ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 

บทที่ ๕ - ย้ายถิ่น

บทที่ ๕ ย้ายถิ่น


ตลอดเย็นวันนั้นอาเมียร์ไม่พูดกับซิอ์บุลเลย ระหว่างมื้อเย็นก็เอ่ยปากขอสิมาแทนว่าจะหาฟูกหมอนชุดหนึ่งมาปูนอนบนพื้นห้องกลางแทนได้ไหม

“ข้านอนดิ้น พ่อคงรำคาญมาหลายวันแล้ว”

หลังคำพูดนั้นมีเพียงความเงียบอยู่พักหนึ่ง จนลีชาเป็นฝ่ายสั่นศีรษะ แล้วหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอย่างเงียบๆ

“ไม่ต้องหรอก เจ้านอนห้องนั้นไปเถอะ คนที่ทำให้ใครๆ เขาลำบากคือข้าเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก” อาเมียร์ตอบ

ชายวัยกลางคนได้แต่กลั้นเสียงถอนใจไว้ ในเมื่อเขาไม่แน่ใจว่าจะพูดกับ ‘ลูก’ ได้อย่างไรดีท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆ ในบ้าน

ดูเหมือนผู้เป็นภรรยาจะจัดการเรื่องนั้นแทนเขา

สิมาเรียกเด็กหนุ่มให้มาช่วยล้างจานที่หลังบ้านแทนลีชา และหลังจากเสร็จงานอาเมียร์ก็กลับเข้ามาหาเขาที่นั่งพักอยู่ แล้วก็คุกเข่าลงกับพื้นแม้สีหน้าจะดูกระอักกระอ่วน

“พ่อ...ข้าขอโทษ” เขาพูดงึมงำ “ข้าวู่วามไปเอง ข้าจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว”

ซิอ์บุลจ้องมองเด็กหนุ่มที่ก้มศีรษะจนปอยผมปรกหน้าตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจรับเรียบๆ

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้ารู้ตัวก็ดีแล้ว”

แล้วทั้งสองก็นิ่งเงียบไปอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งอาเมียร์ลุกขึ้นก่อนจะขอตัวไปนอน โดยไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

* * *

คืนนั้นเอง สิมาจึงได้กลับมานอนที่ห้องนอนของทั้งสอง และนาสิรากับฟาร์ฮานาห์อีกครั้ง ในเมื่อลีชารับรองว่าเธอเข้านอนคนเดียวได้โดยไม่เป็นไรแล้ว

“เจ้าพูดอะไรกับอาเมียร์หรือ” ซิอ์บุลถามภรรยาเมื่อทุกๆ คนเข้านอนกันจนหมด และเด็กหญิงทั้งสองหลับสนิทเรียบร้อย

“ข้าก็แค่บอกให้แกเข้าใจเหตุผลที่ท่านต้องประนีประนอมกับพวกชาวบ้านน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบ “ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ควรจะแตกหักกับพวกเขา แล้วยิ่งแกทำอย่างนี้ ลีชาก็จะพลอยทุกข์ใจไปด้วย”

อดีตนักรบรับจ้างพยักหน้ารับ

“อย่างน้อยเราก็คงจะต้องอยู่จนกว่าจะเก็บเกี่ยวพืชผลที่ลงไว้ รอเจ้าคลอดแล้วก็พักฟื้นสักระยะ จากนั้นถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากย้ายไปจากที่นี่เหมือนกัน”

“ค่ะ” สิมารับง่ายๆ “ข้าก็คิดว่าให้ลีชาไปอยู่ที่อื่นนอกจากหมู่บ้านนี้จะดีที่สุดค่ะ ให้ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักนางเลยน่าจะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น”

ซิอ์บุลถอนใจหลังจากกลั้นมานาน

“หวังว่าอาเมียร์จะไม่ตีกับใครจนหัวร้างข้างแตกก่อนถึงวันนั้น” เขาอดเปรยไม่ได้ “ข้าขี้เกียจจะสงบศึกให้แทนอีก”

“แกไม่ทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” หญิงสาวรับรอง “แกไม่ใช่คนชอบใช้กำลังนะคะ”

“แต่เรื่องปากล่ะเก่งนัก...วันนี้ข้ายังนึกไม่ถึงเลยว่าแกจะกราดใส่คนอื่นๆ อย่างนั้นได้”

“คนเราเหลือทนกันได้นี่คะ” สิมาให้เหตุผล “ยิ่งแกยังเด็กอยู่ด้วย”

เขานอนมองเพดานไม้ เผลอครุ่นคิดถึงใครอีกคนที่เขาจำได้ว่าเคยกราดเกรี้ยวเช่นนั้น...แม้นจะรู้ว่าไม่ควรนึกเลย

...ใครอีกคนที่เด็กหนุ่มเชื่อว่าเป็นพ่อแท้ๆ ของตน...และก็อาจเป็นพ่อแท้ๆ ของตน...

สิ่งที่ทัมมุซหรืออาเมียร์ไม่รู้มาตลอดจนทุกวันนี้ คือคนที่ตนเรียกว่า “เสด็จพ่อ” เป็นผู้ช่วงชิงแม่ของเขาไปจากซิอ์บุลหรือเนมอสผู้เป็นคนรักของเธอ และบังคับข่มเหงเธอจนกระทั่งเธอพยายามฆ่าตัวตายร่วมกับเขา

...หลังจากที่ทั้งสองลอบรักกันโดยที่องค์ราชันไม่ได้ล่วงรู้...และรอดชีวิตมาพบว่าหญิงสาวตั้งครรภ์...

ซิอ์บุลพยายามเชื่อมาตลอดว่าอาเมียร์เป็นลูกของเขา แต่ขณะเดียวกันก็พยายามทำใจว่าถึงเลือดในกายของเด็กหนุ่มจะเป็นเลือดของชายที่เขาเคยชิงชังคนนั้นแทนที่จะเป็นตนก็ไม่เป็นไร

ทว่า...ยิ่งอาเมียร์กราดเกรี้ยวเช่นนั้น...เขาก็ยิ่งหวั่นวิตก

“ท่านยังเคยเล่าให้ข้าฟังนี่คะ ว่าเมื่อก่อนท่านก็เป็นคนอารมณ์ร้อนจนแม่ของท่านต้องดุว่าบ่อยๆ” หญิงสาวเปรย

ผู้ฟังได้แต่ยิ้มแห้งๆ เมื่อนึกได้ตามนั้น

“นั่นสิ” เขารับ “แล้วเจ้าก็ยิ่งเหมือนกับแม่ของข้าเข้าไปใหญ่...ตรงที่สยบได้ทั้งข้าทั้งอาเมียร์นี่ล่ะ”

ภรรยาของเขาหัวเราะรับเบาๆ แต่ซิอ์บุลก็อดพูดต่ออย่างติดจะเคร่งเครียดไม่ได้

“ข้าสิ...ผ่านไปหลายปีก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดจาสั่งสอนอาเมียร์ในบางครั้งอย่างไรดี บางทีข้าอาจจะไม่รู้ว่าการเป็นพ่อที่ดีต้องทำอย่างไรด้วยซ้ำกระมัง”

“ท่านเนมอส...” หญิงสาวเรียกชื่อเดิมของเขา “ข้าคิดว่าการเป็นพ่อที่ดีก็เหมือนการเป็นแม่ที่ดีนั่นล่ะค่ะ ไม่เห็นจะต้องแบ่งแยกอะไรเลย แม่ของท่านยังทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อแม่ของท่านในคนเดียวไม่ใช่หรือคะ ดูจากแม่ของท่านก็ได้”

“ก็จริง” กระนั้นซิอ์บุลยังไม่วายแย้ง “แต่แม่ข้าเป็นคนเก่งที่ทำอย่างนั้นได้ ข้าไม่เก่งขนาดท่านในเรื่องแบบนี้ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่า...คนคนนั้นเลี้ยงอาเมียร์มาอย่างไรบ้าง ข้าเลยอดเกรงไม่ได้ว่า...อาเมียร์จะโมโหร้ายเหมือนกับเขาหรือเปล่า”

“เขาพยายามไม่ใส่อารมณ์ให้แกเห็นเลยนะคะ” สิมาติงด้วยเสียงเรียบๆ “ข้าคิดว่าไม่หรอกค่ะ แล้วเด็กคนนั้นไม่ได้โกรธเรื่องส่วนตัว แต่โกรธเพราะเห็นคนอื่นได้รับความไม่เป็นธรรมนี่คะ ข้ากับท่านก็ไม่พอใจเรื่องที่ลีชาถูกคนอื่นๆ ทอดทิ้งหรือรังเกียจอย่างนี้เหมือนกัน เพียงแต่เราอายุมากแล้ว เลยใจเย็นขึ้นจนไม่แสดงอารมณ์ออกมาชัดเจนขนาดแกเท่านั้นเอง”

“ก็ใช่ แต่นับวันสิ่งที่อาเมียร์ทำก็ยิ่งแรงขึ้นทุกที ผิดพิธีศพเขา...แถมวันนี้ยังด่าว่าชาวบ้านเป็นสิบๆ คน”

“หลังจากนี้แกคงไม่ทำอย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวรับรอง “แกรับปากกับข้าแล้วว่าจะไม่ทำเรื่องวู่วามอีก ท่านเชื่อใจแกเถอะนะคะ”

“ฮื่อ” ซิอ์บุลรับสั้นๆ กระนั้นยังไม่วาย... “แต่ว่า...”

“คะ”

“ข้ากลัวว่าถ้าอาเมียร์ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เรื่องแบบวันนั้นอาจเกิดขึ้นอีก...”

วันที่เขารู้สึกเหมือนเป็นวันเคราะห์ร้ายที่สุดในชีวิตกว่าครั้งไหน...ยิ่งกว่าวันที่พบว่าสิมาที่เขารักต้องตกเป็นของชายอื่น...หรือวันที่อาณาจักรล่มสลายและเขาเข้าใจไปว่าราชินีสิมาริเมสถูกสังหารไปจริงๆ เสียอีก

อดีตหมาป่าทมิฬผู้ลือนามในทะเลทรายยังจำได้ดี...ถึงวันที่เขาพบซากศพกองระเกะระกะบนผืนทราย...นาสิราน้อยที่ร้องไห้จ้าในอ้อมแขนของแม่...สิมาที่พยายามส่งยิ้มให้กับเขาแม้ใบหน้าจะซีดเผือดตัดกับคราบเลือดที่กระอักจากริมฝีปาก และบาดแผลฉกรรจ์บนแผ่นหลังซึ่งยังทิ้งรอยแผลเป็นให้เขาเห็นอยู่จนทุกวันนี้...

...แล้วก็เด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอึ้งตะลึงงัน นัยน์ตาสีดำทอดตรงไปเบื้องหน้าอย่างว่างเปล่าโดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น...

นั่นทำให้ซิอ์บุลตระหนักว่าแม้นธิดาแห่งเทพอสูรนั้นจะหลุดพ้นจากร่างของสิมาแล้ว...นางก็ยังได้ทิ้งบางสิ่งไว้ให้กับบุตรชาย สิ่งที่ทรงอำนาจน่าสะพรึงกลัวอย่างที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน และมาตระหนักได้เมื่อสิ่งนั้นสำแดงฤทธานุภาพออกมาแล้วนั่นเอง...

“แต่ลูเธียนกับโมโนช่วยกันผนึก ‘มัน’ ไว้แล้วนี่คะ” สิมาปลอบเขา “ถึงจะโมโหอย่างไร...หากพลังของมันถูกสะกดไว้ อาเมียร์ก็คงจะไม่พลั้งมือทำร้ายใครอย่างนั้นอีกหรอกค่ะ”

“ก็เพราะแค่ผนึกนั่นล่ะข้าถึงกังวล” ชายวัยกลางคนพูดเสียงขรึม “เพราะเราไม่มีทางดึงมันออกมาจากร่างของแกเพื่อทำลายให้สิ้นซากได้เลย ถ้าผนึกเกิดคลายขึ้นมา...แล้วเกิดเรื่องอย่างวันนั้นขึ้นอีก...”

“อย่าด่วนตีตนไปก่อนไข้เลยค่ะ” หญิงสาวเอื้อมมือไปกุมมือของเขา

“ข้าไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้นะ แต่ข้าเกรงว่าผนึกอาจจะเริ่มคลายแล้วก็ได้” สุดท้ายอดีตนักรบก็ตัดสินใจพูด “แผลบนศพของโจรที่อาเมียร์ฆ่าไปวันนั้นตื้นเกินกว่าจะฆ่าคนได้...นอกจากจะค่อยๆ เสียเลือดจนตายก็อีกเรื่องหนึ่ง”

สิมาเงียบไป

“แต่สีหน้าของมัน...ดูอย่างไรก็เหมือนขาดใจตายในทันทีทันใดแท้ๆ”

“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง ก็คง...เป็นแค่การป้องกันตัวเท่านั้นเองค่ะ” หญิงสาวให้เหตุผล “อาเมียร์ยังบอกกับข้าเลยว่าแกไม่อยากฆ่าคน แต่ถ้าไม่ฆ่า...แกก็จะเป็นฝ่ายถูกฆ่า ผนึกอาจคลายแค่เพื่อให้แกได้รอดชีวิตมา...แล้วก็เพราะแกอยากปกป้องข้ากับน้องๆ ...เหมือนเมื่อตอนนั้นก็ได้”

ซิอ์บุลยังคงแคลงใจ แต่ก็ไม่เห็นประเด็นของการโต้แย้งกันให้ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ต้องกังวลโดยไม่จำเป็น จึงได้ตัดบท

“เอาเถอะ ข้าคงจะคิดมากไปเองนั่นล่ะ เข้านอนกันเถอะ”

* * *

นับแต่วันรุ่งขึ้น อาเมียร์ไม่ยกเรื่องของลีชาขึ้นมาพูดกับใครๆ อีกก็จริง แต่ก็ยังคงแทบไม่พูดกับพวกชาวบ้าน และพูดกับเขาแค่เท่าที่จำเป็นที่สุด

ด้านซิอ์บุลพยายามไม่ติดใจเรื่องนี้นัก ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มคงต้องการเวลาปรับอารมณ์ให้เรื่องค่อยๆ เงียบหายไป และใจจริงเขาก็อยากให้เป็นเช่นนั้นมากกว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากันอีก

การระเบิดอารมณ์ของอาเมียร์ทำให้พวกคนหนุ่มในหมู่บ้านที่มาขอฝึกการต่อสู้กับเขาลดลงไปมากพอดู กระนั้นอดีตนักรบก็ยังคงสอนคนที่เหลืออยู่ต่อไป ในเรื่องการใช้อาวุธอย่างไม้พลอง หรือเครื่องมือเท่าที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมดาบ และหลักการตรวจตราระวังยาม ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับหมู่บ้านที่อยู่ไกลป้อมทหารเช่นนี้

แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ชั้นเรียนที่ลานหน้าบ้านของเขาก็มีผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ ซึ่งทำให้การสอนต้องถูกล้มเลิกไปเสียกลางคัน

รถม้าที่ดูออกหรูหราฉูดฉาดตามแบบขุนนางชนบทวิ่งมาแต่ไกล...พร้อมด้วยฝุ่นฟุ้งตลบจากทหารที่ขี่ม้าล้อมหน้าหลังเพื่อตามอารักขามัน

อดีตนักรบขมวดคิ้ว มองกลุ่มฝุ่นและรถม้านั้นเคลื่อนใกล้เข้ามา ขณะที่คนอื่นๆ หันไปพูดคุยกันอย่างสงสัย

“พวกขุนนางมาที่นี่ทำไม”

“เรื่องค่าหัวของพวกโจรที่หัวหน้าหมู่บ้านส่งไปขอกระมัง”

“คราวนี้ท่านซิอ์บุลคงกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทีเดียว” ใครคนหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ

“แล้วส่วนที่เราฆ่าไปล่ะ”

“ท่านซิอ์บุลบอกท่านหัวหน้าหมู่บ้านว่าจะแบ่งให้นี่”

นั่นกลับเป็นเรื่องที่ทำให้คนที่ถูกคาดหมายว่าจะ ‘กลายเป็นเศรษฐี’ ไม่ใคร่จะสบายใจหรือพอใจนัก อันที่จริงต้องพูดว่าหัวเสียเลยมากกว่า เมื่อรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านให้ขนศพพวกโจรไปขึ้นเงินค่าหัว โดยรวมในชื่อของเขาทั้งหมด แทนที่จะต้องมาเสียเวลานั่งแจกแจงว่าใครเป็นคนฆ่าใครบ้าง

“ถือเสียว่าเป็นค่าจ้างของท่านก็แล้วกัน” หัวหน้าหมู่บ้านพูดง่ายๆ

เอาเถิด ซิอ์บุลคิดเสียว่าหากได้เงินค่าหัวมาจริงๆ เขาก็คงจะมอบให้พวกชาวบ้านไปแจกจ่ายกันเองเกือบหมด อย่างเก่งก็กันสักส่วนสองส่วนไว้ให้ลีชาและก็อธฟรีด์ แทนส่วนที่เกล็นควรได้รับก็พอ

เมื่อมาถึงบริเวณหน้าบ้านของเขา พวกทหารก็ลงจากหลังม้า แล้วคนหนึ่งก็เข้าไปเปิดประตูรถ ให้ชายวัยหนุ่มคนหนึ่งซึ่งสวมชุดมีราคาทำนองเดียวกับรถม้าที่นั่งมาได้ก้าวลงเหยียบพื้นดิน

“นี่หรือบ้านของซิอ์บุลนั่น”

“ถ้าที่นี่มีคนชื่อซิอ์บุลคนเดียวก็คงใช่” เจ้าของบ้านสะกดความไม่พอใจกับน้ำเสียงห้วนๆ ของอีกฝ่าย

“ข้าคือนายอำเภอของที่นี่ ได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าเมือง ซึ่งได้รับคำสั่งจากท่านเจ้ามณฑลให้มาแจ้งข่าวแก่เจ้า”

ว่าแล้วเขาก็รับม้วนเอกสารติดพู่ทองจากทหารที่ถือหมอนผ้าแพรสีทองรองมันเข้ามาส่งให้ มือที่สวมแหวนเสียข้างละสองนิ้วคลี่มันอย่างกรีดกราย ก่อนจะอ่านด้วยเสียงดังให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน

“ประกาศจากท่านคาลวาห์ เจ้ามณฑลแห่งชอร์ซา ซึ่งท่านเจ้าเมือง...”

อดีตนักรบขัดตาและหูเต็มทนกับผู้นำสารที่ทำราวกับตนเป็นราชทูตขององค์กษัตริย์ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเห็นราชทูตคนใดของพระเชษฐามีกิริยาเหมือนจะเป็นกษัตริย์เองเช่นนี้สักคน กระนั้น เขาก็บอกตนเองว่าคนจองหองอย่างนี้จะไม่มีเลยในโลกได้อย่างไรกัน

...ทว่าใครอีกคนกลับขัดขึ้น...

“ส่งมาให้พวกเราอ่านเองก็ได้”

คนอ่านชะงักไปก่อนจะถามกลับ

“เจ้าอ่านหนังสือออกด้วยหรือ”

ซิอ์บุลหันกลับไปเห็นอาเมียร์ขอไม้พลองจากชาวบ้านคนหนึ่งมาถือ แล้วก็สาวเท้ายาวๆ ผ่านอดีตนักรบไปยืนตรงหน้านายอำเภอหนุ่ม แล้วก็จ้องตาอีกฝ่ายเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งยอมยื่นม้วนสารให้

เด็กหนุ่มแทบตะปบมันมาโดยเร็ว แล้วก็ถือมันกลับมากางให้อดีตนักรบได้อ่านด้วย

...เนื่องด้วยผู้อพยพซิอ์บุลกระทำผิดกฎของมณฑลชอร์ซาหลายมาตรา ท่านเจ้ามณฑลจึงมีบัญชาให้รีบพาครอบครัวออกไปจากมณฑลชอร์ซาภายในสามวันนับแต่ได้รับสาร หาไม่แล้วทั้งซิอ์บุลและสมาชิกในครอบครัวจะถูกจับกุมและลงโทษสูงสุดในทันที

“พ่อข้าไปทำผิดกฎของที่นี่หลายมาตราตั้งแต่เมื่อไร” อาเมียร์ตั้งคำถาม

“ก็พ่อเจ้าปลุกระดม นำพวกชาวบ้านไปตีซ่องโจร และฆ่าพวกมันตายยกรัง” ขุนนางตอบ

“โจรพวกนั้นจับตัวผู้หญิงกับเด็กในหมู่บ้านไป ข้าก็แค่พาคนอื่นๆ ไปช่วยกลับมา เพราะจะให้รอความช่วยเหลือจากทางการก็คงไม่ทัน” ซิอ์บุลให้เหตุผลด้วยเสียงที่พยายามให้เรียบที่สุด “อันที่จริง การปราบปรามพวกโจรก็เป็นผลดีต่อทางการ จึงได้ตั้งค่าหัวโจรไว้ไม่ใช่หรือ”

“แต่ในมณฑลนี้” อีกฝ่ายอธิบาย “มีกฎว่าผู้ที่จะเป็นนักล่าค่าหัวต้องเป็นชาวธีร์ดีเรโดยกำเนิดเท่านั้น”

“มีกฎแบบนี้ด้วยหรือ” ชาวบ้านคนหนึ่งหันไปกระซิบถามเพื่อน

“ดังนั้น การที่ผู้อพยพเข้าธีร์ดีเรอย่างเจ้าสังหารโจรเพื่อขึ้นค่าหัวจึงเป็นการผิดกฎประการแรก ประการที่สองคือเจ้าชักนำผู้คนให้รวมกลุ่มถืออาวุธ แม้หลังจากปราบพวกโจรแล้ว เจ้ายังเรียกรวมกลุ่มพวกคนหนุ่มในหมู่บ้านมาฝึกอาวุธอย่างเปิดเผย เช่นนี้ไม่ส่อเค้ากระด้างกระเดื่องต่อทางการ คิดซ่องสุมผู้คนเพื่อก่อการใหญ่หรือ”

“ข้าสอนเพราะมีคนขอให้ข้าสอน” อดีตนักรบตอบตามความจริง “ถ้าพวกชาวบ้านมีวิชาการต่อสู้บ้าง พวกเขาจะพอป้องกันตนเองได้เมื่อหมู่บ้านถูกพวกโจรรังควาน กลับน่าจะเป็นการแบ่งเบาภาระของทางการเสียอีก”

“ชาวธีร์ดีเรดูแลตนเองได้ คนต่างชาติอย่างเจ้าไม่ต้องมาเป็นกังวลหรอก”

“พวกเราอาจจะไม่ใช่ชาวธีร์ดีเรแต่กำเนิด” เด็กหนุ่มข้างตัวเขาพูดเสียงแข็ง “แต่ครอบครัวของข้าก็อพยพเข้าธีร์ดีเรอย่างถูกกฎหมาย เราเสียภาษีผู้อพยพ เรามีใบอนุญาตเข้าอาณาจักร เราเห็นว่าตนเองเป็นชาวหมู่บ้านนี้ ก็ควรทำเพื่อหมู่บ้านเท่าที่ทำได้ไม่ใช่หรือ”

“ไม่ว่าจะเป็นชาวธีร์ดีเรแต่กำเนิดหรือผู้อพยพ ก็ไม่มีสิทธิ์ตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาเองทั้งนั้น การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่ของทางการ”

“หน้าที่ของทางการที่ปล่อยให้พวกโจรปล้นสะดม เก็บค่าคุ้มครองเถื่อนอยู่ได้เรื่อยๆ น่ะหรือ” อาเมียร์ย้อน

นายอำเภอหนุ่มกลับหน้าตึงขึ้นมา

“เจ้าไม่ใช่คนที่นี่ อย่าพูดจาพล่อยๆ”

“พูดจาพล่อยๆ ข้าว่าข้ารู้เรื่องระบบของโจรพวกนี้มากกว่าเจ้าหน้าที่อย่างท่านเสียอีก” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมเลิกรา “หรือท่านเจ้ามณฑลที่อยู่เหนือท่านเจ้าเมืองที่อยู่เหนือนายอำเภออย่างท่านก็ทราบดี แต่รับค่าคุ้มครองจากพวกโจรด้วยเหมือนกัน ได้ยินว่าการเข็นลูกชิงตำแหน่งพระสวามีเป็นเรื่องผลาญงบประมาณใช่น้อยนี่...ยิ่งเป็นลูกที่ชื่อเสียเรื่องผู้หญิงจนเข็นยากด้วยแล้ว”

ซิอ์บุลพอได้ยินได้ฟังพวกพ่อค้าในระหว่างทางพูดคุยเรื่องการเลือกพระคู่ของเจ้าหญิงซึ่งจะเกิดขึ้นในไม่ช้ามาบ้าง พวกเขาบอกว่านั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่เหล่าขุนนางซึ่งมีบุตรชายผู้มีวัยและคุณสมบัติอันเหมาะสมต่างพากัน ‘ลงทุน’ ทุกวิถีทางให้ลูกของตนมีข้อได้เปรียบว่าตัวเลือกคนอื่นๆ แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเรื่องการเมืองที่ไกลตัวและตนไม่อยากข้องแวะด้วยอีก จึงได้ไม่พูดคุยกับใครเกี่ยวกับเรื่องนี้นัก

ไม่นึกเลยว่าอาเมียร์จะคิดไปได้ถึงขั้นนี้ และก่อนเขาจะทันปรามไม่ให้ลูกชายพูดต่อ ก็มีคนชิงรับเสียก่อน

ไม่ใช่ใครเลย นอกจากขุนนางหนุ่มที่หน้าแดงขึ้นทันควัน

“พูดจาสามหาว!” อีกฝ่ายตวาด “เจ้ารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอยู่กับใคร!”

“ก็ท่านนายอำเภอไม่ใช่หรือ” เด็กหนุ่มตอบด้วยเสียงซื่อจนรู้ได้ว่าเสแสร้ง

“ข้าไม่ใช่นายอำเภอธรรมดาๆ นะเว้ย!” นายอำเภอหนุ่มค่อยๆ เผยตนเองออกมา “แกรู้หรือเปล่าว่าข้าลูกใคร!”

“ไม่ว่าจะเป็นลูกใคร ข้าก็หนักใจแทนพ่อแม่ของท่านจริงๆ” อาเมียร์โคลงศีรษะ “ที่มีลูกขี้ลืมขนาดนี้”

“แก—!!”

“อาเมียร์—!”

เสียงสองเสียงดังขึ้นแทบพร้อมกัน เจ้าของเสียงแรกชักดาบในฝักข้างเอวออกมา ขณะที่เจ้าของเสียงหลังหมุนตัวไปคว้าแขนของเด็กหนุ่มข้างกาย...ซึ่งดูเหมือนจะรู้ทันอยู่แล้ว จึงได้เลือกยืนที่ด้านซ้าย...ติดกับแขนข้างที่ไม่มีมือของอดีตนักรบ

อาเมียร์โยนม้วนสารทิ้ง ถลันออกไปหวดไม้พลองกระแทกเข้าที่ข้อมือของคนถือดาบครั้งเดียว ดาบเล่มนั้นก็ร่วงลงกับพื้น

การขยับพลองครั้งต่อมาถูกจุดสำคัญที่เข่าให้ฝ่ายนั้นล้มก้นจ้ำเบ้า และครั้งที่สามส่งปลายไม้ไปตรงหน้าขุนนางหนุ่ม ห่างจากหน้าผากเพียงปลายนิ้ว

“ถ้าข้าตีศีรษะท่านนายอำเภอสักที ท่านจะหายขี้ลืมไหม” เด็กหนุ่มถาม

“เจ้า—!!” พวกทหารโดยรอบชักดาบออกมา แต่ไม่กล้าเข้าใกล้มากกว่านี้เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเข้าไปช่วยนายของตนได้ทันเวลา

ซิอ์บุลแทบโยนไม้พลองที่ตนเองถือติดมืออยู่ลงกับพื้น วิ่งตรงมายืนอยู่ข้างๆ อาเมียร์ก่อนจะใช้มือยุดพลองของเด็กหนุ่มไว้

“ทิ้งพลองเสีย”

อาเมียร์เหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ยอมขยับมือ

“หัดคิดเสียบ้างว่าทำอย่างนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น แม่กับน้องๆ กับลีชาน่ะเป็นห่วงบ้างไหม!” อดีตนักรบกระซิบ

คำพูดหลังทำให้เด็กหนุ่มยอมชักพลองกลับแต่โดยดี แต่สายตายังคงจ้องคู่กรณีเขม็งพอกับอีกฝ่าย

“ถ้าเจ้าทำร้ายท่านนายอำเภอล่ะได้รับโทษหนักแน่ ท่านคือท่านชาลัวห์ ลูกชายคนเล็กของท่านเจ้ามณฑล ผู้มีสิทธิ์เป็นราชาองค์ต่อไปเชียวนะ” ทหารคนหนึ่งสำทับ

“อ้อ” อาเมียร์รับเบาๆ “มีคนตอบคำถามท่านนายอำเภอแล้ว จำไว้ให้ดีๆ แล้วกันว่าท่านเป็นลูกของใคร”

นายอำเภอผู้พ่วงฐานะลูกชายเจ้ามณฑลกัดฟันกรอด ทว่าเด็กหนุ่มก็ถอยหลังออกห่างโดยไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเดินจากไป

ซิอ์บุลเหลือบมองลูกชาย แล้วก็หันมาทางนายอำเภอหนุ่มที่กำลังลุกขึ้นยืนบ้าง ก่อนจะตัดสินใจค้อมศีรษะน้อยๆ

“ข้าขออภัยแทนลูกชายด้วย ถ้าพวกท่านอยากให้เราไปจากที่นี่ เราก็จะไป” เขาให้คำตอบ “แต่เมียข้ากำลังท้องแก่...หวังว่าเรื่องนี้คงไม่เกินความเข้าใจของพวกท่าน ถ้าสามวันเรายังเหลือวิสัยจะออกจากเขตมณฑลนี้ ใครบังอาจทำร้ายลูกเมียข้า ข้าจะไม่เกรงใจอีกแน่”

ว่าแล้วเขาก็กลับหลังหัน เดินตามลูกชายวัยรุ่นไปยังบ้านที่ภรรยาแง้มประตูออกมาดูอย่างเป็นกังวล และลูกสาวทั้งสองกับเด็กสาวอีกคนเมียงมองอยู่ตรงหน้าต่าง โดยไม่สนใจใครในที่นั้นอีก

ทว่าเสียงของนายอำเภอผู้ไม่ธรรมดายังดังไล่หลังมา ให้เขาต้องท่องบ่นสารพัดคาถาเพื่อให้ตนยังใจเย็นได้อยู่

“รีบๆ ไสหัวไปเสียไอ้ด้วน ที่นี่ไม่มีใครเขาต้อนรับแกหรอก!!”

* * *

ซิอ์บุลบอกให้ทุกๆ คนในบ้านเก็บข้าวของเสียแต่ในคืนนั้น เพื่อจะได้ออกเดินทางโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พืชผลชนิดใดที่พอกินได้ทั้งๆ ที่ยังอ่อนหรือดิบอยู่ก็ถูกเด็ดถอนไว้เป็นเสบียง แม้จะไม่อาจทำเช่นนั้นได้กับทุ่งข้าวที่แตกใบเขียวน่าชมแต่ยังไม่ตั้งรวง ซึ่งเขาต้องแถมให้ไปพร้อมกับบ้านและที่ดิน ส่วนปศุสัตว์ต่างๆ ก็ต้องรีบขายไปจนหมดในวันต่อมา นอกจากม้าเทียมรถ

อาเมียร์เก็บของตามคำสั่งเงียบๆ โดยไม่ออกความเห็นอะไรเลยเกี่ยวกับการรีบย้ายครั้งนี้ นาสิราบ่นบ้างว่าทำไมจึงต้องย้ายเร็วกว่าครั้งก่อนๆ และฟาร์ฮานาห์ก็บ่นตามพี่ สีหน้าของลีชาบอกชัดว่าไม่อยากจากลูกไปเมื่อสิมาถามทางเลือก แต่เธอก็พยักหน้าตกลงจะไปกับพวกเขาแต่โดยดี

คนที่เขาห่วงว่าจะลำบากกับการเดินทางมากที่สุดอย่างสิมากลับเป็นคนที่รับรองกับเขาว่าการย้ายคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“ถ้าอยู่ไปก็มีแต่ปัญหาก็สู้อย่าอยู่เสียเลยค่ะ ส่วนข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องห่วงมากหรอก”

กระนั้นอดีตนักรบยังย้ำกับตนเองว่าจะต้องไปให้ช้าที่สุดเท่าที่จะไม่กระเทือนลูกในครรภ์ของเธอ แต่ก็เร็วพอจะออกไปจากมณฑลให้ไม่เกินกำหนดนัก

ย่างเข้าเช้าวันที่สอง ทุกสิ่งจึงถูกเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง และพวกเด็กหนุ่มๆ ก็มาที่หน้าบ้านของอดีตนักรบ ขณะที่พวกเขากำลังจะเตรียมขึ้นรถม้ากันพอดี

“ขอให้ท่านซิอ์บุลเดินทางปลอดภัยขอรับ” พวกเขาอวยพร

“ข้าชื่นชมท่านมากขอรับ วิชาที่ท่านสอนให้ ข้าจะใช้ปกป้องหมู่บ้านของเราไว้ให้ได้”

“ก็ดี” อดีตนักรบรับ “แต่ไม่ต้องทำอะไรเกินตัวหรอก ทำเท่าที่เจ้าทำได้...เพื่อช่วยคนที่เจ้าช่วยได้ ขอแค่หากไม่เกินขอบเขตที่จะช่วยก็อย่านิ่งดูดายนั่นล่ะ”

เขาพยายามทิ้งท้ายเท่าที่ทำได้กับพวกเด็กหนุ่มเหล่านั้น จากนั้นก็บอกลาหัวหน้าหมู่บ้านที่มาส่งตามธรรมเนียม พร้อมกับคำขอโทษขอโพยว่าหากรู้ว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นก็คงไม่ยื่นขอค่าหัวในชื่อของเขา ซิอ์บุลจึงได้บอกไปว่าไม่เป็นไรโดยไม่ติดใจอะไรนัก

อีกคนที่อุตส่าห์มาคือพ่อของเกล็นซึ่งอุ้มก็อธฟรีด์น้อยมาด้วย ดูเหมือนเขาจะเห็นใจลีชาพอจะให้ได้เห็นหน้าลูกก่อนต้องจากกัน แม้นเด็กสาวจะทำเพียงแอบมองลูกของตนจากรอยแยกของผ้าใบกั้นประตูรถม้า และต่างฝ่ายก็ไม่ได้เสนอหรือขอให้เธอได้อุ้มแกอีกครั้งเลย

และคนที่มาเป็นคนสุดท้ายโดยที่ซิอ์บุลไม่ได้คาดฝันคือกลุ่มผู้หญิงห้าจากสิบสามคนที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับลีชา ซึ่งมีเด็กสาวคนหนึ่งเป็นผู้เดินนำมา

“พวกเรามาพูดกับลีชาค่ะ” เธอพยายามพูดให้ชัดเจนแม้เสียงจะสั่นน้อยๆ

อาเมียร์กับสิมาเกลี้ยกล่อมให้คนถูกเรียกลงจากรถม้ามายืนอยู่ข้างหน้าคนเรียกได้สำเร็จ ทว่าในทีแรกทั้งสองก็ยืนเงียบกันไปครู่ใหญ่ จนกระทั่งเด็กสาวผู้มาเยือนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

“ข้า...ขอโทษนะลีชา เจ้าต้องรับเคราะห์เพราะข้าแท้ๆ”

ลีชาสั่นศีรษะ

“ข้า...ข้าก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันดังไปทั่วได้อย่างไร แต่ตัวข้าก็บอกเรื่องนั้นกับพ่อแม่...เพราะไม่คิดว่าพวกท่านจะเอาไปบอกใคร...ข้าขอโทษ...ถ้าพวกท่านเอาไปพูดต่อก็ถือเป็นความผิดของข้าด้วย...ข้าขอโทษจริงๆ” เด็กสาวทรุดลงคุกเข่า ก้มศีรษะตรงหน้าเธอ

ลีชาทำท่าจะเข้ามาประคองให้อีกฝ่ายลุกขึ้น แต่แล้วก็ชะงักอยู่ที่เดิม และคุกเข่าลงตาม

“ข้า...เป็นคนขี้ขลาดอย่างที่อาเมียร์พูดจริงๆ ข้ากลัว...ว่าถ้าข้าพูดออกไปแล้วเจ้าหรืออาเมียร์จะโกรธข้า...ข้าขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก” อาเมียร์พูดขึ้นบ้าง “ตอนนั้นข้าก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ข้าพูดด้วยอารมณ์จนเกินไป ดีแล้วที่เจ้าตัดสินใจมาพูด แล้วก็มีเรื่องสำคัญกว่านี้...เรื่องดีกว่านี้ที่เจ้าต้องบอกลีชาไม่ใช่หรือ”

เด็กหนุ่มกับเด็กสาวดูจะสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอจึงพยักหน้าก่อนจะเอ่ยต่อ

“...ข้า...ขอบคุณนะลีชา” เธอพยายามเอ่ยให้หนักแน่นที่สุดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายไว้ “ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้จนชั่วชีวิต ถ้าแต่งงานแล้วก็จะบอกลูกหลานของข้าว่าเจ้ามีบุญคุณกับเรามากมายเพียงไร แล้วข้าก็จะบอกก็อธฟรีด์ให้ว่าแม่ของแกเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญและเสียสละขนาดไหน”

“ข้าก็เหมือนกัน” คนอื่นๆ รับ

“ขอบคุณมากนะลีชา”

“ขอบคุณ...”

คำพูดถึงลูกทำให้ลีชาสะอื้นออกมา เธอชักมือกลับหลังผ่านไปเพียงแวบเดียว พยายามปาดน้ำตาและพร่ำขยับริมฝีปากเงียบๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยสีหน้าที่ใกล้เคียงกับดีใจที่สุดเท่าที่ซิอ์บุลได้เห็นนับจากวันเคราะห์ร้ายนั้น

เขาอ่านริมฝีปากของเธอได้ว่า ‘ขอบคุณ’ เช่นเดียวกับผู้หญิงเหล่านั้น

เมื่อหมดเวลาแห่งการล่ำลา และตนเองมานั่งกุมบังเหียนอยู่ด้านหน้ารถม้าแล้ว อดีตนักรบแห่งอาณาจักรสาบสูญก็อดคิดไม่ได้...

...ว่าบางที หมู่บ้านแห่งนี้ก็อาจจะไม่ได้สิ้นหวังไปเสียทุกสิ่ง แม้ว่าการย้ายไปจากที่นี่จะยังคงเป็นทางเลือกเดียวสำหรับครอบครัวผู้อพยพที่เจ้ามณฑลไม่ต้องการต้อนรับก็ตาม...


บทที่ ๖ ข้อเสนอ

* * *


ถึงอย่างไร ครอบครัวของซิอ์บุลก็ต้องไปจากกลาสเดลอยู่แล้ว ผมจึงอยากให้พวกเขาได้ไปจากที่นี่อย่างมีความหวังที่สุดครับ คนรุ่นใหม่ของที่นี่น่าจะเปลี่ยนแปลงได้ แล้วก็คงจะกลายเป็นผู้ใหญ่ในเวลาต่อมาที่มีความกล้าที่จะยอมรับและเผชิญกับความกลัวของตนมากกว่านี้

ชาลัวห์...ลูกชายเจ้ามลฑลชอร์ซา (แอบ) ได้ต้นแบบมาจากคนที่ใครๆ หลายคนอาจจะรู้หน่อยๆ ครับ แต่เพื่อความปลอดภัย ผมก็ขอชี้แจงไว้ก่อนว่า นี่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้คนหรือเหตุการณ์ที่มีอยู่จริงใดๆ ทั้งสิ้น ครับผม ^^;;;




 

Create Date : 02 มกราคม 2552    
Last Update : 2 มกราคม 2552 18:44:00 น.
Counter : 309 Pageviews.  

บทที่ ๔ - โฉมหน้าอันดำมืด

บทที่ ๔ โฉมหน้าอันดำมืด


แม้จะรู้ตัวว่าเหน็ดเหนื่อยข้ามคืนมาจนตลอดทั้งวัน พอถึงเวลาเข้านอนจริงๆ เด็กหนุ่มกลับนอนไม่ค่อยหลับในคืนนั้น เขาฝันเหมือนตนเองวิ่งไปท่ามกลางกองศพและสีแดงฉานซ้ำๆ พบร่างไร้วิญญาณของเกล็น...และร่างที่ดูเหมือนจะไร้วิญญาณของลีชาท่ามกลางนิมิตเดิมๆ ที่ตามหลอกหลอนเขา

ครั้นตื่นมาเป็นครั้งที่สามหรือสี่ของคืนนั้น อาเมียร์ก็พบว่าไร้ประโยชน์ที่จะนอนต่อไป และลุกไปทำงานเสียแต่เช้า ถึง ‘พ่อ’ จะไม่ทักหรือแสดงท่าทางว่าตื่นแล้วเพราะเสียงของเขา...เด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าท่านคงลำบากไม่น้อยกับการนอนข้างๆ คนที่นอนกระสับกระส่ายอย่างเขา ในเมื่อแม่ต้องย้ายไปนอนที่ห้องของเขาแทนเพื่อดูแลผู้ป่วยกะทันหันในบ้าน

การให้อาหารพวกสัตว์ในคอกช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้บ้างว่าชีวิตกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง...แต่ก็รู้ว่าเขาเพียงหลอกตนเองไปเท่านั้นเมื่อแม่ตักน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยหนึ่ง วางบนถาดพร้อมกับถ้วยยาแล้วก็ตรงไปที่ห้องของเขา ขลุกอยู่ในนั้นขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวรับประทานอาหารเช้ากันไปก่อน

สายวันนี้เป็นงานศพของชาวบ้านสามคนที่ตายไปเมื่อวาน...รวมทั้งเกล็น อย่างน้อย ‘พ่อ’ กับอาเมียร์ก็ต้องเข้าร่วม ทั้งสองเปลี่ยนจากเสื้อผ้าทำงานธรรมดาเป็นชุดสีดำสำหรับงานศพ แล้วออกมาในห้องกลางพอดีกับที่แม่ออกมาบอก

“เดี๋ยวลีชาจะไปด้วย ทั้งสองคนรอหน่อยนะ”

แม่ค้นเสื้อผ้าสีดำของท่านในห้องนอน ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องที่อาเมียร์ต้องยกให้ลีชา...อย่างน้อยก็หวังว่าแค่ชั่วคราว ทั้งสองรออยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งแม่พยุงเด็กสาวที่ก้าวซวนเซออกมา

เด็กหนุ่มแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นลีชาอีกครั้ง แม่เช็ดตัวสระผมให้เธอจนสะอาดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่นั่นก็ไม่อาจลบรอยแผลฟกช้ำที่โผล่พ้นเสื้อผ้าสีดำซึ่งดูหลวมโพรกบนร่างบอบบาง และไม่อาจล้างแผลแตกที่มุมปาก กับสีหน้าที่เขาบรรยายได้ใกล้เคียงที่สุดว่าเหมือนหน้ากากอันไร้อารมณ์ไปจากเธอได้

ลีชาหันไปมองแม่ สั่นศีรษะแล้วก็ปล่อยมือเหมือนจะบอกว่าไม่ต้องประคอง แต่แล้วเธอก็เซถลาจนมือต้องรีบคว้าพนักเก้าอี้เอาไว้

“ให้ข้าช่วยไหม” อาเมียร์ปราดเข้าไปกระซิบเบาๆ

เด็กสาวยังคงสั่นศีรษะ แต่ก็ไม่ขยับหลบเมื่อเขายกแขนของเธอมาพาดที่ไหล่ของตน ‘พ่อ’ เหลือบมองทั้งสองอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเดินนำไปที่ประตู

“รีบไปกันเถอะ”

และด้วยสภาพนี้เอง...ที่ทั้งสามเดินทางมาถึงสุสานของหมู่บ้าน ข้างๆ อารามหลังเล็กที่มีนักบวชประจำอยู่เพียงคนเดียว

* * *

สายตาของชาวบ้านที่มางานศพดูเหมือนจะเลื่อนมาทางทั้งสามคนเป็นตาเดียวครู่หนึ่ง แล้วก็เลื่อนกลับไปโดยไม่มองอีกตรงๆ

ไม่สิ...ไม่ใช่สายตาที่มองทั้งสาม อาเมียร์สังเกตในครู่ต่อมาว่าพวกชาวบ้านยังมองและพูดคุยกับ ‘พ่อ’ เป็นปกติ มีแต่เขากับลีชาที่ถูกเหลือบมองในครู่ที่คนมองคิดว่าทั้งสองจะไม่สังเกต ซ้ำบางคนหันไปมองแล้วยังกระซิบอะไรกันเบาๆ

...ทว่าในที่สุด...เขาก็พบว่าพวกนั้นลอบมองและลอบซุบซิบถึงแต่เพียงลีชาคนเดียวเท่านั้น...

เด็กหนุ่มได้แต่รักษาท่าทีให้นิ่งไว้เมื่อนึกอย่างร้อนรนว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เขารู้ว่าที่นี่ไม่มีธรรมเนียมฆ่าฟันหญิงที่ถูกข่มเหงเพื่อกอบกู้เกียรติยศของใคร แต่ก็พอเข้าใจว่าเด็กสาวจะถูกมองอย่างไรหลังจากเหตุการณ์นั้น...

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ...มันก็บ้าไปแล้ว!

อาเมียร์ต้องข่มใจที่เริ่มคุกรุ่นจนกระทั่งนักบวชมาสวดส่งวิญญาณ ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกๆ คนดูจะนิ่งสงบไม่วอกแวกได้ครู่หนึ่ง แล้วจึงถึงเวลาของการอำลาศพ

พ่อของเกล็นทิ้งดอกไม้บนโลงศพเรียบๆ ที่ต่อตามมีตามเกิดเป็นคนแรก ตามมาด้วยแม่ของเกล็นที่อุ้มหลานชายอยู่

อาเมียร์พยุงลีชาหมายจะให้เธอหยิบดอกไม้จากตะกร้าของสัปเหร่อที่เข้ามาช่วยในพิธี และมอบให้สามีผู้ล่วงลับเป็นคนต่อไป แต่แล้ว...

“ไม่เป็นไรหรอก ลีชา ข้าว่าเกล็นรู้ล่ะว่าเจ้าจะบอกเขาว่าอย่างไร” คนพูดคือแม่ของเกล็นที่ยิ้มฝืดเฝือ

เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายชะงัก

“แต่ว่า...”

“ตามธรรมเนียม นางไม่ต้องมอบดอกไม้ให้ศพก็ได้” สัปเหร่อพูดขึ้นอย่างลำบากใจ

ไม่ต้อง...จริงๆ แล้วคือไม่อนุญาตน่ะสิ!

“แต่ลีชาเป็นภรรยาของเกล็นนะ” อาเมียร์ย้ำเสียงแข็ง

“ก็ใช่ แต่...” หญิงวัยกลางคนยังปั้นยิ้มต่อไป “ถ้าจะส่งวิญญาณของเกล็นให้ไปสู่สุคติ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพิธีก็ไม่ควรมีสิ่งแปดเปื้อนใดๆ ลีชาน่าจะเข้าใจเรื่องนี้นะ ไม่ขัดข้องใช่ไหมลีชา”

คนถูกถามเพียงผงกศีรษะเรียบๆ แล้วก็ก้มหน้าไม่มองใครตามเดิม

เด็กหนุ่มอดกระซิบกับเธอไม่ได้

“ลีชา เจ้าอยากไว้อาลัยเกล็นไม่ใช่หรือถึงได้มาที่นี่ด้วย ถ้าเจ้าอยากส่งดอกไม้ให้เขาก็บอกมาเลย ไม่ว่าใครๆ จะพูดอะไร...ข้าก็รู้ว่าเกล็นอยากรับดอกไม้จากเจ้า”

เด็กสาวกลับสั่นศีรษะ...แม้เขาจะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ถูกข่มไว้

“ลีชา...”

อาเมียร์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปถามสัปเหร่อแทน

“แต่ข้าเป็นเพื่อนของเกล็น ข้ามอบดอกไม้ให้เขาได้ใช่ไหมขอรับ”

เมื่อสัปเหร่อพยักหน้า เขาก็คว้าดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่งแล้วก้าวไปที่ปากหลุม

แต่แทนที่จะทิ้งลงไป เขากลับสอดมันไว้ในมือบอบบางของคนที่ตนพยุงอยู่แทน

“นี่เจ้า—!” แม่ของเกล็นร้องเสียงหลง

เด็กสาวสะดุ้งแวบหนึ่งด้วยความตกใจ แล้วก็พยายามส่งดอกไม้คืนให้กับมือของเขา แต่อาเมียร์ก็เพียงปัดเบาๆ ให้ดอกไม้นั้นร่วงลงไปบนโลงศพ

“เจ้าทำอะไรลงไป—!” หญิงวัยกลางคนขึ้นเสียง ยังผลให้เด็กทารกที่นางอุ้มอยู่ร้องไห้จ้าขึ้นมาด้วย “ถ้าเกิดเกล็นไปสู่สุคติไม่ได้...เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร!!”

“เกล็นจะไปสู่สุคติไม่ได้เพราะเขาพบว่าพวกท่านทำกับลีชาอย่างนี้มากกว่า!”
เด็กหนุ่มโต้กลับ

“อาเมียร์” ‘พ่อ’ เรียกเสียงหนักๆ แต่เด็กหนุ่มไม่สนใจฟัง

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ไม่ว่าเรื่องสุดวิสัยอะไรจะเกิดขึ้น ลีชาก็ยังเป็นภรรยาของเกล็น เกล็นรักนางและนางก็รักเขา ท่านจะให้ลูกท่านนอนตายตาไม่หลับเพราะแค่เขาตายไปวันเดียว...พวกท่านก็ตั้งแง่รังเกียจผู้หญิงที่เขารักหรือ!”

“เราไม่ได้ตั้งแง่รังเกียจ” แม่ของเกล็นข่มเสียงให้เรียบขึ้น “แต่ธรรมเนียมของที่นี่เป็นอย่างนี้จริงๆ สิ่งแปดเปื้อนอาจทำให้เกล็นไม่อาจไปสู่สุคติได้ ลีชาก็เข้าใจแล้ว เจ้าจะมาเดือดร้อนอะไรด้วยเล่า”

“แปดเปื้อน...นางไม่ได้แปดเปื้อนหรอก นางแค่ถูกทำร้ายต่างหาก!” อารมณ์ของอาเมียร์ยิ่งพลุ่งขึ้น “นางถูกพวกโจรทำร้ายโดยที่นางไม่ต้องการ นางรอดชีวิตมาได้...แต่ตอนนี้พวกท่านกำลังจะฆ่านางให้ตายด้วยความคิดที่ว่านางกลายเป็นสิ่งแปดเปื้อนแท้ๆ!”

หญิงวัยกลางคนแค่นเสียง

“ถูกพวกโจรทำร้ายโดยที่นางไม่ต้องการแน่หรือ แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ”

เด็กหนุ่มชะงัก รู้สึกได้ว่าร่างที่พิงเขาอยู่เกร็งแข็งขึ้น

“ได้ยินว่าโจรพวกนั้นรู้จักนางดี...ดีขนาดเป็นผัวของนางมาก่อนลูกข้าเสียด้วย เจ้าคิดว่าข้าจะรู้สึกอย่างไรดีล่ะที่ลูกชายไปคว้าผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นเมีย...เป็นแม่ของหลานข้า แล้วถึงมารู้ทีหลังว่านางเป็นผู้หญิงหากินชั้นต่ำอย่างนี้!”

ลีชาหลุดเสียงสะอื้นออกมา ร่างบอบบางของเธอเริ่มสั่นเทา...สะท้านมาถึงร่างของเขา

“ลูกข้าตายเพราะปกป้องมัน...ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ผู้หญิงขายตัวข้างถนน ให้มันตายเป็นสิบเป็นร้อยครั้งยังชดใช้ชีวิตของลูกข้าไม่ได้เลย!!”

“หยุดนะ—!!” อาเมียร์ตวาด...ขณะที่เด็กสาวในอ้อมแขนของเขาร้องไห้โฮอย่างควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป

อารมณ์ของเขาเดือดพล่าน...เดือดจนกระทั่งคิดไปว่าหากคนที่กล่าววาจาเช่นนี้ไม่ใช่ผู้หญิงและแม่ของเกล็น เขาก็คงจะเหวี่ยงหมัดประเคนให้หัวร้างข้างแตกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“อาเมียร์!” ‘พ่อ’ ถลันเข้ามาขวางหน้าเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าพาลีชากลับบ้านไปก่อน”

“แต่ว่า...”

“ลีชาได้มอบดอกไม้ให้เกล็นแล้ว หรือเจ้าต้องทำให้งานศพล่มไปเสียเลยจะได้พอใจ” ‘พ่อ’ พูดห้วนๆ แล้วก็หันไปทางพ่อแม่ของคนตายบ้าง “พวกท่านก็เหมือนกัน จะทำอะไรก็หัดเกรงใจวิญญาณของลูกเสียบ้าง ข้าไม่นึกเลยว่าลูกผู้ชายที่ใจกว้างและกล้าหาญขนาดนี้จะเกิดจากคนใจคอคับแคบได้”

“แม่...พอเถอะ” พ่อของเกล็นกระซิบเบาๆ ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “เกล็นไม่อยากให้เราทำอย่างนี้หรอก ลีชาเป็นแม่ของก็อธฟรีด์นะ”

อาเมียร์เบือนหนีสีหน้าที่ดูเหมือนจะไม่อยากยอมแพ้ของคู่กรณี แล้วก็ประคองเด็กสาวที่สะอึกสะอื้นฝ่าผู้เข้าร่วมงานศพซึ่งแหวกทางให้อย่างเงียบๆ ออกไปจากบริเวณนั้น แม้ในขณะที่เสียงของอีกฝ่ายยังดังไล่หลัง...

“เพราะนั่นล่ะข้าถึงอยากถนอมน้ำใจนางบ้าง...ใครทำให้ข้าเหลืออดเองก็คงรู้อยู่แก่ใจ! ข้าขอบอกไว้ตอนนี้เลยแล้วกันว่าก็อธฟรีด์ต้องอยู่กับพวกเรา! หัวเด็ดตีนขาดข้าก็ไม่ยอมให้หลานข้าต้องโดนเลี้ยงโดยผู้หญิงพรรค์นี้ ไม่อยากให้แกรู้ด้วยซ้ำว่าแม่เป็นผู้หญิงเลว เที่ยวนอนกับใครๆ ไปทั่วแม้แต่โจรนับสิบคนพร้อมกันเป็นอันขาด!”

* * *

ลีชาร้องไห้เงียบๆ ไปตลอดทางที่แทบว่างเปล่ากลับสู่บ้าน ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามปลอบอย่างไรก็ตาม

“อย่าใส่ใจเลย มันก็แค่คำพูดของคนใจแคบ เกล็นเป็นคนดีถึงขนาดนั้น...หากเจ้าไม่ใช่คนดีเหมือนกัน เขาก็คงไม่รักเจ้าหรอก”

เด็กสาวเอาแต่สั่นศีรษะโดยไม่พูดอะไร

“ลีชา...มันไม่ใช่ความผิดของเจ้า...ทุกๆ เรื่องเลย เจ้าถูกบังคับ...เจ้าไม่มีทางเลือกไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหน้านั้นหรือเรื่องตอนนี้ก็เถอะ”

เขาประหลาดใจมาก...เมื่อพอพูดมาถึงจุดนี้ ลีชาก็สะบัดตัวให้หลุดจากแขนของเขา แม้ว่าตนเองจะเซถลาไปยังรั้วด้านหนึ่ง

“ลีชา!”

เธอใช้รั้วเป็นหลักพยุงกาย แล้วก็พยายามยืดร่างขึ้นสบตากับเขาด้วยดวงตาช้ำแดง ริมฝีปากขยับโดยไร้เสียง

“พูดดังหน่อยสิ ข้าไม่ได้ยิน”

เด็กสาวยังเอาแต่ขยับริมฝีปาก...โดยไม่ออกเสียงใดๆ เช่นเดิม

อาเมียร์ใจร่วงวูบเมื่อเริ่มตระหนักได้

“เจ้า...พูดไม่ได้หรือ”

ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาช่วยเธอออกมาได้ ลีชาก็ไม่เคยปริปากเอ่ยอะไรสักคำ กระทั่งเวลาร้องไห้ก็มีเพียงเสียงสะอื้นในลำคอเท่านั้น

“พวกมัน...พวกมันทำร้ายเจ้าถึงขนาดนี้เชียวหรือ!”

เด็กหนุ่มตรงเข้าไปหมายจะประคอง แต่เด็กสาวก็ยกมือขึ้นปัดอย่างป้อแป้ จนเขาต้องเป็นฝ่ายถอยออกห่าง

ริมฝีปากของอีกฝ่ายขยับช้าๆ

“ทำ...ไม...” พอตั้งสติได้ อาเมียร์ก็ค่อยๆ อ่านคำที่เขาเห็นตามรูปปาก “ทำไม...เกล็น...ถึง...บอก...เจ้า”

...เขาสัญญาไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่บอกใคร แล้วทำไมเจ้าถึงรู้...

“เกล็น...เขาไว้ใจข้า” เด็กหนุ่มให้เหตุผล “เขาเชื่อว่าข้าจะเข้าใจ...แล้วก็ยอมรับเรื่องของเจ้าได้ เขาเพิ่งบอกข้าเมื่อวันก่อนที่พวกโจรจะมานี่เอง เขาพูดเหมือนจะฝากให้ข้าดูแลเจ้ากับก็อธฟรีด์ ถ้าเจ้าอยากอยู่กับก็อธฟรีด์...ข้าก็จะเอาแกมาคืนให้เจ้าให้ได้”

ลีชายังคงสั่นศีรษะ

...ไม่...

“ทำไมล่ะ! เจ้าไม่อยากอยู่กับลูกหรือ!”

...ข้า...เป็น...ผู้หญิงเลว...

“เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเลวหรอก เจ้าแค่ตกเป็นเหยื่อ...เหยื่อของพวกที่พยายามทำให้เจ้าเชื่อว่าเจ้าอ่อนแอ...เจ้าไม่มีค่า แต่ถ้าเจ้าสู้...เจ้าก็จะผ่านพ้นมันไปได้ แม่เคยบอกข้าว่าอย่างนี้”

เด็กสาวก้มหน้าลง ได้แต่โคลงศีรษะเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาไม่อาจเห็นปากของเธอได้

“ลีชา...”

เธอห่อตัวกอดเข่าไว้ แล้วก็ร้องไห้โดยไร้เสียงอยู่อีกครู่หนึ่ง ร้องไห้จนลมหายใจขาดเป็นห้วงๆ แม้จะไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา และร่างของเธอกระตุกโยนไปมาเหมือนจะเริ่มชัก

อาเมียร์รีบใช้ผ้าผูกผมของตนพันห่อกิ่งไม้ที่เขาเก็บจากแถวนั้นสอดเข้าปากเพื่อกันเธอกัดลิ้น แล้วจึงคว้าร่างของเธอขึ้นอุ้มก่อนจะวิ่งกลับบ้านโดยเร็ว

* * *

“นางคงจะเครียดมากน่ะจ้ะ” แม่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังจากออกมาจากห้องของคนป่วย “แล้วก็พักผ่อนน้อยด้วย อันที่จริงไม่ควรให้นางออกไปเดินเหินเร็วขนาดนี้เลย แต่เรื่องที่พูดไม่ได้นี่คงเป็นเพราะกระทบกระเทือนทางใจมากกว่า เพราะที่คอของนางไม่มีแผลอะไร”

อาเมียร์นั่งประสานมือไว้บนโต๊ะ ทอดสายตาเลื่อนลอยไปตามริ้วรอยบนเนื้อไม้โดยไม่มีเหตุผลใดๆ

“เกิดอะไรขึ้นที่งานศพหรือ” แม่ถามพลางรินน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่ง

“แม่รอถาม ‘พ่อ’ ดีกว่า”

พูดเพียงเท่านี้ แม่ก็ย่อมรู้แล้วว่าเขาไม่อยากเล่า จึงได้ไม่ซักต่อ และเปลี่ยนไปพูดอย่างอื่นแทน

“ลูกเหนื่อยหรือเปล่า จะนอนพักก่อนไหม”

“ไม่ล่ะ ข้าไม่ง่วง”

สมองของเขาจดจ่อกับความคิดที่ว่าแม่ของเกล็นรู้ประวัติของลีชาได้อย่างไรกัน นางบอกว่าพวกโจรเคยพบเธอมาก่อนในอดีต แต่ในเมื่อโจรทุกคนถูกพวกชาวบ้านฆ่าตายคารังไปจนหมด ในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะไปโพนทะนาให้ใครฟังได้ก่อนหน้านั้น ก็แสดงว่า...

อาเมียร์กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ

...ใครคนหนึ่งในพวกเชลยเป็นคนบอกหรือ...

แต่พวกนั้นจะมีเหตุผลอะไร เพียงเท่านี้...เพียงเห็นสภาพอันบอบช้ำน่าเวทนาอยู่คนเดียวของลีชา เขาก็รู้สึกเหมือนใครก็ตามที่นำเรื่องนี้ไปบอกต่อไม่สมควรจะเป็นคนอยู่อีกต่อไปแล้ว

เสียงเคาะประตูทำให้เขาประหลาดใจขึ้นมา

แม่เป็นผู้ตรงไปเปิด ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูคือเด็กสาวคนหนึ่งในหมู่บ้าน...เด็กสาวที่อาเมียร์จำได้ว่าถูกจับตัวไปด้วย

“มีอะไรหรือจ๊ะ”

“คือ...ข้า...” เธอพูดตะกุกตะกักเหมือนกำลังประหม่า แล้วสายตาก็มาหยุดที่เขาซึ่งนั่งอยู่ “ข้า...จะมาขอบคุณ...เอ่อ...คนที่ช่วยข้าไว้ค่ะ”

“อ้อ” แม่รับเบาๆ แล้วก็หลีกทางให้ “เข้ามาสิจ๊ะ ดื่มชาหน่อยไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว”

“เจ้าบอกข้าทีได้ไหม” เด็กหนุ่มรีบพูดขึ้นมาจนอีกฝ่ายงุนงง

“บอก?”

“ทำไมลีชาถึงเป็นอย่างนี้ แม่ของเกล็นรู้เรื่อง...อดีตของนางได้อย่างไร”

เด็กสาวมีสีหน้ากระอักกระอ่วน มองแม่ของเขาซึ่งเธอดูจะไม่แน่ใจว่าควรให้รับรู้เรื่องราวนี้ไหม บวกกับน้องสาวของเขาอีกสองคนที่นั่งเล่นอยู่ในมุมหนึ่งของห้องด้วย

“เราออกไปพูดกันข้างนอกก็ได้” อาเมียร์ลุกจากโต๊ะ แล้วก็เดินนำออกไปโดยไม่รอให้คู่สนทนาปฏิเสธ

* * *

“พวกโจร...” เด็กสาวเริ่มพูดอย่างลังเลเมื่อทั้งสองมายืนอยู่ด้วยกันใต้ร่มไม้หน้าบ้านของเขา “...พวกมันโกรธมากที่มีคนฆ่าพวกมันตายไปเยอะขนาดนั้น ครั้งนี้พวกมันพูดกันว่าจะไม่เรียกค่าไถ่ แต่จะขายพวกเราในตลาดค้าทาสเลย พวกมันจับพวกเราไปขังไว้ในถ้ำนั้น แล้วจู่ๆ คนหนึ่งก็เข้ามา...”

เธอกลืนน้ำลายฝืดๆ ด้วยสีหน้าเหมือนกับจะสะอื้น

“มัน...มันจะเอาตัวข้าไป นางเข้ามาขวาง บอกว่าถ้าจะทำอะไรข้า...ก็ให้มาลงกับนางดีกว่า เพราะ...ถึงอย่างไรสามีของนางก็ตายไปแล้ว ปรากฏว่าโจรคนนั้นเคยพบนางมาก่อน...มันบอกว่านางเป็นผู้หญิงขายตัวในเมืองที่มันเคยไป มันกับเพื่อนๆ จำนางได้ เพราะ...” เด็กสาวกลืนน้ำลายอีกครั้ง “...อย่า...อย่าให้ข้าต้องพูดเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก เล่าต่อแค่ให้ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็พอ” อาเมียร์บอก

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“มันกลับไปพาเพื่อนๆ เข้ามา แล้วก็...ท้านาง...” เด็กสาวยกมือขึ้นซับน้ำตา “...พวกมันท้าว่า...ถ้านางรับพวกมันได้หมด...มันก็จะไม่แตะต้องใครในหมู่พวกเราอีก...”

อาเมียร์กัดฟันกรอด กำมือทุบลำต้นไม้ไปทีหนึ่ง

“สัตว์!”

เด็กสาวสะดุ้งเฮือก แล้วก็เอ่ยละล่ำละลัก

“...ข้า...ข้าก็สงสารนาง...ข้าอยากให้พวกมันเลิกทำร้ายนาง...แต่ข้าพูดไม่ได้...พวกมันบอกว่าถ้าใครพูดอะไรขึ้นมา...พวกมันจะปล่อยนาง...แต่เปลี่ยนไปทำร้ายคนคนนั้นแทน...ข้ากลัว...ทุกๆ คนก็กลัวกันทั้งนั้น...แต่...แต่นางก็เคยทำอย่างนี้มาก่อน...นางคงไม่เจ็บปวดมากใช่ไหม”

“ไม่เจ็บปวด...เรื่องแบบนั้นเจ้าคิดว่าไม่เจ็บปวดหรือ!” เด็กหนุ่มกลั้นเสียงอย่างยากเย็นไม่ให้กลายเป็นตวาด “ใช่...ข้ารู้ว่าใครๆ ก็กลัวได้ ใครๆ ก็ไม่อยากถูกทำร้าย แต่ถ้าใครก็ที่ตามรอดมาเพราะนางแท้ๆ กลับเอาอดีตของนางไปประจานคนอื่นอีกต่อ...ไอ้คนนั้นก็ไม่สมควรได้รับการช่วยเหลือแล้ว!”

อีกฝ่ายรีบสั่นศีรษะ

“ไม่ใช่ข้านะ...ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น ข้าบอกพ่อแม่ด้วยซ้ำว่านางเป็นคนช่วยข้าให้รอดมาได้...” เด็กสาวรีบพูด “นี่ข้าก็จะมาฝากเจ้าขอบคุณนางที่ช่วยพวกเราไว้...แล้วก็...ขอโทษที่ทำให้นางต้องเดือดร้อน...แต่...”

อาเมียร์ตัดสินใจพูดขึ้นเมื่อเด็กสาวเงียบไป

“ตอนนี้ลีชานอนพักอยู่ เจ้ามาพูดกับนางทีหลังเถอะนะ”

ผู้ฟังยังเงียบไปอีกครู่ ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา

“อาเมียร์จะบอกนางแทนข้าได้ไหม”

“ทำไมล่ะ”

“ข้า...ข้ากลัว”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป

“ข้ากลัว...กลัวว่าถ้านางเห็นข้าแล้วจะรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับนางตรงๆ ดี เจ้าช่วยบอกนางแทนข้าเถอะ”

“ไม่ได้” เขาตอบทันควันจนได้รับสีหน้าตัดพ้อจากอีกฝ่าย ซึ่งทำให้ต้องอธิบายต่อไป “ข้าไปพูดก็ไม่มีค่าเท่ากับที่เจ้าพูดกับนางเอง นางอุตส่าห์ทำเพื่อพวกเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าเห็นพวกเจ้าปลอดภัยดี...แล้วต้องการจะขอบคุณนางจริงๆ นางน่าจะสบายใจขึ้นเสียอีก”

เด็กสาวค่อยๆ พยักหน้าในที่สุด

“ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะมาใหม่วันหลังนะ”

“แล้วไปบอกคนอื่นๆ ด้วยล่ะ” อาเมียร์ตัดสินใจเอ่ย “บอกคนอื่นๆ ที่รอดมาเหมือนกับเจ้า ว่าถ้าอยากขอบคุณหรือขอโทษนางจริงๆ ก็ให้มาเลย โดยเฉพาะคนที่...”

“คนที่...” เธอทวนคำอย่างสงสัย

“คนที่เอาเรื่องอดีตของลีชาไปพูดกับแม่ของเกล็น หรือพูดกับใครก็ตามจนมาเข้าหูนาง” เสียงของเด็กหนุ่มเริ่มเยียบเย็นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ “บอกให้คนคนนั้นมาคุกเข่าขอโทษนางเสีย ข้าไม่อยากสาปแช่งใครให้ต้องประสบเคราะห์กรรมมากไปกว่าลีชา...โดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นเป็นผู้หญิง”

จากนั้น...อาเมียร์ก็ขอตัวกลับเข้าไป ทิ้งเด็กสาวให้ยืนนิ่งอึ้งอยู่เพียงลำพังใต้ต้นไม้หน้าบ้านของเขา

* * *

เด็กสาวไม่ได้เยี่ยมหน้ากลับมาที่บ้านของเขาในวันต่อมา

ที่มาแทนคือพ่อของเกล็นซึ่งนำห่อผ้าใส่ข้าวของส่วนตัวของลีชามาส่งที่นี่อย่างลำบากใจ เป็นคำประกาศทางอ้อมว่าบ้านนั้นไม่ได้ต้อนรับเด็กสาวในฐานะสะใภ้อีกต่อไปแล้ว

อาเมียร์หัวเสียอย่างบอกไม่ถูกเมื่อกลับมาเห็นห่อของนั้นหลังเสร็จงานในไร่ อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางพอที่จะไม่มาตอนที่เขากับ ‘พ่อ’ ยังอยู่ในบ้าน

“เอาเถอะ” แม่พยายามปรามเขา “ถ้าทางนั้นไม่เต็มใจจะต้อนรับลีชา ให้นางกลับไปอาจจะแย่ยิ่งกว่าก็ได้”

“แต่ก็อธฟรีด์ล่ะแม่ พรากลูกพรากแม่อย่างนี้มันถูกต้องเสียที่ไหน”

“แม่ก็รู้จ้ะว่าไม่ถูกต้อง” แม่ยังพูดอย่างใจเย็น “ถ้าลีชาอยากพาแกไปด้วย นางก็ควรมีสิทธิ์ทำอย่างนั้น แต่เท่าที่เห็นตอนนี้...แม่คิดว่าถึงนางจะอยากอยู่กับก็อธฟรีด์ นางก็คงไม่เอ่ยปากหรอก ตอนนี้นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหน จะทำอะไรหาเลี้ยงตัวเองได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องให้นางไปไหนหรอก” เด็กหนุ่มตอบทันควัน “ให้นางอยู่ที่นี่...อยู่กับพวกเรานี่แหละ”

“แม่ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น” แม่ตอบ แม้ว่าสีหน้าจะฉายความกังวล “อย่างน้อยก็จนกว่านางจะหาที่ไปที่ดีกว่านี้ได้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า...ว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร”

อาเมียร์นิ่งคิดเพียงครู่เดียว

“ถ้านางตกลง ข้าจะแต่งงานกับนางก็ได้”

“อาเมียร์!” แม่เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างตกใจ

“ข้าพูดจริง ข้าเห็นใจนาง แล้วก็ยอมรับนางได้ ข้ารู้ว่าแม่กับ ‘พ่อ’ ก็ยอมรับนางได้เหมือนกัน”

“แล้วลูกรักนางหรือ” แม่ติงได้ถูกจุดจนใจของเขาแปลบวาบ “ใช่...พวกเรายอมรับนางได้ แต่ถ้าแต่งงานกันโดยไม่ได้รักกันเลยก็รังแต่จะเป็นทุกข์กันทั้งสองฝ่ายเท่านั้น”

เด็กหนุ่มเร่งหาเหตุผลมาตอบ

“อยู่กันไปก็ค่อยๆ รักกันได้นี่แม่”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” แม่ตอบเสียงแข็ง “ตราบใดที่ลูกยังคิดอย่างนี้อยู่ ลูกก็ยังเด็กเกินกว่าจะแต่งงาน...หรือกระทั่งมีความรักเสียด้วยซ้ำ”

อาเมียร์กะพริบตาปริบๆ เมื่อแม่แสดงท่าทางคัดค้านอย่างชัดเจนขนาดนี้

“เอาเถอะ แม่ยังพอมีวิธีให้ลีชาอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ นั่นล่ะ” แม่กลับมาพูดเสียงเรียบอีกครั้ง “แต่ลูกอย่าไปพูดเรื่องแต่งงานกับลีชาเด็ดขาด หากไม่ได้รักนางจริงๆ”

“ข้ารู้แล้ว” เด็กหนุ่มได้แต่รับเรียบๆ

* * *

วิธีที่แม่ว่าคือการบอกให้ลีชาอยู่ช่วยงานบ้านและดูแลเด็กๆ ที่นี่ โดยอ้างกำหนดคลอดของแม่ที่ใกล้เข้ามาทุกที และลีชาก็ตอบตกลงอย่างเรียบเฉยด้วยการผงกศีรษะเพียงครั้งเดียว

เมื่อแต่ละวันผ่านไปเป็นสัปดาห์ ก็ดูเหมือนใครๆ จะยอมรับการเปลี่ยนที่อยู่ของลีชาได้โดยไม่ต้องซักถามคนในบ้านของซิอ์บุลให้ระคายหูอีก ส่วนเด็กสาวก็พอลุกขึ้นมาช่วยงานในบ้านจำพวกเลี้ยงเด็ก ทำอาหาร ทำความสะอาด เก็บล้างจานชามได้บ้าง แม้จะไม่กล้าออกไปหน้าบ้าน หรือเดินไปไกลกว่าแปลงผักสวนครัวหลังบ้านก็ตาม

แต่อาเมียร์พบว่าตนไม่อาจอยู่เฉย...ในเมื่อไม่มีใครมาขอบคุณลีชาสำหรับสิ่งที่เธอทำลงไปเลย เด็กสาวที่มาในวันก่อนก็ดูเหมือนจะหลบหน้าเขาแทนเสียด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มอดพูดลอยๆ ไม่ได้เวลามีคนที่เคยถูกพวกโจรจับตัวไป หรือญาติของพวกนั้นอยู่ใกล้ๆ

“เวลาพืชผลดี ใครๆ ก็ขอบคุณฝนฟ้า บวงสรวงเทพีแห่งไร่นากันยกใหญ่ น่าแปลกที่เวลาคนด้วยกันช่วยเหลือจนตัวเองลำบากขนาดนั้นกลับไม่มีใครเห็นหัว”

นั่นคงเป็นเหตุให้ชาวบ้านบางส่วนเริ่มเงียบกับเขาหากไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันจริงๆ ไปด้วย...แม้นั่นจะไม่ได้ก่อความเดือดร้อนใจให้เด็กหนุ่มแต่ประการใด

คนที่เดือดร้อนเห็นจะเป็น ‘พ่อ’ ของเขามากกว่า

“เพื่อให้พวกนั้นมาขอบคุณกับขอโทษลีชา เจ้าคิดว่าทำตัวเองให้พวกเขารำคาญจะได้ผลหรือ”

“จะได้ผลหรือไม่ได้ก็ไม่รู้ล่ะ แต่ข้าสุดจะทนแล้วจริงๆ” เด็กหนุ่มตอบ

‘พ่อ’ ถึงกับโคลงศีรษะ

“ถ้าทำอะไรโดยไม่คิดถึงผลมาก่อน สักแต่เอาความสะใจของตัวเป็นที่ตั้งก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ผล”

“แล้ว ‘พ่อ’ ไม่อยากให้ลีชาได้รับคำขอบคุณหรือขอโทษที่นางสมควรได้รับหรือ” อาเมียร์ย้อน

“อยาก”

“ถ้าอยากแล้วทำไมถึงอยู่เฉย ทำไมไม่บอกให้พวกเขามาขอบคุณกับขอโทษนางเล่า!”

“เจ้าก็บอกแทนแล้วนี่” ‘พ่อ’ ย้อน “พูดซ้ำอยู่ทุกวัน ทุกโอกาสเสียด้วย”

“แต่เสียงของข้ามีค่าเท่า ‘พ่อ’ เสียที่ไหน” เด็กหนุ่มแย้ง “พวกคนหนุ่มๆ มาขอเรียนอาวุธกับ ‘พ่อ’ ตั้งเยอะแยะ...แล้วพ่อก็สอนเขา ทำไมพ่อไม่ฝากบอกพวกเขาให้คนอื่นๆ มาขอบคุณกับขอโทษลีชาบ้าง”

“อาเมียร์” ‘พ่อ’ พูดเสียงหนักๆ “ต่อให้ ‘พ่อ’ หรือแม่ไปบังคับขู่เข็ญให้หัวหน้าหมู่บ้านเรียกชาวบ้านทุกคนมารวมตัวคุกเข่าขอโทษลีชา รวมทั้งแม่ของเกล็นด้วย มันก็ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้นถ้าคำพูดของพวกเขาไม่ได้มาจากใจจริง ถ้าเป็นเจ้า...เจ้าจะอยากรับคำขอโทษกับขอบคุณที่ได้มาจากการบังคับไหมล่ะ”

“แต่ว่า...”

“ลีชาอาจจะไม่อยากได้รับของพวกนี้ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ดึงดันจะหามาให้นางให้ได้ เพราะคิดเองเออเองว่านางจะสบายใจขึ้นถ้าได้รับ การยัดเยียดความหวังดีให้อีกฝ่ายโดยไม่คิดว่าเขาต้องการจริงๆ หรือเปล่ามันไม่ต่างอะไรจากการทำร้ายเขาหรอก ยิ่งเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนาง ทำตัวให้ชาวบ้านเขารำคาญเพราะเรื่องของนาง พวกเขาอาจจะพาลมารำคาญนางด้วยก็ได้ไม่ใช่หรือ”

“ถ้าพวกนั้นจะรำคาญข้า ข้าก็ไม่สนหรอก แต่ลองมารำคาญลีชาสิ ข้าไม่อยู่เฉยอีกต่อไปแน่!”

‘พ่อ’ เงียบไปเมื่อเขาพูดเช่นนั้น แล้วก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ โดยไม่พูดอะไรอีก

* * *

สงครามเย็นระหว่างอาเมียร์กับพวกชาวบ้านดูจะดำเนินไปพักหนึ่ง จนกระทั่งถึงวันที่มีฝ่ายสิ้นความอดทนก่อนในที่สุด...

ล่วงเข้าสัปดาห์ที่สองที่ลีชาอยู่กับบ้านของซิอ์บุล ญาติๆ ของเหล่าผู้หญิงที่ถูกจับตัวไปก็มาที่บ้านหลังนี้

เคราะห์ร้าย...ที่ซิอ์บุลกับสิมาออกไปทำธุระข้างนอกในตอนนั้น และอาเมียร์เป็นผู้เปิดประตูรับพวกเขาพอดี

“ลูกสาวข้าฝากให้ข้ามาขอโทษกับขอบคุณลีชา” ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้เคาะประตูตอบ

“แล้วทำไมลูกสาวท่านไม่มาเอง”

“นาง...” เขาเริ่มอึกอัก “เจ้าก็รู้ธรรมเนียมของที่นี่ไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่ได้เกิดที่นี่ จะไปรู้ธรรมเนียมทุกอย่างของพวกท่านได้อย่างไร”

ชายวัยกลางคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบาๆ

“ผู้หญิงบริสุทธิ์ไม่ควรข้องแวะกับ...สิ่งแปดเปื้อน มันเป็นลางไม่ดีกับชีวิตของพวกนางในอนาคต เจ้าเข้าใจแล้วสินะว่าทำไมพวกนางถึงไม่สามารถมาพูดกับลีชาตรงๆ”

“อ้อ” เด็กหนุ่มรับอย่างเฉยชา ผิดกับอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งขึ้น “ข้าเพิ่งรู้ว่าพวกท่านมีธรรมเนียมอย่างนี้ด้วย”

“มันไม่ใช่ความผิดของลีชา เรื่องนี้ใครๆ ก็เข้าใจ อันที่จริงนางเป็นคนกล้าที่เสียสละตนเองช่วยปกป้องคนอื่นๆ ไว้ด้วยซ้ำ พวกเราเลยมาขอบคุณนางแทนเด็กๆ พวกนั้น เจ้าช่วยบอกลีชา แล้วก็รับของตอบแทนจากพวกเราไว้ให้นางด้วยเถอะนะ”

อาเมียร์เพียงกวาดมองชาวบ้านคนอื่นๆ ที่มาพร้อมกับกล่องไม้ ม้วนผ้า และข้าวของที่ดูเหมือนบรรณาการตามมีตามเกิดของบ้านไร่อย่างพิกล

“พวกท่านบอกนางเอง ให้นางเองกับมือเถอะ”

ว่าแล้วเขาก็ปิดประตู หันไปทางเด็กสาวที่กำลังนั่งดูเด็กหญิงทั้งสองคนเล่นตุ๊กตากัน เธอเงยมองเขาเหมือนพอจะรู้ว่าเรื่องที่หน้าประตูนั้นเกี่ยวข้องกับตน

“ญาติๆ ของพวกผู้หญิงที่เจ้าช่วยไว้เอาข้าวของมาขอบคุณเจ้า เจ้าจะออกไปรับไหม”

แววตาของลีชากลับหวาดหวั่นขึ้น และเธอก็สั่นศีรษะทันควัน

“ถ้าอย่างนั้นให้พวกเขาค่อยๆ เข้ามาพูดกับเจ้าแทนดีไหม”

เธอรีบสั่นศีรษะอีกครั้ง แล้วก็ขยับปากพร้อมกับโบกมือ

...กลับไปเถอะ ไม่เอาของอะไรทั้งนั้น...

เด็กหนุ่มจึงได้กลับไปเปิดประตู แล้วเจรจาต่อ

“ลีชาบอกว่าไม่รับของพวกนี้ พวกท่านเอากลับไปเถอะ”

“แต่ว่า...” ตัวแทนกลุ่มอึกอัก “พวกเราตั้งใจจะมอบของพวกนี้ให้นางจริงๆ เจ้าช่วยเก็บไว้ให้นางทีนะ”

“ถ้าอยากให้นางรับ ท่านก็เข้ามาให้กับมือของนางเองสิ”

“อาเมียร์ พวกเราก็มาขอบคุณนางตามที่เจ้าต้องการแล้ว อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้เลย”

เด็กหนุ่มรู้สึกถึงเพลิงโทสะที่ไหม้โหมขึ้นทันใด

“ได้ ข้าก็ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยาก เพราะฉะนั้นข้าจะพูดกับพวกท่านตรงๆ เลยก็แล้วกัน” เขาก้าวออกมาแล้วปิดประตูลงด้านหลัง กวาดมองทุกๆ คนที่ยืนเรียงรายอยู่หน้าบ้านของตน “ทั้งข้าทั้งลีชาไม่ต้องการข้าวของพวกนี้ เอาไปใช้ตอนงานแต่งลูกสาวที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องของพวกท่านเถอะ เพียงแต่สังวรไว้บ้างว่าลูกสาวของพวกท่านยังบริสุทธิ์อยู่ทุกวันนี้เพราะใคร...ใครสักคนที่ท่านเห็นว่าเป็นสิ่งแปดเปื้อน ทำเหมือนกับนางเป็นซากของตัวอะไรสักอย่างข้างถนน แบบเดียวกับที่ท่านกวาดมองแวบหนึ่งแล้วรู้ว่ามีอยู่...แต่ไม่อยากมองอีกเท่านั้นล่ะ!”

“อาเมียร์—“

“ลีชาไม่ใช่ซากที่ใครๆ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นางยังรู้เรื่อง...ยังฟังคำพูดของพวกท่านออกถึงจะพูดตอบไม่ได้ ถ้าคนที่สมควรมาขอบคุณและขอโทษนางไม่ยอมมาบอกนางด้วยตัวเอง มันก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น! แค่นั้นเองที่ข้าต้องการ พวกท่านไม่เข้าใจหรือ!”

“มันผิดธรรมเนียมของพวกเรา...ข้าก็อธิบายแล้วนี่!”

“ธรรมเนียมที่ไร้เหตุผลแบบนั้นควรยึดถืออยู่อีกหรือ!”

“อาเมียร์!”
ชายอีกคนตวาดขึ้นบ้าง “เจ้าไม่ใช่คนที่นี่ เจ้าจะไปรู้อะไร!”

“ใช่! ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น...นอกจากพวกเจ้ามันขี้ขลาดที่สุด!”
เด็กหนุ่มยิ่งกราดด้วยอารมณ์ “ตอนที่โจรบุกก็แทบไม่มีใครสู้! ถ้าไม่ได้ ‘พ่อ’ ก็คงไม่มีใครกล้าไปช่วยคนที่ถูกจับไปกลับมา! ตอนที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างลีชาถูกข่มเหง...ถูกด่าว่า...ถูกไล่ออกจากบ้าน...ถูกแย่งลูกไปอย่างไม่เป็นธรรม ทุกคนมัวทำอะไรอยู่! ทั้งๆ ที่ลีชายอมเสียสละ...ยอมเจ็บปวด...เพื่อให้ผู้หญิงคนสำคัญของพวกเจ้าไม่ต้องเจ็บปวดอย่างเดียวกับนางแท้ๆ !”

“อาเมียร์—!”
เสียงแทรกมาจาก ‘พ่อ’ ที่กลับมาถึงในจังหวะนั้น “นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

เด็กหนุ่มเพียงสบตากับอีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว

“พ่อคงได้ยินมาแต่ไกลแล้วนี่”

“เจ้าไม่ควรพูดกับพวกเขาอย่างนั้น ขอโทษทุกคนเสีย” ‘พ่อ’ พูดห้วนๆ

“การพูดความจริงไม่ผิดอะไร ข้าไม่มีอะไรต้องขอโทษ” อาเมียร์โต้กลับ “คนพวกนี้ต่างหากที่ต้องขอโทษลีชา!”

‘พ่อ’ จ้องตาเขาเขม็ง น้ำเสียงเริ่มเคร่งขรึมขึ้น

“ขอโทษพวกเขาเดี๋ยวนี้”

“ไม่!”

อาเมียร์บังคับตนเองให้ยืนนิ่งไว้ แม้จะเผลอหลับตาครู่หนึ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงื้อมือขึ้น

“ถึง ‘พ่อ’ ต่อยข้าให้เลือดกบปาก ข้าก็ไม่พูด!”

‘พ่อ’ กัดฟันกรอด แค่นเสียงก่อนจะลดมือลงแล้วหันมาทางพวกชาวบ้าน

...แล้วก็ค้อมศีรษะลง...

“ข้าขอโทษแทนลูกชายด้วย พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะสั่งสอนเขาเอง”

ตัวแทนของกลุ่มชาวบ้านพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกยาว

“สั่งสอนให้ดีๆ ก็แล้วกัน ข้ากลัวว่าไม่นานลูกหัวรั้นของท่านจะคว้าผู้หญิงหากินมาเป็นเมียตามเกล็นเสียอีกคน”

เด็กหนุ่มขยับปากจะพูด พร้อมๆ กับที่เท้าก้าวออกไปหาเจ้าของวาจา แต่ ‘พ่อ’ ก็รีบยึดแขนของเขาบีบไว้แน่น

อาเมียร์จึงได้แต่สบถสาปแช่งพวกชาวบ้านที่ค่อยๆ เก็บข้าวของออกไปจากพื้นที่หน้าบ้านของเขาอยู่ในใจ แล้วก็หมุนตัวกลับไปเปิดประตูเข้าบ้าน ไม่พูดอะไรกับ ‘พ่อ’ อีกขณะที่แม่รีบตรงเข้ามาหาทั้งสอง

นี่น่ะหรือเสด็จอาเนมอสคนนั้น...เสด็จอาเนมอสผู้เก่งกาจและบังคับบัญชาทหารนับแสน เสด็จอาเนมอสที่ควงดาบฟาดฟันทหารศัตรูอย่างไม่เกรงกลัวเพื่อปกป้องอาณาจักรของพวกเขา แต่ยามนี้กลับต้องมาก้มหัวให้พวกคนอ่อนแอ ขี้ขลาด เห็นแก่ตัวพวกนั้น...

เขาเข้าใจผิดไปจริงๆ...หมู่บ้านที่ควรสุขสงบกลับมีโฉมหน้าดำมืดน่าสะอิดสะเอียนหลบเร้นอยู่อย่างคาดไม่ถึง...และอดีตนักรบผู้หาญกล้าก็กลับหลบเลี่ยงเอาตัวรอด...แทนที่จะยึดถือหลักนักรบเช่นที่เคยทำและควรทำ

บทที่ ๕ ย้ายถิ่น

* * *


ส่งท้ายปีด้วยตอนที่เครียดอีกแล้ว แต่ด้วยความหวังว่าความเครียดจะหายไปกับสิ้นปีครับ ^^a อีกสักพักเนื้อเรื่องคงจะเข้าช่วงที่สดใสขึ้นหลังจากบรรดามู้ดเมคเกอร์ออกโรงแล้ว

ผมมองว่าชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนเลวนะครับ แต่ก็เหมือนกับเด็กสาวที่มาเล่าเรื่องให้อาเมียร์ฟังล่ะครับ คือ "กลัว" ถึงไม่ได้รังเกียจลีชา ก็คงเห็นลีชาเป็นอะไรสักอย่างที่แตกต่างจากตัวเอง บางคนอาจสงสารจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อลีชายังไง ซึ่งผมก็มองว่าบางครั้งความกลัวคนที่แตกต่างจากเรา คนที่เราไม่รู้ว่าจะไปสะกิดแผลใจเขาหรือทำให้เขารู้สึกแย่ไปกว่าเดิม มันก็แย่ไปคนละแบบกับความรังเกียจเหยียดหยามล่ะครับ

ส่วนแม่ของเกล็น...รายนั้นต้องบอกว่าไม้แก่ดัดยากแล้วแฮะ

สวัสดีปีใหม่ และขอให้ผู้อ่านทุกๆ ท่านมีความสุขมากๆ ทั้งในปีหน้าและตลอดไปครับ ในช่วงหยุดปีใหม่คิดว่าตอนหน้าน่าจะลงได้เร็วขึ้นครับ :)




 

Create Date : 31 ธันวาคม 2551    
Last Update : 31 ธันวาคม 2551 23:27:10 น.
Counter : 310 Pageviews.  

บทที่ ๓ - การช่วยเหลือ

บทที่ ๓ การช่วยเหลือ


“รวมยี่สิบสี่คน”

“เด็กผู้ชายสาม...ในนั้นเป็นทารกหนึ่งคน เด็กผู้หญิงเจ็ด ผู้หญิงอีกสิบสี่คน”

“ถ้าซิอ์บุลไม่ฆ่าพวกที่บุกไปแถวบ้านเขา แล้วก็ช่วยพวกที่กำลังจะโดนจับตัวไป คงมีเยอะกว่านี้มาก”

อาเมียร์นั่งเงียบ ขณะที่ตัวเลขของผู้ประสบเหตุต่างๆ ถูกแจงเป็นระยะๆ

“คนตายล่ะ”

“สาม”

“ฝ่ายเรา?”

“ใช่ ฝ่ายเรา ศพพวกมันเท่าที่เก็บได้ตอนนี้อยู่ที่...สามสิบเจ็ด”

“สามสิบเจ็ด!”

“ซิอ์บุลจัดการเสียเกือบหมด นอกนั้นรู้สึกอาเมียร์จะฆ่าไปได้คนหนึ่ง แล้วก็เกล็น...แต่ก็...”

“เอาเถอะ” หัวหน้าหมู่บ้านถอนใจ “อย่างน้อยความเสียหายก็ไม่มากเท่าหมู่บ้านอื่นๆ”

หลังคำพูดนั้นดูจะมีเพียงความเงียบ จนกระทั่ง ‘พ่อ’ เป็นฝ่ายตั้งคำถาม

“แล้วพวกเราจะตามไปช่วยคนที่ถูกจับไปเมื่อไร”

“ปกติพวกมันจะตั้งค่าไถ่ของแต่ละคนมา หากรีบหาให้มันได้ก็จะปล่อยตัวกลับ”

“แล้วถ้าหาไม่ได้ล่ะ” ‘พ่อ’ ซักต่อด้วยเสียงที่เคร่งขรึมขึ้น

“ก็...” หัวหน้าหมู่บ้านตอบอย่างลำบากใจ “ไม่ได้กลับมาในสภาพเดิม”

“ถูกฆ่าตายหรือ”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ แต่ปากเอ่ยอีกอย่าง

“ตายทั้งเป็น...ท่านคงเข้าใจ หากรวบรวมค่าไถ่ได้ช้าความปลอดภัยของพวกนางก็ยิ่งลดลง แล้วถ้าไม่ได้จนถึงเส้นตาย พวกมันก็จะส่งไปขายที่ตลาดค้าทาส เท่ากับว่าช่วยอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

“แต่หัวหน้า...นี่เพิ่งเริ่มฤดูเพาะปลูกไม่นาน เราจะเอาอะไรไปให้มันได้เล่า”

“ข้าคงมีแต่จะต้องขายวัว” พ่อของเกล็นพูดแข็งๆ “ลูกสะใภ้กับหลานข้าทั้งคน แต่พวกมัน...”

“เรื่องคนตายน่าเสียใจ แต่เพื่อช่วยคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องทำ” ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาตบไหล่เบาๆ

“มันฆ่า มันทำร้ายพวกเรา...แล้วเรายังต้องเอาเงินไปประเคนให้มันอีกหรือ” ‘พ่อ’ ตั้งคำถามที่ทำให้ทุกคนชะงัก

“ก็...” หัวหน้าหมู่บ้านพยายามพูดเมื่อสายตาของอดีตนักรบตกอยู่ที่เขา “ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่เราทำได้...เราสู้พวกมันไม่ได้หรอก พวกทหารหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็ไม่เคยเหลียวแลเราเลย ถึงส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปถึงเจ้ามณฑลก็ช้าเกินการ...บางทีอาจจะไร้ประโยชน์ด้วยซ้ำ”

‘พ่อ’ แค่นเสียงเบาๆ

“ข้าถึงว่าโจรป่าแถวนี้มีอะไรแปลกๆ ทำไมถึงปล้นแบบเลี้ยงไข้ เอาไปแค่ผู้หญิงกับเด็กเป็นหลัก แต่ฆ่าคนน้อยเสียเหลือเกิน ปกติท่านหัวหน้าหมู่บ้านคงส่ง ‘ค่าคุ้มครอง’ ให้มันมาตลอดใช่ไหม ถึงได้รอดพ้นมาได้นานขนาดนี้”

ชายหลายคนในวงสนทนานั้นเริ่มตกใจ

“นี่เจ้า...”

“ข้าก็แค่พอเดาอะไรได้บ้าง” ‘พ่อ’ ตัดบท “แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ ครั้งล่าสุดท่านไม่ได้ส่ง หรือส่งให้พวกมันน้อยเกินไปล่ะ”

หัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าเครียดขึ้นทันควัน

“ข้าก็ส่งให้พวกมันตามปกติ ด้วยเงินที่รวมจากบ้านทุกๆ หลัง...ยกเว้นบ้านท่าน”

“หรือมันจะมาบุกหมู่บ้านเราแค่เพราะมีบ้านเดียวที่ยังไม่ได้ส่งค่าคุ้มครอง” ใครคนหนึ่งตั้งคำถาม

“...แค่นั้นน่ะหรือ”

“แล้วทำไมท่านหัวหน้าไม่บอกครอบครัวของซิอ์บุลให้ส่งเล่า! ถ้าเป็นอย่างนั้น...เรื่องนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้!” ชายอีกคนขึ้นเสียง “ลูกสาวข้าต้องถูกพวกมันเอาตัวไปเพราะเรื่องแบบนี้เท่านั้นเองหรือ!”

“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของครอบครัวข้า แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของท่านหัวหน้าหมู่บ้านด้วย” ‘พ่อ’ แย้ง “ถึงท่านมาบอก ข้าก็คงไม่ยอมส่ง บ้านเมืองมีกฎหมาย พวกที่ตั้งตัวรีดไถเงิน ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นอย่างโจรพวกนั้นต่างหากที่ผิด”

“ใช่! เรารู้ว่ามันผิด แต่เราทำอย่างไรได้เล่า! ถ้าไม่ส่งให้มัน...ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่!”

เสียงอื่นๆ รับรองคำพูดนั้นด้วยอารมณ์ ทว่าซิอ์บุลยังใจเย็นอยู่

“หมู่บ้านนี้มีผู้ชายกี่คน”

ทุกคนเงียบไป ดูเหมือนกำลังพยายามนิ่งนึกในใจ

“ไม่ต้องตอบมาก็ได้ ข้าก็พอเห็นอยู่ทุกวันว่าพวกท่านมีกันกี่คน แต่โจรกลุ่มนั้นล่ะมีเท่าไร”

“เราไม่รู้...แต่มันมีฝีมือกว่าเราเห็นๆ ไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ทุกคนจะเก่งกาจอย่างท่านนี่”

“ใช่...พวกท่านไม่จำเป็นต้องเก่งกาจอย่างข้าก็ร่วมมือกันสู้กับพวกมันได้ ถ้าพวกท่านมีใจจะสู้สักนิดล่ะก็นะ” ‘พ่อ’ พูดเรียบๆ “แล้วข้าก็หวังว่าท่านจะมีใจสู้ขึ้นบ้าง ถ้าข้าบอกว่าโจรที่มาบุกหมู่บ้านท่านเมื่อวานน่าจะมีไม่เกินหกสิบคน”

หลายคนในที่ประชุมเบิกตากว้าง

“ท่านรู้ได้อย่างไร”

“คำนวณจากพื้นที่ของหมู่บ้าน จำนวนศพของโจรที่แยกย้ายไปตามที่ต่างๆ เวลาที่มันล่าถอย รอยกีบเท้าม้าที่ชายหมู่บ้าน แล้วก็จำนวนเชลยที่มันจับไป” ‘พ่อ’ อธิบาย “ถ้าตอนนี้พวกมันตายไปสามสิบเจ็ด น่าจะเหลือราวๆ ยี่สิบกว่าคนที่จะสามารถกวาดต้อนเชลยยี่สิบสี่คนได้ หากรีบรวบรวมคนตามไปตอนนี้ พวกมันก็คงไปได้ไม่ไกลนักหรอก พวกท่านพอรู้ไหมว่าพวกมันไปทางไหน”

“ได้ยินว่ารังโจรอยู่ในหุบเขาเหนือขึ้นไปอีก ใกล้ๆ กับพรมแดนมณฑลอุลทูร์”

“มีแผนที่ไหม”

หัวหน้าหมู่บ้านนิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ

“ก็มี...แต่ปัญหาคือ...ถึงพวกมันจะมีคนน้อย แต่พวกเราสู้ไม่เป็น แล้วก็ไม่มีอาวุธด้วย”

“แล้วที่อยู่ในมือของเกล็นล่ะ” ‘พ่อ’ ติง ก่อนจะโบกมือไปทางโรงเก็บเครื่องมือของหัวหน้าหมู่บ้าน “คราด จอบ ขวาน มีดพร้า พวกท่านก็มีกันทุกบ้าน ลองตั้งใจจริงแล้วฝึกให้รู้จุดอ่อนจุดแข็งของอาวุธพวกนี้ ดาบก็ไม่ใช่ของน่ากลัวหรอก”

ชายในหมู่บ้านหันไปแลกสายตากันอย่างลังเล จนกระทั่งมีคนเอ่ยขึ้น

“แล้วท่านซิอ์บุลใช้เวลาฝึกนานเท่าไรกว่าจะเก่งได้ขนาดนี้”

“ข้าเคยเป็นทั้งทหารอาชีพและนักรบรับจ้าง ความอยู่รอดของข้าขึ้นอยู่กับการต่อสู้ แต่พวกท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้น” ‘พ่อ’ กลับพูดอีกอย่าง

“ถ้าอย่างนั้น...พวกเราจ้างท่านกับลูกให้ไปพาเด็กๆ ของเรากลับมาไม่ได้หรือ” หัวหน้าหมู่บ้านอ้อนวอน “เรายินดีจ่ายเต็มที่...ดีกว่าต้องไปจ่ายให้โจรพวกนั้น”

“ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน” คนถูกเสนอว่าจ้างปฏิเสธเสียงแข็ง “เมื่อคืน ข้าตัวคนเดียวฆ่าพวกมันไปได้เยอะเพราะพวกมันไม่ทันตั้งตัว ตอนพาเชลยหนีพวกมันคงเพิ่มความระวังขึ้น แล้วถ้าที่รังของมันยังมีคนรออยู่อีก ข้าคนเดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

“หมายความว่า...พวกเราต้องช่วยท่าน”

“นึกว่าท่านจะเข้าใจแล้วเสียอีก”

พวกชาวบ้านหันไปมองหน้ากันเองอีกครั้ง อาเมียร์ลอบสังเกตแล้วก็อดรนทนไม่ไหว

“ขนาดเกล็นที่ไม่เคยจับอาวุธยังฆ่าพวกมันได้ทั้งคนเพื่อปกป้องลูกเมียเลยไม่ใช่หรือ” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นมา

วงสนทนาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีคนแย้ง

“แต่ถ้าตัวเองตายไปด้วย...”

“ทำไมไม่คิดบ้างเล่าว่าที่เกล็นต้องตายเป็นเพราะเขาสู้อยู่คนเดียว...ไม่มีใครเข้ามาช่วยเลย ทั้งๆ ที่คนที่นี่ก็มีเยอะกว่าโจรพวกนั้นแท้ๆ!”

‘พ่อ’ ปรายตามองเขาพร้อมกับยื่นมือมาจับบ่า

“ใจเย็นไว้” ท่านกระซิบ ก่อนจะกวาดมองคนอื่นๆ ในวงสนทนาอีกครั้ง “ข้าขอแผนที่ แล้วใครที่ยินดีจะไปด้วยเพื่อช่วยเหลือญาติพี่น้องก็บอกมา ความสำเร็จของงานครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือของพวกท่าน”

หัวหน้าหมู่บ้านลุกจากลานหน้าบ้าน ตรงไปที่ประตูบ้านของตน เหลือเพียงทุกคนที่นั่งเงียบอยู่จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ข้าจะไปด้วย” นั่นคือพ่อของเกล็น “ลูกข้าพยายามถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”

“ข้าไปด้วย”

“ข้าด้วย”

ดูเหมือนพ่อหรือญาติพี่น้องของเหล่าผู้หญิงและเด็กที่ถูกจับตัวไปจะเริ่มตอบรับอย่างแข็งขัน จนถึง...

“ข้าด้วย”

เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาเมียร์ เรียกเสียงถามอย่างแปลกใจจากเพื่อนข้างๆ

“ญาติเจ้าไม่ได้โดนเอาตัวไปนี่”

“ก็ใช่...แต่...” เจ้าหมอนั่นก้มหน้าอึกอัก “มีคนที่ข้าอยากช่วยอยู่ในนั้น”

ชื่อของเด็กสาวคนหนึ่งถูกเพื่อนๆ ในกลุ่มเอ่ยขึ้นทันที ตามด้วยเสียงให้กำลังใจ

“เอาเลย!”

“ไปช่วยนางให้ถึงตัวเลย คราวนี้นางจะได้รับรักเจ้าเสียที!”

เสียงหัวเราะที่จู่ๆ ดังขึ้นมาทำให้อาเมียร์แทบเผลอยิ้ม แต่เมื่อเห็น ‘พ่อ’ ยังมองทุกคนด้วยสายตาเคร่งขรึมก็ยั้งไว้ได้ทัน ให้เขาต้องตำหนิตนเองอีกครั้งที่เกือบคิดเล่นๆ กับเรื่องคอขาดบาดตาย ทั้งๆ ที่เพื่อนสนิทเพิ่งตายไปเมื่อคืนแท้ๆ

“พยายามรักษาชีวิตให้ได้ถึงที่สุด” ‘พ่อ’ ยังพูดเรียบๆ ตามเดิม “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ข้าไม่อยากพาคนที่ยังไม่พร้อมไปตายเปล่า”

เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าเจื่อนลงทันที

“แต่ข้าพร้อมจะไปจริงๆ นะขอรับ”

“หากพร้อมจริงๆ ก็ดี แต่จำไว้ว่านี่ไม่ใช่การเล่นเป็นวีรบุรุษเพื่ออวดสาว แต่เป็นเรื่องของความเป็นความตาย”

หัวหน้าหมู่บ้านนำแผนที่มาในตอนนั้นพอดี เรื่องล้อเล่นท่ามกลางความเคร่งเครียดจึงจบลงในชั่วครู่นั้น

สิ่งที่ตามมาคือการสำรวจชัยภูมิ อาเมียร์ช่วยคาดเดาและตรวจดูเส้นทางไปยังที่ที่คาดว่าน่าจะเป็นรังโจร จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่าจะตามรอยพวกมันไปทางใด และมีจำนวนคนที่ยินยอมจะไปจริงๆ กี่คน ก่อนจะเริ่มซักซ้อมแผนการและสิ่งที่ควรระวัง เสร็จสรรพแล้วซิอ์บุลจึงได้ให้ทุกๆ คนไปเตรียมตัวให้พร้อม

“นี่ก็จวนเย็นแล้ว เจ้าควรจะกลับไปช่วยงานแม่ แล้วก็รออยู่ที่นั่นเสีย” ‘พ่อ’ หันมาพูดกับอาเมียร์ในที่สุด

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ

“ข้าจะกลับไปช่วยงานแม่ แต่จะรีบกลับมา ‘พ่อ’ รอข้าด้วย”

‘พ่อ’ มีสีหน้าไม่เห็นด้วยนัก

“ข้าต้องไปช่วยลีชากับก็อธฟรีด์” อาเมียร์ย้ำ “เกล็นเป็นเพื่อนของข้า ก่อนเกิดเรื่องแค่วันเดียว เขาพูดเหมือนจะฝากทั้งสองคนนั้นให้ข้าดูแล ข้าอยู่เฉยไม่ได้หรอก”

“แต่ต้องมีคนอยู่ดูแลที่บ้าน ตักน้ำ ผ่าฟืน แล้วหน้าที่ดูแลพวกสัตว์ก็เป็นของเจ้าด้วย” ‘พ่อ’ แย้งทางอ้อม

เด็กหนุ่มตีสีหน้าเครียด ด้วยรู้ดีว่านั่นเป็นข้ออ้างแทนเหตุอื่นที่ทำร้ายจิตใจเขาเกินกว่าจะพูดออกมา

“ข้าจะตักน้ำ ผ่าฟืนเผื่อไว้ให้พรุ่งนี้กับมะรืนนี้เลย ส่วนของพวกสัตว์ก็มีแต่ให้อาหารเช้าเย็น แม่จัดการได้”

นัยน์ตาของทั้งสองสบกันนิ่ง...เหมือนจะรอให้อีกฝ่ายยอมอ่อนลงก่อน

“ข้ารู้ว่า ‘พ่อ’ เป็นห่วงข้า แต่ข้าจะพยายาม ข้าอยากเข้มแข็งขึ้น อยากปกป้องคนอื่นๆ ได้เหมือน ‘พ่อ’...ข้าพูดจริงๆ”

ในที่สุด ‘พ่อ’ ก็พยักหน้าช้าๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไป แล้วจำไว้ว่าอย่าทำอะไรเสี่ยงอันตรายนัก”

เด็กหนุ่มรับคำอย่างหนักแน่น

ตอนกลับไปจัดการงานที่บ้าน แม่ก็ไม่วายถามซ้ำเช่นเดียวกับ ‘พ่อ’ ว่าเขาจะไปจริงๆ หรือ อาเมียร์ยังรับรองตามเดิม แล้วก็รีบทำงานทุกอย่างให้เสร็จก่อนจะกลับมาให้ทันเวลาที่พ่อนัดไว้...พร้อมกับดาบโค้งแบบทะเลทรายที่ ‘พ่อ’ ให้เขาและกริชที่เสด็จพ่อมอบไว้ให้เป็นกึ่งของต่างหน้า

จากนั้น กลุ่มผู้ช่วยเหลือจึงได้ออกเดินทางกันในความเงียบ และความมืดที่เริ่มโรยตัวในยามค่ำคืน

* * *

“ผูกม้าไว้” ‘พ่อ’ ออกคำสั่งหลังลงจากหลังม้าไปตรวจสอบพื้นที่อยู่ครู่หนึ่ง ใกล้ทางออกของชายป่าติดกับเชิงเขา ที่ที่ทั้งเขากับ ‘พ่อ’ เห็นพ้องต้องกันว่ามีโอกาสจะเป็นที่ซ่อนของพวกโจรสูงที่สุด

“อาเมียร์ เจ้าตามมา เอาหน้าไม้มาด้วย ที่เหลือรออยู่ตรงนี้ อย่าส่งเสียงหรือทำอะไรจนกว่าข้าจะกลับมา”

เด็กหนุ่มรับหน้าไม้จากพรานที่มาด้วยกัน แล้วก็ก้าวตามไปไม่รอช้า

อดีตนักรบรับจ้างนามซิอ์บุลย่องแผ่วเบาไปตามแนวต้นไม้ เขาตามไปอย่างระแวดระวังพอกันเมื่อท่านหยุดนิ่งแล้วโบกมือให้ตามมา จนสุดท้ายก็อาศัยความมืดของร่มไม้เข้าไปใกล้เชิงเขานั้น

“เจ้าเห็นนั่นไหม” ‘พ่อ’ กระซิบพร้อมกับพยักพเยิดไปทางเชิงเขา

เด็กหนุ่มเพ่งมอง ก่อนจะสังเกตเห็นคนสองคนที่เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถบพุ่มไม้ที่ห่างออกไป

“เห็น”

“เก็บมันคนหนึ่ง แล้วก็ยิงให้เฉียดอีกคนหนึ่ง ไม่ก็ให้มันบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ยังพอเดินได้ จากนั้นก็ยิงต่อไปจนกว่าข้าจะบอกให้หยุด ข้าจะตามมันไป แล้วจะทิ้งเครื่องหมายไว้เป็นระยะๆ ให้เจ้ารีบไปตามคนอื่นๆ มา”

“แต่พวกมันอาจมีกำลังเสริม...”

“ถ้ามียามแค่สองคนก็เห็นจะไม่มีหรอก” ‘พ่อ’ แย้ง “รีบลงมือ”

อาเมียร์เล็งอยู่ครู่หนึ่ง...นึกถึงคำของเสด็จพ่อที่ให้เล็งศีรษะ...จุดตายที่ชัดเจนที่สุด สูดลมหายใจลึกให้มีสมาธิและไม่วอกแวก แม้อีกด้านหนึ่งในใจจะเริ่มหวั่นหวาดจนต้องท่องซ้ำๆ

...เราฆ่าเพื่อช่วยคน...เราฆ่าเพื่อช่วยคน...

เด็กหนุ่มปลดสลักหน้าไม้

ร่างนั้นฟุบลงแทบทันที เจ้าเพื่อนที่เดินอยู่สะดุ้งเฮือก อาเมียร์จงใจยิงเฉียดร่างนั้นไปสองสามดอก ยังผลให้โจรที่เหลืออยู่กลับหลังหันแล้ววิ่งไป

“พอ!”

‘พ่อ’ พูดคำนั้นแทบไม่ทันจบก็ปราดออกไปจากพุ่มไม้อย่างเงียบเชียบราวกับหมาป่ากระโจนตามเหยื่อ ส่วนเขาก็วิ่งไปอีกทางตามคำสั่ง

พวกคนอื่นๆ รีบตามมาทันทีที่เขาบอก...แม้จะวิ่งเสียงดังสวบสาบกันไปสักหน่อย อาเมียร์วิ่งนำให้เร็วที่สุด สายตาจับสังเกตกิ่งไม้ที่ ‘พ่อ’ ฟันทิ้งไว้เป็นแถบๆ จนกระทั่งถึงปากถ้ำที่ดูเหมือนจะเคยมีกิ่งไม้แห้งๆ สุมไว้ต่างพุ่มไม้ตายเพื่อพรางตา แต่บัดนี้กลับระเนระนาดยับเยินด้วยคมดาบ

เด็กหนุ่มชักดาบตามเข้าไป ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นโจรคนหนึ่งเดินซวนเซกุมแผลที่บ่าออกมา

ครั้นเห็นอาเมียร์ อีกฝ่ายก็ยกดาบขึ้นอย่างฝืดฝืนเชื่องช้า เด็กหนุ่มจึงเพียงกลั้นหายใจหลบกลิ่นเลือด เคลื่อนตัวผ่านไปพร้อมกับฟันที่ขาของศัตรูให้ล้มลง แล้ววิ่งต่อไปในทางเข้าถ้ำซึ่งเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ และปักคบเพลิงเป็นระยะๆ

“ฆ่ามัน!”

เสียงฝีเท้าตึกตักที่วิ่งตามเข้ามาเป็นแถบ...กับเสียงร้องโหยหวนที่ดังไล่หลังมาเพียงเสียงเดียวหลังจากนั้นบอกว่าโจรคนนั้นเห็นทีจะชะตาขาดเสียแล้ว กระนั้นเขาก็ได้แต่พยายามไม่ใส่ใจ และมุ่งหน้าต่อไปเพื่อให้ตาม ‘พ่อ’ ทันเท่านั้น

ณ จุดที่ถ้ำแยกเป็นสองทางเริ่มมีศพโจรกองระเกะระกะ เสียงร้องสะท้อนก้องมาจากด้านไหนก็ไม่รู้จนอื้ออึงไปหมด อาเมียร์ได้แต่สับสนว่าจะไปทางใดจนต้องหยุดยืนนิ่ง

เขาเย็นแผ่นหลังวาบขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก...แล้วก็เสียงกรีดร้องของผู้หญิง เหมือนในวันนั้น...

“อาเมียร์! เป็นอย่างไรบ้าง!”

เด็กหนุ่มมาได้สติเพราะเสียงคนที่ตามมา ซึ่งสะท้อนก้องเช่นเดียวกับเสียงร้องของเด็กและผู้หญิงที่เขาได้ยินอยู่

...เสียงเหล่านั้นเป็นของจริง...

“แยกย้ายกันไป!” อาเมียร์พูดแล้วก็ตัดสินใจวิ่งนำไปทางด้านซ้าย

โจรที่บาดเจ็บจนขยับตัวไม่ได้หรือหายใจรวยรินกองระเกะระกะอยู่ข้างทาง เด็กหนุ่มเพียงวิ่งผ่านพวกเขา จนกระทั่งมาชะงักกึกเมื่อหลบหลังหลืบหินงอกที่เป็นเสมือนที่กั้นห้องธรรมชาติแล้วมองลอดออกไป

ใต้แสงตะเกียง เขาเห็นคูหาถ้ำซึ่งกว้างออกไปเหมือนห้องรูปกลม มีถังไม้ซึ่งคงใช้ใส่น้ำหรือเสบียงอื่นๆ วางเรียงรายพิงผนัง

ที่ข้างๆ ถังเหล่านั้นพวกผู้หญิงและเด็กขดตัวซุกเข้าหากันอย่างหวาดกลัว ขณะที่ตรงกลางคูหามีโจรคนหนึ่งเอามีดสั้นจี้คอเด็กสาวคนหนึ่งไว้

“ย...อย่าเข้ามา!”

‘พ่อ’ ยืนถือดาบจังก้าอยู่เบื้องหน้ามัน แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ไปมากกว่านั้น และใช้วิธีเจรจาแทน

“พวกของเจ้าจะตายกันหมดแล้ว ถึงฆ่านางไปก็หนีไม่พ้นหรอก”

“ล...แล้วเจ้ากล้าให้นางตายหรือ ชีวิตคนทั้งคน ข้ารอดนางรอด อย่างมากก็ตายด้วยกันล่ะ!”

ซิอ์บุลยืนตีสีหน้าเครียดขรึม ไม่ตอบหรือมีทีท่าว่าจะบุกเข้าไป

เสียงฝีเท้าและเสียงร้องก่อนตายของโจรอื่นๆ ที่เด็กหนุ่มผ่านมาระหว่างทางเริ่มดังสะท้อนไล่มาเรื่อยๆ อาเมียร์รีบวางดาบแล้วควานหาหน้าไม้ที่เขาสะพายไว้ด้านหลัง ด้วยรู้ว่าเสียงนั้นอาจกดดันให้โจรทำร้ายตัวประกันด้วยความจนตรอกในไม่ช้า

ข้างศีรษะของโจรนั้นกลายเป็นเป้าหมาย...

ร่างนั้นล้มตะแคงพร้อมกับหลุดเสียงร้องเพียงสั้นๆ ขณะที่ซิอ์บุลทิ้งดาบแล้วใช้มือที่เหลืออยู่ข้างเดียวกระชากแขนเด็กสาวเข้ามาหาตัว ไม่ให้ถูกน้ำหนักของโจรดึงจนล้มศีรษะฟาดพื้นไปด้วย

เด็กหนุ่มสะพายหน้าไม้กลับ หยิบดาบ แล้วจึงวิ่งเข้ามาในคูหาถ้ำ

“ทุกคนไม่เป็นไรใช่ไหม”

เหล่าเชลยที่เพิ่งได้รับอิสระเมื่อครู่ดูจะใช้เวลาตั้งสติชั่วอึดใจ

“พวกเราไม่เป็นไร” หญิงคนหนึ่งตอบ “แต่...ลีชา...”

“ลีชา” อาเมียร์ชะงักเมื่อได้ยินชื่อนั้น เพิ่งสังเกตว่าก็อธฟรีด์น้อยร้องไห้จ้าอยู่ในอ้อมแขนของผู้ตอบ...แทนที่จะเป็นมารดา “ลีชาเป็นอะไรไป!”

พวกผู้หญิงกระจายตัวออก เผยให้เห็นร่างที่ขดคุดคู้อยู่บนพื้นราวกับทรงกายไม่อยู่

เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าร่างนั้นไม่น่าจะใช่เด็กสาวตัวเล็กบอบบางที่ดูสดใสเจิดจ้าราวกับแสงตะวันคนนั้น ผมสีทองที่เคยหยักศกสลวยกลับยุ่งเหยิงจับเหนียวเป็นกระจุก...ปกคลุมใบหน้าที่ก้มลงต่ำ สองแขนที่มีรอยฟกช้ำพยายามป้องปิดร่างที่ปกคลุมด้วยเสื้อนอนรุ่งริ่ง

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...อาเมียร์ถามตนเองอย่างเร่งร้อนอยู่ในใจ ขณะกวาดมองเชลยหญิงคนอื่นๆ ที่ส่วนมากอยู่ในเสื้อนอนเช่นกันและมีสภาพอิดโรยหวาดกลัว แต่ก็ไม่มีใครที่ดูเหมือนจะถูกทำร้ายหนักขนาดนี้

“นาง...” หญิงอีกคนทำท่าจะเอ่ย แล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนนึกเปลี่ยนคำพูด “...นางคงเดินไม่ไหว”

“เจ้าอุ้มนางไป” ‘พ่อ’ พูดขึ้นบ้าง

อาเมียร์สอดดาบเข้าฝัก กลืนน้ำลายฝืดๆ แล้วก็ก้าวเข้าไปช้าๆ

“ลีชา” เขาเรียกเบาๆ

เด็กสาวเหลือบตาสีมรกตขึ้นมองเขาแวบเดียวก็หลุบตาลงต่ำเช่นเดิม กระทั่งเด็กหนุ่มยังเย็นวาบกับดวงตาเลื่อนลอยไร้ความรู้สึกของเธอ รอยช้ำใต้ขอบตาดำคล้ำ...กับริมฝีปากที่มีรอยแตกตรงมุมและเผยอโดยไร้เสียง

“พวกเรามาช่วยแล้ว” เขาถอดผ้าคลุมตัวนอกออกคลุมให้เธอ “ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย...เชื่อข้าเถอะ”
ไม่มีคำตอบจากลีชา อาเมียร์ได้แต่ค่อยๆ วางมือลงบนหลังของเด็กสาวที่นั่งนิ่งเหมือนตุ๊กตา แล้วก็ช้อนร่างเบาหวิวเหมือนไร้น้ำหนักขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน
เด็กหนุ่มใจร่วงวูบอย่างบอกไม่ถูกเมื่อพบคราบของเหลวข้นๆ สีแดงคล้ำซึ่งยังไม่แห้งดี...บนพื้นที่เคยมีร่างของเด็กสาว
เขาได้แต่เบือนหลบภาพนั้น แล้วข่มใจให้นิ่งเฉย รีบก้าวแหวกวงคนอื่นๆ ไปท่ามกลางเสียงพูดคุยโหวกเหวกและเสียงตะโกนอย่างดีใจของเหล่าญาติมิตรที่ได้คนที่ตนรักคืนมาอย่างปลอดภัย

* * *

ลีชาไม่พูดอะไรสักคำระหว่างที่ขี่ม้าไปกับเขา และก็ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับลีชา ใครๆ ล้วนแต่ยินดีกับการช่วยเหลือที่ประสบความสำเร็จ และการสังหารพวกโจรป่าจนสิ้น

เมื่อพวกเขาขี่ม้ากันเข้ามาในหมู่บ้าน ก็ดูเหมือนคนในบ้านแทบทุกหลังจะปรากฏตัวออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี เหล่าญาติของเชลยที่ถูกช่วยกลับมาโดยเร็วต่างพากันขอบคุณซิอ์บุลผู้เป็นต้นคิดและหัวแรงใหญ่กันไม่ขาดปาก ซ้ำยังมีใครสักคนที่เริ่มพูดถึงงานเฉลิมฉลองขึ้นมา...ทั้งๆ ที่ศพของคนตายยังต้องถูกฝังในวันพรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ

ครั้นลงจากหลังม้าที่ใกล้ๆ บ้านตน อาเมียร์รีบปลีกตัวมากับลีชา และพ่อของเกล็นซึ่งอุ้มทารกน้อยไว้

หญิงวัยกลางคนที่หน้าประตูรับหลานชายไปอุ้มพร้อมกับร้องไห้ออกมา

“ก็อธฟรีด์...ขอบคุณสวรรค์...”

“ลีชาบาดเจ็บมาก รีบให้นางเข้าไปพักข้างในเถอะขอรับ” เด็กหนุ่มเตือน “แล้วก็รีบตามหมอมาดูอาการของนางด้วย”

ชายวัยกลางคนทำท่าจะเปิดประตูให้เขาพาเด็กสาวเข้าไป แต่ผู้เป็นภรรยาดูจะกวาดมองร่างที่ซบไหล่เด็กหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น

“พ่อหนุ่ม ถ้าจะให้ลีชาไปพักรักษาตัวที่บ้านเจ้าก่อนได้ไหม...อย่างน้อยก็สักสองสามวัน”

อาเมียร์กะพริบตาอย่างงุนงง

“แม่เจ้ามีความรู้เรื่องยากับการพยาบาลไม่ใช่หรือ...หากลีชาอยู่ใกล้ๆ นางคงจะดีกว่า พวกเราไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย”

“อันที่จริง แม่ข้าก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอกขอรับ” เด็กหนุ่มแย้ง “ก็แค่เคยช่วยรักษาพยาบาลมาบ้างเท่านั้นเอง”

แม่พอรู้เรื่องนี้ก็จริง...แต่ไม่เคยร่ำเรียนมาถึงขั้นจะเรียกตัวได้ว่าเป็นหมอยาหรือหมออะไรก็ตาม มีแต่พวกชาวบ้านนั่นล่ะที่คิดไปเองว่าคนรู้หนังสือน่าจะรู้วิชาแพทย์เสียด้วย เวลาตามตัวหมอหญิงวัยใกล้ชราคนเดียวในหมู่บ้านไม่ได้ หรือหมอตัวจริงมีธุระยุ่งอยู่จึงวิ่งมาที่บ้านของเขาแทนเป็นประจำ

“แต่อย่างน้อยบ้านเจ้าก็อยู่ใกล้ร้านหมอมากกว่า หากนางเป็นอะไรขึ้นมากะทันหันจะช่วยได้ทันกว่านะ” นางยังให้เหตุผล “ส่วนก็อธฟรีด์ให้อยู่ที่นี่ก่อน แม่อาการหนักขนาดนี้คงดูแลไม่ได้หรอก”

เด็กน้อยร้องไห้ขึ้นมาในขณะนั้น อาเมียร์รู้สึกเหมือนลีชาสะดุ้งน้อยๆ และเหลือบไปทางลูกอย่างเป็นห่วง

...เป็นปฏิกิริยาเดียวที่ทำให้เขารู้สึกขึ้นมาว่าเธอยังมีชีวิตอยู่...

“เอ...ผ้าอ้อมก็ไม่เปียก นี่คงหิวนม...ท่าทางจะไม่ได้กินนมมานานเชียว” เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนแม่ของเกล็นพูดเองเออเอง “ลีชา เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ไปพักรักษาตัวเถอะ ข้าจะดูแลก็อธฟรีด์ให้เอง”

ว่าแล้ว...หญิงวัยกลางคนก็อุ้มทารกน้อยเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไรอีก

พ่อของเกล็นยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนจะกลั้นเสียงถอนใจไว้ ก่อนจะหันมาพูดกับอาเมียร์

“ฝากด้วยนะ อาเมียร์ ข้าก็อยากให้ลีชาหายดีเร็วๆ เหมือนกัน แล้วลีชา...เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนะ...โดยเฉพาะเรื่องก็อธฟรีด์”

ชายวัยกลางคนค้อมศีรษะน้อยๆ เหมือนจะขออภัย แล้วเขาจึงกลับเข้าบ้านไปอีกคนหนึ่ง

* * *

ไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับอาเมียร์นอกจากอุ้มเด็กสาวกลับมาที่บ้านของตน

แม่บอกให้พาลีชาไปนอนพักที่ห้องของเขาก่อนจะได้ฟังคำอธิบายอย่างรวบรัดเสียด้วยซ้ำ จากนั้นเขาก็ถูกสั่งให้ไปตักน้ำและต้มน้ำไว้สำหรับเช็ดตัวกับต้มยา ขณะที่ท่านค้นหาหยูกยาสมุนไพรเท่าที่พอมี จำพวกยาแก้ปวดหรือแก้อักเสบ

“พี่ลีชาเป็นอะไรเหรอ” ฟาร์ฮานาห์ตั้งคำถามเมื่อแม่ผลุบเข้าห้องไปพร้อมกับอ่างน้ำและถ้วยยา

“พี่เขาไม่สบาย คงต้องมารักษาตัวที่บ้านเราสักพักหนึ่ง” เด็กหนุ่มอธิบายง่ายๆ

เด็กหญิงเอียงคออย่างสงสัย

“แต่พี่ลีชาก็มีบ้านนี่”

“ให้มารักษาที่บ้านเราสะดวกกว่า” อาเมียร์ได้แต่ให้คำตอบที่เขาไม่เห็นด้วยเอาเสียเลย

“เพราะน้ำแกงของแม่อร่อยที่สุดใช่ไหม” นาสิราให้เหตุผล “เวลาใครๆ เป็นหวัดขึ้นมา กินน้ำแกงของแม่ทีเดียวก็หายเลยนี่ เดี๋ยวพี่ลีชาก็หายแล้วเนอะ”

“อือ” เด็กหนุ่มรับฝืนๆ

‘พ่อ’ ยังคงนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะ หน้าสำรับอาหารที่พร่องไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากหยุดรับประทานไปตั้งแต่ตอนที่เขาพาลีชาเข้ามาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นขณะเตรียมของตามคำสั่งของแม่ ส่วนอาหารที่แม่เตรียมไว้ให้เขานั้น...เขายังไม่ได้แตะต้องและไม่มีความรู้สึกอยากแตะต้อง แม้นตั้งแต่บ่ายจนค่ำวันนี้จะใช้แรงไปไม่น้อย

ภาพร่างบอบช้ำของลีชาที่เหมือนถูกสูบเอาวิญญาณไป...ทิ้งเพียงเปลือกร่างว่างเปล่าอย่างคราบจักจั่นยังติดตรึงอยู่ในสำนึก เด็กสาวที่ยิ้มแย้มสดใส...พูดจาง่ายๆ เป็นกันเองคนนั้นดูเหมือนจะกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่รู้จักไปเสียแล้ว

...ทั้งๆ ที่เกล็นเคยช่วยเธอออกมาจากขุมนรก...และทำให้เธอได้พบกับชีวิตที่ควรมีความสุขเหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปบ้างแท้ๆ...

แล้วการช่วยเหลือครั้งนี้จะไปมีความหมายอะไร...

ใช่...พวกเขาช่วยชีวิตเชลยทุกๆ คนได้ แต่สำหรับลีชาก็ดูเหมือนจะสายเกินไป...เธอต้องสูญเสียสามี...ทั้งยังถูกทำร้ายอย่างทารุณอย่างนั้น...

“เราพยายามทำดีที่สุดแล้ว” ‘พ่อ’ เอ่ยขึ้นลอยๆ “อย่าโทษตัวเองเลย”

เบื้องหน้าเด็กหญิงเล็กๆ ทั้งสอง อาเมียร์ได้แต่ถอนใจยาว ไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรสำหรับลีชา...ภรรยาม่ายของเพื่อนสนิทของเด็กหนุ่ม...เจ้าของภูมิหลังที่มีเขาเพียงคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ได้รับรู้จากปากของเกล็น

...หารู้ไม่...ว่าเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง...ที่มาของลีชาก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป...แม้นจะไม่ได้มาจากปากของเขา...


บทที่ ๔ โฉมหน้าอันดำมืด

* * *


ในวันนี้ ตัวผมเองขอสุขสันต์วันคริสต์มาสกับผู้อ่านทุกๆ ท่านครับ ถึง...บรรยากาศในเรื่องจะผิดกันสักหน่อยก็เถอะ

ลีชาคงเป็นตัวละครหญิงที่เคราะห์ร้ายที่สุดในเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นตัวแทนของหญิงชาวบ้านธรรมดาๆ ในอาณาจักรที่กำลังระส่ำระสายที่อาจเผชิญเคราะห์กรรมอย่างคาดไม่ถึง ผมยังยึดมั่นความคิดแบบเดียวกับในอาณาจักรมนตรา ที่ว่า "ความสุขเป็นสิ่งที่สามารถกลับคืนมาได้" และก็จะให้ลีชาได้เรียนรู้ความจริงนี้เช่นกันครับ

ส่วนอาเมียร์ในตอนนี้เหมือนอาการกลัวเลือดหายไปเป็นปลิดทิ้ง ^^;;; ไล่ยิงโจรตายไปราวสองคนได้ แต่คงเพราะใช้อาวุธไกล และสถานการณ์ก็กำลังเร่งด่วน จึงไม่มีเวลาให้คิดมาก ที่จริงเจ้าตัวก็ยังเกลียดกลัวเลือดอยู่ดีนั่นล่ะครับ เพียงแต่ทนได้ในบางสถานการณ์

แล้วถ้าดูจากแผนการต่อสู้แล้ว ซิอ์บุลไปสดกับอาเมียร์สองคนเลยยังได้ แต่ก็ยังพาชาวบ้านไปด้วย (เพื่อพาตัวประกันกลับ) แล้วว่าไปก็เป็นการทำให้ชาวบ้านกล้าที่จะปกป้องตัวเองและสู้กับโจรมากขึ้น เหมือนแม่เสือเอาเหยื่อที่ตบให้ขาหักพอกะเผลกๆ มาให้ลูกฝึกล่าล่ะมั้งครับ

...เปรียบเทียบไปได้เนอะ ^^;;;

น้อมรับความเห็นเช่นเคยขอรับ




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2551    
Last Update : 25 ธันวาคม 2551 12:45:35 น.
Counter : 288 Pageviews.  

บทที่ ๒ - เหตุร้ายพลันเยือน

บทที่ ๒ เหตุร้ายพลันเยือน


“เจ้ามีคนที่ชอบไหม”

“หา...” อาเมียร์หันมองคนถามที่กำลังโบกหมวกฟางต่างพัดอยู่ใต้ร่มไม้ยามเที่ยง ข้างๆ ที่ที่เขานั่งอยู่ “ถามทำไม”

“ก็...” น้ำเสียงของเกล็นฟังรื่นเริง “ไม่รู้หรือว่าตอนนี้บ้านไหนๆ ในกลาสเดลก็อยากได้เจ้าเป็นเขยทั้งนั้น”

“อะไรกัน” เด็กหนุ่มโคลงศีรษะ ไม่รู้ว่าจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน “ล้อกันเล่นใช่ไหม ข้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้แค่สองเดือนเอง”

“ล้อกันเล่นอะไร เขยรู้หนังสือใครกันจะไม่ต้องการ ยิ่งทั้งรูปหล่อทั้งมีน้ำใจอย่างเจ้าด้วยแล้ว”

ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่จุดไหน...ทว่าเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ใครๆ ก็ดูจะได้ยินมาทั้งหมู่บ้านว่าครอบครัวของซิอ์บุล ‘อ่านออกเขียนได้’ กันทุกคน หลายคนถึงกับเลียบๆ เคียงๆ ถามเขาหรือแม่ซ้ำให้แน่ใจเสียด้วย

ถึงอาเมียร์จะไม่อยากถูกมองว่าตนเองยิ่งแตกต่างจากคนอื่น เขาก็ไม่ว่าอะไรลีชาที่อาจเป็นผู้นำเรื่องนี้ไปบอกต่อเกล็นหรือใครๆ และคิดว่าคงเป็นเพราะนิสัยชอบอ่านหนังสือนอกบ้านในเวลาว่างจากงานของเขาด้วยที่ยิ่ง ‘เผยแพร่’ ข้อมูลเรื่องนี้

“แต่ข้าเป็นคนต่างถิ่น...ไม่สิ...เป็นคนต่างชาติด้วยซ้ำ เขาไม่ถือกันหรือ”

“แล้วเจ้าถือหรือ” เกล็นกลับย้อนถาม “ว่าจะแต่งงานกับคนชาติเดียวกันเท่านั้น”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป...ด้วยคำนั้นยิ่งตอกย้ำว่าที่จริงแล้วเขาไม่มีชาติ และคงไม่มีคนร่วมชาติเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากคนในครอบครัวของตน...

“เปล่า” อาเมียร์สั่นศีรษะเมื่อตั้งสติได้ “เพียงแต่ข้าไม่ได้ชอบใคร...ตอนนี้”

“แต่เจ้าก็อายุตั้งสิบเจ็ดแล้ว น่าจะคิดเรื่องมีครอบครัวได้แล้วนี่”

‘ตั้ง’ สิบเจ็ดของเกล็นเท่ากับ ‘แค่’ สิบเจ็ดตามมาตรฐานของ ‘พ่อ’ แม่เขา ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะอยากรีบแต่งงาน เป็นสามีและพ่อตั้งแต่อายุเท่าเกล็น เขารู้ดีว่าตนเองยังไม่พร้อม ทว่าบางครั้งเขาก็อยากให้ ‘พ่อ’ กับแม่ยอมรับว่าเขาโตแล้ว และอนุญาตให้เขาทำอะไรมากไปกว่านี้บ้าง

แต่ข้าอยากทำอะไรเล่า...

คำถามที่เคยสงสัยมาหลายครั้งกลับผุดขึ้นอีก จนเด็กหนุ่มรีบไล่มันไปอย่างรวดเร็ว แล้วตั้งคำถามแรกที่นึกได้แทน

“เจ้ากับลีชาแต่งงานกันมานานเท่าไรหรือ”

เกล็นดูจะแปลกใจกับการเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน กระนั้นก็ตอบแต่โดยดี

“เกือบสองปี”

“เท่ากับว่าแต่งกันตอนเจ้าอายุสิบห้า นาง...สิบสี่หรือ”

อีกฝ่ายหัวเราะออกมา

“ลีชาก็อายุเท่ากับข้านั่นล่ะ ที่จริงนางเกิดก่อนข้าราวสามสี่เดือนได้ แต่เพราะนางดูเด็กกว่าอายุจริง...ใครๆ ก็เลยคิดกันว่าข้าอายุมากกว่านางเป็นปีกระมัง”

“อย่างนั้นหรือ” อาเมียร์รับลอยๆ

เกล็นเงียบไปพักหนึ่ง เช่นเดียวกับคนถามที่ปล่อยความคิดของตนให้ล่องลอย จนคนตอบเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง

“เจ้าสงสัยหรือเปล่า ว่าข้ากับลีชาพบกันได้อย่างไร”

“ก็...มีบ้าง” อาเมียร์รับ แล้วก็เผยข้อสังเกตของตน “ข้าคิดว่าลีชาคงไม่ใช่คนหมู่บ้านนี้ ท่าทางกับสำเนียงของนางต่างจากคนที่นี่บ้าง พ่อแม่หรือญาติของนางก็ดูจะไม่ได้อยู่ในกลาสเดลด้วย”

“แล้วอยากรู้ไหมล่ะ” เสียงของเกล็นจริงจังขึ้นจนผู้ฟังประหลาดใจ

“ถ้า...ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าอยากพูดถึงก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของใคร”

“ไม่ละลาบละล้วงหรอก อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่บางทีข้าก็อยากพูดกับใครสักคน แต่ก็ไม่กล้า และไม่รู้จะพูดกับใครดีนั่นล่ะนะ”

“ทำไมหรือ” อาเมียร์ตั้งคำถามอย่างสงสัย

“ข้าไปพบนางตอนทำธุระในเมืองสองสามวัน คืนสุดท้ายที่พักในเมืองนั้น ข้าออกไปเดินเล่นผ่านร้านเหล้า...แล้วก็เห็นพ่อของนาง...พานางมาเร่ขายตัว ข้าทนไม่ได้เลยเอาถุงเงินให้เขาไป แล้วก็พานางมา”

ผู้ฟังตะลึงงัน

“เจ้าพูดจริงหรือ”

เกล็นเพียงพยักหน้ารับครั้งเดียว

“ลีชาเล่าให้ข้าฟังทีหลัง ว่าเมื่อก่อนพ่อของนางก็เป็นคนดี แต่ครอบครัวยากจนเพราะได้แต่เร่ร่อนรับจ้างทำงานไปเรื่อยๆ พอพ่อบาดเจ็บจนขาเสียไปข้างหนึ่ง แม่ของนางทนไม่ได้ หนีไปกับผู้ชายอีกคนแล้วทิ้งนางไว้กับพ่อ พ่อก็เริ่มกินเหล้าหนักขึ้น ซ้ำเล่นพนันจนมีหนี้ท่วมหัว หากไม่รีบหาเงินมาใช้หนี้ก็คงจะถูกเจ้ามือฆ่าเอา แต่...ไม่รู้สินะ” คนเล่าถอนใจ “เอาเป็นว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อของนางทำอย่างนี้ก็แล้วกัน”

อาเมียร์นิ่งเงียบ ความคิดไพล่ไปถึงอารามฮอว์ธอร์นที่เสด็จแม่เคยก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือพวกนางคณิกา ตอนที่ได้ไปที่นั่นหลายครั้งเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ ‘ความอยุติธรรม’ ที่พวกนางประสบ มาตอนนี้จึงได้เสียดายที่ไม่มีสถานที่เช่นนั้นอีกแล้ว

“ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงยังยอมอยู่กับพ่อ ยังบอกว่าอันที่จริงพ่อก็เป็นคนที่น่าเห็นใจ คืนนั้นข้าให้นางไปพักด้วย วันต่อมาก็แนะนำให้นางไปจากพ่อแบบนั้นเสียดีกว่า แต่นางยังยืนกรานจะกลับบ้าน ข้าเลยพานางไปส่ง...แต่สุดท้ายนางก็ไม่ต้องกลับไปอยู่กับพ่ออีกแล้ว”

“เขายอมปล่อยนางไปหรือ” เด็กหนุ่มคาดเดา

“ไม่รู้ว่ายอมหรือไม่ยอม...แต่ก็ต้องปล่อยไปนั่นล่ะ” เกล็นยักไหล่เศร้าๆ “คืนนั้นเขาถูกแทง...แล้วก็ตกน้ำตาย น่าจะเป็นฝีมือพวกนักเลงที่อยากขโมยเงิน สงสัยคำสาปแช่งที่ข้าคิดในใจตอนโยนถุงเงินให้เขาคงเป็นจริงขึ้นมากระมัง”

อาเมียร์ทอดมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย

“แล้วเจ้าก็เลยแต่งงานกับนาง แล้วพานางมาที่นี่น่ะหรือ”

“ข้าพานางมาที่นี่ก่อน บอกพ่อกับแม่ว่านางเสียญาติจนหมด อย่างน้อยก็ขอให้นางอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาที่ไปได้ แล้วไปๆ มาๆ ข้าถึงพบว่า...ข้าอยากให้นางอยู่ใกล้ๆ ข้าอย่างนี้ตลอดไปมากกว่า เจ้าคิดว่าประหลาดไหม”

“ประหลาด...อย่างไรหรือ”

“ก็...ที่ข้ารักนาง แต่งงานกับนางทั้งๆ ที่รู้ว่านางเคย...เป็นอะไรน่ะ”

“ข้าไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ แต่ข้าคิดว่า...ไม่ว่านางจะผ่านอะไรมา ถ้าเจ้ากับนางรักกัน แล้วมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันก็พอแล้วนี่” เด็กหนุ่มตอบ

เกล็นยิ้มเศร้าๆ

“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องเข้าใจ...คงเพราะเจ้ามาจากที่อื่น ไม่ใช่ที่นี่ที่เขาคิดกันคนละอย่างกระมัง”

ใครบอกกันเล่า...อาเมียร์นึกในใจ ทะเลทรายเป็นที่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้เสียอีก...ที่ที่หญิงที่มีเคราะห์เสื่อมเกียรติเสียแล้วอาจถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ อย่าว่าแต่ใครจะรับเป็นภรรยา แม้ว่าหญิงผู้นั้นจะเคยเป็นภรรยาของตนมาก่อนก็ตาม

เพื่อนๆ ของเขาในที่นั้นล้วนเห็นเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา หากไม่ใช่เพราะคำสอนและเหตุผลที่ทั้งเสด็จแม่และแม่ในเวลาต่อมาปลูกฝังให้เขา อาเมียร์ยังเกรงว่าตนอาจจะกลายเป็นผู้ชายที่ชินชากับเรื่องแบบนี้ไปแล้วก็ได้

“ข้าไม่คิดจะเล่าให้ใครที่นี่ฟังหรอกว่านางมาจากไหน” เกล็นพูดหนักแน่น “ต่อให้พ่อแม่ข้าก็เถอะ ข้ากำลังรอว่าถ้ามีโอกาสเหมาะๆ จะพานางกับก็อธฟรีด์ย้ายไปที่อื่น ข้ารู้ว่าทุกวันนี้ลีชาต้องอดทนมากแค่ไหน...โดยเฉพาะกับแม่ ถึงต่อหน้าข้าทั้งคู่จะทำเป็นไม่มีปัญหาอะไรกัน ข้าก็มองออกว่าแม่ยังตั้งแง่กับลีชาไม่เลิก”

ผู้ฟังพยักหน้ารับน้อยๆ เสียงเรียกของแม่ของเกล็นที่เขาได้ยินตอนพบลีชาครั้งแรกแฝงความห้วนและถ้อยคำที่ชวนให้คิดไปเช่นนั้น

“แต่ตอนนี้ยังไปไหนไม่ได้ ข้าเลยยิ่งเป็นห่วง...” เกล็นพูดตรงๆ “ข้ากลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ลีชากับลูกจะเป็นอย่างไร หากมีใครสักคนที่ข้าพอจะฝากฝังพวกเขาได้ก็คงดี”

“เกล็น...” อาเมียร์เรียก ด้วยความรู้สึกที่กลับหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

แต่แล้วอีกฝ่ายก็ยักไหล่ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“นี่ข้าเป็นอะไรไปนะ...ในเมื่อยังไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่น่าจะพูดอย่างนี้เลย”

“คงเพราะไม่เคยพูดออกมาเลย พอได้พูดแล้วถึงกังวลขึ้นมามากกระมัง” อาเมียร์สันนิษฐาน

“คงใช่” เกล็นรับ แล้วก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “เออนี่ เจ้ารู้เรื่องพิธีเลือกคู่ของเจ้าหญิงไหม”

“ก็...ได้ยินว่าจะมีขึ้นเร็วๆ นี้” เด็กหนุ่มต่างถิ่นรับ “ทำไมหรือ”

“เจ้าอยากให้ใครชนะ”

“ข้ายังไม่รู้จักใครเลย...จะให้ถือข้างใครได้เล่า” อาเมียร์แย้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยข้าภาวนาอย่าให้เป็นลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาก็แล้วกัน” เกล็นตอบง่ายๆ “ใช่ว่าข้าไม่รักมณฑลของเรานะ...แต่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับลูกท่านแล้วสงสารเจ้าหญิง ถึงอย่างไรลูกชายเจ้ามณฑลอีกสองคนที่เหลือกับลูกขุนนางคนอื่นๆ ก็ดีกว่าอยู่แล้ว ใครจะชนะก็สุดแท้แต่เทพเจ้าเถอะ”

“ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซามีอะไรหรือ”

“รายนั้นน่ะ” คนอธิบายพ่นลมหายใจ “ชอบทำกร่างไม่เกรงใจใคร เห็นว่าถูกใจลูกสาวบ้านไหนก็ใช้ทั้งเงินทั้งอำนาจเอาตัวมาให้ได้ พอเบื่อแล้วก็ทิ้งขว้าง ลองนึกภาพคนแบบนั้นเป็นราชาดูสิ”

คนฟังโคลงศีรษะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกล็นไปได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากไหนและเชื่อถือได้มากเท่าไร ในเมื่อการปล่อยข่าวลือโจมตีคู่แข่งทางการเมืองย่อมเป็นไปได้ แต่ลองเด็กหนุ่มคนบอกเป็นคนซื่อๆ และชาวมณฑลชอร์ซาเสียเองก็มีโอกาสเป็นความจริงได้เช่นกัน

“ข้าคนหนึ่งล่ะไม่ขอราชาที่ทำตัวไม่ผิดกับโจรเด็ดขาด ทุกวันนี้เราก็โดนโจรรังควานมามากพอแล้ว”

อาเมียร์รับเบาๆ โดยไม่ใส่ใจอะไรนัก แม้บางสิ่งในความรู้สึกของเขาจะกระตุกวูบกับคำคำเดียวกับที่ได้ยินลีชาพูดในวันนั้น...

* * *


ภาพเหล่านี้อีกแล้ว...

แผ่นหลังของเสด็จพ่อที่สลายหายไปกับการลงดาบ...ร่างระเกะระกะโชกเลือดของผู้หญิงและเด็กๆ...เสด็จแม่ที่คู้ร่างอยู่กลางกองเลือด...โอบอุ้มบางสิ่งที่ท่านต้องการปกป้องไว้

...และเบื้องหน้าเขาก็กลับเป็นเงาร่างสูงใหญ่ดำทะมึน...เงาร่างที่กรูเข้ามาอย่างคุกคาม...

ตื่นเร็ว...ภัยกำลังใกล้เข้ามา...


เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นพร้อมกับหอบหายใจ สายตาเลื่อนไปยังบานหน้าต่างราวกับมีผู้บอกให้หันไปมองทางนั้น

เขาใจหายวาบเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวในไร่ด้านนอก...จากเหล่าร่างในชุดสีดำทะมัดทะแมงกลืนไปกับความมืด ประกายสีเงินใต้แสงจันทร์ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งจากแถวสะเอวของร่างหนึ่งในกลุ่ม

อาเมียร์ผุดลุกจากเตียง คว้ากริชของเสด็จพ่อและดาบที่ ‘พ่อ’ ให้มาไว้กับตัว ก่อนจะออกไปนอกห้อง

เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก แทบร้องออกมาเมื่อพบร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งถือดาบยืนอยู่ในห้องกลางของบ้าน ซึ่งใช้เป็นทั้งห้องอาหารและห้องครัว แต่แล้วร่างนั้นก็กระซิบเสียก่อน

“‘พ่อ’ เอง”

เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่ร่างตรงหน้าก้าวไปที่ประตูหน้าบ้านอย่างระแวดระวัง

“แม่ตื่นแล้ว ดูแลน้องๆ อยู่ในห้องนอน เจ้าไปเฝ้าที่ประตูหลัง แต่อย่าเพิ่งออกไป”

‘พ่อ’ ผลุบออกนอกประตูไปโดยเร็วโดยไม่รอคำตอบ เสียงร้องอย่างตกใจดังตามมาหลังจากนั้น อาเมียร์ข่มใจให้นิ่งกับเสียงนั้นแล้ววิ่งไปยังประตูอีกบานใกล้กับมุมครัว

เสียงอุทานและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากข้างนอกเป็นระยะๆ ยังผลให้เด็กหนุ่มกลับเย็นวาบที่หลังอย่างห้ามไม่อยู่

ไม่ใช่...นั่นเป็นเสียงของ ‘ศัตรู’ ไม่ใช่เสียงของพวกเรา...ไม่ใช่เสียงเหมือนวันนั้น...

แม้จะมีอาวุธอยู่ในมือ...เขากลับยืนพิงผนัง ภาวนาอย่างแรงกล้าอย่าให้พวกมันคนใดเข้ามาทางนี้ เขาไม่อยากสู้...ไม่อยากฆ่า...ไม่อยากจับดาบ ไม่อยากเห็นของเหลวสีแดงฉานอย่างเมื่อตอนนั้นอีก...

คำภาวนาเห็นจะไม่เป็นผลเมื่อบานประตูเขยื้อนโดยแรง แล้วก็เปิดผลัวะเข้ามา

อาเมียร์กระชับดาบในมือ แล้ววิ่งออกไปโดยพยายามไม่คิดอะไร

เขายังช้าอยู่...เพราะผู้บุกรุกยกอาวุธขึ้นกันได้ทัน แต่วิชาดาบที่ร่ำเรียนมากับ ‘พ่อ’ แต่เล็กจนแทบฝังเป็นสัญชาตญาณก็ช่วยให้รีบเบี่ยงหลบได้ทันที ก่อนจะฟันสวนไปอีกดาบ

เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าคมดาบกินลึกเข้าไปในเนื้อ...มีเสียงร้อง...แล้วร่างนั้นก็งอตัวลง

ใต้แสงเพียงสลัวนี้เขามองไม่เห็นสีแดงของเลือด นั่นอาจทำให้ใจชื้นขึ้นได้บ้าง...หากว่ากลิ่นคาวคลุ้งในระยะใกล้จะไม่ปะทะเต็มๆ จนอยากขย้อนขึ้นมาทันควัน

ร่างที่เขาเพิ่งฟันไปกลับยืดร่างขึ้นยืนโงนเงนอีกครั้ง

ความพะอืดพะอมที่แล่นเป็นริ้วๆ อยู่ในช่องท้องทำให้อาเมียร์ไม่ทันตั้งตัว ดาบของอีกฝ่ายใกล้เข้ามาจนเขารู้สึกได้ถึงลมวูบหนึ่งที่พัดปะทะผิวเนื้อ

อันตราย!

พร้อมๆ กับความคิดที่ผุดขึ้นในศีรษะ...จู่ๆ ดาบของอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งแค่เฉียดผิวของเด็กหนุ่ม ร่างนั้นพลันชะงัก และทรุดลงกับพื้นโดยไม่ได้ร้องอีกเลยสักครั้ง

เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังก่อนจะก้มมองร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น เสียงโหวกเหวกทำให้รีบตั้งสติจับดาบเตรียมพร้อม ทว่าสิ่งที่ได้ยินกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง

“ถอย!”

เสียงนั้นดังไล่กันเป็นทอดๆ อาเมียร์ผลักประตูปิด พยายามลงกลอนซึ่งหักตอนที่ประตูถูกถีบเข้ามาให้พอปิดกั้นคนภายนอกได้ ก่อนจะรอให้เวลาผ่านไป...โดยพยายามไม่มองร่างที่กองอยู่แทบเท้าตน ซึ่งเขาแน่ใจว่าวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว

นานเหลือเกินในความรู้สึก...กว่าประตูหน้าบ้านจะถูกเปิดเข้ามา เขาแทบไม่สงสัยเลยว่าด้วยมือของ ‘พ่อ’

“เจ้าปลอดภัยใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

“พวกมันถอยไปแล้ว...อย่างน้อยก็จากบ้านเรา แต่เห็นแสงไฟอยู่อีกทาง อาจมีบ้านที่ถูกวางเพลิง” ‘พ่อ’ เงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจพูด “เจ้าพอจะดูแลแม่กับน้องๆ ได้ไหม ข้างนอกนั้นคงมีคนต้องการความช่วยเหลือ”

...ไม่...อย่าไป...ข้ารับมือพวกมันไม่ได้หรอก...อย่าให้ข้าต้องทำอย่างนี้อีกเลย...

...ข้าไม่อยากตาย...ไม่อยากให้แม่กับน้องต้องตาย...แต่ก็ไม่อยากฆ่าใครด้วย...


ความคิดเหล่านี้แล่นพล่านจนอาเมียร์ต้องขับไล่พวกมันไปอย่างยากเย็น แล้วก็ผงกศีรษะรับ

“ถ้าเห็นท่าไม่ดี ‘พ่อ’ จะรีบกลับ” อีกฝ่ายรับรองพลางใช้ท่อนแขนซ้ายที่เหลืออยู่ตบบ่าเขาเบาๆ “อย่าคิดมาก...บางครั้งเราก็จำเป็นต้องฆ่าเพื่อปกป้องคนที่เรารัก แล้วพวกมันก็ไม่ใช่คนที่ดีนักหรอก”

‘พ่อ’ พูดเท่านั้นก็ตรงไปที่ประตู และจากไปอีกครั้ง

เด็กหนุ่มเหลือบมองศพแทบเท้าตนอีกแวบหนึ่ง เขากลืนน้ำลายฝืดๆ ขณะพยายามไม่คิดว่าสิ่งที่กองอยู่ตรงนั้นคือสิ่งที่เคยเป็นมนุษย์เหมือนกับเขา...และเพิ่งขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้จนครู่ก่อนหน้านี้เอง

...กระนั้น...เขาก็ไม่อาจทำใจอยู่กับมันได้นานไปกว่านี้...

อาเมียร์คว้าผ้าขี้ริ้วแถวนั้นมาเช็ดคราบเลือดจากดาบให้หมด ทิ้งผ้าลงบนพื้น แล้วรีบก้าวไปที่ประตูของอีกห้องหนึ่งในบ้าน

ประตูนั้นลงกลอนอยู่ เขาเคาะประตูเบาๆ สองสามครั้งโดยไม่ได้รับเสียงตอบกลับ จึงได้พูดออกไป

“แม่ นี่ข้าเอง”

มีเสียงปลดกลอน ก่อนที่ประตูจะเปิดออกโดยเร็ว

“รีบเข้ามา”

เขาทำตามคำกระซิบของแม่โดยไม่รอช้า ในห้องมืดสลัวนั้นทั้งนาสิรากับฟาร์ฮานาห์ยังนอนห่มผ้าหลับสนิทไม่รู้เรื่องราวบนเตียงเล็กๆ ของตน

แม่ลงกลอนประตูอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงบนเตียงคู่อีกหลัง อาเมียร์เห็นว่ามือของแม่ยังจับด้ามมีดสั้นทรงโค้งของ ‘พ่อ’ ไว้แน่น

“เมื่อครู่แม่ได้ยินเสียงแถวๆ ครัว...ลูกปลอดภัยใช่ไหม”

เด็กหนุ่มจำใจพยักหน้า

“มีคนหนึ่งบุกเข้ามา แต่ข้า...” เขากลืนน้ำลายอีกครั้ง “...ข้า...ฆ่าไปแล้ว”

หากแม่จะประหลาดใจบ้าง...ท่าทีของแม่ก็ยังคงเรียบเฉย และริมฝีปากเอ่ยถามอีกอย่าง

“แล้ว ‘พ่อ’ ล่ะ”

“ตอนนี้ออกไปข้างนอก ‘พ่อ’ จัดการพวกที่มาที่บ้านเราหมดแล้ว แต่ในหมู่บ้านคงยังมีคนต้องการความช่วยเหลือ”

“จ้ะ” แม่รับลอยๆ ครั้นเห็นเขายังยืนอยู่ก็ตบฟูกข้างๆ ตัวเบาๆ “อย่างน้อยเราต้องรอจนกว่า ‘พ่อ’ จะกลับมา...หรือไม่ก็ถึงเช้า ลูกนั่งก่อนเถอะ”

อาเมียร์ทำตามคำบอกเช่นเคย แล้วก็ได้แต่เหลือบมองหญิงข้างกายซึ่งนิ่งเงียบ มือข้างหนึ่งประคองมีดสั้นในฝักไว้ ขณะที่อีกข้างทาบบนครรภ์ที่นูนออกมา สายตาดูจะทอดมองลูกสาวเล็กๆ อีกสองคนอย่างแน่วแน่...ราวกับตั้งใจไว้แล้วว่าจะปกป้องพวกแกไว้ให้จงได้

...ในชั่วครู่นั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนแม่ได้กลับเป็นเสด็จแม่...เป็นราชินีสิมาริเมสผู้ทั้งอ่อนโยนและแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยวได้ในคนเดียวกันอีกครั้ง

...เหมือนตอนที่...

เขาเบิกตาโพลงเมื่อภาพในฝันย้อนกลับมาอีกครั้ง...แผ่นหลังขาวนวลที่ชุ่มโชกด้วยเลือด...แจ่มชัดต่อหน้าต่อตาราวกับเขากำลังยืนมองอยู่แค่เพียงเบื้องหน้า...

เลือด...ใช่เลือดจริงๆ...สีแดงของมันสะท้อนแสงเข้าตา...กลิ่นคาวยังติดอยู่แค่เพียงปลายจมูก

เด็กหนุ่มเผลอร้องออกมา สองมือยกขึ้นกุมหน้าผากเมื่ออาการปวดอย่างประหลาดวาบขึ้นในทันใด

“อาเมียร์!” มีเสียงร้อง...พร้อมกับมือที่โอบเขาไว้ “เป็นอะไรไปหรือลูก...”

เขาสั่นศีรษะ...แต่ยิ่งทำเช่นนั้นก็ยิ่งปวดตุบๆ เสียงกรีดร้องยังดังไม่หาย...แล้วยังเสียงดาบฟาดฟันตัดเนื้อและกระดูก...เหมือนกับเสียงที่เขาเพิ่งทำให้เกิดขึ้นและได้ยินชัดเจนอยู่เมื่อครู่ก่อนหน้านี้เอง

ที่มาพร้อมกับเสียงนั้นคือของเหลวสีแดง...ของเหลวสีแดงที่เคยรายรอบตัวเขา ของเหลวที่ส่งกลิ่นเหมือนด้ามโลหะของดาบที่เขาเพิ่งกำไว้ในมือ...และใช้ฟาดฟันเพื่อสร้างของเหลวที่ส่งกลิ่นเช่นนั้นให้ฉุนคาวกว่าเดิม

แล้วของเหลวอุ่นๆ ก็เริ่มรินลงมาตามใบหน้า...ตามมาด้วยเสียงสะอื้นที่เขาไม่ทันห้าม

“...นิ่งเสียนะ...” วงแขนบอบบางยังคงกอดเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมถ้อยคำนั้น “นิ่งเสียลูก...มันจบลงไปแล้ว...ไม่มีใครเป็นอะไร...พวกเราปลอดภัย...แล้ว ‘พ่อ’ ก็ต้องปลอดภัยด้วย ลูกไม่ได้ทำผิด...ลูกทำเพื่อปกป้องนาสิรา ฟาร์ฮานาห์ กับแม่ กับน้องเล็กไว้ต่างหาก”

เขาไม่ตอบ ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหล...ปล่อยให้สองมือที่เพิ่งคร่าชีวิตไปสั่นเทิ้มโดยไม่อาจหยุดพวกมันได้ ลำคอตีบตันไม่ยอมให้ถ้อยคำใดๆ ผ่าน ในสมองก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ ด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกอย่างไร...และร้องไห้เหมือนเด็กๆ เพราะอะไร

กระนั้น...แม่ก็ยังปลอบโยนเขาด้วยอ้อมกอดและมือที่ลูบบนแผ่นหลังอย่างเงียบๆ ไม่มีคำปรามหรือตำหนิติเตียนที่เขาไม่ทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชาย หรือคำถามว่าทำไมจู่ๆ เขาจึงกลับอ่อนแอขึ้นมา

...เหมือนกับเขายังเป็นลูกน้อยคนเดิมของท่านอยู่เสมอ...

“...ไม่เอาแล้ว...” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เค้นคำพูดออกมาได้สำเร็จ “...ข้าไม่อยากเห็นของแบบนั้นอีก...ข้าไม่อยากทำแบบนั้นเลย...มันน่ากลัวเหลือเกิน...แม่...ข้า...ข้าไม่อยากเห็นหรือได้กลิ่นเลือดอีกด้วยซ้ำ...”

“ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรเลยที่ลูกจะกลัว...พวกเราทุกคนก็กลัวทั้งนั้น” แม่กระซิบ “แม่รู้จ้ะ...เราเจอเรื่องแบบนี้มามาก แม่รู้ว่าทำไมลูกถึงกลัว”

“แต่...แต่ข้าไม่ควรจะกลัวไม่ใช่หรือ...ข้าเป็นผู้ชาย...ผู้ชายต้องเป็นนักรบ...แล้วนักรบที่ไหนกันที่เขากลัว...”

“ลูกไม่จำเป็นต้องเป็นนักรบหรอก หากลูกไม่ต้องการ” แม่พูดหนักแน่น “แม่ไม่ขอให้ลูกเป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากคนดี...คนที่เห็นใจความทุกข์ของคนอื่นๆ และพยายามไม่เบียดเบียนใคร เท่านั้นก็พอแล้ว”

“แต่ข้า...ข้า...”

“พ่อก็เข้าใจลูกเหมือนกัน กระทั่งพ่อยังไม่อยากเป็นนักรบเลยเห็นไหม พ่อก็ไม่อยากให้มือต้องเปื้อนเลือดไปมากกว่านี้หรอก” แม่ลูบศีรษะของเขา “นอกจากเพื่อปกป้องพวกเรา”

เด็กหนุ่มพยายามคิดตามนั้น...เขาจำเป็นต้องทำเพื่อตนเอง และเพื่อคนที่เขารักอีกสามคนไม่ใช่หรือ ทว่าความคิดก็ไม่อาจระงับน้ำตาที่หลั่งไหล

“ระบายออกมาเถอะจ้ะ” แม่กลับบอก “มีอะไรก็พูดออกมา...ร้องออกมาเสียให้พอ ลูกจะได้สบายใจขึ้น”

และเขาก็ทำตามคำบอก...ระบาย...ร้องไห้...คร่ำครวญ...ทำสิ่งที่เขาไม่คิดเลยว่าตนควรทำ แม้ต่อหน้าคนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดอย่างแม่ก็ตาม

* * *


เมื่อช่วงเวลาของความรู้สึกที่ปั่นป่วนจนบรรยายไม่ถูกผ่านไปพร้อมกับการแห้งเหือดของกระแสน้ำตา เด็กหนุ่มค่อยรู้สึกโล่งใจ แต่ขณะเดียวกันก็กลับละอายขึ้นมาแทนที่มีคนรับรู้ความอ่อนแอของตน

แม่เสียอีกกลับเป็นฝ่ายปล่อยให้เหตุการณ์นั้นผ่านไปอย่างเงียบๆ และอย่างน้อยก็คงถือเป็นโชคดีที่ ‘พ่อ’ กลับมาหลังจากนั้น

แม่เปิดประตูรับท่านเข้ามาหลังได้ยินเสียงเคาะประตูและน้ำเสียงที่ยืนยัน

“เป็นอย่างไรบ้างคะ”

“ไม่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายเท่าที่คิด” ‘พ่อ’ โคลงศีรษะน้อยๆ “ข้าฆ่าพวกมันไปได้บ้าง แต่ยังมีพวกที่หนีรอดไปได้ พวกมันฆ่าแล้วก็จับชาวบ้านไปได้บางส่วน แต่ยังไม่รู้แน่นอนว่ากี่คน”

“คนเจ็บเยอะไหมคะ”

“ไม่ค่อยมีใครเจ็บหนักเท่าไร แต่ที่สำคัญกว่าคือต้องหาคนเก็บรวบรวมศพ” ‘พ่อ’ ตอบขณะที่แม่ถอดเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ ให้ “อย่างน้อยเราคงต้องจัดการที่อยู่ในครัวก่อน เด็กๆ จะได้ไม่ตกใจ ส่วนข้างนอกนั่นพอให้ชาวบ้านมาช่วยทีหลังได้ อาเมียร์...”

“ให้อาเมียร์เฝ้าน้องๆ เถอะค่ะ” แม่ตัดบททันที “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องทำความสะอาดครัวกับทำอาหารอยู่แล้ว จะได้เก็บกวาดเสียทีเดียวเลย”

“แม่ ข้าไม่—” เด็กหนุ่มพยายามแย้ง

แม่หันมายิ้มน้อยๆ ให้เขา แล้วก็พูดสั้นๆ เพียงว่า

“ฝากดูแลน้องด้วยนะจ๊ะ”

“สิมา ตอนนี้เจ้าไม่ควรออกแรงมาก” ‘พ่อ’ ติง

“ตั้งห้าเดือนแล้วนะคะ ไม่เป็นไรหรอก”

แม่พูดเท่านั้นแล้วก็เดินนำไปโดยไม่ฟังใครอีก ทำให้ชายทั้งสองในบ้านรู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางคัดค้าน

‘พ่อ’ โคลงศีรษะแล้วตามออกไป ทิ้งเขาไว้กับเด็กหญิงทั้งสองคนที่ยังหลับใหล...หลับสนิทจนเขาอิจฉาว่าเหตุใดตนจึงไม่ได้หลับสนิท ไม่รู้เรื่องราวอะไรจนเช้าเช่นนี้บ้าง

แต่ถึงเป็นอย่างนั้น ‘พ่อ’ ก็คงต้องปลุกเขาให้มาช่วยเฝ้าแม่กับน้องๆ เพราะเขาเป็นผู้ชายอีกคน เขาอายุสิบเจ็ดซึ่งถือว่าโตแล้ว และเขาเป็นลูกของนักรบ...

นี่คือความรับผิดชอบของเขา...ความรับผิดชอบที่เขาไม่อาจละเลย เพราะนั่นอาจหมายถึงชีวิตของคนอื่นๆ ที่เขารัก

แต่นี่มันเรื่องอะไรกัน...ทำไม...

ทำไมโลกนี้จึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงต้องมีการฆ่าฟัน หากใครสักคนหยุดวงจรของการฆ่าฟันนี้ได้จะดีเพียงไร

อาเมียร์ได้แต่สั่นศีรษะเมื่อตระหนักว่านั่นเป็นได้เพียงอุดมคติ

เสด็จพ่อยังเคยตรัสไม่ใช่หรือ ว่า “การฆ่าเพื่อปกป้อง” นั้นมีอยู่ “การเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่า” นั้นก็มีอยู่ กระทั่งเสด็จพ่อเองยังต้องฆ่าฟันข้าศึก และสละพระชนม์ชีพของท่านเพื่อให้โอรสและประชาชนได้มีโอกาสหลบหนีไม่ใช่หรือ

หากการฆ่าเป็นสิ่งที่ใครๆ บอกว่าผิด...แล้วเหตุใดคนที่ไม่อาจฆ่าผู้อื่นจึงกลายเป็นคนอ่อนแอที่ต้องทุกข์ทน และไร้พลังเสียเหลือเกิน

“อาเมียร์”

ความคิดของเด็กหนุ่มสะดุดลงเมื่อมีเสียงเรียกและเสียงเปิดประตู

แม่ชะโงกหน้าเข้ามา

“แม่อบขนมปังไว้แล้วนะจ๊ะ ไว้กินกับเนื้อรมควันที่แขวนอยู่ ส่วนผักแม่แช่ไว้ในอ่าง ถ้าน้องๆ ตื่น ลูกก็ทำอาหารเช้ากินไปก่อนเลยนะ แม่จะออกไปกับพ่อหน่อย”

“แม่อยู่ที่นี่เถอะ” อาเมียร์ตัดสินใจพูด “ข้าจะออกไปช่วยพวกชาวบ้านกับ ‘พ่อ’ เอง”

แม่มีสีหน้าเป็นกังวล แม้จะไม่คัดค้านออกมาตรงๆ

“ข้าไม่เป็นไรแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ พร้อมกับพยายามยิ้ม “ให้ข้าไปเถอะ”

“ทั้งศพทั้งเลือดเต็มไปหมด เจ้าไหวหรือ” เสียงของ ‘พ่อ’ ถามอยู่ด้านหลังแม่ ราวกับรู้อาการของเขาดี

แม่บอกหรือ...อาเมียร์คิดอย่างไม่สบายใจ และออกจะน้อยใจ กระนั้นเขาก็พยายามรับให้หนักแน่นที่สุด

“ไหว”

‘พ่อ’ กับแม่ของเขาหันไปมองหน้ากันครู่หนึ่งเหมือนจะถามความเห็นกันเงียบๆ ก่อนที่ ‘พ่อ’ จะเป็นฝ่ายตอบ

“ได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ้าต้องบอกกันล่ะ”

* * *


จริงอย่างที่ ‘พ่อ’ พูด ศพของโจรซึ่งสวมชุดทะมัดทะแมงสีดำราวห้าหกศพกองระเกะระกะในบริเวณไร่ของเขา โดยเฉพาะหน้าบ้าน นอกเหนือจากนั้นก็มีกระจายกันไปตามที่ต่างๆ

ไม่เป็นไร...ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลย...เด็กหนุ่มย้ำกับตนเองพร้อมกับพยายามไม่มองศพใดศพหนึ่งหรือกองเลือดที่ใดที่หนึ่งให้นานเกินไป หากทำเช่นนี้เขาก็พอเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่หวั่นผวานัก

แต่ก้าวไปได้ไม่นาน...

“...ลูกแม่!...โถลูกแม่...”

เสียงร้องไห้โหยหวนดังมาจากบ้านที่อยู่เพียงใกล้ๆ ...เด็กหนุ่มใจหายวาบเมื่อจำได้ว่านั่นคือเสียงของแม่ของเกล็น

ครั้นเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้...ก็พบนางทิ้งตัวเกลือกหน้ากับอกของร่างหนึ่งที่นอนแน่นิ่งกับพื้น ร่างที่มีผมสีฟาง ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างและริมฝีปากอ้าค้างราวกับยังเรียกชื่อใดชื่อหนึ่งไม่จบ ส่วนมือข้างหนึ่งยังไม่คลายจากด้ามคราดที่ข้างตัว

ทั้งปลายคราดและบนร่างนั้นเปื้อนเปรอะคราบเลือด และมีรอยเลือดหยดเป็นทางไปจนถึงร่างในชุดสีดำที่นอนคว่ำอยู่อีกร่างหนึ่งไม่ไกลนัก

ชายวัยกลางคนอีกคนยืนก้มหน้าสงบนิ่งเหมือนกำลังข่มใจอยู่ข้างๆ หญิงที่คร่ำครวญหวนไห้ ขณะที่ใจของอาเมียร์เต้นระรัว กวาดมองไปโดยรอบเพื่อมองหาใครอีกสองคนที่ควรจะอยู่ในบริเวณนี้ด้วย

...แต่ก็ไม่พบ...

“ลีชากับก็อธฟรีด์...” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็กระซิบกับ ‘พ่อ’

“ถูกพวกมันเอาตัวไป” ชายผู้สูงวัยกว่าพูดเคร่งขรึม “กับพวกผู้หญิงกับเด็กคนอื่นๆ...เห็นเขาว่ากันว่าอย่างนั้น”

อาเมียร์กำมือแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อพร้อมกับเบือนหน้าหลบ

อีกแล้วหรือ...การฆ่าฟัน...ฉุดคร่า...ปล้นสะดม...ที่นี่ก็ไม่ต่างจากอาณาจักรที่ล่มสลาย หรือทะเลทรายที่พวกเขาหนีมาเลยใช่ไหม

พ่อของเกล็นสังเกตเห็นทั้งสอง แล้วจึงเดินเข้ามา เอ่ยเรียบๆ แม้สีหน้าจะดูสลด

“หัวหน้าหมู่บ้านเรียกประชุมอีกครึ่งชั่วยามหน้า พวกเจ้าจะไปหรือเปล่า”

ซิอ์บุลรับคำ ขณะที่ใจของเด็กหนุ่มจดจ่อปั่นป่วนอยู่แต่กับความคิดถึงคนที่เขาเพิ่งพูดคุยด้วย...คนที่เพิ่งบอกความลับที่ไม่เคยบอกใครให้เขาฟังเมื่อเที่ยงวาน ก่อนจะมีอันต้องหมดลมหายใจโดยไม่ควรในเวลาไม่ถึงวันเดียวต่อมา

...แล้วก็คนที่คนคนนั้นต้องการปกป้องและห่วงใยยิ่งชีวิตอีกสองคน...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบัดนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร...


บทที่ ๓ การช่วยเหลือ

* * *


เขียนตอนนี้แล้วผมก็เสียดายตัวละครอย่างเกล็นแฮะ ที่ออกมาได้แค่สองตอนก็ต้องตายจากกันไปแล้ว (ถึงผมจะวางไว้ให้เขาต้องตายในทีแรกแล้วก็เถอะ) เกล็นเป็นคนที่ดูซื่อๆ ไม่ฉลาดมาก แต่ก็เป็นลูกผู้ชายตัวจริงคนหนึ่งล่ะครับ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเขียนเรื่องเบื้องหลังของเกล็นกับลีชาให้จบสมบูรณ์เหมือนกันว่ามาพบกันและรักกันได้อย่างไร

ส่วนเรื่องที่อาเมียร์หรือทัมมุซกลัวเลือดและการฆ่ามาจากความฝังใจในตอนเด็กเมื่ออาณาจักรล่มสลาย ถ้าเป็นไปได้เขาก็คงไม่อยากฆ่าใครก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์รอบด้านที่เป็นไปก็นับเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาเมียร์ก็ต้องผ่านความรู้สึกในตอนนี้ไปให้ได้ครับ

คุณ kanhompung - ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะครับ ^^




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2551    
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 9:55:02 น.
Counter : 263 Pageviews.  

บทที่ ๑ - ชีวิตใหม่ในแดนเหนือ

บทที่ ๑ ชีวิตใหม่ในแดนเหนือ


ท่ามกลางแสงสีแดงแสบตาที่ไหวระริก...

แผ่นหลังของชายคนหนึ่งอยู่เบื้องหน้า...ชายร่างสูงโปร่งในชุดสีน้ำเงินภูมิฐาน สวมมงกุฎประดับเพชรพลอยแวววาวและเขาสัตว์เด่นสง่า ชายที่เขาจำได้ดี...รายล้อมด้วยซากปรักหักพังในกองเพลิงของเมืองที่เขาจำได้ดี

“ทัมมุซต้องรอดชีวิตไปให้ได้...ไม่ต้องคิดว่าจะล้างแค้นให้พ่อหรืออาณาจักร...ไม่ต้องคิดว่าจะกอบกู้อาณาจักรของเราขึ้นมา...แต่เลือกเส้นทางชีวิตของลูกเอง...ตามที่ลูกต้องการจริงๆ”

ประกายของคมดาบฟาดฟันในชั่วแวบ...แล้วร่างนั้นก็อันตรธานไปเสียเฉยๆ ประหนึ่งสลายหายเป็นเถ้าธุลี

“เสด็จพ่อ–!!”

ผู้มองร่ำร้อง เท้าวิ่งกวดไปยังที่ที่ร่างนั้นเคยยืนอยู่ แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นเหล่าร่างแน่นิ่งที่ทอดระเกะระกะ...บนของเหลวสีแดงฉานที่นองแผ่กว้าง

ร่างคุดคู้ของหญิงคนหนึ่งดึงดูดสายตาของเขาที่สุด เธอนอนตะแคงหันหลังให้กับเขา สองแขนประสานกอดบางสิ่งที่เขาไม่อาจมองเห็นไว้แนบอกเหมือนจะปกป้องไว้ให้ได้ เสื้อด้านหลังของเธอขาดเป็นรอยกว้าง เผยให้เห็นรอยกรีดยาวเหวอะหวะหลายรอยบนแผ่นหลังที่มีเลือดอาบชุ่มโชก...

“เสด็จแม่–!!”


* * *

ภาพเบื้องหน้าคือขื่อและเพดานไม้ที่ยังไม่คุ้นตา เด็กหนุ่มค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ลุกขึ้นนั่งให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ ในห้องต้องพลอยตื่นขึ้นมาด้วย

แสงสีเงินรางๆ จากหน้าต่างบอกว่าฟ้ายังไม่สางดี แต่เขาก็ไม่ได้ง่วงจนอยากนอนต่ออีกครั้ง จึงได้ลุกจากฟูกหมายจะจัดแจงแต่งตัว เพื่อรีบออกไปทำงานที่ต้องจัดการในวันนี้ให้เร็วขึ้นกว่าเดิมสักนิด

กระนั้น...แค่เสียงแสกสากแผ่วเบาก็ไม่อาจหลุดรอดประสาทหูของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้

“ยังไม่เช้าเลยนี่” เสียงทุ้มต่ำออกอู้อี้ทักจากฟูกสองใบต่อกันในมุมห้องอีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นอนชั่วคราวของ ‘พ่อ’ แม่ และน้องทั้งสองของเขา

“ข้าไม่ง่วง เริ่มงานเร็วหน่อยจะได้ไถนาได้มากขึ้น”

ครั้นเห็นเงาร่างของอีกฝ่ายทำท่าจะลุกขึ้นนั่งเช่นกัน เด็กหนุ่มก็ชิงพูดเสียก่อน

“‘พ่อ’ นอนต่อเถอะ ข้าจัดการเองได้” เด็กหนุ่มรับรอง “ข้าจำวิธีเทียมวัวกับไถนาได้หมดแล้ว”

ชายสูงวัยกว่าเพียงมองเขานิ่งอยู่ เหมือนจะประเมินความน่าเชื่อถือของคำพูดนั้น

“ก็ได้ แต่อย่าหักโหมนัก ไม่ว่าเจ้าหรือวัวจะเหนื่อยก็พักเสียบ้าง”

แล้วอีกฝ่ายจึงเอนลงตามเดิม ปล่อยให้เด็กหนุ่มก้าวไปที่ประตู ผลุบออกไป แล้วปิดมันลงเบาๆ

* * *

เช้ามืดของฤดูใบไม้ผลิในดินแดนเหนืออากาศเย็นกว่าที่เขาเคยคุ้น เจ้าวัวหนุ่มในคอกร้องอุทธรณ์เล็กน้อยเมื่อถูกตามตัวเร็วกว่าที่คิด แต่ด้วยประสบการณ์ดูแลสัตว์ที่มีมาราวๆ สามสี่ปี เขาก็ทำให้มันสงบลงได้ไม่ยาก และไม่นานทั้งสองก็ค่อยๆ เดินไปช้าๆ ท่ามกลางผืนดินว่างเปล่าที่ล้อมรั้วไม้หยาบๆ โดยมีคันไถคั่นกลาง คอยกรีดพลิกหน้าดินเป็นทาง

ความคิดของมนุษย์หลังคันไถก็ดูจะพลิกผัน...ให้สิ่งเก่าๆ ที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ถูกเปิดเผยขึ้นมาเหมือนดินผืนนั้น

หกปีแล้วสินะ...

องค์ชายรัชทายาท ‘ทัมมุซ’ มีพระชนมายุสิบเอ็ดชันษาเมื่อสูญเสียทั้งเสด็จพ่อ ราชบัลลังก์ อาณาจักร และพระนาม เหลือเพียงชีวิตที่ไร้ตัวตน...และความทรงจำที่บางครั้งก็ขาดห้วงเลือนราง

ส่วน ‘อาเมียร์’ วัยสิบเจ็ดมีครอบครัวที่คนนอกต้องบอกว่าอบอุ่น...

...ซิอ์บุล ‘พ่อ’ ของเขาเป็นอดีตนักรบรับจ้างชื่อลือเลื่องในทะเลทราย ผู้ยอมวางมือที่เหลืออยู่ข้างเดียวจากดาบมาจับคันไถในดินแดนใหม่เพื่อให้ลูกๆ ทั้งสามได้พบกับชีวิตที่สงบสุขกว่า...

...สิมา แม่ของเขาเป็นศรีภรรยาที่ไม่มีสิ่งใดบกพร่องพอๆ กับเป็นแม่ที่อ่อนโยนและอุทิศตนให้แก่ลูกๆ...

...นาสิรากับฟาร์ฮานาห์ น้องสาววัยห้าขวบกับสามขวบของเขาอาจจะทะเลาะกันบ้างตามประสาเด็ก แต่ก็เชื่อฟังผู้ใหญ่และไม่ดื้อหรือเกเรจนเกินไป...

...‘พ่อ’ กับแม่ของเขารักใคร่ผูกพันกันดี และก็กำลังจะมีลูกคนที่สี่ในราวห้าหกเดือนข้างหน้า...

ชีวิตของอาเมียร์ที่มี ‘พ่อ’ แม่อยู่พร้อมหน้ากับน้องๆ ไม่ควรจะมีปัญหาใดๆ มิใช่หรือ

...หากว่า ‘อาเมียร์’ สามารถลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ‘องค์ชายทัมมุซ’ ได้...

แต่...ถึงอย่างไรก็ไม่ได้...

เขาพยายามแล้ว พยายามลืมชีวิตในอดีต พยายามยอมรับว่าองค์ชายทัมมุซไม่มีตัวตนอยู่จริงอีกต่อไป กระนั้นแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ถิ่นฐานของพวกเขาจะเปลี่ยนไปที่ใด...เขาก็ไม่อาจลืมได้ว่าพ่อแท้ๆ ของเขาคือพระเจ้าดอร์มินผู้ล่วงลับ และ ‘ท่านพ่อ’ ซิอ์บุลในยามนี้เคยเป็นเสด็จอาเนมอส...พระอนุชาของพระบิดาของเขา คนที่ยอมเสียแขนซ้ายไปด้วยคมอาวุธเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ คนที่เสด็จพ่อบอกเขาไว้ว่าเคยเป็นคนรักและคู่หมั้นของเสด็จแม่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง...ในเมื่อทั้งสองดูจะสนิทสนมกันกว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ในความทรงจำของเขาเสียอีก

ซ้ำ...เหนือสิ่งอื่นใด...ยังมีตำนานถึงอาณาจักรมนตราอันสาบสูญ ซึ่งถูกเล่าขานว่าพินาศสิ้นด้วยน้ำมือของราชินีสิมาริเมสผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นธิดาแห่งอสูรร้าย และความฝันถึงวันวิปโยค...วันที่องค์ชายทัมมุซสูญเสียตัวตนไปพร้อมๆ กับชีวิตมากมาย วันที่โลหิตหลั่งนองอยู่รอบกายเด็กชายซึ่งนั่งขดตัวซ่อนในถังไม้ท่ามกลางเสียงกรีดร้องยังตามหลอกหลอนอยู่ร่ำไป

“ตื่นเช้าจริงนะ” เสียงห้าวๆ ทำให้เด็กหนุ่มหันขวับไป พบชายอีกคนยืนพิงรั้วไม้นอกไร่ของบ้านเขา ข้างๆ ลาที่บรรทุกไม้ฟืนไว้บนหลัง

“สวัสดี” อาเมียร์ทักตอบ “ข้ากลัวจะเพาะปลูกไม่ทัน เลยต้องรีบทำงานหน่อย”

“ทันถมไป ไร่ข้ายังไม่ได้ไถเลย” อีกฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะ “ว่าแต่...ได้ยินว่าครอบครัวเจ้าอพยพมาจากทะเลทรายหรือ”

“ใช่”

“ข้าชื่อเกล็น บ้านอยู่ตรงนี้เอง” คนพูดชี้ไปทางหลังคามุงฟางที่เห็นอยู่ไม่ไกล “พ่อบอกว่าคนซื้อกระท่อมกับไร่ของเฒ่าฟินน์เพิ่งมาเมื่อวาน เลยว่าจะมาทักทายสักหน่อย”

“ข้าชื่ออาเมียร์” คนตอบนิ่งนึกครู่หนึ่งแล้วก็เสริม “ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” เกล็นยื่นมือข้างหนึ่งข้ามเหนือรั้ว “แต่ถ้ายินดีที่ได้รู้จัก...ธรรมเนียมบ้านเราเขาให้จับมือกัน”

“อ้อ” เด็กหนุ่มต่างถิ่นเพิ่งนึกออก “แต่มือข้าเปื้อนดินอยู่”

“ข้าเพิ่งไปตัดไม้มา มือก็ไม่ได้สะอาดกว่ากันนักหรอก อย่าเกรงใจเลย” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆ

อาเมียร์ถูมือกับชายเสื้อให้พอสะอาดขึ้นบ้าง แล้วก็ผละจากไถกับวัวไปที่รั้ว เมื่อยืนใกล้ๆ เกล็น เขาก็พบว่าความสูงของทั้งสองเห็นจะไม่ต่างกันมากนัก แม้ฝ่ายเจ้าบ้านจะดูกำยำกว่า เกล็นมีผมสีฟาง ตาสีฟ้าสว่างตามแบบคนในดินแดนเหนือที่มีทั้งสีผมและสีตาอ่อนแก่แตกต่างกันไป ผิดกับครอบครัวของเขา...ชาวอาณาจักรทางใต้ที่มีผมสีดำสนิท และตาสีน้ำตาลหรือดำ

ทุกๆ คนในบ้านของเขามีผมและตาสีดำสนิท ยกเว้นแม่คนเดียวที่มีนัยน์ตาสีอำพันแปลกตากระทั่งกับคนอาณาจักรเดียวกัน

พอจับมือกัน เขาก็พบว่ามือของเกล็นใหญ่หนาและสากกร้านกว่าเขามาก เด็กหนุ่มจึงโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรถึงมือที่ค่อนข้างบางและนิ้วยาวเรียวของตน ซึ่งถ้าพิจารณารวมกับผมยาวสีดำที่เขารวบมัดไว้ข้างหลังก็ยิ่งขับให้เค้าหน้าค่อนไปทางผู้หญิงขึ้นไปอีก

“บ้านเจ้ามีกี่คนหรือ” เกล็นซัก

“ห้า...แต่อีกไม่นานจะเป็นหก มี ‘พ่อ’ แม่ ข้ากับน้องสาวอีกสองคน เดี๋ยวจะมีน้องอีกคน”

“เจ้าอายุเท่าไร”

“สิบเจ็ด”

“เท่ากับข้าเลยนี่นา”

คำบอกนั้นทำให้อาเมียร์เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ในทีแรกเขาคิดว่าเกล็นอายุมากกว่าเสียอีก แต่เมื่อแสงแดดที่เริ่มส่องสว่างช่วยให้เห็นชายตรงหน้าชัดขึ้น ก็พบว่าใบหน้านั้นอ่อนเยาว์กว่าที่คิด

“เอ้อ...เดี๋ยวข้าต้องไปก่อน แล้วเจอกัน” เด็กหนุ่มเจ้าถิ่นนิ่งนึกชั่วอึดใจก่อนจะทิ้งท้าย “หวังว่าเจ้าคงชอบกลาสเดลของเรา”

“ฮื่อ” อาเมียร์ยิ้มรับกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่เขาพบเป็นคนแรกในหมู่บ้านกลาสเดล...หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งภายในอาณาจักรธีร์ดีเร

* * *

ธีร์ดีเรเป็นอาณาจักรที่อยู่เหนือสุดของผืนแผ่นดิน ล้อมรอบด้วยทะเลในทิศเหนือและทิศตะวันตก นครหลวงคือเมอร์คาห์ เมืองท่าบนอ่าวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกจากพื้นที่รอบเมืองหลวงซึ่งอยู่ใต้การปกครองขององค์กษัตริย์โดยตรง อาณาจักรแห่งนี้ประกอบด้วยสามมณฑลใหญ่ คือยาร์ลาธทางตะวันตก อุลทูร์ทางเหนือ และชอร์ซาทางตะวันออก มีเจ้ามณฑลเป็นผู้ปกครองแต่ละแห่ง ... ในรัชสมัยของพระเจ้าแอร์กาด กษัตริย์พระองค์ที่ห้าและองค์ปัจจุบันแห่งราชวงศ์อลาสตาร์ ได้มีการผนวกดินแดนที่ถูกยึดครองโดยเผ่าอัสลาน เผ่าเร่ร่อนในทุ่งกว้างทางตะวันออกที่มักปล้นสะดมชาวธีร์ดีเรอยู่เนืองๆ เข้ากับพรมแดนของมณฑลชอร์ซา ยังผลให้อาณาเขตแผ่ขยายออกไปจากเดิมมาก...

เด็กหนุ่มละสายตาจากหน้ากระดาษก่อนจะถอนใจเฮือกเมื่อคิดถึงภาพทิวทุ่งอันอุดมสมบูรณ์ในความทรงจำของการเดินทาง กลาสเดล...หมู่บ้านกสิกรรมแห่งนี้อยู่ในมณฑลชอร์ซา ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ห่างจากที่ราบของเผ่าอัสลานที่ถูกกวาดล้างสังหารไปเมื่อสิบห้าปีก่อนนัก

และหนังสือ ประวัติการครองราชย์ขององค์ราชา เล่มนี้ก็ย่อมเขียนขึ้นก่อนการสวรรคตของพระเจ้าแอร์กาด ตามที่เขาได้ยินมาว่าทั้งราชา ราชินี กับเจ้าชายรัชทายาทถูกผู้รอดชีวิตจากเผ่าอัสลานโจมตีลอบสังหาร เหลือเพียงเจ้าหญิงองค์เล็กที่ยังอายุน้อยอยู่ภายใต้การดูแลของผู้สำเร็จราชการ รอพิธีสยุมพรและอภิเษกสมรสกับผู้ที่มีคุณสมบัติคู่ควรเป็นราชาพระองค์ใหม่

การฆ่าฟันล้างแค้นกันไปมา...ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังมีไม่เปลี่ยนเลยหรือ

เสียงร้องไห้จ้าทำให้อาเมียร์รีบปิดหนังสือแล้วตรงไปที่อีกมุมหนึ่งของลานหลังบ้าน เจ้าของเสียงคือนาสิรา และต้นเหตุก็คงจะมาจากด้ายสีดำเป็นกระจุกในมือของเด็กหญิงตัวเล็กกว่า กับตุ๊กตาที่คว่ำหน้าอยู่บนพื้น ซึ่งเป็นตัวโปรดของคนร้องไห้

เด็กหนุ่มกลั้นเสียงถอนใจไว้ อุตส่าห์นึกว่าเสร็จงานตอนบ่ายแก่ๆ แล้วจะได้อาศัยแสงแดดยามเย็นอ่านหนังสืออีกสักหน่อยเสียอีก

“มีเรื่องอะไรกัน”

“น้องทำฮานาผมหลุด” คนโตกว่าชี้พลางฟ้อง

คนตัวเล็กกว่าตอบด้วยเสียงเหมือนจะปล่อยโฮ

“เปล่าตั้งใจนะ...แค่อยากเล่นด้วย”

“ตุ๊กตาตัวก็มี ตัวไม่เล่นล่ะ”

“ก็อยากให้พี่เล่นด้วยกันนี่”

“ไม่เอาๆ อย่าทะเลาะกัน” อาเมียร์เข้าไปห้าม “ฟาร์ฮานาห์ไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่หรือ”

“แต่ฮานา...”

“แม่ซ่อมให้ได้นี่” เขาก้มลงเก็บตุ๊กตาขึ้นมา แล้วก็หยิบกระจุกด้ายจากมือของน้องสาวคนเล็ก “นาสิราเล่นกับน้องหน่อยสิ เรื่องแค่นี้เอง”

“แต่ข้าไม่อยากเล่นกับฟาร์ฮานาห์ ข้าอยากเล่นคนเดียวบ้าง”

เอาอีกแล้ว...เด็กหนุ่มแทบโคลงศีรษะ เมื่อเทียบน้องสาวทั้งสองคนของเขา นาสิราดูจะเป็นฝ่ายที่หัวแข็ง เจ้าอารมณ์และยอมสงบศึกยากกว่าจริงๆ ขณะที่ฟาร์ฮานาห์ผู้ขี้อายและชอบเดินตามพี่ต้อยๆ พร้อมจะร้องไห้ทันทีที่อีกฝ่ายแสดงท่าทางว่าไม่ต้องการอยู่ด้วย

ครั้งนี้ก็เช่นกัน เด็กหญิงที่ทั้งตัวเล็กและค่อนข้างผอมบางเกินวัยเช็ดน้ำตาป้อยๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“มีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ”

เสียงหวานที่ดังตามมาทำให้พี่ชายคนโตนึกขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ

“นาสิราไม่อยากเล่นกับฟาร์ฮานาห์ ฟาร์ฮานาห์เลยเผลอดึงตุ๊กตาจนผมหลุดน่ะแม่” เขาอธิบายเบาๆ

หญิงสาวผมสีดำ ตาสีอำพันที่เดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กทั้งสองช้าๆ ไม่ให้กระเทือนส่วนกลางลำตัวของเธอที่เริ่มนูนขึ้นน้อยๆ แล้วก็ตั้งคำถามกับคู่กรณีคนแรก

“ทำไมนาสิราถึงไม่อยากเล่นกับฟาร์ฮานาห์ล่ะ”

คนถูกถามเริ่มอึกอัก

“ก็...ก็...ข้าอยากเล่นคนเดียวบ้าง”

“แล้วตอนเด็กๆ นาสิราขอเล่นกับพี่อาเมียร์ทีไร พี่เขาก็เล่นด้วยทุกครั้งไม่ใช่หรือ หรือถ้าเล่นด้วยไม่ได้จริงๆ พี่อาเมียร์ก็จะบอกดีๆ ไม่โมโหใส่นาสิราใช่ไหม แม่เคยบอกว่าพี่น้องกันต้องเป็นอย่างไรกันจ๊ะ”

“รักกัน...พูดกันดีๆ...ไม่ทะเลาะกัน” เจ้าตัวตอบงึมงำ

“แล้วนาสิรารู้ใช่ไหมว่าฟาร์ฮานาห์ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายฮานาหรอก ฟาร์ฮานาห์ก็ชอบฮานาเหมือนกันนี่”

เด็กหญิงยอมพยักหน้า

“ฟาร์ฮานาห์ขอโทษพี่เขานะ ถึงเราจะไม่ได้ตั้งใจ เขาก็เสียใจ นาสิราก็ยกโทษให้น้องด้วยล่ะ แล้ววันหลังถ้าไม่อยากเล่นด้วยก็บอกกันดีๆ แล้วพาน้องมาหาแม่ พ่อหรือพี่อาเมียร์ก็ได้”

“ข้าขอโทษ...” ฟาร์ฮานาห์พูดแผ่วๆ และคู่กรณีก็เข้ามาจับมือด้วย

“...หายกันนะ” คนพี่ตอบง่ายๆ

อาเมียร์ยิ้มแห้งๆ ขณะมองดูแม่ลูบศีรษะเด็กทั้งสอง

“เดี๋ยวแม่จะทำให้ฮานาสวยเหมือนเดิม...ไม่สิ...สวยกว่าเดิมอีกดีไหม”

นาสิราพยักหน้ารับ ทำให้แม่ยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน

“ทีนี้ดีกันได้แล้ว ต่างคนไปเล่นอย่างอื่นกันก่อนไหมจ๊ะ”

“ข้าอยากไปเดินเล่น” นาสิราว่าพลางกระตุกมือเด็กหนุ่ม “พี่อาเมียร์พาข้าไปเดินเล่นนะ”

“ข้าไปด้วย” ฟาร์ฮานาห์รับทันที

เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ กับเด็กหญิงที่ตรงเข้ามาเกาะแขนเขาคนละข้างอย่างเข้ากันเสียเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เพิ่งทะเลาะกันไปเมื่อครู่นี้แท้ๆ

และเขาก็ไม่เห็นทางเลือกอื่น นอกจากส่งตุ๊กตาให้กับแม่ สอดหนังสือไว้ใต้แขน แล้วก็รับ

“ก็ได้”

“ฝากน้องๆ ด้วยนะจ๊ะ” แม่พูดตามหลังทั้งสาม

อาเมียร์เพียงรับคำสั้นๆ ก่อนจะผละไป

* * *

เดินไปได้ไม่ไกล...เด็กหญิงทั้งสองก็ค่อยๆ มีของติดไม้ติดมือเพิ่มเติมมาทีละอย่าง (มักจะเป็นสองชิ้นเหมือนกัน) ตั้งแต่ดอกไม้ใบหญ้า ไปจนถึงก้อนกรวดที่ดูสวยแปลกตา ดูเหมือนทั้งสองจะเห่อพืชพรรณใหม่ๆ ที่ตนไม่เคยเห็นจริงๆ มาก่อนเอามากทีเดียว และซักถามเขาไปตลอดทางว่าที่เห็นหรือที่เก็บมานี่คือต้นอะไร

และหลังจากผ่านบ้านหลังอื่นๆ สิ่งที่เพิ่มมาหลังจากนั้นดูจะเป็นขนมเล็กๆ น้อยๆ ที่เหล่าเพื่อนบ้านมอบให้เด็กๆ ด้วยความเอ็นดูหลังจากพูดคุยกับเด็กหนุ่ม บางคนเป็นคนที่เขากับ ‘พ่อ’ เคยทักทายและแนะนำตัวด้วยแล้วขณะไปตัดไม้มาเตรียมซ่อมแซมและปรับปรุงบ้านในตอนสาย แต่อีกหลายคนเป็นคนที่เคยเห็นเขาหรือคนอื่นๆ ในครอบครัวแต่ไม่เคยพูดคุยด้วย

ในกลุ่มหลังนี้มีหลายคนทีเดียวที่เลียบๆ เคียงๆ ถามเขาว่าเหตุใด ‘พ่อ’ ของเขาจึงแขนขาดไปข้างหนึ่ง อาเมียร์จึงต้องตอบสั้นๆ ว่า “อุบัติเหตุในการทำงาน” อยู่หลายครั้งไม่น้อย แม้จะพยายามทำใจมานานแล้วก็ตามว่าคงมีน้อยคนที่กล้าถามเรื่องนี้กับ ‘พ่อ’ ตรงๆ แต่อยากรู้จนอดถามสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ไม่ได้

ครั้นตะวันคล้อย...ทั้งสามกำลังเดินกลับบ้านพอดีเมื่อได้ยินเสียงเพลงเบาๆ ดังแว่วมา

“หลับเถิดหนาแก้วตาเจ้าเอย นั่นจันทราบนฟ้าราตรี จรลีไปแห่งใด...”

“ใครร้องเพราะจัง” นาสิราตั้งคำถาม

อาเมียร์ชะเง้อมอง แล้วก็พบว่าที่มาของเสียงยืนอยู่แถวพุ่มไม้ริมทางใกล้ๆ เป็นหญิงสาว...ไม่สิ...ที่จริงควรเรียกว่าเด็กสาวคนหนึ่งต่างหาก เธอดูจะมีอายุประมาณสิบห้าสิบหก ผมสีทองสว่าง ร่างเล็กบอบบางอยู่ในชุดหญิงชาวบ้านธรรมดาทั้งเสื้อกระโปรงและผ้ากันเปื้อน มือถือตะกร้าผัก มีกระเป๋าสะพายใส่เด็กอ่อนอยู่ข้างหลัง

เธอเหลือบมาเห็นทั้งสามเช่นกัน จึงหยุดร้องเพลงแล้วเดินเข้ามาหา

“พวกเจ้าคือคนที่ย้ายมาใหม่นี่” เด็กสาวทัก

“สวัสดี” อาเมียร์ตอบ “ข้าชื่ออาเมียร์ ส่วนนี้น้องๆ ของข้า”

“นาสิราค่ะ” เด็กหญิงคนโตกว่าตอบเสียงใสฉะฉาน ตามมาด้วยเสียงเล็กๆ ประหม่าของคนน้อง

“ฟาร์ฮานาห์”

“ข้าชื่อลีชา” เด็กสาวตอบก่อนจะพยักพเยิดไปทางทารกข้างหลัง “แล้วนี่ก็อธฟรีด์”

“น้องชายหรือน้องสาว” นาสิราตั้งคำถาม

“น้องชายจ้ะ” ลีชาตอบยิ้มๆ พร้อมกับเอี้ยวตัวให้มองชัดๆ

อาเมียร์ชะโงกดู พบว่าดวงตาของเด็กทารกเป็นสีเขียวมรกตเหมือนสีตาของเด็กสาว แต่ผมสีเข้มกว่าเป็นสีฟาง

“น้องอายุห่างกันมากเหมือนกันนะขอรับ” เด็กหนุ่มเปรย

ลีชาเสหลบ แก้มของเธอดูแดงเรื่อขึ้น

“ลูกต่างหากล่ะ”

อาเมียร์กะพริบตาปริบๆ หน้าพลอยแดงขึ้นตามขณะละล่ำละลัก

“ข...ขอโทษด้วย”

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” อีกฝ่ายตอบง่ายๆ ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้อีกครั้ง “เจ้ามีน้องๆ เล็กขนาดนี้ จะคิดไปอย่างนั้นก็ไม่แปลกหรอก”

เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ แก้เก้อ และเด็กสาวก็พูดขึ้นอีก

“เจ้าพบเกล็นเมื่อเช้าสินะ เขาเป็นสามีของข้าเอง”

“อ๋อ” อาเมียร์เพิ่งนึกได้ว่าทารกที่มากับลีชามีผมสีเดียวกับเด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีผิด

“เราเป็นเพื่อนบ้านกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอกมาเลยนะ” ลีชาเอ่ย

“ขอบคุณ”

เด็กหนุ่มรับ ก่อนจะสังเกตเห็นเด็กสาวเลื่อนสายตาลงมองสิ่งที่เขาสอดไว้ใต้แขนอย่างประหลาดใจ

“เจ้าอ่านหนังสือด้วยหรือ”

“ก็...อ่านฆ่าเวลาน่ะ พ่อค้าของขบวนสินค้าที่ ‘พ่อ’ เคยทำงานด้วยไม่ต้องการมันแล้ว ข้าเลยขอมา”

“ได้เรียนหนังสือนี่ดีมากนะ” ลีชาพูดจริงจังขึ้นมาทันที “เจ้าไม่ลองไปหางานทำในเมืองดูล่ะ ได้ยินว่าตอนนี้ท่านเจ้าเมืองต้องการหาคนรู้หนังสือมากๆ อยู่ด้วย”

“ไม่ล่ะ ข้าชอบทำไร่ทำนามากกว่า”

เขาเลือกหาคำตอบที่ง่ายและสะดวกที่สุด แม้จะยังกังขาอยู่ไม่หายว่าที่จริงแล้วเขาชอบการทำไร่ไถนา...หรือว่าชอบและอยากทำสิ่งอื่นใดที่ตนเองยังไม่รู้มากกว่ากันแน่

“แต่แถวนี้มีแต่คนอยากเป็นผู้ติดตามขุนนางกันทั้งนั้น ถ้าเลือกได้ล่ะก็ ไม่มีใครอยากเป็นชาวไร่หรอก”

อาเมียร์ยักไหล่

“ครอบครัวข้าอยู่ที่ทะเลทรายมานาน ตอนนี้เลยอยากทำงานที่ได้ใช้ชีวิตสงบๆ ในที่ที่มันร่มรื่นบ้าง” เขาให้เหตุผล “อันที่จริง ที่นี่ก็ดูอุดมสมบูรณ์ดี พืชผลน่าจะงามไม่ใช่หรือ”

“ก็ดีอยู่ แต่ค่าตอบแทนไม่สูงหรอก แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยปลอดภัยด้วย” เด็กสาวตอบ “ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น”

“เรื่อง...” เด็กหนุ่มทวนคำอย่างสงสัย

“ก็...เรื่องฆ่าพระราชาน่ะ”

“อ้อ”

“หลังจากนั้นโจรป่าก็เยอะขึ้น เกล็นบอกว่าถ้าเป็นไปได้ยังอยากหางานในเมืองแล้วพาข้ากับลูกไปอยู่ด้วยเลย ถ้ามีโอกาสจะได้ให้แกเรียนหนังสือ แกจะได้มีงานทำดีกว่านี้”

“อย่างนั้นหรือ” คนฟังอดกังวลไม่ได้กับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน

“แต่โจรป่ามันจะเข้าปล้นหมู่บ้านรอบๆ นอกมากกว่า ไม่เคยมาที่นี่ ก็คงจะไม่มีวันมาหรอก” ลีชาปลอบ

“อือม์” อาเมียร์รับ

“ว่าแต่...ครอบครัวเจ้าจะอยู่ที่นี่นานหรือเปล่า” เด็กสาวซักต่อ

“ก็...’พ่อ’ กับแม่ก็อยากตั้งหลักปักฐานที่นี่นั่นล่ะ”

“อย่างนั้นถ้ามีเวลาว่าง...เจ้าจะช่วยสอนหนังสือให้ลูกข้าได้ไหม”

“ได้สิ” เด็กหนุ่มตอบ แม้จะนึกขันอยู่บ้างว่า...กว่าลูกวัยเพิ่งหัดคลานของอีกฝ่ายจะมาเรียนกับเขาได้ก็ยังต้องใช้เวลาอีกเป็นหลายปี

“ให้แม่สอนให้ก็ได้” นาสิราเอ่ยขึ้นบ้าง “แม่สอนข้ากับฟาร์ฮานาห์เขียนหนังสือล่ะ”

ลีชายิ่งมีสีหน้าประหลาดใจกว่าตอนที่รู้ว่าเด็กหนุ่มอ่านหนังสือเสียอีก

“แม่เจ้าก็เขียนหนังสือได้หรือ”

“อือ” อาเมียร์รีบหาคำอธิบาย “’พ่อ’ กับแม่เป็นคนเมืองมาก่อน เลยมีโอกาสเรียนหนังสือน่ะ”

“อ้อ...” เด็กสาวรับอย่างเข้าใจ “ดีจัง”

“ลีชา! ไปอยู่ที่ไหน! ชักช้าจริงเจ้านี่!”

เสียงเรียกที่ดังมาแว่วๆ ทำให้เจ้าของชื่อเหลียวตาม

“แม่เรียกแล้ว ข้าต้องไปก่อน แล้วพบกันใหม่นะ”

“แล้วพบกันใหม่”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ แล้วก็จูงเด็กหญิงทั้งสองมุ่งหน้ากลับบ้าน อดครุ่นคิดไม่ได้ถึงความได้เปรียบและความหายากของการรู้หนังสือ...ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์ชายทัมมุซไม่เคยรู้ และคิดไปกระทั่งว่าเด็กๆ ทุกคนย่อมมีพ่อหรือแม่ ไม่ก็อาจารย์เป็นผู้สอนหนังสือให้เหมือนกับตนแท้ๆ

อาเมียร์มัวแต่จดจ่อกับเรื่องนี้...จนกระทั่งลืมเรื่องอีกอย่างที่ลีชาบอกไปเสียสนิท เมื่อชีวิตใหม่อันแสนสงบในแดนเหนือผ่านไป...

...แต่ก็ได้เพียงสองเดือนกว่าเท่านั้น...


บทที่ ๒ เหตุร้ายพลันเยือน

* * *


สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ :)

ตำนานสงครามบัลลังก์เหนือ...สำหรับคนที่เคยอ่าน ตำนานอาณาจักรมนตรา มาแล้วคงทราบว่าเรื่องนี้เป็นภาคต่อ ตัวละครหลัก (ตัวหนึ่ง) ของเรื่องก็คือเจ้าชายทัมมุซ หรือ อาเมียร์ ลูกของสิมาซึ่งโตขึ้นมา และเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ในอาณาจักรธีร์ดีเร

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านตำนานอาณาจักร หากสนใจก็อ่านได้เช่นกันครับ ผมตั้งใจให้เนื้อเรื่องในภาคนี้เป็นได้ทั้งเนื้อเรื่องเอกเทศในตัวเอง และเนื้อเรื่องต่อยอดจากภาคที่ผ่านมา โดยข้อมูลในภาคที่ผ่านมาซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะมีการแทรกทวนไว้ตามจุดต่างๆ ที่จำเป็นครับ

ฝากรูปตัวละครที่ออกโรงในตอนนี้ครับ

ครอบครัวของทัมมุซหรืออาเมียร์
//i23.photobucket.com/albums/b388/yumehourousha/north_succession/chaset1.jpg

เกล็น ลีชา กับก็อธฟรีด์

//i23.photobucket.com/albums/b388/yumehourousha/north_succession/chaset2.jpg

หากจะทักทาย มีความเห็น ข้อเสนอแนะ หรือคำถามก็เชิญตามสบายนะครับ :)




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2551    
Last Update : 12 ธันวาคม 2551 20:43:10 น.
Counter : 327 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.