญครางของผู้บาดเจ็บบาดหูข้า ภาพบาดแผล เลือด และใบหน้าบิดเบี้ยวของพวกเขาทำให้ใจของข้าปั่นป่วน ความตายของพวกเขา...แม้นจะเป็นผู้ที่ข้ามิได้รู้จักดี...นำพาน้ำตาของข้าให้หลั่งไหล

ข้าอยากให้สงครามสิ้นสุดลงเสียที ข้าเสนอท่านเจ้าเมืองให้เจรจาสงบศึก ทว่าท่านกลับปฏิเสธ ท่านบอกว่าไม่อาจทำเช่นนั้นเพื่อรักษาเกียรติยศของเรเลนทัส แต่ข้าเพียงไม่อยากให้มีผู้คนล้มตายมากไปกว่านี้ บางขณะ...ข้ากลับเกลียดชังตนเองที่ไม่อาจปฏิเสธการร้องเพลงกล่อมไร่นาด้วยซ้ำ ข้าทราบว่าในยุ้งฉางยังมีข้าวมากพอเลี้ยงชาวเมืองเป็นปีๆ ทว่าพวกเขายังให้ข้าเร่งผลผลิตอยู่เรื่อยๆ เพื่อนำไปเป็นเสบียงทหาร หรือค่าจ้างให้แก่ทหารรับจ้าง

ข้าบังเกิดความคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด...ข้าคิดอยากให้ตนเองไม่อาจร้องเพลงกล่อมพืชได้อีก ข้าคิดว่าหากข้าไม่อาจกล่อมพืชได้เสียแล้ว ชาวเรเลนทัสคงไม่พ้นต้องเลือกการสงบศึกแทนที่จะรบต่อไป

และในที่สุด...

--------------------------------------------------------------------------

ราพลังก้าพยายามหยัดร่างยืนนิ่ง รวบรวมสมาธิกลางท้องนาว่างเปล่า ทั้งๆ ที่เสียงปืนใหญ่และโห่ร้องของการสู้รบยังคงดังก้องอยู่เบื้องนอกกำแพงเมือง ใจของนางสั่นไหวอย่างประหลาดไม่เคยเป็นมาก่อน

หญิงสาวพยายามเค้นถ้อยคำจากลำคอ ทว่าเสียงใดๆ ก็ดูเหมือนจะไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้

...ไม่อาจเล็ดลอดออกมา...หากนางตั้งใจจะขับขานบทเพลง...

“ราพลังก้า เป็นอะไรไป!”

“ร้องเพลงสิ ราพลังก้า! รีบร้องเพลงเร็วเข้า!”

ราพลังก้าไม่ประสงค์จะหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์อีกต่อไป


ราพลังก้าเบิกตากว้าง หูของนางกลับได้ยินเพียงเพลงท่อนนี้ เพลงที่นางได้ยินมาจากที่ใดไม่อาจทราบได้ นางปรารถนาเช่นนั้นหรือ นางปรารถนาที่จะไม่ร้องเพลงต่อไปอีกแล้วหรือ

ขอหลับใหลชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ในภพแห่งความว่างเปล่า


ร่างของหญิงสาวพลันทรุดลงบนผืนดิน...แม้นลมหายใจจะไม่ได้ดับสิ้นลง

...เมล็ดพันธุ์ทั้งหลายแปดเปื้อนเป็นสีเทาเข้ม...

--------------------------------------------------------------------------

“อาการของราพลังก้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“นาง...ยังร้องเพลงไม่ได้เลย”

“ไม่ได้สักเพลงเลยหรือ”


“นางยังพูดไม่ได้สักคำ แล้วจะให้ร้องเพลงได้อย่างไร”

“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีท่านเจ้าเมือง หากราพลังก้าเป็นเสียอย่างนี้แล้ว”

“...หรือพวกเราจะสงบศึก”


“สงบศึก...ไม่มีวันเสียล่ะ! นั่นมันเมืองที่ทำลายบ้านเกิดของพวกเราแท้ๆ นะ!”

“แต่หากทำศึกไปก็ไม่ชนะแล้วจะทำอย่างไร”


“...”

“ภาวนาต่อเทพแห่งหายนะดีไหม”

“เราก็สวดภาวนาอยู่แล้วนี่”

“ไม่ใช่ภาวนาธรรมดา ข้าหมายถึง...ไม่นานจะถึงราตรีที่ยาวนานที่สุดในปีแล้ว กล่าวกันว่าหากทำการสังเวยต่อเทพแห่งหายนะในคืนนั้น พระองค์จะประทานพรให้ด้วยทุกสิ่งที่ประสงค์”

“แล้วเราต้องสังเวยด้วยอะไร”

“ได้ยินมาว่า...ควรเป็นหญิงพรหมจรรย์ที่บริสุทธิ์ที่สุด”

“...แล้วเราจะเลือกใครเป็นเครื่องสังเวย”

“...นกที่ไม่อาจร้องเพลงได้อีก ท่านจะเก็บเอาไว้ทำไม”

“...”

“แต่นาง...นางเป็นผู้มีบุญคุณของพวกเรานะ!”

“ใช่แล้ว หากไม่ได้นาง...เรเลนทัสก็คงไม่ได้รุ่งเรืองอย่างทุกวันนี้หรอก!”


“แต่ราพลังก้าทำอะไรให้กับเรเลนทัสไม่ได้อีกแล้ว”

“...ถึงอย่างนั้น...”

“นางเป็นเรย์วาเทล...ใช่ไหม ข้าได้ยินมาว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งพาสตาเลียที่อยู่ไกลออกไปก็เป็นเรย์วาเทลเหมือนกัน”

“แล้วเรื่องนี้สำคัญอะไร”

“สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งพาสตาเลียแต่ละคน...สิบกว่าคนได้แล้วกระมัง ดำรงตำแหน่งได้จนมีอายุราวสิบห้าถึงยี่สิบปีก็สิ้นอายุขัย นอกจากนี้...ข้ายังได้ยินว่าเด็กสาวอื่นๆ ที่มีอำนาจของเรย์วาเทลล้วนสิ้นชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งนั้น”

“...”

“นั่นหมายความว่าราพลังก้ามีอายุขัยที่สั้นอยู่แล้ว ที่จริง ที่นางมีอาการป่วยจนร้องเพลงไม่ได้อย่างนี้ อาจเป็นไปได้ว่านางกำลังจะตายก็ได้”

“...”

“หากนางกำลังจะตายจริงๆ ก็ขอให้นางสละตนเองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเรเลนทัส อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ”

“...แล้วมาโอล่ะ ตอนนี้เขากลับมาดูแลนางแล้ว เขาต้องไม่ยอมแน่ๆ”


“...”

“เรื่องนั้น...”
--------------------------------------------------------------------------

บทเพลงแห่งความจำศีลเป็นเพลงที่ตัวผมเองยังเห็นว่ายาวทรหดมาก (13 นาที) แถมเป็นเพลงที่ทำนองซ้ำๆ เหมือนสะกดจิตให้ชวนง่วงจริงๆ จนมีคนแซวว่าเหมาะเป็นเพลงกล่อมเด็กยิ่งกว่าเพลงของเกมเดียวกันที่ขึ้นชื่อว่าเพลงกล่อมเด็ก (Reisha's Lullaby ที่ผมให้ลีชาร้องในตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ) จริงๆ เสียอีก ^^a

ตอนแปลเนื้อเพลงจากภาษาอังกฤษยังอึ้งเหมือนกันว่าเนื้อยาวขนาดนี้เชียวหรือ แต่ก็คิดว่าเป็นเพลงที่แฝงสัญลักษณ์หลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวของราพลังก้าไว้จนน่าจะลงให้ได้เต็มๆ ครับ การเล่นวางตัวอักษรสลับซ้าย-กลาง-ขวา ในเนื้อเพลงกับบทพูดของชาวบ้านก็เหมือนกัน

แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2552    
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 21:33:19 น.
Counter : 422 Pageviews.  

บทที่ 9 - บทเพลงแห่งการจำศีล

9 – บทเพลงแห่งการจำศีล

ผู้เพาะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขผู้มีนามราพลังก้า
เมล็ดพันธุ์ของธิดาแห่งเทพ ราพลังก้า
ทุกเมล็ดสนองปรารถนาของผู้คน

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์
ฝูงนกอันงดงามเห็นเมล็ดพันธุ์
....แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่หนึ่ง

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์
ฝูงนกอันงดงามเห็นเมล็ดพันธุ์
....แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่สอง

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์
ฝูงนกอันงดงามเห็นเมล็ดพันธุ์
....แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่สาม



น้ำเสียงอันไพเราะที่ขับขานห้อมล้อมวิญญาณภพ
...น้ำเสียงอันไพเราะที่ขับขานห้อมล้อม...
...น้ำเสียงที่สดับได้นุ่มนวลราวแพรไหม...
...ราวต้นหญ้าอันสดชื่น...

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์
ฝูงนกอันงดงามเข้าใกล้เมล็ดพันธุ์
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่สี่

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์

ขณะระทมกับดวงใจอันเจ็บปวด ความคิดคำนึงของนางมิอาจเข้มแข็งขึ้นอีก
ฝูงนกอันงดงามกลืนกินเมล็ดพันธุ์
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่ห้า

แม้นจะได้ผลตอบแทนที่มิปรารถนา นางยังคงปกปักรักษาพันธกิจแห่งชีวิตต่อไป

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์


ฝันร้ายสลักไว้ในกาลเวลา ชั่วครู่แห่งความรุ่งเรืองที่มาเยือน
...ชั่วครู่แห่งความรุ่งเรือง…

ฝูงนกอันงดงามกลืนกินเมล็ดพันธุ์
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่หก


ความสุขนิรันดร์แห่งโลก เฝ้าฝันถึงสิ่งที่มิมีวันดับสูญ

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์
ในดวงใจเหล่านั้น ตัณหาเป็นดั่งเกลียวคลื่นถาโถม
...ในใจเหล่านั้นมีตัณหา

ฝูงนกอันงดงามกลืนกินเมล็ดพันธุ์
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่เจ็ด

ในช่วงเวลาอันสงบสุข นางท่องไปในฝันอย่างไร้จุดหมาย


นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์

สนธยาลับคมดาบเปลี่ยนเป็นดวงใจแห่งอสูร
ณ ใจกลางความมืดมนอนธการ ทุกผู้คนคือสายลมกราดเกรี้ยว


ฝูงนกกลืนกินเมล็ดพันธุ์อย่างเร่งรีบ
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่แปด

เสียงกระซิบซาบแห่งความชั่วร้ายดังมาถึงหูของนาง
...กลืนกินเมล็ดพันธุ์อย่างเร่งรีบ
เสียงเพลงแห่งความรู้สึกอันยิ่งใหญ่จักหยุดลงและอันตรธานไปในวันหนึ่ง

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์


เสียงแห่งความชั่วร้ายอันหอมหวนกลายเป็นฝุ่นธุลีดิน
...ถ้อยคำของผู้คนที่ชั่วร้าย..
.

ฝูงนกที่แปดเปื้อนขโมยเมล็ดพันธุ์และหนีจากไป
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่เก้า


ดวงใจที่ใฝ่หวังโลกอันเป็นนิรันดร์แปดเปื้อนด้วยความแค้น

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์

เสียงสะท้อนที่กลับกลายเป็นเกลียวขดเปรียบดุจเสียงกู่ร้องศึกแห่งราตรีมืดมน
...เสียงแห่งความมืดมิด


ฝูงนกที่แปดเปื้อนขโมยเมล็ดพันธุ์และหนีจากไป
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่สิบ

กลุ่มก้อนตัณหาที่คืบคลาน ก่อสงครามโดยไร้เหตุผล



นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ต่อไป

อสูรอันบ้าคลั่งนับร้อยจุดเปลวเพลิงเผาผลาญทุกสิ่ง
...จิตวิญญาณชั่วร้ายเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง


ฝูงนกที่แปดเปื้อนดิ้นรนเพื่อเมล็ดพันธุ์
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่หนึ่งร้อย

ฉีกกระชากเปลือกเพื่อชำระล้างความแค้นนับพันปี

นางหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์ต่อไป


ศรแห่งการชำระบาปถูกยิงออกไปสู่ทุกผู้คน
...จิตวิญญาณชั่วร้ายเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง...

ฝูงนกที่หลับใหลเอย อรุณรุ่งมาถึงแล้ว
...แลดังนี้จึงเข้าสู่ราตรีที่หนึ่งพัน



ราพลังก้าไม่ประสงค์จะหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์อีกต่อไป
ขอหลับใหลชั่วนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ในภพแห่งความว่างเปล่า

...เมล็ดพันธุ์ทั้งหลายแปดเปื้อนเป็นสีเทาเข้ม...

--------------------------------------------------------------------------




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2552    
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 21:30:32 น.
Counter : 1939 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.