ที่พักนักตระเวนแดนฝัน
Group Blog
 
All blogs
 

บทที่ ๒๕ - สูญเสีย

บทที่ ๒๕ สูญเสีย


เมื่อเขารีบเร่งมาถึงหน้าห้องพักนั้น ครอบครัวของท่านเบเรคก็อยู่พร้อมหน้าแล้ว ท่านหญิงร้องไห้เสียงดัง คุณหนูฟิเดลมากอดท่านหญิงไว้พลางสะอื้น ท่านเบเรคมีสีหน้าสลดอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนรูอาร์คยืนพิงผนังก้มหน้าไม่พูดจา

ทหารยามยังคงกั้นไม่ให้ใครได้เข้าไปในห้อง ทว่าเพียงมองดูจากข้างนอกก็เลวร้ายเกินพอ เจ้าของห้องที่เขาเพิ่งพูดคุยด้วยเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อค่ำนี้...ตอนขอตัวออกไปพบดูลัสตามนัดหมาย...นอนกึ่งคว่ำกึ่งตะแคงอยู่บนพื้น ดวงตาที่ไร้ชีวิตยังเบิกกว้าง บนใบหน้า...ร่างกาย...และพื้นห้องแดงฉานด้วยเลือดจากแผลยาวบนคอ

อาเมียร์เบือนหน้าไปแทบไม่ทันก่อนจะก้าวถอยหลังไปพิงผนัง นัยน์ตาร้อนผ่าวและหยดน้ำเริ่มหลั่งไหล

เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้!!

“ตอนแรกข้าก็คิดเหมือนกันว่าข้าไม่มีทางเป็นราชาได้หรอก ข้าไม่อยากเป็น กระทั่งเจ้ามณฑลข้ายังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นได้เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้...ข้ากลับคิดว่าจะทำให้เต็มที่ขอรับ

“ข้าเคยคิดว่าตัวเองมีชีวิตที่มีความสุขดีแล้ว อยากอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากไขว่คว้าหาอำนาจหรือลาภยศมากไปกว่านี้ แต่พอได้ฟังเรื่องที่เกิดกับลีชา...ข้าก็เห็นจริงอย่างที่อาจารย์บอกขอรับ ข้าอยู่ในที่ที่มีความสุขและปลอดภัย ขณะที่มีคนอีกมากมายในอาณาจักรนี้ที่ต้องทุกข์ร้อนมีอันตราย ข้า...ควรจะช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่จำได้จริงๆ นั่นล่ะขอรับ

“ข้าก็มีอะไรสักอย่างที่น่าจะทำได้เหมือนกันใช่ไหมขอรับ

“เพราะฉะนั้น...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ ถึงไม่ได้ข้าก็ไม่เสียอะไร ข้ายังพยายามดูแลชาวยาร์ลาธให้มีความสุขได้นี่ขอรับ”


ใครกันที่มันทำเรื่องนี้...และทำเพื่ออะไร เฟลิมเป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่ควรจะมาตายแค่เพราะเรื่องขัดผลประโยชน์ทางการเมืองเช่นนี้เลย

เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นของคนอีกกลุ่มดังไล่มาจากทางเดินอีกทาง เด็กหนุ่มเหลือบเห็นท่านผู้สำเร็จราชการคอนรอย เจ้าหญิงแอชลีนน์ นางกำนัลคนหนึ่ง และราชองครักษ์ดูลัส

“พวกเจ้า...พวกเจ้าปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร!” เสียงร้องของเด็กสาวดังตามมาไม่นาน

“พระอาญามิพ้นเกล้า...” ทหารองครักษ์สองคนที่น่าจะเป็นคนเฝ้าหน้าห้องในคืนนั้นคุกเข่าและค้อมศีรษะแทบจรดพื้นทันควัน “พวกกระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ แต่...แต่พวกกระหม่อมไม่เห็นหรือได้ยินอะไรผิดสังเกตเลยพ่ะย่ะค่ะ จึงไม่นึกว่า...”

“เอาเถอะ ที่สำคัญคือเราต้องรีบหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” ผู้สำเร็จราชการบอก

“ผู้กระทำผิดเป็นใคร...มันก็เห็นๆ กันอยู่แล้วนี่” รูอาร์คเข่นเสียง “ใครกันที่มันโกงการสอบมาตลอดจนแถกไถขึ้นมาได้ถึงขั้นนี้ กะแค่เรื่องโกงเป็นชุดๆ ยังจับไม่ได้ ต้องปล่อยให้ผู้ชนะตายเปล่าสักคนแล้วให้ฆาตกรมันขึ้นครองราชย์แทนรึไง!!”

“รูอาร์ค!” ท่านเบเรคขัดขึ้น

“ข้าขออภัยด้วย” ท่านคอนรอยกลับหันมาค้อมศีรษะน้อยๆ ให้กับทุกคนในครอบครัวของเฟลิมอย่างเคร่งขรึม “พวกท่านมีเหตุผลที่จะโกรธแค้นและตำหนิพวกเราที่บกพร่องในหน้าที่ แต่ขณะนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือการสืบสวนอย่างละเอียดเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงให้ได้ ขอให้พวกท่านสงบอารมณ์และทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วย”

“ข้าทราบดี ท่านคอนรอย” ท่านเบเรคตอบ ก่อนน้ำเสียงจะเริ่มสั่นเครือขึ้น “ช่วย...ช่วยมอบความเป็นธรรมให้แก่ลูกของข้าด้วย...”

ชายวัยกลางคนดูจะห้ามตนเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาอย่างยากเย็น ความเงียบที่มีเพียงเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของท่านหญิงกับคุณหนูฟิเดลมาดำเนินไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ท่านผู้สำเร็จราชการจะเอ่ยขึ้น

“พวกท่านไปพักสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบที่นี่ให้ละเอียด ได้ผลอย่างไรแล้วจะรีบรายงานให้พวกท่านทราบ”

ท่านเจ้ามณฑลซึ่งเพิ่งสูญเสียลูกชายไปพยักหน้ารับ แล้วจึงประคองภรรยาไป ตามด้วยฟิเดลมากับรูอาร์ค

อาเมียร์ตัดสินใจตามพวกเขาไปเป็นคนหลังสุด...ในเมื่อรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่ตนเองจะอยู่ช่วยอะไรที่นี่ได้อีก

* * *

“เจ้าหญิง...เสวยพระกระยาหารเช้าสักหน่อยเถอะเพคะ”

“เราไม่หิว ไม่มีอารมณ์จะรับประทานอะไรเลยด้วย” แอชลีนน์ตอบง่ายๆ

อย่าว่าแต่จะรับประทานอาหารเลย เธอไม่มีอารมณ์จะทำอะไรหรือคิดจับต้นชนปลายอะไรเสียด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงใจหาย เธอไม่ได้ร้องไห้ออกมา...เธอไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับคู่หมั้นของตนพอจะเสียใจลึกซึ้งถึงเพียงนั้น แต่การสูญเสียชีวิต...ไม่ว่าของใครก็ตาม...ย่อมเป็นเรื่องน่าเศร้า เด็กสาวยังจำได้ดีถึงตอนที่ตนสูญเสียคนที่รักที่สุดไปพร้อมๆ กันกะทันหันถึงสามคน การตายของเฟลิมเองก็เป็นเรื่องกะทันหันและคาดไม่ถึง...และยิ่งน่าเศร้าเมื่อเป็นเรื่องแน่นอนว่าเขาต้องตายเพียงเพราะเป็นคู่หมั้นของเธอ

...ทั้งๆ ที่ทั้งสองน่าจะร่วมมือกันดูแลธีร์ดีเรได้แท้ๆ...

“ถึงอย่างไรก็เสวยสักหน่อยเถอะเพคะ” เคียรายังพยายามคะยั้นคะยอ “หม่อมฉันทราบว่าทรงเสียพระทัยมาก แต่พระพลานามัยของพระองค์ก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ”

แอชลีนน์สั่นศีรษะ

“อดข้าวมื้อเดียวเราไม่ตายหรอก”

“องค์หญิง!” หญิงสาวอุทาน “อย่าตรัสไม่เป็นมงคลอย่างนี้สิเพคะ! วันนี้เกิดเรื่องร้ายมาแล้วนะเพคะ!!”

เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ก็เพราะเกิดเรื่องร้ายขึ้นมาน่ะสิ...จะให้เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เลยหรือ”

“แล้วอดพระกระยาหารช่วยอะไรได้ล่ะเพคะ” เคียราไม่วายแย้ง

คำพูดนั้นกลับทำให้แอชลีนน์ฉุกคิดขึ้นมา หากการอดอาหารช่วยอะไรไม่ได้...แล้วการมานั่งซึมเศร้าไม่รู้ว่าจะรู้สึกหรือคิดทำอะไรอย่างอื่นได้มากกว่านี้เล่า

แล้วถ้าเธอยังมาคิดเรื่องนี้ได้อยู่...แสดงว่าเธอไม่ได้เสียใจจริงๆ กับการตายของเฟลิมเลยหรือ

ไม่ใช่นะ...

เธอเสียใจ เพียงแต่เมื่อนึกถึงตอนที่เสียเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่จากไปพร้อมกัน...เธอก็นึกเสียใจยิ่งกว่าที่ตนเองทำอะไรเพื่อทั้งสามพระองค์ไม่ได้เลย เมื่อเห็นครอบครัวของเฟลิมโศกเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็เข้าใจว่าพวกเขาพอจะรู้สึกอย่างไร ในความเสียใจคงมีความโกรธแค้นคนที่บังอาจพรากคนที่ตนรักไป และอยากทวงความยุติธรรมให้แก่คนคนนั้น...

แต่เธอจะทำอย่างไรได้เล่า...

เด็กสาวพอนึกอะไรขึ้นมาได้

“เคียรา ช่วยตามดูลัสเข้ามาหน่อยได้ไหม”

“ทำไมหรือเพคะ”

“เรามีเรื่องจะพูดกับดูลัสนิดหน่อย เคียราอยู่ฟังด้วยก็ได้”

“ถ้าองค์หญิงจะเสวยพระกระยาหารเช้าก่อนนะเพคะ” นางกำนัลสาวต่อรอง

เด็กสาวจึงรับคำไป แล้วก็รับประทานพอเป็นพิธีเท่าที่ตนทำได้ ขณะเร่งนึกให้ถึงเวลาที่จะได้พบองครักษ์หนุ่มโดยเร็ว

* * *

หลังจากบอกองครักษ์หนุ่มที่คุกเข่าลงถวายบังคมให้มานั่งที่โต๊ะรับรองเบื้องหน้าเธอแล้ว แอชลีนน์ก็รีบถามตรงประเด็นในทันที

“ดูลัสคิดว่าชาลัวห์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือเปล่า”

ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ

“ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็...มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะโกงการประลอง...ไม่ใช่รอบเดียวแต่หลายรอบไม่ใช่หรือ”

“ถึงได้ทรงคิดว่า...เขาจะทำได้ถึงขั้นลอบสังหารพระคู่หมั้น...เพื่อให้ตนขึ้นมาเป็นแทนน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วนั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเขาหรอกหรือ”

ดูลัสขมวดคิ้วเคร่งเครียดแม้จะพยักหน้ารับ

“เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ แต่...หากชาลัวห์หรือบิดามีความฉลาดกว่านี้อีกสักหน่อย จะทราบว่ายังไม่ควรลงมือในเวลานี้ เพราะพวกตนกำลังถูกจับตามองอยู่ สองวันหลังพิธีหมั้น กระหม่อมเห็นว่าเร็วเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นใคร เรายังไม่เห็นเลยว่าใครจะได้ผลประโยชน์จากการตายของเฟลิมชัดเจนไปกว่าสองคนนี้”

ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“กระหม่อมก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่...กระหม่อมเชื่อว่าหากเป็นผู้บงการที่ฉลาดจริงๆ เขากำลังฉวยโอกาสในขณะที่มีคนอื่นน่าสงสัยมากกว่าตน แล้วก็...น่าจะเป็นคนที่เราคาดไม่ถึงมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”

แต่แอชลีนน์มองไม่ออกเลยว่าเป็นใคร ไม่มีทางเป็นท่านแฟคท์นากับดูลัสแน่ๆ แม่ทัพคาฮาลกับคาเฮียร์ก็ไม่น่าจะใช่อีกเช่นกัน ทว่าหากไม่ใช่หนึ่งในบรรดาผู้ผ่านเข้ามาในการทดสอบรอบสุดท้ายแล้ว...ใครกันจะได้รับประโยชน์จากการตายของเฟลิมกันเล่า

“แล้วดูลัสคิดว่าเรื่อง...ผู้ชนะ...จะทำอย่างไรต่อไป” เด็กสาวตั้งคำถาม “จะให้ชาลัวห์ขึ้นมาแทนเลย หรือจะคัดเลือกคู่หมั้นของเราใหม่จากคนที่เหลืออยู่ ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแต่ชาลัวห์ ดูลัส กับคาเฮียร์ เราเชื่อว่าดูลัสกับคาเฮียร์ไม่มีวันใช้วิธีสกปรกอย่างนี้เด็ดขาด แล้วชาลัวห์ก็...น่าจะโกงมาตั้งแต่รอบแรกๆ แล้วด้วยนี่”

“กระหม่อมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ผู้บงการต้องการให้พวกเราคิดพ่ะย่ะค่ะ”

เธอนิ่งไป เห็นด้วยกับองครักษ์หนุ่มก็พอเห็นด้วยอยู่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า...เขาหวาดระแวงเกินไปเหมือนครั้งอาเมียร์หรือเปล่าหนอ

“ตอนนี้เรายังไม่ได้ข้อมูลชัดเจนเลย กระหม่อมคิดว่าองค์หญิงควรจะทรงรักษาท่าทีและรอต่อไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากได้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไร กระหม่อมจะรีบมากราบทูลและหารือด้วยแน่นอน...หากองค์หญิงทรงให้เกียรติและไว้ใจกระหม่อมถึงเพียงนั้น”

แอชลีนน์พยักหน้า

“เราเชื่อใจดูลัส ฝากด้วยนะ”

ชายหนุ่มค้อมศีรษะอย่างหนักแน่น

“กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงทรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”

* * *

เวลาในวันนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก...

ในทีแรก อาเมียร์ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้องรับรอง ขณะที่ท่านเบเรคกับคุณหนูฟิเดลมาคอยดูแลท่านหญิงซึ่งร้องไห้อยู่เป็นพักๆ เหมือนจะรับความสูญเสียได้ยากยิ่งนัก ส่วนรูอาร์คดูจะหลบเข้าห้องพักของตนเองเงียบอยู่เพียงลำพัง

เมื่อเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป เด็กหนุ่มที่ตระหนักดีว่าตนเองเป็นส่วนเกินของครอบครัวผู้สูญเสียก็ลุกจากไปอย่างเงียบงัน เขาไปคอยมองอยู่แถวหน้าห้องพักของเฟลิมซึ่งบัดนี้มีพวกเจ้าหน้าที่เดินกันอยู่ขวักไขว่ ดูเหมือนศพของเฟลิมจะถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่อื่นแล้ว แต่เมื่อมองแวบๆ เขาก็ยังเห็นรอยเลือดแห้งกรังอยู่บนพื้น เป็นเหตุให้อาเมียร์รู้ดีว่าตนไม่สามารถทำอะไรที่นี่ได้เช่นกัน และหลบมุมไปยังระเบียงด้านหนึ่งที่มองออกไปเห็นสวนเล็กๆ แห่งใดแห่งหนึ่งในบรรดาอุทยานทั้งหมด

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาเจ็บใจกับอาการกลัวเลือดของตน ถ้าเพียงแต่เขาจะช่วยทำอะไรสักอย่าง...ถ้าเพียงแต่เขาจะหาหลักฐานมามัดตัวฆาตกรที่มันฆ่าคนดีอย่างเฟลิมอย่างเลือดเย็นอย่างนี้ได้...

ถ้าเพียงแต่...เขาจะทำอะไรสักอย่างเพื่อไถ่โทษของตนได้

เฟลิมไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เคยต้องการเป็นกษัตริย์ หากอาเมียร์ไม่เข้ามาแทรกแซงการทดสอบโดยการเสนอตัวมาเป็นอาจารย์สอนชายหนุ่มตั้งแต่ต้น...เขาก็คงไม่ตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหารอย่างนี้

อาเมียร์มาอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากให้คนดีอย่างเกล็นต้องตายเปล่าก่อนวัยอันควร แต่เขาก็กลับทำให้เฟลิมต้องตายเช่นนั้นเสียเองอีกคน

ทุกอย่างที่เขาทำลงไปโดยคิดว่าเป็นเพื่อธีร์ดีเร...ที่จริงแล้วมันเป็นเพื่อใคร...หรืออะไร...แล้วผลมันจะกลับกลายเป็นอะไรไปแล้วกันแน่...

อาเมียร์กำมือทุบระเบียงหินเต็มแรง ก่อนจะทิ้งศีรษะลงบนนั้นเมื่อไม่อาจห้ามน้ำตาของตนได้

โธ่เว้ย!!

ข้า...ไม่ควรจะดันทุรังมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม...


ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่เขาซบระเบียงอยู่อย่างนั้น แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีมือทาบลงบนไหล่ เขารีบเช็ดน้ำตากับแขน แล้วหันไปมองใบหน้าเศร้าสร้อยของคนคนนั้น

“ท่านเบเรค”

“เจ้าไปรับประทานอาหารกลางวันเถอะ นี่เที่ยงแล้ว”

อาเมียร์หลบสายตาลงมองสวน

“ขอบคุณมากที่ท่านอุตส่าห์มาตาม แต่ข้า...ข้ายังไม่หิวขอรับ”

“ข้าก็ไม่หิว ไม่มีใครหิวเลยเหมือนกัน” ชายวัยกลางคนถอนใจ “แต่...เฟลิมคงไม่อยากให้พวกเราเป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ เขา...ขี้เป็นห่วงมาตั้งแต่เด็ก เห็นใครมีสีหน้าทุกข์ร้อนอะไรก็รีบเข้าไปถามไถ่เป็นกังวลแทนเสียเอง ถ้าพวกเราไม่ยอมดูแลตัวเองอย่างนี้...เขาจะยิ่งเป็นห่วงขนาดไหน เขาอยู่...อยู่ที่อีกฟากนั้นก็คงเห็นพวกเราทุกคน เขากำลังเฝ้าดูพวกเราทุกคนอยู่ใช่ไหมล่ะ”

อาเมียร์กลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะตัดสินใจพูด

“ข้า...ขออภัยขอรับ”

ท่านเบเรคเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“อย่าคิดอย่างนั้นเลย ข้าไม่โทษเจ้าหรอก พวกเราไม่มีใครโทษเจ้าเลย เจ้าอุตส่าห์ช่วยให้เฟลิมได้พิสูจน์ตนเอง...ทำให้เขามั่นใจขึ้น...และทำให้ข้าภูมิใจในตัวเขา หากเฟลิมจะต้องตายเพื่อธีร์ดีเร...เพื่อกันไม่ให้คนชั่วได้ครองบัลลังก์...ก็คงจะเป็นชะตากรรมที่พวกเราต้องยอมรับ”

“แต่ข้า...” เด็กหนุ่มยังอดพูดตามความจริงไม่ได้ “ข้า...ยอมรับไม่ได้ขอรับ ชะตากรรมอะไรนั่น...ที่จริงมันเกิดขึ้นจากมือของข้าเองแท้ๆ”

“อาเมียร์” ท่านเบเรคบีบไหล่เขาแน่นขึ้นพลางกระซิบ “อย่าคิดอย่างนั้น คิดเสียว่า...คิดเสียว่าทำเพื่อเฟลิมเถอะนะ เพื่อให้ลูกข้าได้ตายตาหลับ อย่าโทษตัวเองเลย”

อย่าโทษตัวเองเลย...

รู้สึกเสด็จแม่จะเคยตรัสอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหมนะ...เมื่อเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเด็กและผู้หญิงที่อารามฮอว์ธอร์นซึ่งหนีไปพร้อมกับเขา...เมื่อเขาสารภาพว่าทุกคนถูกสังหารอย่างเลือดเย็นจนหมดทั้งๆ ที่พยายามต่อสู้ปกป้องเขา...ทั้งๆ ที่เขาซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทและศิษย์ของนักรบผู้เกรียงไกรได้แต่หลบซ่อนอยู่ในที่มืดมิดและปลอดภัย...ปิดตาหนีภาพเหล่านั้นด้วยความขลาดเขลาจนเสด็จอาเนมอสเข้ามาช่วยชีวิตตนเองได้เพียงลำพัง

แล้วเขายัง...

เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อภาพที่คุ้นตาอย่างประหลาดผุดขึ้นในห้วงสำนึกอีกครั้ง เสด็จแม่ที่คู้ร่างกลางกองของเหลวสีแดงฉาน...แผ่นหลังของท่านซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลยับเยิน...และกองศพรอบด้าน

เขาสั่นศีรษะแรงๆ เพื่อไล่พวกมันออกไป

ดูเหมือนคนที่ยืนอยู่หลังเขาจะตีความการกระทำนั้นเป็นอีกอย่าง

“เอาเถอะ...ข้าเข้าใจ เจ้าย่อมต้องใช้เวลา พวกเราทุกคนก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็...อย่าคิดหรือทำอะไรที่เป็นการทำร้ายตนเองเลยนะ”

อาเมียร์พยายามกลั้นน้ำตาไว้ขณะพยักหน้า

“...ขอรับ”

“ดีแล้ว” ชายวัยกลางคนตบบ่าของเขา “ไปรอที่ห้องรับรองเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปพูดกับรูอาร์คอีกที เมื่อครู่ข้าไปตามเขาให้มารับประทานอาหารกลางวันก็ไม่ยอมออกมา ไม่รู้ป่านนี้จะอาละวาดจนห้องของพระราชวังเละเทะขนาดไหนแล้วบ้าง”

“ไม่เป็นไรขอรับ ท่านเบเรคไปเถอะ ข้า...ข้าจะไปตามเขาให้เองขอรับ” อาเมียร์พึมพำ “ข้าก็มีเรื่องที่ต้องพูดกับเขาเหมือนกัน”

“จะดีหรือ” สีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น “ถ้าเกิด...”

“ถ้าเกิดเขาลุกขึ้นมาต่อยข้า ข้าก็ยิ่งกว่ายินดีให้เขาต่อยขอรับ” อาเมียร์พูดเรียบๆ “ก็ข้า...เป็นคนทำให้พี่ชายของเขาต้องตายนี่ขอรับ”

“อาเมียร์...”

“ท่านเบเรคกลับไปที่ห้องรับรองก่อนเถอะขอรับ เดี๋ยวข้าจะพารูอาร์คไปด้วยให้ได้”

สีหน้าของท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธยังไม่สู้ดีนัก กระนั้นอาเมียร์ก็เดินออกมาเสียแล้ว

* * *

ไม่มีเสียงตอบเมื่อเขาเคาะประตูห้องของรูอาร์ค

“รูอาร์ค นี่ข้าเอง” อาเมียร์พยายามอีกครั้ง

“ข้าบอกแล้วว่าไม่กินข้าว ยังจะส่งใครมาตามอีก” เสียงขุ่นเขียวตอบอู้อี้มาจากในห้อง

“อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ ไปหน่อยเลย เจ้าก็รู้ว่าอดอาหารมันช่วยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”

“เออสิ มันช่วยอะไรไม่ได้แต่ข้าอยากทำ ข้ามันชอบทำตัวเป็นเด็กๆ เอง ใครจะไปทำอะไรก็ทำไป ปล่อยข้าไว้ของข้าอย่างนี้ก็พอแล้ว”

“รูอาร์ค” เด็กหนุ่มผมดำตัดสินใจยกคำพูดที่น่าจะได้ผลที่สุด “เฟลิมไม่อยากให้เจ้าทำอย่างนี้หรอก เขาจะเป็นห่วงเจ้ามากนะ”

มีเสียงบางสิ่งกระแทกผนังห้องดังโครมแว่วออกมา ตามมาด้วยเสียงขุ่นอีกครั้ง

“ให้ตายสิ ทำไมอาจารย์ถึงพูดเหมือนลุงกระรอกน้ำตาลนักนะ” อาเมียร์ยังไม่ทันตอบ เจ้าตัวก็พูดต่อไป “พี่เฟลิมตายไปแล้ว คนตายคือไม่ลุกขึ้นมาหายใจหรือพูดคุยอะไรกับเราได้อีก อย่ามาทึกทักไปเองได้ไหมว่าพี่เฟลิมจะรู้สึกอะไรยังไง! ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน...รู้สึกอะไร...หรือแม้แต่มีความรู้สึกหรือเปล่าด้วยซ้ำ!!”

“รูอาร์ค...”

“แล้วไอ้เรื่องที่ว่ามันเป็นชะตากรรมที่ต้องยอมรับก็เหลวไหลทั้งเพ! ชะตากรรมบ้าอะไร!! คนถูกฆ่าก็คือคนถูกฆ่า!! จะให้มานั่งทำใจสงบนิ่ง...คิดว่าคนเขาต้องตายอยู่แล้วทั้งๆ ที่เขาควรจะอยู่ต่อไปจากนี้ได้อีกนานน่ะหรือ!! มีแต่แก่ตายเท่านั้นล่ะที่เรียกได้ว่าชะตากรรม เรื่องอย่างนี้มันฆาตกรรมชัดๆ!!”

“รูอาร์ค” เด็กหนุ่มผมดำพยายามปราม “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่...ถ้าใครสักคนตายไป...ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตามเถอะ...เขาก็ฟื้นคืนกลับมาอยู่กับเราไม่ได้อีกแล้ว เพราะอย่างนี้...พวกเราถึงมีแต่จะต้องยอมรับว่ามันเป็นชะตากรรมเท่านั้น”

“พอที! ข้าฟังเรื่องห่าเหวแบบนี้มาเยอะแล้ว!!”

อาเมียร์พยายามข่มอารมณ์ของตนไว้ ถึงรูอาร์คจะทำตัวเป็นเด็กไปบ้างในบางเรื่อง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำตัวเป็นเด็กโดยสมบูรณ์อย่างนี้

“รูอาร์ค ข้าขอเข้าไปได้ไหม”

“ไม่ได้!!” เสียงตอบกลับมาทันควัน

เขาลองดึงประตู พบว่ามันถูกลงกลอนจากด้านใน เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นอีกโครมเป็นคำรบสอง

“ให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้” เด็กหนุ่มผมดำย้ำ “เจ้าจะต่อยจะเตะข้าอย่างไรก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้ข้าเข้าไป”

“ไม่!!”

“เจ้ากำลังหนีอยู่นะ!”

“ช่างข้า! อาจารย์ก็หนีเหมือนกันนั่นล่ะ!!”

“คนอื่นๆ เขาก็เสียใจไม่น้อยกว่าเจ้า เขายังไม่ยักจะเป็นอย่างเจ้า ทำอย่างนี้คิดว่ามันน่าสงสารนักหรืออย่างไร!!”

“ถึงมันจะน่ารำคาญน่ากระทืบ...ข้าก็จะทำ ข้ามันผ่าเหล่า! ข้าไม่เหมือนคนอื่น...แต่ก็ไม่อยากเหมือนเองนี่!!”

แวบหนึ่งที่อาเมียร์นึกอยากต่อยหน้าอีกฝ่ายจริงๆ ขึ้นมาสักเปรี้ยง มือของเขาก็ดึงประตูอีกครั้ง...และครั้งนี้มันก็เปิดผัวะออก เผยให้เห็นเจ้าของห้องที่หันขวับมาทางผู้เข้ามาอย่างประหลาดใจ ดวงตาช้ำแดงบนใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาหมาดๆ เบิกกว้างแทบเป็นลุกโพลง

“อาจารย์เข้ามาได้อย่างไร!!”

เด็กหนุ่มผมดำไม่ตอบและก้าวเข้ามาใกล้ กระทั่งเด็กหนุ่มผมแดงซึ่งตัวสูงแต่ร่างผอมบางกว่าถอยกรูดจนหลังติดผนัง

“ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจ” อาเมียร์พูดเสียงเข้ม “ข้าก็เสียใจ ท่านเบเรค ท่านหญิง กับคุณหนูฟิเดลมาก็เสียใจ ข้าจะไม่มานั่งเทียบว่าใครเสียใจมากไปกว่ากันเพราะมันเทียบไม่ได้ แต่อย่าทำให้คนอื่นๆ เขาเสียใจหรือทุกข์ใจมากไปกว่านี้ได้ไหม ใช่...เจ้าเสียใจ เจ้าจะเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียวไม่มีใครว่า แต่ถ้ามานั่งทำเหมือนตัวเองจะเป็นจะตายอยู่คนเดียวแต่คนอื่นๆ สบายกันหมด...มันก็เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยแล้ว!!”

“ก็ข้า...”

“ข้ารู้ว่าเจ้าแค้นใครก็ตามที่มันฆ่าท่านเฟลิม ข้าก็แค้น ข้าอยากให้พวกเขาลากตัวมันมาลงโทษให้ได้ แต่ที่เจ้าทำอยู่มันเป็นประโยชน์กับใครมากน้อยสักเท่าไรกัน!!”

“แล้วข้าทำอะไรได้เล่า!! จะให้ข้าแล่นไปบีบคอชาลัวห์รึ!!”

“ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีกข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ทีเรื่องคนอื่นทำเป็นรู้ดีนัก แต่เรื่องตัวเองนี่ไม่ยักกะสำเหนียกเลย!!”

“ทำมาเป็นพูดดี...อาจารย์รู้จักข้ากับพี่เฟลิมมากนักหรืออย่างไร!!” รูอาร์คกลับพูดสวน “อาจารย์ไม่รู้หรอกว่าเขามีความหมายแค่ไหนกับข้า ไม่รู้หรอกว่าทำไมใครๆ ถึงไม่รู้ไม่เข้าใจ!!”

อาเมียร์เงื้อมือขึ้นทำท่าจะต่อย แต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้มของเด็กหนุ่มผมแดง นั่นทำให้เขาพยายามเรียบเรียงคำตอบด้วยสติ

“ใช่...ข้าไม่รู้ แต่เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในอดีตของข้า...คนมากมายที่ตายต่อหน้าข้า...กับคนที่ข้ารักและรู้ว่าเขากำลังจะตาย...โดยที่ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย...มีความหมายอย่างไรกับข้าเหมือนกัน ถ้าเจ้าไม่บอกใครมันจะไปรู้”

“ข้าจะยังไปบอกใครได้อีกล่ะ” รูอาร์คแค่นเสียง “ใครกันจะยอมฟัง...ใครกันจะเข้าใจ!”

“ถ้าเจ้าอยากบอกแต่คิดว่าบอกใครในบ้านไม่ได้...ก็บอกข้าก็ได้” อาเมียร์ตัดสินใจพูด “ข้าสัญญาว่าจะไม่เอาไปบอกใคร กระทั่งเรื่องของกระรอกแดงที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังในตอนนั้น ข้าก็ยังไม่ได้พูดกับใครเลยเหมือนกัน”

อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบอยู่

“หรือเจ้าเห็นว่าบอกกระทั่งข้าไม่ได้ ข้าก็จะไม่เซ้าซี้ แต่เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าฟาดหัวฟาดหางอย่างนี้ไปมันไม่มีอะไรดีขึ้น”

“ก็ได้” รูอาร์คพูดงึมงำขณะก้มหน้าลง “เล่าก็เล่า”

“ข้าไม่ได้บังคับเจ้านะ”

เด็กหนุ่มผมแดงไม่ตอบคำพูดของเขา แต่ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา เงียบอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“ข้าแค้นคนที่ฆ่าพี่เฟลิม แต่ข้าแค้นตัวเองมากกว่า...”

“ทำไมล่ะ”

“ข้า...ข้าเคยอิจฉาเขา เคยหมั่นไส้เขาที่ชอบทำตัวเป็นเด็กดีเหลือเกิน ตอนแรกที่มาอยู่จวนใหม่ๆ เขาแบ่งของเล่นให้ข้าเล่น...ข้าก็ทำมันพังเพราะอยากทำให้เขาโกรธ ข้าอยากแก้แค้นครอบครัวของเขาด้วยความคิดบ้าๆ ที่ว่าพวกเขาตัดแม่ข้าออกจากตระกูล ทำให้พ่อกับแม่ต้องลำบากจนตายเพียงเพราะทั้งสองคนเลือกที่จะแต่งงานกันด้วยความรัก ข้าอิจฉาเขาที่มีทั้งพ่อแม่ ข้าอิจฉาเขาที่มีอะไรต่อมิอะไรที่ข้าไม่เคยมี ที่เขาไม่รู้จักความอดอยากหรือเจ็บปวด...ทั้งๆ ที่ข้าต้องอดมื้อกินมื้อ...ต้องถูกไอ้พวกหนูท่อมันซ้อมมันทำอะไรร้ายๆ กับข้าสารพัด ถึงอย่างนั้น...ไม่ว่าข้าจะแกล้งอะไร...เขาก็ยังทำดีกับข้าเหมือนเดิม ข้ารู้ว่าเขาเสียใจที่คิดไปว่าลุงกระรอกน้ำตาลนอกใจแม่เขา...แต่ข้าก็พูดใส่หน้าเขาไปว่าลุงกระรอกน้ำตาลรักแม่ข้าเสียยิ่งกว่าที่รักแม่ของเขาอีก ข้าคิดว่ามันเป็นความจริง...ข้าไม่ผิดที่พูดความจริง ถึงอย่างนั้น...เวลาข้าโมโหแล้วหลบมาอยู่ตัวคนเดียว...เขาก็เป็นคนเดียวที่มาตามข้า เขาเป็นคนแรกในบ้านที่ยอมรับข้า...เป็นคนแรกที่ยอมรับข้าในฐานะน้องชายจริงๆ...”

“นั่นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เจ้ากับท่านเฟลิมก็เป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆ นี่ เขาไม่โกรธเจ้า เขาน่าจะให้อภัยเจ้าตั้งนานมาแล้วนี่นา”

“แต่ข้าไม่เคยขอโทษเขา...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามในตอนนั้น ข้ามันปากหนักเกินไป ข้าไม่เคย...ไม่เคยบอกความจริงให้เขาฟังเลยว่าที่จริงแล้วข้าเป็นใครมาจากไหน ข้ากลัว...กลัวว่าเขาจะยอมรับข้าไม่ได้ ข้าไม่อยาก...ไม่อยากให้พี่เฟลิมยอมรับข้าไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างนั้น...พอตอนนี้เขาตายแล้ว...ข้าก็กลับเสียใจที่ไม่ได้บอกเขาไป แถมในคืนก่อนเขาตาย...ข้ายังทำท่าแบบนั้นใส่เขา...ข้านี่มัน...”

“รูอาร์ค” อาเมียร์ตัดสินใจแตะไหล่อีกฝ่าย “ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าครั้งใดก็ตามที่เราพบคนคนหนึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า ที่เจ้าเสียใจไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก แต่...ข้าคิดว่า...ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราก็ต้องจำไว้เพื่อไม่ให้เราเองต้องเสียใจแบบนั้นเป็นครั้งที่สองไม่ใช่หรือ”

นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาเคยพร่ำบอกตนเอง...แม้จะยากเย็นเพียงไรก็ตาม

เด็กหนุ่มผมแดงก้มหน้าก้มตาปาดน้ำตาโดยไม่พูดอะไร

“ข้าคิดว่าคนติดละครอย่างเจ้าจะรู้จักคำพูดสวยๆ แบบนั้นมากกว่าข้าเสียอีก แต่...”

“ที่สำคัญกว่ารู้จักคือต้องทำตามคำพูดนั้นให้ได้” รูอาร์ครับเบาๆ “ถึงมันจะยากแค่ไหน...อย่างนั้นสินะ”

“อือม์” อาเมียร์พยักหน้ารับ

“ให้ตายสิ...” เด็กหนุ่มผมแดงเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะเกาศีรษะ “มาพูดแบบนี้กับข้าตอนนี้...ข้าก็ทำไม่ได้หรอก แต่มานึกดูอีกที...ข้านี่มันก็น่ารังเกียจจริงๆ สรุปว่าที่ข้าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรนี่ก็คือเสียใจที่ตัวเองเสียพี่เฟลิมไปเพราะมันทำให้ข้านึกได้ว่าตัวเองเป็นคนเลวแค่ไหน ไม่ใช่เสียใจที่พี่เฟลิมตายจริงๆ แท้ๆ...”

“แล้วมันผิดด้วยหรือ” เด็กหนุ่มผมดำตั้งคำถาม

“ไม่รู้สิ แต่มันเป็นความจริง ไม่ต้องปลอบข้าหรอก อาจารย์” รูอาร์คยักไหล่ “แต่ก็นั่นแหละ ถึงอย่างไรพี่เฟลิมก็ตายไปแล้ว ถ้าข้าจะมัวแต่มานั่งร้องไห้สงสารตัวเองที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว แทนที่วิญญาณของเขาจะมานั่งหัวเราะเยาะข้าก็คงกลับเป็นห่วงข้าไปกว่าเดิม แล้วข้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวขึ้นไปอีก”

“ข้าก็ไม่ได้จะบอกให้เจ้าเลิกร้องไห้หรอก อยากร้องก็ร้องไปเสียให้พอ ไม่มีใครพูดได้หรอกว่าเจ้าผิด แต่ตอนนี้เราควรจะไปพบท่านเบเรคก่อน ป่านนี้ทุกคนคงรอแย่แล้ว” เด็กหนุ่มผมดำเพิ่งนึกขึ้นได้

เด็กหนุ่มผมแดงพยักหน้าเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินนำไปพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างไม่เกรงว่ามันจะยับนัก

อาเมียร์เองก็เดินตามไปจากห้อง ขณะที่อดคิดไม่ได้ว่าตนเป็นเช่นเดียวกับรูอาร์คหรือเปล่าหนอ...หรือเลวร้ายยิ่งกว่าที่เสียใจที่ใครหลายๆ คนรวมทั้งเฟลิมต้องตาย...เพราะเสียใจกับตนเองที่ทำผิดพลาดไปโดยไม่อาจแก้ไขอีกมากมาย

...แล้วเขามีความผิดหรือไม่กันแน่...

ความคิดของเขาสะดุดลงเมื่อพยายามปิดประตูห้องของรูอาร์คแล้วพบว่ามันปิดไม่อยู่ พอลองมองดูดีๆ ก็พบว่ากลอนด้านในห้องของเด็กหนุ่มผมแดงหักกระเด็นไปเสียแล้ว

ตอนนั้นรูอาร์คเดินลิ่วๆ นำหน้าไปโดยไม่สังเกต...มิเช่นนั้นก็คงลืมเรื่องกลอนที่หักไปแล้วอย่างสิ้นเชิง อาเมียร์จึงได้แต่ปิดประตูแบบแง้มๆ แล้วรีบเดินตามไป

เขาจะหาโอกาสแจ้งเจ้าหน้าที่ของพระราชวังทันทีที่ทำได้ แค่กลอนห้องพักหักคงจะไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมายนัก

อาเมียร์พยายามไม่คิดอะไรมากกับความสงสัยที่ว่าเขาหักกลอนประตูเข้าไปได้อย่างไร...นอกจากว่าอารมณ์โกรธชั่ววูบทำให้เขา...ออกแรงมากเกินไป

ในตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่หวังว่าจะสืบรู้ให้ได้โดยเร็วที่สุดมากกว่านี้ คือใครกันแน่ที่เป็นผู้สังหารเฟลิม...

* * *

ดูลัสถอนใจขณะนั่งอยู่ในห้องพักของพวกราชองครักษ์ในพระราชวังตามลำพังยามค่ำนั้น

เขาออกเวรตั้งแต่บ่าย ถึงอย่างนั้นก็ยังคอยถามเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่กำลังเร่งรีบสืบและตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุกับชันสูตรศพเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูสถานที่กับศพโดยตรง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายคนหนึ่ง และก็ต้องถูกถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัยที่อาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือทำลายหลักฐานเสียก่อน

ถึงอย่างนั้น พวกราชองครักษ์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับเขาก็ให้ความร่วมมือเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และชายหนุ่มก็ตั้งใจจะหมายความตามที่พูดจริงๆ เมื่อรับปากไปว่าจะไม่ทำให้องค์หญิงแอชลีนน์ทรงผิดหวัง กระนั้นเรื่องเท่าที่เขาได้ยินมาจากพวกเจ้าหน้าที่หรือคนอื่นๆ อีกต่อหนึ่งก็ฟังดูแปลกประหลาดจนเขาไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรดี

เฟลิมเสียชีวิตเพราะแผลลึกที่คอเพียงแผลเดียว เขาคงตายโดยไม่มีโอกาสส่งเสียงร้องหรือแม้แต่จะรู้ตัวคนร้ายเลยด้วยซ้ำเพราะทหารยามไม่ได้ยินเสียงผิดสังเกต และในห้องก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แสดงว่าคนร้ายต้องมีฝีมือในระดับนักฆ่าอาชีพ

หากเป็นอย่างนั้น ก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทหารยามซึ่งเฝ้าหน้าห้องไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรที่มีพิรุธเลยแม้แต่น้อย ทว่าที่แปลกยิ่งกว่านั้น...คือไม่มีร่องรอยเลยว่าใครเข้ามาในห้อง

ไม่มีเลย...หน้าต่างเปิดรับลมไว้ก็จริง แต่ด้านนอกไม่มีกันสาดกว้างพอให้เดินได้สะดวก...ซ้ำยังอยู่ในมุมที่ทหารยามบนกำแพงป้อมมองได้โดยง่าย ดังนั้นเรื่องที่ใครสักคนจะลอบปีนผนังหรือรางน้ำฝนที่แคบจนวางเท้าลงไปได้ไม่ถึงครึ่งจึงไม่น่าจะเป็นไปได้

แล้วนักฆ่าจะลอบข้ามสะพานมาจากแผ่นดินใหญ่...เล็ดลอดสายตาของทหารยามท้ามฤตยูเข้าไปสังหารเหยื่อในห้อง...แล้วลอบออกมาโดยไม่มีใครรู้ตัว...โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลยแม้แต่รอยเท้าได้อย่างไรกัน

และที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือแผลที่คอของเฟลิมไม่ได้เกิดจากของมีคม...และก็ไม่ได้เกิดจากกรงเล็บสัตว์ ผิวหนังบริเวณคอของชายหนุ่มปริแตกออกมาเองจากภายในเส้นเลือดใหญ่ที่คอ...อย่างที่ไม่รู้เลยว่าจะมีอาวุธใดหรือยาอะไรทำให้คนตายด้วยลักษณะนั้นได้

คงมีแต่เวทมนตร์แท้ๆ ที่ทำอย่างนั้นได้...

นั่นทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ว่ามีหญิงชราชาวทะเลทรายซึ่งน่าจะเป็นผู้มีอาคมที่ทำใบแชมร็อคใส่มนต์ให้ตนอ่อนเพลียขึ้นมา หากนำตัวนางมาสืบสวนได้ก็ดี...แต่เขาจะหาเหตุใดมาเรียกตัวนางไปสอบสวนได้โดยที่ใครๆ ไม่หาว่าเขางมงายหรือเพ้อเจ้อไปเอง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนนั้น

“ท่านดูลัส...ยังอยู่ใช่ไหมคะ”

เสียงที่คุ้นหูทำให้เขาวางมือจากเอกสารแล้วตอบไป

“เคียราหรือ ประตูไม่ได้ลงกลอนไว้ เข้ามาสิ”

หญิงสาวผู้สวมชุดนางกำนัลถือตะเกียงเดินเข้ามา ก่อนจะมองรอบห้องพักที่มีเพียงเขาอยู่กับกองกระดาษบนโต๊ะยาวและตะเกียงอีกดวง

“ข้าเพิ่งมาจากห้องของเจ้าหญิง เห็นพวกองครักษ์ที่อยู่เวรบอกว่าท่านยังค้นข้อมูลไม่ยอมกลับ ข้า...ข้าเลยนำของว่างมาให้น่ะค่ะ”

ราชองครักษ์หนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นตะกร้าใบเล็กๆ ที่เธอคล้องแขนมาด้วย หญิงสาวจัดแจงวางตะกร้าใบนั้นบนโต๊ะแล้วเลิกผ้าผืนเล็กที่คลุมอยู่

“มีขนมปังกับแฮมรมควัน แล้วก็เนยค่ะ เดี๋ยวข้าทำแซนด์วิชให้นะคะ”

“ขอบใจนะ” ดูลัสตอบอย่างยินดี

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เขาเห็นเคียรายิ้มอ่อนๆ ใต้แสงตะเกียงขณะวางขนมปังลงบนจานไม้ที่เธอหยิบออกมาจากตะกร้า “ก็...ท่านดูลัสกำลังพยายามช่วยเจ้าหญิงอยู่อย่างเต็มที่นี่คะ”

“ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่ของข้าเท่านั้นเอง” องครักษ์หนุ่มพูดง่ายๆ

“แต่ถ้าแค่ทำตามหน้าที่ก็ไม่เห็นจะต้องมานั่งอยู่จนดึกดื่นขนาดนี้เลยนี่คะ” หญิงสาวแย้ง ก่อนจะพูดเรื่องที่ทำให้เขาแปลกใจขึ้นมา “แต่ก็ดี เพราะท่านดูลัสอยู่ที่นี่จะได้แจ้งข่าวล่าสุดได้เลย”

“ข่าว? มีข่าวเรื่องอะไรหรือ”

“เมื่อเย็นนี้มีผู้ต้องสงสัยถูกจับตัวมาได้คนหนึ่งค่ะ” เคียราเล่าไปพลางจัดอาหาร

“ผู้ต้องสงสัยหรือ ใครกัน”

“เห็นบอกว่าเป็น...แม่มดน่ะค่ะ”

“แม่มดนี่นะ” ดูลัสขมวดคิ้ว

“ค่ะ เห็นว่าชาวบ้านในย่านแออัดไปพบเข้า ดูเหมือนนางจะเสียสติ นางพูดขอโทษใครสักคนที่นางเรียกว่า ‘ท่านจ้าว’ แล้วก็บอกว่าตัวเองฆ่าพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงไปตามคำสั่งของ ‘ท่านจ้าว’ กับชาลัวห์แล้ว”

“...เสียสติแล้วเชื่อได้อย่างไร หญิงชราตัวคนเดียวไม่มีทางเข้ามาฆ่าพระคู่หมั้นในวังได้แน่ๆ”

“นางบอกว่านางใช้เวทมนตร์ค่ะ” เคียราพูดขึงขังขึ้น “นางออกมาพูดว่าตนเองฆ่าคุณชายเฟลิมไปก่อนที่ข่าวจะออกไปนอกวังเสียอีก แล้วนางยังมีแผล...แผลเหมือน...เขาบอกว่าเหมือนเส้นเลือดข้างในระเบิดออกมาเองค่ะ ไม่ถึงตายแต่ก็เป็นแผลลึกน่าดู แต่มนุษย์ธรรมดาไม่น่าจะทำให้เกิดแผลอย่างนี้ได้ใช่ไหมล่ะคะ”

ดูลัสนึกไปถึงหญิงชราที่เคียราบอกว่ามอบใบแชมร็อคให้เธอ ขณะสงสัยว่าแม่มดที่ว่านี้เป็นคนเดียวกันหรือไม่

“ตอนนี้นางถูกคุมตัวไว้ที่ไหนหรือ”

“คุกใต้ดินของปราสาทค่ะ จะมีการไต่สวนนางในตอนเช้าพรุ่งนี้ ท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธกับครอบครัวตั้งใจจะอยู่ฟังก่อนนำศพของลูกชายกลับไปทำพิธีที่มณฑล และเจ้าหญิงแอชลีนน์ก็ทรงตัดสินพระทัยว่าจะเสด็จไปประทับฟังด้วยค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ” องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ พลางครุ่นคิด

“เจ้าหญิงทรงมีพระดำริให้ท่านดูลัสตามเสด็จอารักขาค่ะ ท่านจะได้อยู่ฟังในห้องไต่สวนด้วย”

“ดีแล้ว” เขาพูด “ขอบใจที่มาบอกนะ เคียรา”

“ม...ไม่เป็นไรค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าบอกท่านดูลัสไว้เนิ่นๆ ก็คงดี แต่ก็ปลีกตัวมาได้เร็วที่สุดเท่านี้” นางกำนัลสาวเสมองไปอีกทางขณะเช็ดมือด้วยผ้า

“เอาเถอะ นี่ก็ดึกแล้วล่ะ” ดูลัสตัดสินใจว่าหากอีกฝ่ายมีเรื่องจะบอกเขาเพียงเท่านี้ก็สมควรแก่เวลาขอตัวเสียที “เจ้ากลับไปดูแลเจ้าหญิงเถอะ ข้าคงต้องอ่านเอกสารต่ออีกสักหน่อย”

“ค่ะ” เคียรารับง่ายๆ ก่อนจะเดินไปยังประตู “พยายามเข้านะคะ แล้วก็...ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่านดูลัส”

“ราตรีสวัสดิ์”

องครักษ์หนุ่มหยิบแซนด์วิชที่อีกฝ่ายเพิ่งทำให้มากัด ก่อนจะหันไปสนใจเอกสารอีกครั้งขณะที่มีเสียงประตูเบาๆ ยังมีเรื่องต้องทบทวนอีกมากมาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากเร่งวันเร่งคืนให้ไปถึงตอนที่ตนได้เข้าฟังการไต่สวนหญิงชราที่น่าจะเป็นแม่มดในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้องหรือไม่ และเรื่องทั้งหมดนี้เป็นมาอย่างไรเสียที

บทที่ ๒๖ การไต่สวน

* * *

ผู้อ่านหลายท่านทายถูกว่าคนที่ต้องตายคือเฟลิม คงเป็นเพราะคำบอกตอนท้ายค่อนข้างบ่งชี้ ซึ่งผมก็ตั้งใจบางส่วนให้เตรียมใจกันด้วยว่างานนี้มีคนต้องสังเวยชีวิตก่อนทางขึ้นสู่บัลลังก์แน่ๆ

จริงๆ ผมก็เห็นว่าเฟลิมเป็นคนที่ไม่สมควรตายเลยครับ ถึงจะอ่อนแอเกินไป ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง อย่าว่าแต่จะเป็นกษัตริย์ แต่เขาก็เป็นคนดีที่ต้องจบชีวิตเพราะอยู่ผิดที่ผิดทาง ขวางผลประโยชน์เขาโดยไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง

การไต่สวนจะเป็นอย่างไร ขอเชิญชมในตอนหน้าครับ




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 14:29:20 น.
Counter : 264 Pageviews.  

บทที่ ๒๔ - เรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้

คุณ C (chaiwatmsu) - :D

* * *

บทที่ ๒๔ เรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้


กว่าอาเมียร์จะกลับเข้ามาในงานเลี้ยงก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ถึงอย่างนั้นท่านเบเรคกับครอบครัวก็ยังรอเขาอยู่ เมื่อกลับมาถึงบริเวณห้องพักของพวกตน ชายวัยกลางคนยังบอกว่ามีเรื่องอยากพูดกับเด็กหนุ่มตามลำพังเสียด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้เอง อาเมียร์จึงให้ท่านเบเรคเข้ามาในห้องพักของตน แม้จะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายมีเรื่องใดที่ต้องการพูดกับเขาก็ตาม กระนั้น...เขาก็พอเดาได้เมื่อได้ยินคำขึ้นต้นของท่าน แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง

“เจ้าคิดว่าฟิเดลมาเป็นอย่างไร”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตอบให้ตรงที่สุด

“ข้าเข้าใจเรื่องที่ท่านจะพูด แต่ข้าขออภัยที่ต้องปฏิเสธขอรับ”

“ทำไมล่ะ” ท่านเจ้ามณฑลยังคงถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เจ้าเชื่อในรักแท้เหมือนกับพ่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

อาเมียร์ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเชื่อหรือไม่ หากการที่แม่ของเขากับเสด็จอาเนมอสรักกันมั่นคงยืนนานแม้ในตอนที่รู้ว่าไม่อาจครองคู่กันได้ถือเป็นความรักแท้...เขาก็คงเชื่อ แต่เด็กหนุ่มไม่เคยคิดหรือเชื่อเลยว่าตนจะได้พบและมีรักแท้

เห็นจะเป็นจริงอย่างที่แม่เคยบอก...คนอย่างเขาคงถูกปลูกฝังให้เห็นการแต่งงานกับใครก็ตามที่เหมาะสมเป็นหน้าที่...เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักรจนเกินไป จนไม่คาดหวังว่าจะพบรักแท้ก่อนแต่งงาน...แต่เรียนรู้ที่จะรักใครก็ตามที่ตนแต่งงานด้วยเท่าที่ทำได้

“หรือ...เจ้ามีคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอโทษด้วย ข้าได้ยินมาว่าผู้หญิงธีร์ดีเรอีกคนที่อยู่ที่บ้านเจ้าไม่ใช่ภรรยาหรือคนรักของเจ้า แต่ข้าไม่แน่ใจว่าได้ข่าวผิดพลาดหรือเปล่า”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางหรอกขอรับ” อาเมียร์ปฏิเสธไปตามตรง “ข้าไม่ทราบว่าข้าเชื่อในรักแท้หรือเปล่า แต่ข้าไม่คู่ควรกับคุณหนูฟิเดลมาเลยขอรับ ข้าเชื่อว่าท่านเบเรคย่อมหาลูกเขยที่เหมาะสมกว่าข้าได้มากมาย...ทั้งเพื่อความสุขของคุณหนูและตัวท่านด้วย”

“แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าไม่คู่ควรกับนางเพราะอะไรกันล่ะ” นายจ้างของเขายังไม่วายหว่านล้อม “ข้านับถือความสามารถของคนมากกว่าจะใส่ใจเรื่องเชื้อชาติ วัยของเจ้ากับฟิเดลมาก็ไม่ห่างกันนัก แล้วข้าก็ใช่จะให้เจ้าแต่งงานกับนางในวันนี้วันพรุ่งเสียเมื่อไร ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะให้เจ้าเข้ารับราชการกับข้า แล้วอีกสักปีสองปี...เจ้าก็คงก้าวหน้าพอจะแต่งงานกับนางได้อย่างเหมาะสม ข้าเชื่อว่าเจ้าย่อมดูแลลูกสาวของข้าได้เป็นอย่างดี และหากเจ้าเป็นเขยของข้า...เจ้าก็จะมีหนทางก้าวหน้าได้มากขึ้น เจ้าเป็นคนฉลาด ถึงข้าจะไม่พูดอะไรมากก็คงเห็นแล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสองฝ่าย”

“ข้าเห็นด้วยตามนั้นขอรับ” เด็กหนุ่มยอมรับ “แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ขออภัยที่ข้าอาจจะพูดกะทันหันไปหน่อย แต่ข้าตั้งใจไว้ว่าจะลาออกหลังจากสิ้นสุดการประลองครั้งนี้ขอรับ”

ท่านเบเรคมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่มากนัก

“ทำไมล่ะ”

“ข้า...รู้ตัวว่าข้าไม่เหมาะสมกับงานแบบนี้ขอรับ”

“แล้ว ‘งานแบบนี้’ ของเจ้าหมายถึงงานอะไรกัน”

“ทั้งสอนคุณชายรูอาร์คและรับราชการนั่นล่ะขอรับ ข้ายังขาดความสามารถนัก”

“ข้าไม่เห็นว่าเจ้าขาดความสามารถเลย นอกจากความต้องการที่จะทำ” ชายวัยกลางคนกลับพูดตรงใจของเขาถูกเผง “แต่ข้าไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้เจ้าคิดอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”

อาเมียร์ยังคงนิ่งเงียบ

“เอาเถอะ หากบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก” ท่านเบเรคยิ้มน้อยๆ “เจ้าช่วยข้ากับเฟลิมมามากแล้ว พวกเราเองก็ซาบซึ้งมาก หากเจ้าจะตัดสินใจลาออกก็เป็นสิทธิ์ของเจ้า แต่ข้าก็จะให้รางวัลตอบแทนเจ้าอย่างคุ้มค่า นอกจากเงินเดือนแล้ว...ข้ายังคิดว่าจะให้ค่าตอบแทนเจ้าเพิ่มเติมด้วย”

“ขอบคุณมากขอรับ” เขาค้อมศีรษะ “แต่...เงินเดือนเพียงเท่าเดิมก็เกินพอแล้วขอรับ งานของข้ายังบกพร่องนัก”

“หากเจ้าไม่สะดวกใจจะรับเป็นเงิน...ก็เอาเป็นว่าข้าจะงดเว้นภาษีให้ครอบครัวของเจ้าเป็นเวลาห้าปีก็แล้วกัน คงไม่ขัดข้องหรอกนะ”

“...ขอบคุณมากขอรับ” อาเมียร์ตัดสินใจคำนับอีกครั้งหนึ่ง

“แต่ข้ายังไม่เลิกหวังหรอกนะ” นายจ้างของเขายังบอก “หากเจ้าอยากกลับมาทำงานกับข้า...ไม่ว่าเมื่อไร...ก็มาเถอะ ข้ากับครอบครัวยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ”

“...ขอรับ”

“แล้วเรื่องเดินทางกลับ...ถึงอย่างไรก็อยู่ร่วมพิธีอภิเษกเสียก่อนแล้วค่อยกลับไปด้วยกันเถอะ อยู่ฉลองความสำเร็จของเฟลิมที่ได้เจ้าช่วยมากับมือ หากเจ้าต้องการให้ครอบครัวได้มาฉลองที่เมืองหลวงด้วย ข้าก็จะช่วยจัดการเรื่องเดินทางไปกลับให้”

“ขอบคุณมากขอรับ แต่เรื่องครอบครัวของข้านี่ไม่เป็นไรหรอก เกรงจะลำบากกันเสียมากกว่า ข้าก็แค่...ขอความกรุณาจนกว่าจะสิ้นสุดพิธีอภิเษกก็เป็นพระคุณมากแล้วขอรับ” อาเมียร์ตัดสินใจตอบแบ่งรับแบ่งสู้...ในเมื่อถึงอย่างไรเขาก็รับปากใครอีกคนไว้แล้วว่าจะรออยู่จนถึงเวลานั้น

* * *

อันที่จริง จนกว่าจะถึงวันอภิเษกในอีกเดือนข้างหน้า แอชลีนน์จะ ‘หาเหตุ’ ไม่ไปพบหน้าพระคู่หมั้นอีกเลยเสียก็ได้ แต่หลังจากได้พูดคุยกับอาเมียร์เมื่อคืนวาน เด็กสาวก็ตัดสินใจว่าเธอควรจะแสดงให้เฟลิมเห็นด้วยเช่นกันว่าเธอต้องการจะเป็นมิตรกับเขา จึงได้เชิญเขามาดื่มน้ำชาในสวนเมื่อบ่ายวันนั้น

ดูเหมือนเฟลิมจะมาเพียงลำพัง ไม่มีรูอาร์คหรืออาเมียร์มาด้วย แต่มีราชองครักษ์ของวังหลวงเป็นผู้ติดตามอารักขา ถึงอย่างนั้นเธอก็คิดไว้แล้วว่าคงเป็นเช่นนี้ และถึงอย่างไรเรื่องที่เธอจะพูดก็เป็นเรื่องที่ตั้งใจจะบอกกับเขาเพียงคนเดียวอยู่แล้ว

“ข้าขอโทษที่หลบหน้าออกไปก่อนตั้งแต่เมื่อวาน” เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยหลังทักทายตามธรรมเนียม และจิบชาไปได้นิดหน่อย

“ห...หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต่างหากที่ต้องขอประทานอภัย หากกระหม่อมทำสิ่งใดที่ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย” เฟลิมก้มหน้าพูด “โดยเฉพาะเรื่องที่...ที่กระหม่อมบอกไปว่าทราบว่าฝ่าบาทคือแอชกับท่านเคียรา กระหม่อมเพิ่งทราบเมื่อวานนี้เอง อาจารย์เป็นคนบอกกระหม่อม อาจารย์ยังฝากขอประทานอภัยเรื่องใดก็ตามที่เคยทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยมาเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังว่า...หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าพระทัยและประทานอภัย...”

“ข้าไม่ว่าอะไรหรอก” แอชลีนน์ตัดสินใจพูดง่ายๆ ยังผลให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ “ข้าเองก็อารมณ์ร้อนเกินไป ข้าเป็นคนขอไปเรียนร่วมกับท่านเอง อาจารย์เขาก็รับสอนให้...ซ้ำยังเต็มใจสอนเป็นอย่างดีแท้ๆ ยังคิดระแวงอะไรไม่เป็นเรื่องอย่างนี้อีก”

เฟลิมก้มหน้าก้มตาคนชาในถ้วยของตน

“ฝ่าบาท...ทรงไม่พอพระทัยกับผลครั้งนี้หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็ไม่นี่” เด็กสาวรีบตอบ

“ถ...ถ้าทรงไม่พอพระทัยก็ตรัสมาตรงๆ เถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...กระหม่อมรู้ตัวว่ากระหม่อมยังขาดความสามารถอีกมาก ที่จริงที่กระหม่อมพยายามเต็มที่ในการทดสอบครั้งนี้ก็เพราะอยากพิสูจน์ตนเอง มีคนที่กระหม่อมคิดว่าสมควรชนะมากกว่านี้...แต่เพราะเขาถูกโกงจนแพ้ไป อาจารย์กับกระหม่อมถึงได้เห็นตรงกันว่า...จะปล่อยให้คนโกงคนนั้นชนะไปก่อนไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วท่านเฟลิมอยากให้ข้าทำอย่างไร” แอชลีนน์เป็นฝ่ายถามบ้าง

“ก็...ตรวจสอบ...หากจับได้ว่ามีการทุจริต...ก็น่าจะจัดให้มีการประลองใหม่อย่างยุติธรรมได้ ผลของการประลองอาจจะเป็นที่พอพระทัยมากกว่านี้...”

เด็กสาวลอบยิ้มอย่างอ่อนใจโดยที่เขาไม่เห็น

“ข้าเองก็เชื่อว่ามีผู้ทุจริตจริงๆ แต่เรายังขาดหลักฐานอยู่ หากคิดจะสืบให้ได้ผลสิ้นสุดคงใช้เวลานาน ยิ่งไม่นับว่าการจัดการทดสอบใหม่จะทำให้ใครต่อใครต้องลำบากมากไปกว่านี้ ธีร์ดีเรขาดราชามานานแล้ว และข้าก็คิดว่าหากท่านเป็นราชาองค์ใหม่ก็อาจจะดีแล้วก็ได้ นอกเสียจาก...ท่านไม่อยากแต่งงานกับข้าด้วยเหตุอื่น”

“ห...หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” เฟลิมตอบตะกุกตะกัก “กระหม่อม...เอ้อ...กระหม่อมไม่ได้อาจเอื้อมอยากแต่งงานกับพระองค์ แต่...แต่ถ้าถือเป็นความรับผิดชอบของ...ของผู้ชนะ...เอ๊ย...ถ้าฝ่าบาททรงเห็นชอบ...กระหม่อมก็...”

“ข้าหมายถึง...ท่านมี...คนรักอยู่แล้วหรือเปล่า” เธอตัดสินใจพูดตรงขึ้น

ชายหนุ่มสั่นศีรษะทันที

“ม...ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ แต่ไหนแต่ไร...กระหม่อมก็รู้ตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสม ท่านพ่อเคยบอกว่า...หากกระหม่อมทำหน้าที่แต่งงานเพื่อวงศ์ตระกูลแล้ว...จะมี...เอ่อ...คนรักอีกก็ได้หากสามารถรับผิดชอบได้และไม่ทำให้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย แต่...แต่กระหม่อมก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...สงสารผู้หญิงทั้งสองฝ่ายพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าก็เหมือนกัน” เด็กสาวตอบลอยๆ

“หือม์?” เฟลิมทำเสียงรับอย่างประหลาดใจ

“ข้าหมายความว่า...ข้าก็รู้ตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสมเหมือนกัน”

ถึงอย่างนั้นใจอันดื้อด้านของเธอก็ยังยอมรับได้ยากเย็น เธอไม่อยากนึกถึงชีวิตที่ต้องจากเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่ไอลีชไปต่างแดน เพื่อแต่งงานกับเจ้าชายหรือราชาองค์ใดที่ตนมีเวลาทำความรู้จักเพียงน้อยนิด ซ้ำยังต้องรักษากิริยาอยู่ทุกขณะในฐานะตัวแทนแห่งธีร์ดีเร หาความสุขสบายของตนเองจริงๆ ได้ยากนัก

ไม่นึกเลยว่าเธอจะไม่จำเป็นต้องไปแดนไกล...สมกับที่เคยเฝ้าภาวนาไว้ แต่เสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่ไอลีชต่างหากที่ล้วนจากธีร์ดีเรกับเธอไปจนหมดสิ้น

“ฝ่าบาทคงยังไม่ทรงทราบเรื่องรูอาร์ค” เสียงพูดของเฟลิมเรียกเธอออกจากภวังค์ “เขา...เป็นลูกนอกสมรสของท่านพ่อกับ...ผู้หญิงคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ” แอชลีนน์รับโดยไม่ประหลาดใจอะไรนัก กระทั่งเคียราที่เธอสนิทด้วยมานานยังเป็นอย่างนั้นเลยนี่นา

“ท่านแม่ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรเลย แต่...กระหม่อมคิดว่าท่านแม่ก็คงเสียใจเรื่องนี้เหมือนกัน มันอาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ชาย แต่...กระหม่อมก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรม กระหม่อมเห็นใจท่านแม่ แล้วถ้า...ถ้ามีใครทำร้ายจิตใจฟิเดลมาอย่างนั้น กระหม่อมก็ต้องไม่พอใจ กระหม่อมจึงตั้งใจว่า...ไม่ว่าจะแต่งงานกับใคร...กระหม่อมก็จะ...ซื่อสัตย์กับคนคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวฟังแล้วนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอรู้ว่าถึงอย่างไรเธอก็คงต้องมีชะตาเหมือนหญิงชั้นสูงอีกมากมายที่ไม่อาจหนีการแต่งงานกับคนที่เหมาะสม และก็ไม่อาจหนีการที่สามีไปมีคนรักอื่น...อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต แม้เสด็จแม่กับเสด็จพ่อจะดูรักใคร่ผูกพันกันดี...เธอก็ยังบอกได้ในบางขณะว่าเสด็จแม่มีเรื่องลำบากพระทัยซ่อนอยู่ลึกๆ...เรื่องที่เธอได้ยินมาแว่วๆ ว่าเกี่ยวกับการที่เสด็จพ่อทรง ‘เอ็นดู’ นางกำนัลบางคนเป็นพิเศษ แม้จะไม่มีพวกนางคนใดที่...มีพยานอันเกิดจากความเอ็นดูเกินควรนั้นขึ้นมาก็ตาม

เธอประหลาดใจที่เฟลิมสามารถรับคำได้อย่างหนักแน่นถึงเพียงนั้น กระนั้นก็ตัดสินใจถามเบาๆ

“ถึงแม้ว่า...จะเข้ากับคนคนนั้นไม่ได้น่ะหรือ”

“กระหม่อม...เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่าย ถึงอย่างไรก็...น่าจะปรับตัวให้เข้ากันได้ในระดับหนึ่งล่ะพ่ะย่ะค่ะ ขนาดรูอาร์คยังเคยพูดว่า...ต่อให้ท่านพ่อใช้ให้กระหม่อมไปแต่งงานกับงูพิษ...กระหม่อมก็จะทำให้งูพิษเชื่องไปเองโดยไม่รู้ตัว เอ้อ...กระหม่อมไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทเป็น...”

แอชลีนน์ค่อยหัวเราะออกมาได้น้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นป้องปากเมื่อรู้ตัวว่าตนเองคงดูไม่สำรวมนัก

“ข...ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” เฟลิมพูดเจื่อนๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ได้เป็นงูพิษอะไร เป็นแต่...แมวที่เอาใจยากเท่านั้นกระมัง” เด็กสาวยักไหล่ “แต่ข้าจะพยายามไม่สร้างปัญหาให้ท่านมาก ข้า...คิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ แล้วก็จะช่วยดูแลธีร์ดีเรด้วยกัน”

“พ...พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงอีกครั้ง “กระหม่อม...กระหม่อมไม่ทราบว่าตนเองมีอะไรดีกว่าคนอื่น...แต่กระหม่อมจะพยายามให้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...จะพยายามไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าก็จะพยายามเหมือนกัน” เด็กสาวตัดสินใจยื่นมือข้ามโต๊ะไปจับมือของเขา ก่อนจะพยายามส่งยิ้มให้ “ข้าไม่อยากให้ท่านผิดหวัง ไม่อยากให้เสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่ต้องผิดหวัง ไม่อยากให้ชาวธีร์ดีเรผิดหวัง แล้วก็...”

แอชลีนน์ชะงักไปเมื่อลังเลว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอควรเอ่ยหรือไม่ จนกระทั่งเฟลิมเป็นฝ่ายถามขึ้น

“แล้วก็...อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วก็...” เธอลอบระบายลมหายใจเบาๆ “...ไม่อยากให้อาจารย์ของเราสองคนต้องผิดหวัง”

เด็กสาวจะพยายามนึกถึงคนคนนั้นในฐานะนี้ จะพยายามไม่หวังถึงสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้เสียที...

* * *

“อาจารย์คิดจะหนีล่ะสิ”

อาเมียร์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ในห้องพักของตน และเพียงแต่ยิ้มเนือยๆ เมื่อถูกลูกศิษย์...หรือที่ถูกควรจะเป็นอดีตลูกศิษย์...กล่าวหาเอาด้วยเสียงหยันๆ ทันทีที่เจ้าตัวแสบออกปากเรื่องที่เขาไปขอลาออกกับท่านเบเรคเมื่อคืน

“ใช่...ข้าคิดจะหนีอยู่จริงๆ นั่นล่ะ”

รูอาร์คกลับทำสีหน้าพิลึก ก่อนจะเกาศีรษะแกรกขณะเท้าแขนกับโต๊ะข้างหน้าเขา

“เฮ้ย...ยอมรับง่ายๆ อย่างนี้ไม่สนุกนะอาจารย์ ด่าข้าเถียงข้าเหมือนเดิมสิ”

“ก็เจ้าพูดจริง ข้าจะด่าไปทำไม” เด็กหนุ่มรับพลางกอดอก ทอดสายตาเลื่อนลอยบนโต๊ะที่มีเพียงแจกันดอกไม้วางประดับ “ข้าคิดจะหนีเงื่อนไขของเจ้าจริงๆ ต้องขอโทษด้วย”

“...แสดงว่าเป็นเอามากเข้าขั้น” รูอาร์คกลอกตาก่อนจะรีบแย้ง “ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ถ้าอาจารย์จะเลิกทำงานกับพวกเราแค่เพราะกลัวข้าจับอาจารย์ไปอาบเลือด...อาจารย์ก็ไม่ได้มีกึ๋นเท่ากับที่ข้ารู้ว่ามีหรอก ข้าหมายถึงเรื่องที่อาจารย์คิดจะหนีหน้ายายเจ้าหญิงเปี๊ยกนั่นต่างหาก”

“เมื่อวานข้าหลบไปขอโทษเจ้าหญิงแล้ว...ถึงจะไม่ได้ปีนเข้าห้องนาง เจ้าพอใจแล้วหรือยัง”

“แล้วเพราะไปขอโทษแล้ว...เลยคิดจะหนีอย่างนี้ล่ะสิ” เด็กหนุ่มผมแดงกลับเดาได้ถูกเผงเหมือนเดิม ก่อนจะแถมด้วยคำที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย “ขอโทษเถอะนะ...อาจารย์สมควรไปเคี้ยวเอื้องจริงๆ แล้ว มีผู้ชายตั้งมากตั้งมายพยายามทุกวิถีทางแค่ให้ผู้หญิงคนหนึ่งเหลียวหน้ามาค้อน ส่วนอาจารย์ไม่ต้องกระดิกนิ้วก็มีคนมาหลงรักหัวปักหัวปำเอง...แล้วก็กลับหนีเขาไปเสียดื้อๆ อย่างนี้”

“ผู้หญิงที่เจ้ากำลังพูดถึงคือเจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเร แล้วก็กำลังจะเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าด้วย” อาเมียร์พูดเสียงขรึม “ให้ข้าไปเสนอหน้าอยู่ใกล้ๆ สองคนนั้นทุกวันได้เสียที่ไหนเล่า”

“งั้นอาจารย์ก็แต่งงานกับฟิเดลมาไปเลยสิ เจ้าหญิงจะได้ตัดใจได้เร็วๆ”

“เจ้าไม่อยากให้ข้าแต่งงานกับคุณหนู ถึงได้ชักชวนสองคนนั้นไปสอดแนมบ้านข้าไม่ใช่หรือ”

เขาพยายามจ้องตารูอาร์ค แต่อีกฝ่ายก็ทำเป็นเสมองไปทางอื่น

“ไม่รู้สิ...ถ้าอาจารย์กับฟิเดลมารักกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าอาจารย์รักยายเจ้าหญิงเปี๊ยกนั่นก็เป็นอีกเรื่อง”

“ความรู้สึกของข้าไม่เกี่ยวอะไรด้วย ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นางเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเร ข้าเป็นแค่คนต่างชาติ ไม่มีเชื้อสายขุนนาง ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอให้ใครๆ ยอมรับเป็นราชาปกครอง เจ้าจะไปชอบไปสนับสนุนเรื่องรักต้องห้ามในละครเรื่องไหนก็แล้วแต่เจ้า แต่นี่เป็นความจริง เป็นเรื่องที่กระทบกับอาณาจักรทั้งอาณาจักร เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

“สำหรับข้า...เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มีแต่เรื่องที่ข้าไม่อยากทำเท่านั้นล่ะ” รูอาร์คแค่นเสียง

“แล้วถ้าเจ้าเป็นข้าและรักแอช เจ้าจะทำอย่างไร พานางหนีไป...หรือพยายามถีบตัวเองขึ้นมาคู่กับนางให้ได้โดยไม่สนใครๆ ไม่สนท่านเบเรคกับท่านเฟลิม ไม่สนพ่อแม่กับน้องๆ ที่อาจตกอยู่ในอันตราย ไม่สนประชาชนชาวธีร์ดีเรที่ต้องลำบากเดือดร้อนเมื่อบ้านเมืองระส่ำระสายเลยหรือ!” อาเมียร์เริ่มไม่สบอารมณ์ “รูอาร์ค...คนเราลอยตัวอยู่เหนือปัญหาทุกอย่างตลอดไปไม่ได้หรอก เจ้าจะมัวหาความสุขใส่ตัวเจ้าคนเดียวในโลกใบนี้ไม่ได้ เราทุกคนมีความรับผิดชอบและหน้าที่ที่ต้องทำ...มีเรื่องที่ต้องเสียสละกันทั้งนั้น!”

“แต่เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน เป็นเรื่องของอาจารย์กับยายเปี๊ยก พี่เฟลิมหรือใครๆ ก็ไม่เกี่ยว”

“งั้นก็รู้ไว้เลยว่าข้าไม่ได้รักเจ้าหญิง!” อาเมียร์โพล่งออกไป

เขากลัวอีกฝ่ายจะหาว่าเขาโกหก ทว่าเด็กหนุ่มผมแดงก็เอาแต่นั่งไขว่ห้าง ใบหน้าเฉยเมยไม่ได้หันมามองเขา

“นั่นสิ ข้าก็ว่าไม่ได้รักหรอก” รูอาร์คพูดช้าๆ “คนอย่างอาจารย์ยึดติดกับเหตุผลกับความเป็นไปได้เกินไปจนไม่เปิดช่องว่างไว้แต่แรกแล้ว พอรู้ตัว...อะไรก็ตามที่มีในใจเลยไม่ใช่ความรัก แต่เป็นแค่ ‘เรื่องที่เป็นไปไม่ได้’ เท่านั้นเอง”

อาเมียร์พยายามสะกดกลั้นความโกรธเคืองไว้อย่างรวดเร็ว

“ก็แล้วเจ้าจะให้ข้าทำให้มันเป็นไปได้ได้อย่างไร! รู้ดีนักก็บอกข้ามาสิ!!”

“ข้าเองก็ไม่รู้ ถ้าอาจารย์อยากทำให้มันเป็นไปได้ก็ต้องจัดการเอง แต่ถ้าอาจารย์คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วยังทิ้งทุกอย่างที่ตัวเองทำมาจนถึงตอนนี้ให้มันค้างคาอยู่เพื่อหนีไปเสียเฉยๆ มันจะทำได้ที่ไหน ปากบอกทำเพื่อธีร์ดีเรอยู่ปาวๆ แต่พอเห็นว่าผลของเรื่องที่ตัวเองก่อขึ้นมามันไม่โสภานักก็หนีมันทุกอย่าง มันก็เหมือนกับเรื่องกลัวเลือดนั่นล่ะ ถ้าอาจารย์ตั้งใจจะทำอะไรก็ตามที่ต้องยุ่งกับเลือดก็ต้องเอาชนะมันให้ได้ ไม่ใช่หนีเลือดทุกโอกาส...แล้วยังคิดจะทิ้งทุกเรื่องที่อาจารย์อยากทำด้วยเหตุผลตื้นๆ กะแค่หนีหน้าคนที่เขาชอบเราเพราะกลัวเขาตัดใจไม่ได้ สุดท้ายงานราชการที่อาจารย์อยากทำ...กับธีร์ดีเรที่อาจารย์บอกว่าอยากให้สงบสุข...มันก็แค่การเล่นสนองตัณหาอาจารย์ชั่วคราวเท่านั้นสินะ”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่คนที่ชอบเล่นบ้าบอสนองตัณหาตัวเองมากกว่าข้ามันก็ยืนอยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้แท้ๆ มิหนำซ้ำมันยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้กับข้าเสียอีก!”

เด็กหนุ่มผมแดงกลับลุกจากเก้าอี้มาประจันหน้าเขา

“เออ ข้าชอบสนองตัณหาตัวเอง แต่ถ้าข้าทำอะไรลงไปเพื่อสนองตัณหาตัวเอง...ข้าจะรับผิดชอบ อาจารย์ทำอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ”

“ก็นี่อย่างไรความรับผิดชอบของข้า! หรือเจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบอย่างไรแทนก็บอกมาสิ!”

“บอกไปก็ป่วยการเปล่า อาจารย์ไม่คิดจะทำอยู่แล้วนี่ เชิญดูคนสองคนเขาแต่งงานการเมืองกันแล้วกลับบ้านไปไถนาตามเดิมเถอะ แต่อย่าลืมสลับตำแหน่งตัวเองไปเดินลากไถอยู่ข้างหน้าเสียล่ะ”

“รูอาร์ค!” อาเมียร์ถลันเข้าไปกระชากแขนอีกฝ่ายบีบแน่น “เจ้าพูดเกินไปแล้วนะ!!”

“แล้วอย่างไร” คนถูกดึงแขนไว้กลับมองเขาอย่างเรียบๆ

“ถ้าขืนเจ้าพูดอะไรอย่างนั้นอีก...ข้าไม่เกรงใจแน่!”

“งั้นข้าจะพูดอีก กลับไปไถนาแทนวัวไป อาจารย์...อ้อ...ขอโทษที เราไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กันต่อไปแล้วนี่” รูอาร์คพูดเสียงเย็น “อยากต่อยข้าก็ต่อยมาเลย ข้าเป็นคนพูดแล้วรับผิดชอบ ไม่ขี้แยขนาดจะวิ่งไปฟ้องพ่อหรอก ถ้าเจ้าจะไม่ต่อยข้าก็แค่เพราะเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้นเอง”

“เจ้า!!” เด็กหนุ่มผมดำขึ้นเสียง ใจอยากรับคำท้าอยู่เร่าๆ แต่มือกลับยังไม่ยอมขยับ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนนั้น

“อาจารย์...รูอาร์ค ทำอะไรกันอยู่หรือ”

เป็นเสียงของเฟลิม อาเมียร์ปล่อยมือจากรูอาร์คแล้วไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา

ชายหนุ่มดูยิ้มแย้มกว่าเมื่อเช้ามาก...จนเด็กหนุ่มผมดำอดสงสัยไม่ได้

“เจ้าหญิง...ทรงว่าอย่างไรหรือ”

“เจ้าหญิงทรงมีพระปฏิสันถารกับข้าดีมากขอรับ ตรัสว่าไม่ได้ทรงกริ้วอะไรอาจารย์เลยด้วย ข้าบอกเรื่องที่อาจารย์จะลาออกไปแล้ว เจ้าหญิงก็ทรงเสียดายขอรับ แต่...ก็อวยพรให้อาจารย์โชคดีขอรับ” เฟลิมบอกอย่างกระตือรือร้น

“อย่างนั้นหรือ” อาเมียร์ทำเป็นรับเฉยๆ เพื่อปกปิดความจริงที่ว่าเขาบอกเจ้าหญิงแอชลีนน์ก่อนอีกฝ่ายเสียอีก “ก็ดีแล้ว”

“ข้าก็ใจหายเหมือนกันล่ะขอรับ ที่จู่ๆ อาจารย์มาบอกว่าจะลาออกอย่างนี้” ชายหนุ่มพูดต่อ “แต่...ถึงอย่างไรอาจารย์ก็คงอยู่สอนข้าตลอดไปไม่ได้จริงๆ นี่ขอรับ ต้องให้ข้าได้เรียนรู้เองบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ก็คงจะช่วยกับคนอื่นๆ แก้ได้ขอรับ”

“หาคนอื่นมาช่วยแก้เถอะ” รูอาร์คโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงขุ่นๆ “คนบางคนแถวนี้ยังไม่มีปัญญาแก้ปัญหาของตัวเองให้ตกเลย”

ว่าแล้วเด็กหนุ่มผมแดงก็ก้าวฉับๆ ออกไปจากประตูแล้วปิดมันค่อนข้างดัง

เฟลิมมองตามหลังของรูอาร์คไปจนถึงประตูที่ปิดอยู่อย่างงงๆ

“รูอาร์คเขาเป็นอะไรไปหรือขอรับ”

“ก็...คงโมโหเรื่องที่ข้าจะลาออกนั่นล่ะ” อาเมียร์รีบกลบเกลื่อน

ชายหนุ่มโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ

“อย่าถือสาเขาเลยขอรับ รูอาร์คเขาคงน้อยใจ เดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว อาจารย์ก็จะไม่อยู่สอนเขาต่อเหมือนกัน เขาคงเหงามาก เขาเห็นอาจารย์เป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่น้องอีกคนนะขอรับ”

“นั่นสินะ” เด็กหนุ่มผมดำยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะตัดสินใจพูด “เอ้อ...ท่านเฟลิม”

“ทำไมหรือขอรับ”

“ข้า...ตอนนี้ข้าก็ไม่ถือเป็นอาจารย์ของท่านอีกแล้ว ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์หรอก ข้าคิดว่าข้ายังบกพร่องไม่เหมาะสมกับคำนั้นอีกมาก”

เฟลิมหัวเราะน้อยๆ

“อย่าคิดมากไปเลยขอรับอาจารย์ ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ดีแล้ว ข้าพูดจริงๆ ถ้าไม่ได้พบท่าน...ข้าคงไม่รู้ตัวหรอกขอรับว่ามีเรื่องที่ข้าทำได้มากมายถึงขนาดนี้”

อาเมียร์นิ่งเงียบและยิ้มเฝื่อนๆ ตามเดิม

“แต่ถ้าเป็นความต้องการของอาจารย์...ก็ได้นะขอรับ มีคนอายุมากกว่าอย่างข้ามาเรียกอาจารย์อยู่ทุกวันคงเป็นเรื่องแปลกอยู่จริงๆ” ชายหนุ่มเสยผมของตน “แต่จะให้ข้าเรียกอาจารย์ว่าอะไรดีล่ะขอรับ”

“เรียกแค่ชื่ออาเมียร์ก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็...ตกลงขอรับ อาเมียร์” เฟลิมยื่นมือมาจับมือกับเขา “ถือว่า...นี่เป็นวันสุดท้ายที่เราจะเป็นศิษย์อาจารย์กันนะขอรับ”

“อื้อ”

“เอ้อ เย็นนี้เจ้าหญิงทรงเชิญทุกคนในครอบครัวของข้ากับอาจารย์...เอ้อ...อาเมียร์ ไปร่วมโต๊ะเสวยด้วย รีบแต่งตัวเถอะขอรับ รูอาร์คก็ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวข้าคงต้องขอตัวไปบอกเขาก่อน” ชายหนุ่มคลายมือก่อนจะเริ่มก้าวไปที่ประตู “แล้วพบกันนะขอรับ”

“แล้วพบกัน” เด็กหนุ่มผมดำพยายามรักษารอยยิ้มไว้

กระนั้น...เมื่ออีกฝ่ายออกไปจากห้องแล้ว เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม ไม่คิดจะไปค้นหาเสื้อผ้าสำหรับงานทางการหรือพิธีการซึ่งท่านเบเรคให้มาจนมากมายเกินพอด้วยซ้ำไป

เขาชั่งใจว่าจะหาข้ออ้างว่าไม่สบายแล้วหลบอยู่ในห้องคนเดียวตอนเย็นนี้ดีกว่าไหม แต่นึกดูอีกทีนั่นคงเป็นการจงใจหลบหน้าอย่างเป็นพิรุธจนเกินไป และเขาก็ไม่อยากให้เจ้าหญิงแอชลีนน์หรือใครก็ตามรู้สึกอย่างนั้นเสียด้วย...

อย่างไหนถือว่าเป็นการหนีกันนะ...หรือว่าจะเป็นทั้งสองอย่าง

แต่ถ้าเป็น...มันจะผิดตรงไหน

เสียงฝีเท้าที่ผ่านหน้าห้อง...ตามมาด้วยเสียงแสกสากเบาๆ ที่ประตูทำให้อาเมียร์รีบหันไปมอง เห็นของบางอย่างที่เป็นแผ่นแบนเล็กๆ สีนวลสอดอยู่ใต้ประตูห้อง

เขาลุกไปหยิบขึ้นมา พบว่ามันเป็นกระดาษพับหนึ่ง เมื่อคลี่ออกดูก็เห็นลายมือที่คุ้นตา

"พบกันที่สวนหลิวคืนนี้หนึ่งยาม มีเรื่องจะพูดด้วยเกี่ยวกับกลโกงของชาลัวห์ อ่านแล้วทำลายจดหมายนี้ทิ้งเสีย"

ไม่มีชื่อเขียนไว้ แต่เขาจำได้ดีว่านี่เป็นลายมือของดูลัส เด็กหนุ่มถอนใจก่อนจะลุกไปจุดตะเกียงเผากระดาษแผ่นนั้นตามคำบอก

อาเมียร์เองก็ไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของดูลัสคืออะไร แต่ก็ตัดสินใจว่าคงต้องลองไปพูดคุยด้วยดู ถึงอย่างไรเขาก็อยากแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการโกงของชาลัวห์...และจัดการให้คนผิดได้ถูกลงโทษสมความผิดเสียที

...หากว่านั่นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้...

* * *

ชายหนุ่มผมสีทองจางยังคงครุ่นคิดทบทวนข้อมูลต่างๆ ที่ตนรู้เป็นอย่างหนัก ขณะรอเวลาที่คู่นัดหมายจะมาถึง

เขาลองถามเคียราแล้ว ได้ความว่าใบแชมร็อคพวกนั้นมาจากแม่ค้าชราชาวทะเลทรายแถวจัตุรัส และตัวเขาก็บอกมาดายแล้วว่าเห็นใบแชมร็อคที่คล้ายกัน...อยู่กับใครอีกคนที่มีเวทมนตร์สามารถทำลายมันได้

ส่วนตัวเขาเดาไว้สองทาง หนึ่งคือใบแชมร็อคพวกนั้นถูกส่งมาให้เฟลิมเช่นกันโดยใครสักคนที่เป็นพวกของชาลัวห์ แต่อาเมียร์รู้อาคมจึงได้แก้ไขทัน ส่วนอย่างที่สองคืออาเมียร์เป็นผู้ใช้อาคมทำใบแชมร็อคนั่นขึ้นมาเสียเอง และอยู่เบื้องหลังแผนการนี้...

แต่หากเป็นอย่างที่สอง...เด็กหนุ่มคงไม่กล้าถึงขนาดนำใบแชมร็อคนั้นมาให้เขาเห็นและเผามันให้ดูคาตาเขามิใช่หรือ หากมันไม่รู้เรื่องของมาดาย...มันจะทำลายใบไม้นั้นเสียทำไม สู้ปล่อยให้เขาเห็นว่าเป็นใบแชมร็อคธรรมดาๆ ไปคงมีพิรุธน้อยกว่า เพราะหากไม่มีจอมเวทของท่านพ่อมาชี้ต้นเหตุของอาการอ่อนเพลียผิดปกติของเขา...ดูลัสก็ไม่มีวันนึกไปถึงใบไม้พวกนั้นได้เด็ดขาด

ถึงอย่างนั้น หากอาเมียร์คิดไว้ว่าการแสดงพิรุธไว้บ้างโดยสุจริตเป็นผลดีกว่าการไม่แสดงพิรุธอย่างแนบเนียน มันอาจจะวางแผนเช่นนี้ไว้ก็ได้ จุดบอดสำคัญของเขาก็คือเขายังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันเป็นใคร มาจากไหน มีจุดประสงค์อะไรและกำลังร่วมมือกับใคร ขณะที่หากเด็กหนุ่มคิดจะสืบประวัติขององครักษ์หนุ่มกับบิดาจริงๆ ก็ทำได้ไม่ยาก...แม้จะไม่น่ารู้เรื่องของมาดายซึ่งท่านพ่อเพียงแต่รับไว้เป็นผู้ติดตามโดยไม่ได้ให้รับราชการ และไม่ให้ออกร่วมทางไปทั่วจนเป็นที่สังเกต

นั่นทำให้เขาถามจอมเวทคนนั้นว่าผู้มีอาคมสามารถรับรู้ตัวตนของกันและกันได้หรือไม่ และก็ได้รับคำตอบว่า

“หากเพ่งจิตสืบทราบ...ผู้มีอาคมก็ย่อมจับตัวตนของผู้อื่นได้แม้ว่าผู้นั้นจะมีอาคมเช่นกันหรือไม่ก็ตาม แต่จอมเวทที่มีความสามารถสูงจะสามารถดับสัมผัสของตนไม่ให้จอมเวทที่มีพลังด้อยกว่าหรือทัดเทียมกันทราบได้ ข้าเองไม่ทราบว่าชายที่ท่านว่ามีอาคมในระดับใด แต่ตอนที่อยู่ในอาคารสนามประลองนั้นข้าไม่อาจสัมผัสผู้มีเวทคนอื่นได้เลย”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาไม่มีอาคม”
ดูลัสถามไปในตอนนั้น

“อาจเป็นอีกทางหนึ่งก็ได้” มาดายกลับบอก “หากเขาทำลายใบไม้ลงอาคมได้ตามที่ท่านบอก...เขาก็ย่อมมีอาคม ที่ข้าไม่รู้สึกถึงเขาอาจเป็นเพราะ...เขามีอาคมสูงในระดับที่กลบลบตัวตนของตนได้อย่างไร้ร่องรอย”

หากเป็นความจริง...นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไป อาเมียร์จะกลายเป็นคนที่น่ากลัวเกินกว่าจะต่อกรได้ กระนั้นมาดายก็บอกว่าเวทมนตร์ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น

“ข้าจะมอบเครื่องรางป้องกันให้ท่านพกติดตัวตลอดเวลาก็ได้ มิเช่นนั้นเราต้องทำเขตอาคมป้องกันไว้หากคิดจะต้อนเขาให้จนมุม” จอมเวทเสนอ

ด้วยเหตุนี้ดูลัสจึงยอมรับเครื่องรางป้องกันของมาดาย ซึ่งก็เป็นเพียงสายประคำร้อยจี้ตราสัญลักษณ์แห่งองค์สุริยเทพ เขาไม่รู้สึกเหมือนมันมีสิ่งใดวิเศษไปกว่าสร้อยธรรมดา ถึงอย่างนั้นก็คงมีแต่จะต้องเชื่อเจ้าเครื่องรางนี้สักครั้ง

เสียงฝีเท้าเบาๆ ทำให้องครักษ์หนุ่มหันไป เห็นคนที่เขารออยู่ค่อยๆ เดินเข้ามาหา เด็กหนุ่มผมดำยังสวมชุดทางการอยู่ แสดงว่าหลังร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารค่ำกับเจ้าหญิงและพระคู่หมั้นแล้วคงจะตรงมาที่นี่ทันที

“ท่านได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโกงของชาลัวห์หรือ” อาเมียร์ถามตรงประเด็นทันที

“ข้าคิดว่ากลโกงในรอบสุดท้ายไม่น่าจะใช่ยา แต่เป็นเวทมนตร์” ดูลัสบอกไปตามตรง

ครั้นรอดูปฏิกิริยาของคู่สนทนาก็เห็นอีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ เหมือนไม่อยากเชื่อ จึงเปรยออกไป

“ข้านึกว่าชาวทะเลทรายเชื่อเรื่องเวทมนตร์เสียอีก”

“โดยทั่วไปก็คงใช่” เด็กหนุ่มตอบ “แต่ข้าไม่เคยเห็นเวทมนตร์จริงๆ กับตา เลยไม่รู้ว่าตนเองเชื่อหรือไม่”

องครักษ์หนุ่มจับตามองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังขณะพูดต่อ

“ข้าลองให้นักบวชผู้รู้เวทตรวจสอบดู จึงได้รู้ว่าใครก็ตามที่ใช้กลโกงนั่นสร้างใบแชมร็อคขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ แล้วก็หลอกคนรู้จักของข้าคนหนึ่งให้นำมันมาให้ข้าพกติดตัวตอนประลอง คนรู้จักคนนั้นบอกว่าเขาไปได้ใบแชมร็อคพวกนั้นจากแม่ค้าแก่ๆ แถวจัตุรัสที่เป็นชาวทะเลทราย”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าเหมือนนึกอะไรออก

“อย่างนี้นี่เอง!” เขาร้องก่อนจะรีบพูด “ท่านเฟลิมก็ได้รับใบไม้นี้เหมือนกัน ตอนนั้นข้าให้คนรู้จักไปซื้อของเข้ามา ก็ปรากฏว่าเขาเจอแม่ค้าลักษณะแบบเดียวกับที่ท่านว่า จึงได้ใบแชมร็อคติดมาด้วย แต่ว่า...พวกเราเห็นมันมีพิรุธ เลยไม่ได้ให้ท่านเฟลิมพกติดตัว”

“ที่ว่ามีพิรุธหมายความว่าอย่างไร”

อาเมียร์ดูลำบากใจขึ้นมาทันที แต่ก็เอ่ยช้าๆ

“เมื่อข้าแตะมัน...มันจะไหม้คามือ แต่ข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บปวดอะไรเลย นั่นเป็นผลของเวทมนตร์ใช่ไหม”

“...เห็นจะใช่” ดูลัสตัดสินใจบอกความจริง “นักบวชคนนั้นบอกข้ามาว่าใบแชมร็อคพวกนี้ลงอาคมไว้ให้ทำลายตนเองเมื่อถูกผู้มีเวทมนตร์ด้วยกันสัมผัส แสดงว่าเจ้ามีเวทมนตร์อย่างนั้นสินะ”

“ข้าน่ะหรือ...มีเวทมนตร์” เด็กหนุ่มผมดำกลับอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้า...ข้าไม่รู้เวทมนตร์อะไรเลยจริงๆ”

“ข้าหมายความว่า...” องครักษ์หนุ่มสันนิษฐาน “เจ้าอาจจะมีอำนาจเวทมนตร์อยู่ในตัวโดยไม่เคยรู้ตัวมาก่อน...ก็เป็นได้กระมัง”

“ข้าไม่รู้เหมือนกัน” อาเมียร์รับเบาๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะรีบตัดบท “แต่ช่างเถอะ หากสืบทราบว่าเป็นเวทมนตร์...ก็น่าจะเปิดโปงกลโกงของชาลัวห์ได้ใช่ไหม”

“มันไม่ง่ายหรอก” ชายหนุ่มตอบตามตรง “เราไม่มีหลักฐาน ถึงหาใบแชมร็อคแบบนั้นมาได้เพิ่มเติม...ใครจะไปเชื่อ ต่อให้เห็นใบไม้พวกนั้นไหม้คามือผู้มีอาคม คนเขาก็คงหาว่าเล่นกลแหกตาไปเท่านั้นเอง”

“แล้วเรื่องอื่นล่ะ อย่างผลสอบข้อเขียน หรือผลการจับฉลากเลือกที่มั่น นั่นน่าจะมีโอกาสมากกว่านะ”

“ชาลัวห์โง่บัดซบก็จริง แต่พ่อของมันก็มีอิทธิพลมากพอตัว” ดูลัสติง “ข้าเชื่อว่าพรรคพวกที่ร่วมกันโกงคงยังเกรงบารมีมันอยู่ อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจจริงๆ นั่นล่ะ ขึ้นอยู่กับว่านายของเจ้าจะพิสูจน์ตนเองว่าเป็นราชาที่เข้มแข็งได้ขนาดไหน”

“นั่นหมายความว่า...ท่านไม่อยากให้มีการทดสอบใหม่อย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงคนถามฟังจริงใจเสียจนเขาไม่รู้จะคิดอย่างไรดี

“ประหลาดที่เจ้าอยากให้มี ทั้งๆ ที่นายเจ้าก็ชนะไปแล้ว แถมยังดูร่าเริงยินดีเวลาได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าหญิงถึงขนาดนั้น” ชายหนุ่มตั้งใจประชดแม้เสียงจะเรียบสนิท

“ข้า...ก็แค่...” เด็กหนุ่มพูดเบาๆ “อยากให้มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย”

“ข้าเคยกราบทูลเจ้าหญิงแล้วว่าจะลอบสืบเรื่องโกงการทดสอบ แต่วันนี้พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ ตรัสว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่อยากให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านี้ ถ้าพระองค์ทรงพอพระทัยนายของเจ้าจริงๆ ...ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอก” ดูลัสตอบตามความจริงในทีแรก...แม้นประโยคหลังจะเป็นสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกของเขาเหลือเกิน

เขาระแวงว่าหรืออาเมียร์จะเป็นผู้ทำกลโกงในการประลองระหว่างเขากับชาลัวห์เพื่อกันไม่ให้มีพิรุธกับพวกตน เพราะรู้ว่าเฟลิมย่อมเอาชนะชาลัวห์ได้ง่ายๆ ทั้งจะได้ป้ายความผิดให้อีกฝ่ายและดึงเขามาเป็นพันธมิตร เขาเคยสงสัยว่าเด็กหนุ่มมีจุดประสงค์บางอย่าง เช่น คอยชักใยการปกครองธีร์ดีเรอยู่เบื้องหลังเฟลิม แต่เรื่องที่เพิ่งได้ทราบมาในวันนี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจ...พอๆ กับไม่วางใจขึ้นมาอีกว่าอีกฝ่ายต้องการจะเล่นแผนหลอกอะไรให้เขาตายใจกันแน่

“หากไม่กระเทือนถึงเจ้าหญิงก็ปล่อยเรื่องโกงการประลองไว้เถอะ อีกเรื่องที่ข้าอยากถามมากกว่าคือทำไมเจ้าถึงจะลาออก”

“อ้อ” เด็กหนุ่มผมดำรับเรียบๆ “ท่านทราบด้วยหรือ”

“ในเมื่อเจ้าหญิงทรงทราบ ทำไมข้าถึงจะไม่รู้”

อันที่จริง เจ้าหญิงแอชลีนน์เป็นคนบอกเรื่องนี้กับเขาตอนให้คำตอบว่าจะปล่อยผลการประลองให้เป็นเช่นนี้โดยไม่ต้องสืบสวนเสียด้วยซ้ำ

“เขาไม่ได้วางแผนชักใยเฟลิมหรอก นี่เขาก็ตั้งใจจะลาออกกลับไปอยู่ชนบทเหมือนเดิมนะ”

ดูลัสกลับพบว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจวางใจ เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนและชวนให้นึกไปว่าเป็นกลลวง

“แล้ว...ทำไมหรือ” อาเมียร์ถามต่อ

“ข้าอยากรู้ว่าทำไมเจ้าถึงลาออกกะทันหัน ทั้งๆ ที่มีช่องทางให้รับราชการแล้วแท้ๆ”

“อ้อ” เด็กหนุ่มเสมองคูน้ำใกล้บริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ “ข้ารู้ตัวว่าข้าไม่เหมาะกับงานพวกนี้ แล้วข้าก็พบว่า...กลับไปทำไร่ไถนาตามเดิมสบายใจกว่า”

“คนมีความสามารถอย่างเจ้า ทำไมถึงคิดจะไปหมกตัวในชนบทให้เสียเปล่าอีก”

“ข้าไม่มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษหรอก เพียงแต่เคยมีโอกาสได้ร่ำเรียนมากกว่าชาวทะเลทรายทั่วไป...ก็เท่านั้น” อาเมียร์พูดเรียบๆ “ที่ข้ารับทำงานนี้ก็เพราะความคะนองของคนหนุ่ม คิดไปว่าตัวเองจะช่วยให้ธีร์ดีเรสงบสุขขึ้นได้ แต่ลงท้าย...มันก็เป็นแค่ความเห็นแก่ตัว...ความอยากเอาชนะแบบเด็กๆ ของข้าเอง”

“ความอยากเอาชนะ...อย่างนั้นหรือ” ดูลัสทวนคำอย่างสนใจ

“ท่านคงเคยได้ยินเรื่องชาลัวห์ ข้าชังเขา...ถึงได้พยายามทำให้เขาเสียหน้าทุกโอกาส พ่อห้ามไม่ให้ข้ามาที่นี่...ข้าก็ดึงดันจะมาเพราะอยากพิสูจน์ว่าพ่อคิดผิด ข้าเห็นท่านเป็นคนเก่ง...ข้าถึงได้อยากทดสอบว่าระหว่างเราสองคนใครจะเหนือกว่ากัน ท่านคงเห็นแล้วจากการทดสอบรอบสอง แล้วหลังจากนั้นข้ายังเคี่ยวเข็ญท่านเฟลิมให้พัฒนาฝีมือ...เพื่อมาประลองตัวต่อตัวกับท่านแทนที่ข้า ข้าทำทุกอย่างลงไปโดยไม่รู้เลยว่าท่าน ท่านเฟลิม กับแอช...ข้าหมายถึงเจ้าหญิงแอชลีนน์...ทรงรู้สึกอย่างไรกับเรื่องทั้งหมด ข้าทำเหมือนทุกคนเป็นแค่เบี้ยของข้าอย่างไม่อาจให้อภัยเลยจริงๆ”

ชายหนุ่มนิ่งฟัง...พร้อมกับพยายามชั่งน้ำหนักดูว่าเขาจะเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหน

“เจ้าไม่เคยได้ยินหรืออย่างไร” สุดท้ายองครักษ์หนุ่มก็ตัดสินใจเปรย “มหาราชทุกองค์เป็นทรราช แต่ทรราชทุกคนไม่จำเป็นจะต้องเป็นมหาราช”

“อย่านำคำพูดแบบนี้มาเปรียบเทียบกับข้าเลย ท่านดูลัส” อาเมียร์ยิ้มฝืดเฝือ “ข้าต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็น...หรือแม้แต่จะคิดเป็นถึงขั้นนั้นหรอก”

“ไม่ใช่ว่าเจ้า ‘เกิด’ มาเพื่อเป็นคนระดับนั้นหรอกหรือ” ดูลัสค่อยๆ ตะล่อมถามย้ำข้อมูลที่ได้รับมา

คู่สนทนาดูมีสีหน้าตกใจ

“ท่านไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน”

“ได้ยินว่าในทะเลทรายมีหลายอาณาจักร...ถ้าเผ่าพวกนั้นจะนับเป็นอาณาจักรได้ ตอนนี้จะปิดอย่างไร...เจ้าก็ปิดไม่มิดหรอกว่าเจ้ากับพ่อแม่ดูมีชาติตระกูลและความรู้ความสามารถสูงกว่าชาวทะเลทรายธรรมดา พวกเจ้าจะทิ้งเผ่ามาเป็นแค่ชาวไร่ชาวนาทำไมหากไม่มีเหตุจำเป็น เช่นการชิงอำนาจ...สงคราม...หรือ...ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” องครักษ์หนุ่มบอกข้อสันนิษฐานของตน “เจ้ากลัวเลือดเพราะเหตุนั้น ใช่ไหมล่ะ”

เด็กหนุ่มผมดำพยักหน้าง่ายๆ

“ใช่” เขาถอนใจยาว “ในเมื่อท่านรู้ถึงขั้นนี้ก็คงไม่ต้องปิดบังกันอีก เผ่าของข้าถูกทำลายไปแล้ว เหลือรอดมาแต่พวกเราพ่อแม่ลูกเท่านั้น พ่อของข้าถึงได้อยากเพียงแต่หาที่อยู่สงบๆ กับแม่กับน้องๆ แต่ข้า...ตอนนั้นข้าโตเกินกว่าจะลืมเรื่องพวกนั้น แต่ก็เด็กเกินกว่าจะปล่อยวางให้มันเป็นอดีต...ข้าถึงได้หนีออกจากบ้านมาจนอยู่ตรงนี้ เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาตายเปล่าต่อหน้าอย่างนั้นอีก”

คนทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง รอบบริเวณจึงมีเพียงเสียงใบหลิวลู่ลมแสกสาก และเสียงน้ำในคูไหลเอื่อย

“แต่ตอนนี้ ข้าได้บทเรียนของข้าเกินพอแล้ว ที่เหลือก็หวังแต่ว่าท่านจะช่วยชี้แนะท่านเฟลิมกับเจ้าหญิงต่อไปเท่านั้นเอง”

“ข้าจะทำทุกอย่างตามหน้าที่ของข้า” ดูลัสตอบเป็นกลางไว้

“เท่านั้นก็ดีแล้ว” อาเมียร์รับก่อนจะหันไปมองดวงจันทร์ ซึ่งเคลื่อนห่างจากบริเวณเดิมที่เคยอยู่เมื่อตนมาถึงไปพอสมควร “เอ้อ ข้าคงต้องขอตัวก่อน นี่ใกล้ดึกแล้ว”

“ไปเถอะ ข้าเองก็หมดเรื่องที่ต้องการถามหรือบอกเจ้าแล้วเหมือนกัน” ดูลัสพูดง่ายๆ

“ลาก่อน ท่านดูลัส”

“ลาก่อน”

องครักษ์หนุ่มมองตามแผ่นหลังของชายผู้อ่อนวัยกว่าไปอย่างระแวดระวัง ขณะประมวลทุกอย่างที่เขาได้ยินมาว่าเป็นจริงเท็จประการใด...

อย่างไรก็ตาม...ดูลัสหวังมากกว่าให้เรื่องที่เขาได้ยินเป็นความจริงทั้งหมด และอาเมียร์ไม่มีเจตนาจะแทรกแซงเหตุการณ์บ้านเมืองของธีร์ดีเรอย่างแท้จริง เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ไม่มีเรื่องยุ่งยากกว่านี้

...และเพื่อที่เขากับเด็กหนุ่มจะได้ไม่ต้องกลายมาเป็นศัตรูกันจริงๆ...

* * *

อาเมียร์ถอนใจน้อยๆ เมื่อออกมาพ้นบริเวณสวนนั้น กึ่งเสียดายและกึ่งโล่งอกที่ดูลัสดูจะยอมรับผลการประลองที่ตนถูกโกงมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด

หากเขาไม่ได้มีใจให้เจ้าหญิงแอชลีนน์ในแบบนั้นจริงๆ ก็คงดี หากมีดูลัสช่วยดูแลเฟลิมกับแอชอย่างบริสุทธิ์ใจ เขาก็คงไม่ต้องกังวลอะไรอีก...

แผ่นหลังที่พลันเย็นวาบทำให้เด็กหนุ่มหันกลับไปก่อนจะพบภาพอันแปลกประหลาด...

เขาเห็นของบางสิ่งเป็นแท่งยาวสีดำไหวพร่า...ลอยค้างอยู่ห่างจากแผ่นหลังของตนหนึ่งชั่วแขน นิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนก่อนจะร่วงผล็อยลงกับพื้นหินทางเดินในสวน

เด็กหนุ่มก้มลงมองสำรวจมัน ดูรูปร่างของมันคล้ายธนูหรืออาวุธซัด...แต่ก็พร่ามัวเหมือนควันที่ก่อตัวเป็นรูปร่างเช่นนั้น คงอยู่ไม่นานก็กลับจางหายไป

ไม่ทันตั้งตัว อาเมียร์ก็รู้สึกเย็นวาบที่ข้างศีรษะอีกครั้ง เขาหันไปเห็นสิ่งประหลาดสีดำอีกอันหนึ่งพุ่งเข้าหาตนใต้แสงตะเกียงในสวน มันหยุดอยู่ตรงหน้าเขา...สั่นไหวระรัวเหมือนกำลังพยายามเจาะทะลุกำแพงที่มองไม่เห็น...ก่อนจะพุ่งเข้ามาใกล้กว่าเดิม

เด็กหนุ่มไม่อาจหลบได้ทัน แต่ก็ยกสองแขนขึ้นป้องหน้าไว้ คลื่นความร้อนวูบปะทะแขนวูบหนึ่ง กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าถูกซัดด้วยขี้เถ้าที่ยังไม่หายร้อนดี

มีเพียงภาพแปลกประหลาดที่ผุดขึ้นในคลองจักษุให้เบิกตาโพลง

...เขาเห็นใครสักคน...ใครก็ไม่รู้ที่มีร่างผอมบาง...ผิวเหี่ยวย่น...ผมขาวกระเซิงสยาย...นางเป็นหญิงชรา...สวมชุดสีดำทึม...คอสวมสร้อยระย้าและข้อมือมีกำไลหลายขอน...

...ดวงตาที่มีรอยช้ำเลือดของนางเบิกกว้าง...ริมฝีปากเผยอค้าง...เขาแลเห็นร่างสูงใหญ่สะท้อนอยู่ในแก้วตาของนางอย่างไม่น่าเป็นไปได้...ร่างนั้นมีสีดำตลอดร่างเหมือนหมอกควัน...นัยน์ตาเรืองแสงสีทอง...กับปีกขนาดใหญ่ที่แผ่กว้างดำทะมึนอยู่เบื้องหลัง

แล้วภาพทั้งหมดก็ดับวูบไป...

อาเมียร์หันมองรอบสวนแต่ก็ไม่พบใคร บนแขนของเขามีแต่คราบเขม่าเล็กน้อย บนพื้นที่เคยเจอแท่งเงาประหลาดนั้นก็มีเพียงขี้เถ้าบางๆ เช่นกัน เด็กหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ

นี่คือ...เวทมนตร์...อย่างนั้นหรือ

...เป็นไปไม่ได้...


เขาภาวนาอย่าให้เรื่องเลวร้ายใดๆ ก็ตามเกิดขึ้นกับเขาหรือคนรอบข้างอีกเลย แต่ก็มารู้ในไม่นาน...เพียงเช้าวันต่อมา...ว่าดูความปรารถนาของเขาเหมือนจะเป็นไปไม่ได้

พวกทหารยามมาเคาะ...หรือที่ถูกควรจะเป็นทุบประตูห้องของเขาจนอาเมียร์ตกใจตื่นขึ้นมา

เพื่อฟังข่าวว่าใครสักคน...ใครสักคนที่บัดนี้สำคัญยิ่งต่ออาณาจักรธีร์ดีเร...ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับเสียแล้ว...


บทที่ ๒๕ สูญเสีย

* * *

ที่จริง นี่คือจบตอนที่ผมแบ่งไว้ของเนื้อเรื่องช่วงแรก ในชื่อ พิธีสยุมพรแห่งธีร์ดีเร เนื้อเรื่องช่วงที่สองมีชื่อว่า นักโทษแห่งคำลวง เป็นตอนที่เนื้อเรื่องเริ่มเปลี่ยนทิศ มีเหตุให้อาเมียร์กับแอชได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม และตัวละครหน้าใหม่หน้าเก่ามีบทบาทเพิ่มขึ้นครับ

ในที่สุดท่านเบเรคก็เห็นสมควรแก่เวลาจีบอาจารย์ของลูกชายให้มาเป็นลูกเขยเสียที นับตามสแตนดาร์ดของธีร์ดีเรยังต้องบอกว่าใจกว้างมากที่ยอมให้คนต่างชาติ แถมเป็นชาติผู้อพยพที่ถือว่าด้อยกว่าเข้าตระกูล แต่ด้วยความสามารถ ท่านเบเรคคงคิดว่าดองกันไว้เป็นการดีกว่านั่นละครับ

ด้านแอชกับเฟลิม สองคนนี้ผมก็มองว่ามีโอกาสจะเข้ากันได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะเฟลิมเป็นคนสุภาพและยอมลงให้คนอื่นง่าย (พูดง่ายๆ คือคงเป็นพระสวามีที่โดนข่ม) ...หากว่าแอชจะไม่ระเบิดลงใส่จนไมเกรนขึ้นสมองหรือถูกขุนนางกดดันจนล้มหมอนหนอนเสื่อด้วยโรคเครียดนั่นละนะ ^^a

ส่วนรูอาร์ค ไม่ทราบเหมือนกันว่าครั้งนี้ค่อนข้างจะจี้และแผลงฤทธิ์กับอาเมียร์หนักข้อเกินไปหรือเปล่า แต่หมอนี่เป็นคนที่มักเห็นความต้องการกับความรู้สึกส่วนตัวมาก่อนกฎเกณฑ์ของชนชั้นที่ตนเองไม่ชอบ (พ่อแม่หนีตามกันเพื่อรักมาแล้ว) จึงได้ขัดจิตขัดใจมากกับการที่อาเมียร์ยอมบอกศาลากับเรื่อง "หมายดอกฟ้า" ไปตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มกระบวนการปีน ทั้งๆ ที่ดอกฟ้าพยายามโน้มกิ่งลงมาหาแล้วนั่นแล ^^;;;

แล้วพบกับตอนใหม่สัปดาห์หน้าครับ :)

ปล. รู้สึกเหมือนจบช่วงนี้แล้วมีคอมเมนต์คนเขียนยาวเหมือนกันแฮะ




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2552 13:46:16 น.
Counter : 314 Pageviews.  

บทที่ ๒๓ - เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร

บทที่ ๒๓ เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร


หลังเสียงแตรสัญญาณในยามบ่าย เด็กสาวก้าวมายืนอยู่หน้าที่นั่งของตน และนั่งลงก่อนจะมีเสียงขุนนางและผู้ชมอื่นๆ ที่ยืนทำความเคารพนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกัน ผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งสองเข้ามาประจำที่ขอบสนาม และการประลองรอบสุดท้ายก็เริ่มขึ้นในไม่ช้า...ท่ามกลางเสียงร้องให้กำลังใจที่ไม่ใคร่ดังนักในทีแรก คงเป็นเพราะผู้เข้าประลองที่มีผู้รู้จักและให้กำลังใจมากกว่าอย่างดูลัสกับคาเฮียร์ล้วนแต่แพ้ไปก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ไม่นาน...เสียงเหล่านั้นก็เริ่มดังขึ้นเมื่อการต่อสู้ทวีความดุเดือดขึ้นทุกขณะ ชาลัวห์เปิดฉากรุกเป็นชุดเช่นเดิม ทว่าเฟลิมก็หลบหลีกได้อย่างง่ายดายก่อนจะพลิกตัวแล้วฟาดดาบไปกลางหลังอีกฝ่ายเต็มแรงจนเซหลายก้าว เรียกเสียงเฮจากบรรดาผู้ชม

...อย่างน้อยคนที่เอาใจช่วยเฟลิมดูเหมือนจะมีมากกว่า หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...

แอชลีนน์เองก็ดูการต่อสู้ด้วยใจที่เต้นระทึก เธอเองก็ให้กำลังใจเฟลิมไปโดยปริยาย...ในเมื่อปักใจเชื่อว่าชาลัวห์ต้องวางยาโกงอะไรสักอย่างกับดูลัส เธอไม่เห็นเลยว่าชาลัวห์จะเก่งกาจอย่างไร และยิ่งเฟลิมต้อนอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เธอก็พบจุดอ่อนที่ไม่ควรมีเต็มไปหมด

ผู้ชมโห่อย่างไม่พอใจเมื่อชาลัวห์ที่เซถลาแทบล้มกับพื้นคว้าดินปนทรายขึ้นมาซัดใส่หน้าอีกฝ่ายแล้วฟันซ้ำ แต่เฟลิมก็ยังหลบได้ทันท่วงที ซ้ำยังหมุนตัวไปวางดาบจ่อหลังคอคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด

ชาลัวห์กลับไม่ยอมหยุดมือ...จนกรรมการต้องเข้ามาแยกทั้งสองจากกัน

“ข้ายังไม่แพ้!! ข้าจะแพ้ได้อย่างไร!!”

“ก็ดาบของคู่ต่อสู้แตะจุดตายของท่านแล้ว”

“แตะจุดตายแล้วไม่ได้หมายความว่าโดนฆ่าเสมอไปสักหน่อย! ข้าขยับหลบได้ก่อนแต่เจ้าไม่เห็นเอง!!”

“คำตัดสินของกรรมการถือเป็นสิทธิ์ขาด” ท่านน้าคอนรอยพูดเสียงดังให้ได้ยินถึงในสนามประลอง

“ใต้เท้า!! แต่ว่า—“ ชายหนุ่มยังค้าน

“หากเจ้ายังคัดค้านคำตัดสินก็เท่ากับลบหลู่พระเกียรติของเจ้าหญิงแอชลีนน์และราชวงศ์อลาสตาร์”

นั่นทำให้ชาลัวห์เงียบลง และยอมจับมือกับผู้ชนะได้ตามธรรมเนียม กระนั้นตอนเดินกลับเข้าไปในอาคารก็ยังแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

กรรมการชูมือเฟลิมขึ้นพร้อมทั้งประกาศว่าเขาเป็นผู้ชนะ ผู้ชมโห่ร้องแสดงความยินดี และกรรมการก็ทำสัญญาณให้ชายหนุ่มก้าวมาตรงหน้าเธอ

แอชลีนน์ลุกขึ้นยืน หยิบมงกุฎใบลอว์ราสอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะจากบนถาด แล้วก้าวไปยังระเบียงด้านหน้าอัฒจันทร์เพื่อพบกับเขา

เฟลิมค้อมศีรษะลงคำนับตามธรรมเนียมก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ เขาไม่มองหน้าเธอเลยขณะยืนอยู่ข้างล่างนั้น

เด็กสาวก็ไม่เห็นความจำเป็นของการบอกให้เขาเงยหน้าขึ้น เธอวางมงกุฎใบลอว์ราสลงบนศีรษะของเขา แล้วก็กลับหลังหันเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ขณะพยายามระงับคำถามที่ผุดขึ้นซ้ำๆ ในใจ...ว่าทำไมคนที่เธอรู้ว่ามีความสามารถถึงขั้นอยู่เบื้องหลังชัยชนะของชายที่จะต้องแต่งงานกับเธอจึงไม่ใช่คนที่มายืนอยู่ที่นี่แทน ทำไมคนที่เธอเฝ้านึกถึงอยู่บ่อยๆ ...ทั้งๆ ที่ยังมีความโกรธต่อคนคนนั้นอยู่ในใจอีกหลายขณะ...จึงไม่ใช่ชายคนนี้

เอาเถิด...แอชลีนน์ปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยผู้ชนะก็ไม่ใช่ดูลัสที่เคียราชอบ ไม่ใช่คาเฮียร์ที่เธอไม่รู้จัก ไม่ใช่ชาลัวห์ที่ไร้มารยาทและดูไร้ความสามารถ แต่เป็นคนที่เธอรู้จัก...และ...อย่างน้อยก็ยังไม่เห็นข้อเสียร้ายแรงอะไรอย่างเฟลิม

ถึงอย่างนั้น...เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะปฏิบัติต่อเขาในงานเลี้ยงฉลองคืนนี้อย่างไรดี

* * *

หลังถูกเคี่ยวเข็ญให้แต่งตัวงดงามที่สุดจนเย็นย่ำ แอชลีนน์จึงได้ออกมาในโถงใหญ่ที่มีเพดานสูงและสว่างพราวแพรวด้วยโคมไฟระย้าขนาดใหญ่อันเป็นสถานที่จัดพิธี เธอพยายามก้าวอย่างเรียบเฉยและสง่างามให้มากเท่าที่จะทำได้ ท่านน้าคอนรอยเป็นผู้รอรับมือของเธอ ก่อนที่เฟลิมในชุดพิธีการจะก้าวมาตามพรมที่ปูเป็นทางยาวมาที่เบื้องหน้าเด็กสาว...พร้อมกับกล่องกำมะหยี่ซึ่งเธอรู้ว่ามีแหวนหมั้นอยู่ภายใน แหวนหมั้นทั้งสองวงทำโดยสำนักพระราชวัง...ในเมื่อพระสวามีของเธอย่อมถือเป็นผู้สมรสเข้าพระราชวงศ์

ชายหนุ่มคุกเข่าลง เธอยื่นมือไปให้เขาจุมพิตเบาๆ ตามธรรมเนียม ก่อนที่จะรับแหวนทองที่สลักลวดลายเกี่ยวพันไม่มีวันจบสิ้นเป็นพื้นหลังตราประจำพระราชวงศ์จากท่านน้าคอนรอยมาสวมให้กับนิ้วนางซ้ายของเขา

แหวนนั้นหลวมนิดหน่อย แต่แหวนแบบเดียวกันที่เฟลิมเป็นผู้สวมให้กับนิ้วนางซ้ายของเธอพอดีกับนิ้ว เพราะเธอเคยลองแหวนวงนี้มาแล้วนั่นเอง

ทั้งสองไม่ได้ตั้งใจจะสบตากันเลย...และเมื่อสายตาเผลอประสานแวบหนึ่ง ก็ดูเหมือนเฟลิมจะเป็นฝ่ายเบือนหลบเสียก่อนด้วย แอชลีนน์อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงประหม่าจริงๆ...แต่ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าเขารู้เรื่องที่เธอเป็นคนคนเดียวกับแอชและเคียราที่ชายหนุ่มได้พบในวันลูคนาซาธหรือไม่ จึงลังเลที่จะเข้าหน้าเธอเช่นนี้

เสียงประกาศอวยชัยแด่ธีร์ดีเร เจ้าหญิงกับพระคู่หมั้นดังสะท้อนในโถงหิน ทว่าพิธียังไม่ได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เธอกับเฟลิมยังมีหน้าที่เป็นคู่เต้นรำคู่แรกของคืนนี้

ชายหนุ่มจูงเธอมายังกลางลานเต้นรำก่อนจะโค้งคำนับ และโอบหลังเอวพร้อมกับจับมือเธอไว้หลวมๆ เมื่อนั้นเองที่ทั้งสองไม่อาจหลีกเลี่ยงจะสบตากันได้อีก แอชลีนน์บังคับตนเองให้แสดงสีหน้าเรียบเฉยที่สุดขณะที่เฟลิมกลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะกระซิบเบาๆ

“ท่านเคียรา...เจ้าหญิงคือท่านเคียรา...หรือแอช...จริงๆ ใช่ไหมขอรั...พ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวไม่ตอบและก้มหน้าลงมองชายกระโปรง เพียงเสียงดนตรีที่เริ่มขึ้นให้ทั้งสองเต้นรำกันอย่างเงียบงัน...เป็นพิธีรีตอง ผิดกับการเต้นรำอันแสนสนุกสนานในวันลูคนาซาธครั้งที่แล้ว...

เมื่อจบเพลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นตามธรรมเนียม เฟลิมคลายมือจากร่างของเธอก่อนจะค้อมศีรษะอีกครั้ง แอชลีนน์ถอนสายบัวรับอย่างเงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจกลับหลังหัน

“ขออภัยด้วยที่ต้องขอตัวก่อน เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย”

เธอก้าวไปหาเคียรากับคุณท้าวทราซาที่ยืนประจำอยู่ตรงมุม ทีแรกคุณท้าวทราซายังยืนกรานให้รักษามารยาทไว้ แต่ครั้นเด็กสาวบอกว่าตนอยู่ร่วมงานไม่ไหวแล้วจริงๆ นางจึงยินยอมไปรายงานท่านน้าคอนรอย และแอชลีนน์ก็ได้รับอนุญาตให้กลับห้องบรรทมไปกับเคียรา

* * *

ดูลัสผู้สวมเครื่องแบบราชองครักษ์ค้อมคำนับเธออยู่ที่ข้างนอก ก่อนจะเป็นผู้อารักขาเธอไปตามทางเดินในวัง

“ดูลัสไม่ไปร่วมงานเลี้ยงหรือ” ระหว่างทาง แอชลีนน์ก็อดถามเบาๆ ไม่ได้

“คนแพ้อย่างกระหม่อมไม่มีเรื่องใดให้ฉลองนี่พ่ะย่ะค่ะ”

“ดูลัส...”

“พระอาญามิพ้นเกล้า...กระหม่อมเพียงแต่ล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ ที่จริงกระหม่อมไม่อยากพบชาลัวห์ในงาน เพราะเกรงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น” องครักษ์หนุ่มพูดเรียบๆ

“อย่างนั้นหรือ” เด็กสาวรับ “เขา...มาในงานด้วยหรือ”

“ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหมดได้รับเชิญมาในพิธีทั้งนั้นนี่เพคะ รวมทั้ง...ผู้เข้าประลองและผู้ติดตามใกล้ชิดด้วย หม่อมฉันยังเห็นน้องชายของคุณชายเฟลิม...กับคนทะเลทรายนั่นอยู่เลยเพคะ” เคียราเอ่ยขึ้นบ้าง

แอชลีนน์กลับเงียบไป ตลอดเวลาที่อยู่ในโถงนั้นเธอเอาแต่ก้มหน้า แทบไม่มองผู้คนรอบด้านให้ละเอียดเสียด้วยซ้ำไป

ทั้งสามเดินกันมาเงียบๆ จนถึงห้องบรรทม เมื่อนั้นเองที่เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“ดูลัส เรา...เราขอพูดกับดูลัส...ตามลำพัง...แค่ครู่เดียวได้ไหม”

ทั้งองครักษ์หนุ่มและนางกำนัลสาวมีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน

“องค์หญิง! เรื่องแบบนี้...” เคียราเริ่มค้าน

“แค่ครู่เดียวเอง เคียรา...นะ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากด้วย เราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พูดอีกเมื่อไร”

“...เพคะ” หญิงสาวรับอย่างจำใจ “หม่อมฉันจะดูต้นทางให้ แต่อย่านานนักนะเพคะ”

แอชลีนน์พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องของตน ตามมาด้วยชายหนุ่ม

“มีเรื่องอะไรจะตรัสกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ดูลัสรีบถาม

“เรา...” เด็กสาวพยายามเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะหาคำที่เธอคิดว่าเหมาะสมที่สุดไม่ได้จริงๆ “เรา...หวังว่า...ดูลัสจะไม่เสียใจมาก...เรื่องประลอง...เรา...เราเชื่อว่าดูลัสมีฝีมือมากกว่านี้...เราเชื่อว่าต้องมีเรื่องผิดพลาดแน่ๆ”

เธอเห็นอีกฝ่ายยิ้มอ่อนๆ

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ว่า...ถึงจะไม่ชนะ...ดูลัสก็...ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้ว

“คือ...เราคิดว่า...มีคนที่...” แอชลีนน์รวบรวมความกล้า “มีคนที่...เรา...คิดว่าคู่ควรกับดูลัสอยู่ ถ้าดูลัส...เอ้อ...ไม่ได้หมายความว่าเราอยากให้ดูลัสจำใจคบกับคนคนนั้นหรอกนะ แต่ว่า...ถ้าดูลัสกับคนคนนั้นมีใจตรงกัน...เราจะ...จะดีใจมาก”

“ขอบพระทัยในพระเมตตาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มกลับพูดเสียงเครียด “แต่...ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร กระหม่อมคงต้องขอบังอาจปฏิเสธ ในเมื่อองค์หญิงทรงโทมนัสอย่างนี้...แต่ยังทรงมีพระเมตตาคำนึงถึงความสุขของกระหม่อมก่อนแท้ๆ”

“หมายความว่าอย่างไร” เด็กสาวถามอย่างสงสัย

“องค์หญิงไม่ได้มีพระประสงค์จะอภิเษกกับเฟลิมไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ แค่เห็นในพิธีหมั้นเมื่อครู่กระหม่อมก็ทราบแล้ว ชายทะเลทรายคนนั้นเป็นคนผลักดันให้เขาชนะจนได้ นั่นคือแผนการของพวกเขาไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เรา...” แอชลีนน์รู้ว่าใจจริงเธอไม่อยากอภิเษกกับใคร...อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งสี่คน

“หากองค์หญิงทรงไม่พอพระทัย ก็ได้โปรดให้กระหม่อมได้ช่วยเท่าที่ทำได้เถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วดูลัสจะทำอย่างไร”

“กระหม่อมจะสืบ...ทั้งเรื่องที่กระหม่อมมีอาการแปลกๆ ตอนสู้กับชาลัวห์ ทั้งเรื่องจุดมุ่งหมายของชาวทะเลทรายพวกนั้น หากทราบแผนร้ายของพวกเขาได้ก่อนพิธีอภิเษกก็จะเปิดโปงจับกุมพวกเขา...และผลักดันให้มีการคัดเลือกพระคู่ใหม่ได้”

แอชลีนน์ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการหรือไม่

“แต่...เราไม่คิดว่าเฟลิมจะโกงหรอกนะ” เธอพยายามแย้ง “ส่วนอาเมียร์...ถึงเขาจะมีแผนอะไร เราก็คิดว่าเขาเป็นคนดี เขาแค่...แค่คิดถึงธีร์ดีเรมากกว่าใจของเราเท่านั้นเอง”

“แต่องค์หญิงคือพระหถทัยของธีร์ดีเร หากองค์หญิงไม่ทรงสำราญแล้ว...ความสงบสุขของธีร์ดีเรก็ไม่มีความหมายหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“ดูลัส...” เด็กสาวเริ่มไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทำไมกันหนอ...เรื่องที่เธออยากพูดเกี่ยวกับดูลัสกับเคียรากลับกลายมาเป็นเรื่องไร้คำตอบของเธอจนได้แท้ๆ

เธอตกใจเมื่อองครักษ์หนุ่มถึงกับคุกเข่าลงเบื้องหน้าเธอ

“ขอเพียงองค์หญิงตรัสมาคำเดียว ดูลัสก็พร้อมจะรับใช้ถวายชีวิตทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”

“ดูลัส...เรา...”

เสียงเคาะประตูอย่างร้อนรนกลับดังขึ้น

“องค์หญิง คุณท้าวทราซากำลังเดินมาแล้วเพคะ”

ชายหนุ่มรีบออกไปจากห้อง ให้เคียราผลุบเข้ามาแทบทันควัน การสนทนาที่ไม่เป็นผลอะไรจึงจบลงเพียงเท่านั้น

* * *

“ท่านได้พูดอะไรกับเจ้าหญิงไหม” อาเมียร์ตรงเข้ามาถามเฟลิมทันทีที่ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามา

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

“ข้า...ทำได้แค่ถามว่าเจ้าหญิงเป็นคนเดียวกับแอชกับเคียราหรือเปล่าเท่านั้นขอรับ พระองค์ไม่ได้ตรัสตอบ ส่วนข้ายังไม่ทันได้บอกเรื่องที่อาจารย์ฝากให้บอกเลย พระองค์ก็ทรงขอตัวออกไปก่อน”

เด็กหนุ่มพยายามเก็บความกังวลไว้

“ขออภัยด้วยขอรับ ตอนเต้นรำกันอยู่ข้าไม่กล้าเสี่ยงพูด...กลัวทำอะไรผิดไปแล้วจะไม่ดีนัก”

“ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องขอโทษหรอก ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ”

“อาจารย์” เฟลิมยิ้มอย่างอ่อนใจ “เราก็พูดกันแล้วนี่ขอรับ”

หลังจากเฟลิมชนะ อาเมียร์ก็รีบขอเวลาพูดกับเขากับรูอาร์คตามลำพังทันที เพื่อเปิดเผยเรื่องที่เขารู้ว่าแอชกับเคียราในวันลูคนาซาธคือเจ้าหญิงแอชลีนน์ ชายหนุ่มดูจะประหลาดใจและตกใจมากจริงๆ ถึงอย่างนั้นเมื่ออาเมียร์ขอโทษที่ปิดบังไว้ เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษ

“ถ้าอาจารย์บอกข้าตั้งแต่ตอนนั้นว่าแอชคือเจ้าหญิงแอชลีนน์...ข้าคงจะวางตัวไม่ถูกจนเจ้าหญิงทรงไม่สบายพระทัยตั้งแต่แรกแน่ๆ”

เด็กหนุ่มตัดสินใจเล่าต่อว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์เลิกเสด็จมาเรียนเพราะเข้าใจไปว่าเขาต้องการจับคู่พระองค์กับเฟลิม จึงบอกฝากคำขอโทษให้กับเจ้าหญิงด้วยถ้ามีโอกาส ชายหนุ่มไม่ได้ต่อว่าเขาในเรื่องนี้ รูอาร์คฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงอย่างนั้นยังแอบยิ้มมุมปากและมองเขาด้วยสายตาเป็นนัยๆ เหมือนกับจะบอกว่าข้อสันนิษฐานทั้งหมดของตนไม่มีผิดเลย

“อาจารย์ก็หาโอกาสไปพูดกับเจ้าตัวเองไม่ได้หรือ” เด็กหนุ่มผมแดงแทรกขึ้นใกล้ๆ ทั้งสอง “ใครเขาจะอยากฟังคำขอโทษที่มีคนฝากมากันเล่า”

“ก็ข้าเข้าพบเจ้าหญิงได้เสียที่ไหน” เด็กหนุ่มผมดำแย้งทันควัน

“เข้าพบไม่ได้ก็ปีนเข้าห้องคืนนี้เลย ไหนๆ ตอนนี้ก็ได้พักในวังแล้ว ข้าไปตะล่อมถามนางกำนัลแถวนี้มาให้ก็ได้ว่าห้องบรรทมของเจ้าหญิงอยู่ที่ไหน จะได้ปีนสะดวก”

อาเมียร์กำลังจะอ้าปากดุคนยุให้เขาหาเรื่องหัวขาดอยู่พอดี...เมื่อท่านเบเรคกับท่านหญิงภรรยาและคุณหนูฟิเดลมาเดินเข้ามา

“พูดอะไรกันอยู่หรือพ่อหนุ่มทั้งสาม” ท่านเบเรคถาม

“เรื่องที่พี่เฟลิมเพิ่งถูกสลัดรักกระมังขอรับ” รูอาร์คโพล่งตอบทันควัน

“รูอาร์ค นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วทันควัน

เด็กหนุ่มผมแดงกลับยักไหล่ก่อนจะผละไปคุยกับหญิงในชุดราตรีอีกคน แล้วไม่นานก็ควงแขนกันไปเต้นรำเรียบร้อย

“เจ้าหญิงคงจะแค่ทรงพระประชวรนิดหน่อย ตอนพิธีหมั้นกับเต้นรำ ลูกก็ทำถูกต้องตามธรรมเนียมทุกอย่าง อย่าห่วงเลย” ท่านเบเรคดูเหมือนจะเป็นห่วงความรู้สึกของลูกชายคนโตเช่นกัน

“ขอรับ ข้าก็ไม่ได้กังวลอะไรหรอก” เฟลิมตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ

“ไปพักผ่อนตามสบายเถอะ แต่ตอนนี้ลูกเป็นพระคู่หมั้นแล้วก็วางตัวให้ดีด้วย” ท่านเจ้ามณฑลไม่วายบอก ก่อนจะหันมาทางลูกสาวคนเล็ก “เอ้อ ฟิเดลมา ลูกอยากไปเต้นรำหรือเปล่า”

เด็กสาวผมสีน้ำตาลก้มหน้าลงอย่างสำรวม

“ถ้าท่านพ่ออนุญาตนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้น...ไปเต้นรำกับอาเมียร์ไหม” เด็กหนุ่มผมดำประหลาดใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน พอมองไปทางท่านเบเรคก็เห็นอีกฝ่ายสบตาด้วยเหมือนคะยั้นคะยอทางอ้อม “ให้เกียรติเต้นรำกับลูกสาวข้าสักหน่อยเถอะนะ”

“ข้า...ขออภัยขอรับ” อาเมียร์รีบค้อมศีรษะ “ข้าเต้นรำอย่างชาวธีร์ดีเรไม่เป็นขอรับ”

“อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายนะ” ชายวัยกลางคนรับ “หากรู้ก่อน ข้าจะได้ให้เฟลิมหรือรูอาร์คช่วยหัดให้ เอาเถอะ กลับไปแล้วก็ไปหาโอกาสฝึกก็ได้”

“ให้ฟิเดลมาเต้นรำกับข้าก่อนก็ได้นะขอรับท่านพ่อ” เฟลิมเสนอขึ้น

“ก็ดี ถึงอย่างไรก็มาในงานวังหลวงแล้ว จะได้ถือเป็นประสบการณ์ไว้ เสียแต่คู่เต้นรำก็ต้องเลือกหาให้ดี ให้ได้คนที่เป็นสุภาพบุรุษและมีเกียรตินั่นล่ะนะ” ท่านเบเรคลดเสียงลงขณะเหลือบมองไปอีกทาง เป็นครั้งเดียวที่ดูคล้ายรูอาร์คมากขึ้น “อย่างน้อยก็อย่าเลือกอย่างรองชนะเลิศงานนี้เป็นอันขาด”

ท่านหญิงยกพัดขึ้นป้องปาก ส่วนอาเมียร์กับเฟลิมยิ้มออกมา...แม้จะไม่สดใสนัก

ชายหนุ่มส่งมือให้กับฟิเดลมาก่อนจะพาเธอไป ส่วนเด็กหนุ่มผมดำก็ได้รับคำบอกจากนายจ้างให้ผ่อนคลายตามสบายในงานเลี้ยง เขาจึงเลี่ยงเดินไปดื่มเครื่องดื่มและรับประทานของว่างที่จัดไว้บนโต๊ะมุมหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่อาจทำตนเองให้ชินกับบรรยากาศของงานที่ล้วนมีเพียงขุนนางชั้นสูง ซ้ำบางคนยังลอบมองหรือซุบซิบอย่างประหลาดใจที่คนต่างชาติอย่างเขาแต่งกายราวกับขุนนางเข้ามาอยู่ในงานนี้ได้

สุดท้ายอาเมียร์จึงหลบไปสูดอากาศในสวนด้านนอก ที่สวนยามค่ำซึ่งมีตะเกียงจุดไว้เป็นระยะๆ นั้นไม่มีคนมากนัก ลึกเข้าไปอีก เด็กหนุ่มเห็นหลังคา ด้านบนของป้อมกำแพง และหอคอยหลังหนึ่งซึ่งสูงดึงดูดสายตาที่สุด เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจพวกมันขึ้นมา พระราชวังหลวงของธีร์ดีเรแตกต่างจากวังที่เขาเคยอยู่ซึ่งประกอบด้วยหมู่อาคารหลายหลังบนพื้นที่กว้างขวาง ปราสาทหลังนี้สร้างบนเกาะในอ่าว ก่อด้วยหินแน่นหนาเหมือนป้อมปราการ มีทางเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ทางเดียวคือสะพานขนาดใหญ่ซึ่งมีกลไกชักออกได้ เหมือนจะใช้ทะเลเป็นด่านคุ้มกันทางธรรมชาติอีกชั้นหนึ่ง กระทั่งในสวนเช่นนี้ กลิ่นไอเกลือก็ยังโชยเข้ามาแม้จะไม่ได้ยินเสียงคลื่น

มิน่าเล่า...แอชจึงบอกว่าใกล้ถึงปราสาทเมื่อใด สิ่งแรกที่บอกให้รู้ก็คือกลิ่นไอเกลือ

ความคิดถึงเจ้าของชื่อนั้นทำให้เด็กหนุ่มสงสัยขึ้นมาว่าตอนนี้เจ้าหญิงแอชลีนน์อยู่ที่ใดและกำลังทำอะไรอยู่ สนามประลองอยู่ด้านหน้าสุดของปราสาท ขนาบซ้ายขวาของลานที่มีประตูใหญ่ด้านหน้าโถงท้องพระโรง ที่ประทับส่วนพระองค์ก็คงจะอยู่ลึกเข้าไปข้างใน...ตรงส่วนที่มีหอคอยสูงๆ นั่นกระมัง

แต่แอชก็คงไม่ถึงกับอยู่บนยอดหอคอยเหมือนเจ้าหญิงในตำนานพื้นบ้านแถบนี้จริงๆ...แม้สถานการณ์ของเธอจะดูเหมือนไม่ต่างกับเจ้าหญิงองค์นั้นเลย

เด็กหนุ่มลองเดินสำรวจในสวนไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบทางเดินต่อไปอีกด้านหลัง ทางนั้นมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทักหรือห้ามเขาเมื่อเดินผ่านเข้าไปแต่อย่างใด

ข้างในนั้นดูเหมือนจะเป็นสวนเล็กๆ ติดคูน้ำ ปลูกต้นหลิวไว้เป็นทิวดูร่มรื่นกว่าด้านนอก แลไปอีกก็เห็นระเบียงเล็กๆ ล้อมกรอบด้วยราวเหล็กดัด

...มีสีขาวขยับไหวน้อยๆ อยู่บนนั้น...

อาเมียร์กะพริบตาเผื่อเขาจะตาฝาดไป แต่สีขาวนั้นยังคงอยู่ สิ่งที่พลิ้วไหวเหมือนเนื้อผ้าบอกว่าร่างนั้นคงเป็นผู้หญิง เขาลองก้าวเข้าไปใกล้...แล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

“แอช!”

ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันมา เป็นคนที่เขาคิดจริงๆ...ซึ่งสวมชุดนอนสีขาวพลิ้วมีผ้าคลุมไหล่อีกผืน เด็กสาวกระชับผ้าคลุมไหล่แน่นขึ้นก่อนจะถามลงมา

“ท่านเข้ามาได้อย่างไร”

“ข้า...” อาเมียร์ชี้ข้ามไหล่ไปข้างหลัง “ก็เดินเข้ามาทางนี้”

“นี่เขตวังชั้นในนะ ทหารยามไม่ห้ามไว้หรือ”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ

“เห็นพวกเขาไม่พูดว่าอะไร ข้าเลยเดินเข้ามา”

เจ้าหญิงแอชลีนน์ขมวดคิ้วเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรัสเสียงเข้มขึ้น

“ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดจริงหรือใช้วิธีอื่นลอบเข้ามา แต่รีบออกไปเสีย” เธอกลับหลังหัน “หากไม่อยากถูกลงโทษ”

“เดี๋ยวก่อน” อาเมียร์ร้องห้ามทันควันเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้า....กระหม่อม...มีเรื่องต้องกราบทูลให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เด็กสาวเหลียวหน้ามาน้อยๆ

“เรายังมีอะไรต้องพูดกันอีก”

“กระหม่อมฝากจดหมายขอโทษไปกับดูลัสตั้งแต่ก่อนกลับเมืองหลวง พระองค์คงจะทรงยังไม่ได้รับ...ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าหญิงหันกลับมาทางเขาเต็มตัว แต่ยังไม่เข้ามาใกล้ระเบียงนัก

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็...ทุกเรื่องที่กระหม่อมทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย โดยเฉพาะ...เรื่องที่กระหม่อมทำตัวเป็นพ่อสื่อโดยที่พระองค์ไม่ต้องการ”

“แล้วจะมาพูดอะไรกันตอนนี้” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “ในเมื่อท่านผลักดันเฟลิมจนมาถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ”

“กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจให้ท่านเฟลิมชนะ แต่กระหม่อมทราบว่าจะปล่อยให้ชาลัวห์ชนะไม่ได้” เด็กหนุ่มพยายามอธิบาย “กระหม่อมได้ยินมาว่าชาลัวห์ชอบฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน แล้วพ่อของเขายังอยู่เบื้องหลังพวกโจรป่าที่เที่ยวปล้นเก็บค่าคุ้มครอง...พวกที่ฆ่าสามีของลีชาก็เป็นพวกนั้น กระหม่อมเชื่อว่าท่านดูลัสแพ้เพราะถูกโกงด้วยวิธีบางอย่าง แต่ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้...ก็มีแต่ใครสักคนต้องชนะชาลัวห์ให้ได้ก่อนเท่านั้น”

เด็กสาวเงียบไปอีกครู่

“...อย่างนั้นหรือ” เธอรับแล้วก็ถามช้าๆ “แล้วถ้า...พิสูจน์ได้ว่าชาลัวห์โกงจริงๆ ท่านจะทำอย่างไร ผลักดันให้มีการประลองใหม่อย่างยุติธรรม...อย่างนั้นหรือ”

อาเมียร์ครุ่นคิดว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ต้องการบอกอะไรเขาจากคำตอบนั้น

“หากทรงต้องการให้เป็นเช่นนั้น”

เขารู้สึกเหมือนได้ยินเด็กสาวถอนใจหยันๆ

“ความต้องการของเราเคยสำคัญเสียที่ไหน”

“ถ้าทรงต้องการให้ดูลัสชนะ...กระหม่อมมั่นใจว่าเขาต้องชนะได้อย่างยุติธรรมแน่ๆ” เด็กหนุ่มเสี่ยงพูด

แอชลีนน์กลับจ้องเขม็งมาทางเขาทันควัน

“แล้วท่านไปรู้ได้อย่างไรว่าเราอยากให้ดูลัสชนะ เราอาจจะอยากให้ชาลัวห์ชนะ...อยากให้คาเฮียร์ชนะ...หรืออาจจะอยากให้ใครก็ตามที่ไม่ได้ลงประลองตั้งแต่แรกชนะก็ได้”

เด็กหนุ่มเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น...ไม่ก็คิดว่าตนเข้าใจ แต่ทว่า...

“ถ้าอยากให้ใครก็ตามที่ไม่มีสิทธิ์เข้าประลองเป็นผู้ชนะ ก็เลิกหวังเสียเถอะพ่ะย่ะค่ะ หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มีแต่จะยิ่งทำให้เจ็บปวดพระทัยเมื่อผิดหวัง”

“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไปไม่ได้” เด็กสาวแย้งทันที

“พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าเป็นไปได้”

“ก็ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือ”

“เรื่องบางอย่างผิดพลาดแล้วไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างเดิมได้” อาเมียร์พยายามตัดบท “เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่ยังรั้นจะหวังก็เหมือนกัน กระหม่อมเคยหวังในสิ่งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นไปไม่ได้...และก็ผิดหวังมาแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงหวังแต่ในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ดีกว่า”

“เรื่องที่ท่านหวังคืออะไร...และเมื่อไร” เจ้าหญิงแอชลีนน์กลับถาม “ใช่...เรื่องเดียวและเวลาเดียวกับที่ข้าหวังไว้หรือเปล่า”

เด็กหนุ่มตอบตนเองได้ทันทีว่า...เขาไม่อาจเอื้อมถึงขั้นนั้น เจ้าหญิงแอชลีนน์...เมื่อตอนเป็นแอช...เป็นคนที่สดใสและกล้าหาญชาญชัยกว่าหญิงอีกหลายคนตามความเข้าใจของเขา แต่ตัวเขาเองปิดกั้นใจไม่ให้รักคนที่รู้ว่าไม่มีทางครองคู่กันได้เสียแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว

“เห็นจะไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” อาเมียร์ตัดสินใจตอบ “เป็นเรื่อง...การสู้รบครั้งใหญ่...ในแผ่นดินเกิดของกระหม่อมเมื่อนานมาแล้ว มีคนที่กระหม่อมอยากช่วยชีวิตไว้ให้ได้...มีคนที่กระหม่อมไม่อยากให้ตายอยู่มากมาย กระหม่อมหวังว่าตนเองจะไม่อ่อนแอ...หวังว่ากระหม่อมจะช่วยชีวิตพวกเขาได้...และหวังว่าพวกเขาจะรอดชีวิต แต่กระหม่อมทำไม่ได้ ตอนนี้กระหม่อมได้แต่หวังว่า...เรื่องผิดหวังอย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก กระหม่อมไม่อยากให้เกิดเหตุนองเลือดใดๆ ก็ตามอีกในธีร์ดีเร...โดยเฉพาะเรื่องที่กระหม่อมอาจเป็นต้นเหตุ”

อย่างน้อยสิ่งที่เขาพูดในตอนต้นก็เป็นความจริง...เป็นหนึ่งในความผิดหวังมากมายที่เขาแบกรับอยู่

เจ้าหญิงแอชลีนน์เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจยาว

“ทำไมท่านไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเลย”

“เรื่องที่จบสิ้นไปนานแล้ว...ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดขึ้นมานี่พ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ข้าอยากรู้ ข้ามีเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับท่านมากมาย ข้าไม่เคยพบใครอย่างท่านมาก่อน บางที...” เด็กสาวชะงักไป “ข้า...จะพยายามเลิกหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่...โอกาสที่เราจะได้พบได้พูดคุยกัน...โอกาสที่ท่านจะได้สอนข้าเหมือนเมื่อก่อนยังมีอยู่ใช่ไหม อันที่จริง...ข้าไม่ได้รังเกียจอะไรเฟลิมหรอก บางทีข้ายังคิดว่าหากเป็นเขา...หากเขาชนะโดยที่ท่านไม่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้ทั้งหมด...ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ท่านจะยังสอนเขาเหมือนเมื่อก่อน...ไม่ก็เป็นที่ปรึกษาของเขาใช่ไหม”

อาเมียร์พลันเย็นวาบในใจ เขาไม่รู้ว่าตนเองหวาดระแวงเกินไปหรือไม่...แต่ก็เหมือนสังหรณ์ในใจบอกว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ยังไม่ได้ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ถึงจะรู้ว่าครองคู่กันไม่ได้ก็ยังคิดจะพบเขา...ยังคิดจะให้เขาอยู่ใกล้ๆ

...และถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะ...

เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะ

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”

“ทำไม...หมายความว่าอย่างไร”

“กระหม่อมตัดสินใจมาก่อนหน้านี้ได้พักใหญ่แล้ว...ว่ากระหม่อมจะเลิกทำงานกับท่านเจ้ามณฑลเมื่อสิ้นสุดการประลอง” เขาพูดตามที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้

“ทำไม!” เด็กสาวก้าวเข้ามาใกล้ลูกกรงกั้นระเบียง สองมือเท้าบนราวขณะชะโงกมองเขา

“กระหม่อมคิดได้ว่ากระหม่อมไม่เหมาะกับงานนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วท่านจะไปทำอะไร”

“ก็คงจะกลับไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ตามเดิม”

“แต่ความสามารถของท่านล่ะ...ท่านเก่งออกขนาดนั้น เก่งจนข้ายังอิจฉาเลย”

“กระหม่อมไม่ได้เก่งอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ คนที่มีความสามารถมากกว่ากระหม่อมยังมีอยู่อีกมากมาย กระหม่อม...ก็แค่สำคัญตนไปว่าตนเองจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยธีร์ดีเรได้ แต่บางที...กระหม่อมคงจะเดินมาผิดทางเสียเอง”

“ถ้าท่านตั้งใจจะช่วยข้าจริงๆ ท่านอาจจะทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ได้” เจ้าหญิงแอชลีนน์กลับแย้งจนเขาประหลาดใจขึ้นมา “ถ้า...ถ้าชาลัวห์โกงจริงๆ อย่างที่ท่านว่าก็ต้องมีใครสักคนหยุดเขา ท่านเพียงแต่บังเอิญเป็นคนของเฟลิมเท่านั้นเอง แล้วถ้าท่านอยากจะช่วยธีร์ดีเรก็มาช่วยข้าเถอะ...ช่วยชี้แนะข้ากับเฟลิมว่าจะปกครองอย่างไรดีเถอะนะ”

อาเมียร์ยังคงสั่นศีรษะปฏิเสธ เขากลัวว่านั่นต่างหากจะเป็นการเดินผิดทางซ้ำสอง

“ท่านเฟลิมเรียนรู้จากกระหม่อมไปมากแล้ว และหากทรงต้องการผู้ชี้แนะจริงๆ ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่ากระหม่อมอยู่ไม่ห่างพระองค์นี่เอง ขออภัยด้วย”

ครั้งนี้เด็กสาวนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด

“เอาเถอะ” เธอยิ้มเจื่อนๆ “ข้าเข้าใจ...ว่าการทำสิ่งที่ต้องฝืนใจตนเองเป็นเรื่องที่ไม่สบายใจขนาดไหน ข้าไม่โทษอะไรท่านหรอก ถึงอย่างไร...เราก็ยังเป็นคนรู้จักกันเหมือนเดิม ถึงอย่างไร...ข้ากับเฟลิมก็ยังไปเยี่ยมเยียนบ้านท่านได้ใช่ไหม...ถึงเราสองคนคงจะไม่ค่อยว่างนัก”

“บ้านของกระหม่อมยินดีต้อนรับฝ่าบาทกับท่านเฟลิมเสมอพ่ะย่ะค่ะ” เขาพยายามยิ้มตอบ

“แล้ว...อย่างน้อยท่านก็จะอยู่ร่วมพิธี...ของพวกเราใช่ไหม อย่างน้อยก็อยู่จนกว่าจะถึงตอนนั้นแล้วค่อยกลับเถอะนะ”

อาเมียร์นิ่งคิดอยู่อีกครู่ก่อนจะตัดสินใจ

“...พ่ะย่ะค่ะ”

แอชลีนน์พยักหน้า แล้วก็มองไปรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้น

“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นเราคงมีเวลาพูดกันวันหลัง ตอนนี้ท่านรีบกลับเข้างานไปก่อนดีกว่า มาคุยกันนานๆ อย่างนี้ในเขตหวงห้ามสำหรับท่านออกจะอันตรายไปหน่อย”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

“รับด้วยเกล้าอะไรกัน” เด็กสาวยิ้มอย่างอ่อนใจก่อนจะยักไหล่ “ข้า...ยังเห็นท่านเป็นอาจารย์อยู่เหมือนเดิมนะขอรับ”

“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น...ลาก่อนนะแอช”

“ลาก่อนขอรับ อาจารย์”

เด็กหนุ่มโบกมือให้เด็กสาวบนระเบียงแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไป

...ด้วยใจที่ปลอดโปร่งขึ้น...แต่ก็ยังมีความไม่สบายใจบางประการค้างอยู่ในใจ...

เขาไม่รู้อีกแล้วว่าสิ่งใดถูกหรือผิด รู้แต่ว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าจะทำเป็นการช่วยเหลือธีร์ดีเรอาจไม่ใช่ความช่วยเหลือที่แท้จริง และสิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะยอมทำเพื่อคำพูดสวยหรูอย่าง ‘อุดมการณ์’...สิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะทำได้เพื่อคนอื่น...ก็กลับกลายเป็นเรื่องเล่นๆ เอาสนุกเพียงเมื่อไม่มีชีวิตคนอื่นเป็นเดิมพัน...ซ้ำบางอย่างก็เป็นเพียงการสนองความสาสมใจส่วนตัวที่เขาได้รับจากการทำลายความหวังคนที่เขาเกลียดชังอย่างชาลัวห์เท่านั้น เขาคิดถึงใจของคนที่อยู่กลางเรื่องทั้งหมดนี้และจะได้รับผลกระทบทุกประการอย่างแอชน้อยเกินไปอย่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ

...บางที...การออกห่างจากเรื่องบ้านเมืองของธีร์ดีเร...และจากแอชกับเฟลิมเพื่อให้ทั้งสองคนได้ช่วยเหลือกันและกันให้ก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีเขามายุ่งเกี่ยว...ก็อาจจะเป็นการดับโอกาสของปัญหาอะไรก็ตามที่อาจเกิดตามมาก็เป็นได้

* * *

แอชลีนน์มองตามร่างของอาเมียร์จนลับสายตา ก่อนจะถอนใจออกมาอีกครั้งเมื่อคิดขึ้นมาว่า...เธอยอมแพ้ง่ายดายไปหรือเปล่าหนอ ถึงอย่างนั้น...เมื่อรู้ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า...การมัวโกรธเขาอยู่อย่างนี้จะทำให้เรื่องอะไรก็ตามดีขึ้นมาได้อย่างไร

เขาคงรู้...ไม่สิ...ต้องรู้ความรู้สึกของเธอแน่ๆ ถึงได้หลีกเลี่ยงเสียขนาดนั้น บางทีเขาคงไม่ได้มีใจตรงกับเธอจริงๆ ไม่สิ...ถึงมี...เธอจะคาดหวังให้เขาทำตามความปรารถนาของเธอได้อย่างไรกัน

ถึงจะมีความรู้ความสามารถเหนือกว่าขุนนางหลายคน...อาเมียร์ก็ยังคงเป็นผู้อพยพต่างชาติที่ไม่มีอำนาจหนุนหลัง มิหนำซ้ำยังมีพ่อแม่และน้องเล็กๆ ให้ต้องเป็นห่วง แล้วยังเรื่องที่เขาพูดเป็นนัยๆ ให้เธอฟังอีก...

เด็กสาวเคยได้ยินมาบ้างว่าชนเผ่านับร้อยในทะเลทรายเป็นพวกป่าเถื่อนที่นิยมการสู้รบ แม้ไม่มีเรื่องแค้นเคืองอะไรก็สามารถยกพวกมารบราฆ่าฟันจนถึงขั้นล้างเผ่าใดเผ่าหนึ่งได้ และเธอยังเคยคิดว่าเป็นเรื่องประหลาดเหมือนกันที่ชาวทะเลทรายที่ดูมีชาติตระกูลและมีความรู้ความสามารถอย่างครอบครัวของอาเมียร์อพยพเข้าธีร์ดีเรมาเพียงเพื่อใช้ชีวิตเป็นชาวไร่อย่างนี้...

บางที...คงมีเหตุอะไรมากกว่านั้น ครอบครัวของอาเมียร์อาจจะรอดชีวิตมาจากการฆ่าล้างเผ่า...ในขณะที่เขายังเด็กอยู่ ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมที่เขาบอกว่าอยากให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่สงบสุขกว่านี้ แต่เมื่อนึกถึงฐานะของเขาในปัจจุบัน เธอก็รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่เกินตัวเสียเหลือเกิน...

ไม่มีทางที่พวกขุนนางแทบทั้งธีร์ดีเรจะยอมรับเขา และเธอก็ยังเคารพรักเสด็จพ่อเสด็จแม่ กับเสด็จพี่ไอลีชผู้ล่วงลับเกินกว่าจะทิ้งธีร์ดีเรที่ทั้งสามฝากไว้ให้ หรือแม้แต่จะบังอาจเห็นความสุขของตนเองมาก่อนความมั่นคงของชาติ บางที...ความโกรธเคืองที่เธอมีเมื่อก่อนหน้านี้คงเป็นเรื่องที่ไร้สาระและเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ

แล้วเธอก็ยังเก็บความโกรธนี้มาได้นานแสนนาน...เพียงเพื่อจะตระหนักได้เมื่อได้พบเด็กหนุ่มอีกครั้งแท้ๆ

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเรียกจากด้านล่างทำให้เธอก้มลง เห็นองครักษ์ที่มีผมสีทองอ่อนค้อมคำนับในสวนห่างออกไปอีกระยะ

“ดูลัส มีอะไรหรือ”

“เมื่อครู่...ทรงมีพระปฏิสันถารกับใครหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินเสียงมาแว่วๆ”

“เอ้อ ไม่มีใครหรอก เราก็แค่...พูดอะไรกับตัวเองนิดหน่อยน่ะ” เด็กสาวรีบกลบเกลื่อน

“อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ก็ใช่น่ะสิ เดี๋ยวเราจะไปเข้านอนแล้ว ดูลัสก็ไปทำตามหน้าที่เถอะ ราตรีสวัสดิ์นะ”

“...ถวายบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ”

แอชลีนน์กลับหลังหันก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตน ใจยังคงคิดถึงคนที่เธอเพิ่งพบเมื่อครู่...ด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ก็ยังไม่อาจสลัดความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ออกไป...แม้เมื่อสิ้นสุดพิธีสยุมพรแล้วก็ตาม


บทที่ ๒๔ เรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้

* * *

ณ ตอนนี้ อาเมียร์ก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ไปแล้ว ตอนหน้าก็จะจบเนื้อเรื่องช่วงแรกของที่ผมแบ่งคร่าวๆ ไว้จากหนึ่งในสามครับ

มุขรูอาร์คยุอาเมียร์ให้ปีนขึ้นห้องเจ้าหญิง (น่าตีดีจริงๆ) ได้แรงบันดาลใจจากคุณ Rhodes จากบอร์ด All-final ครับ ว่าไปก็น่าให้ลองทำจริงๆ เหมือนกันนะนี่ เผื่อจะได้เลื่อนตำแหน่ง (ไม่ใช่เป็นพระสวามีหรอก นักโทษประหารข้อหาอะไรก็ตามแต่นั่นล่ะ ^^a ) พรวดพราดกับเขาโดยไม่ต้องมานั่งช่วยคนอื่นรบเสียที

แล้วพบกับตอนใหม่สัปดาห์หน้าครับ :)




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2552 21:22:06 น.
Counter : 282 Pageviews.  

บทที่ ๒๒ - เริ่มพิธีสยุมพร

บทที่ ๒๒ เริ่มพิธีสยุมพร

แอชลีนน์บังคับตนเองให้แสดงสีหน้าเรียบเฉยเป็นที่สุดขณะเดินไปยังที่นั่งของตนบนอัฒจันทร์ อันเป็นเก้าอี้ตัวกว้างบุนวมกำมะหยี่ลักษณะคล้ายบัลลังก์ที่เสด็จพ่อเคยประทับมาก่อน มีท่านน้าคอนรอยซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการนั่งบนเก้าอี้ที่เล็กลงมาและห่างออกไป บรรดาขุนนางอื่นๆ นั่งในที่นั่งที่จัดไว้ ขณะที่เคียรากับคุณท้าวทราซายืนอยู่เยื้องไปข้างหลังเธอ

เธอเคยมาชมการประลองในเทศกาลลูคนาซาธบ้างในวัยเด็ก และเห็นเป็นเรื่องตื่นตาพอๆ กับเสด็จพี่ไอลีช เสด็จแม่เคยตรัสอย่างอ่อนพระทัยว่านั่นเป็นเรื่อง...ไม่งามนัก ในเมื่อมันทำให้เจ้าหญิงน้อยยิ่งซุกซนขึ้นขนาดหยิบดาบไม้ขึ้นมาวิ่งเล่นไล่ฟันกับพี่ชายทั่วอุทยานเลียนแบบพวกนักสู้ เธอเคยอ้างกับเสด็จแม่ว่าเสด็จพ่อเคยทรงพระสรวลแล้วตรัสว่าการต่อสู้ในสนามประลองไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายจริงๆ จึงได้สนุก ถึงจะดูน่าหวาดเสียว...ทว่าอาวุธที่ใช้ในสนามประลองเป็นอาวุธเฉพาะ ซึ่งถึงแม้จะทำจากเหล็ก มองไกลๆ มีสีและลักษณะเหมือนอาวุธจริง ก็ไม่มีความคมพอจะสร้างอาการบาดเจ็บร้ายแรงได้...หากไม่เกิดการพลาดพลั้ง

แต่ตอนนี้ เธอไม่อยากดู...ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับการประลองครั้งนี้อีกแล้ว ถึงอย่างนั้น...เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งธีร์ดีเรก็มีหน้าที่ต้องอยู่เป็นประธานในพระราชพิธีสยุมพร...ซึ่งที่แท้ก็คืองานประลองที่มีอาณาจักรธีร์ดีเรต่างเงินรางวัล และตัวเธอเป็นถ้วยรางวัลมีชีวิตแท้ๆ

เอาเถิด...แอชลีนน์บอกตนเองว่ายังดีที่อย่างน้อยเธอก็มีหน้าที่เพียงนั่งเฉยๆ ให้ดูสง่างามอยู่ตรงนี้ แล้วก็สวมมงกุฎใบไม้ให้กับผู้ชนะโดยไม่ต้องพูดอะไร หน้าที่ประกาศเปิดปิดพิธีเป็นของท่านน้าคอนรอยซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการ ซึ่งเริ่มหน้าที่แรกแล้วโดยที่เด็กสาวไม่ใส่ใจจะฟังนัก

มีประโยชน์อะไรสำหรับเธอที่จะต้องฟัง...

ผู้เข้าประลองทั้งสี่ในชุดเกราะสำหรับประลองถือหมวกศึกไว้ในมือ ก้าวมายืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ในลานประลอง แล้วค้อมคำนับเธอ แอชลีนน์จำดูลัสกับเฟลิมได้ดี และมองออกทันทีว่าใครคือคาเฮียร์กับชาลัวห์ คาเฮียร์มีผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนเคียราไม่มีผิด ร่างกายดูกำยำแข็งแกร่งสมเป็นทหารถึงจะไม่สูงใหญ่มาก เขาสูงไล่เลี่ยกับเฟลิมขณะที่ดูลัสสูงที่สุด ส่วนชาลัวห์เป็นชายผมสีทองหม่นที่ดูจะเตี้ยที่สุด ร่างออกบางดูสะโอดสะอง

เจ้าหน้าที่นำถ้วยเงินใส่สลากมาให้ทั้งสี่จับเลือกคู่ต่อสู้และลำดับการประลองตามความสูงของคะแนนรวมเข้ารอบสุดท้าย นั่นหมายความว่าดูลัสได้จับก่อน ตามมาด้วยคาเฮียร์ เฟลิม และชาลัวห์

เจ้าหน้าที่ประกาศว่าคู่ประลองคู่แรกคือคาเฮียร์กับเฟลิม

ทั้งสองเข้าประจำขอบสนามทั้งสองฝั่งในไม่ช้าและสวมหมวกศึกให้เรียบร้อย ก่อนที่กรรมการจะประกาศให้เริ่มการประลองได้

คาเฮียร์เปิดฉากรุกก่อน ส่วนเฟลิมเบี่ยงหลบหรือป้องกันไปเรื่อยๆ แอชลีนน์เริ่มมองอย่างตั้งใจขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมเรียนดูจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วกว่าที่เธอเคยเห็นเมื่อหลายเดือนก่อนมาก...จนใกล้เคียงกับใครอีกคนที่เธอจำได้มากกว่า

...อาเมียร์ถ่ายทอดวิชาให้เขาได้มากขนาดนี้เชียวหรือ...

“ผู้กองคาเฮียร์ท่าทางจะชนะแน่ๆ นะเพคะ” คุณท้าวทราซาเอ่ยขึ้นเบาๆ “อีกฝ่ายแทบทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนี้”

เด็กสาวโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วก็แทบชะโงกมอง พึมพำออกมาเบาๆ

“...ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”

“ตรัสว่าอะไรหรือเพคะ”

แอชลีนน์ไม่ตอบแต่เฝ้าดูต่อไป เฟลิมยังคงหลบหลีกปัดป้องเป็นหลักตามเดิม แล้วก็สวนกลับไปเป็นระยะๆ แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลนัก

ถึงอย่างนั้น...เธอก็ยังจำได้ว่านี่เป็นกลวิธีที่อาเมียร์เคยใช้เวลาซ้อมกับเฟลิมหรือรูอาร์คซึ่งล้วนแต่ตัวสูงกว่าเขา เมื่อเวลาค่อยๆ ดำเนินไป...

เฟลิมดูเหนื่อยอ่อนยิ่งขึ้น ใครๆ ก็คงคาดว่าหากการต่อสู้ยิ่งยืดเยื้อ เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะคาเฮียร์ดูตัวใหญ่กว่าและน่าจะมีกำลังกว่ามาก เพราะอย่างนั้น...

คาเฮียร์โถมเข้าฟันเป็นวงสูงจากบนลงล่างหมายจะจบการแข่งขันในอีกดาบเดียว แต่แล้วคู่ต่อสู้กลับยกดาบขึ้นรับไว้ก่อนจะบิดข้อมือ ใช้ดาบปัดจนดาบของผู้รุกเองเอาปลายเฉียงลงดิน แล้วก็ยกขาขึ้นถีบให้ร่างใหญ่กว่าเซออกไปและดาบหลุดจากมือ

“ตายแล้ว! อย่างนี้มันโกงกันนี่เพคะ” คุณท้าวทราซาร้อง

“ในกฎไม่ได้บอกให้ใช้แต่ดาบอย่างเดียวใช่ไหมคะ ท่านน้า” แอชลีนน์หันไปถามผู้ที่น่าจะรู้ดีที่สุด

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ มีแต่ห้ามลงมือโดยคาดหมายได้ว่าคู่ต่อสู้จะถึงตาย พิการ หรือบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น”

กรรมการประกาศว่าผู้ชนะคือเฟลิม เรียกเสียงฮือฮา...หรือที่ถูกควรจะเป็นโห่มากกว่า...ของผู้ชม ดูเหมือนคนที่เอาใจช่วยผู้กองคาเฮียร์ซึ่งเป็นชาวเมืองหลวงโดยกำเนิดจะมีไม่น้อย

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฝ่าบาทกับเจ้าชายทรงดาบได้สง่างามกว่านี้เป็นไหนๆ ผู้กองคาเฮียร์ต่างหากยังใกล้เคียงกว่า น่าเสียดายนะเพคะ”

“การประลองดาบเพื่อเกียรติยศกับการต่อสู้เอาชีวิตไม่เหมือนกัน” ผู้พูดคือท่านแม่ทัพใหญ่คาฮาล ซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างจากท่านน้าคอนรอยนัก

“ท่านคาฮาลพูดเหมือนเห็นชอบที่ลูกตนเองแพ้เลยนะ” ขุนนางร่างอ้วนใหญ่ศีรษะล้านคนหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ ตำแหน่งที่นั่งของเขาอยู่ใกล้เจ้ามณฑลอุลทูร์ซึ่งเธอเคยเห็นชินตาที่สุด แสดงว่าเขาคงเป็นเจ้ามณฑลคนใดคนหนึ่งในอีกสองคนที่เหลือ...น่าจะเป็นเจ้ามณฑลชอร์ซา เพราะชายวัยกลางคนอีกคนที่มีผมบางสีน้ำตาลแซมเทาดูมีเค้าหน้าใกล้เคียงกับเฟลิมมากกว่า

“พวกเราต้องการกษัตริย์ที่ท่าสวยเวลาประลองเล่นๆ...แต่ป้องกันตนเองไม่ได้ในการรบหรือภาวะคับขันจริงๆ หรือ ประสบการณ์ควรจะสอนเราอีกอย่างแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร” แม่ทัพคาฮาลย้ำ “ลูกข้าแพ้เพราะอะไร ข้ายอมรับกระจ่างแก่ใจ เขาอ่านคู่ต่อสู้ไม่ละเอียดเอง”

“ดูเหมือนว่า ‘อาจารย์’ จากต่างแดนของท่านเบเรคจะทำงานได้คุ้มค่า ถึงขนาดทำให้ลูกท่านสู้ได้อย่างดุเดือดไม่ผิดชาวทะเลทรายทีเดียว” ชายอ้วนศีรษะล้านพูดขึ้นอีก คราวนี้แอชลีนน์รู้แน่แล้วว่าเขาคือคาลวาห์...เจ้ามณฑลชอร์ซา

“นักรบชาวทะเลทรายแท้ๆ ยังเก่งกว่าลูกข้ามากมายนัก ท่านคาลวาห์” เจ้ามณฑลยาร์ลาธตอบเรียบๆ “แต่หวังว่าไม่ช้านี้เราทุกคนจะได้พบว่าอาจารย์ต่างๆ ที่ท่านทุ่มเทจ้างมาให้ลูกชายของท่านจะทำงานได้คุ้มค่าเช่นกัน”

“พวกท่านทั้งสองก็แปลกดี” เจ้ามณฑลอุลทูร์ที่สูงอายุที่สุดเสริมขึ้นบ้าง “วิทยาลัยหลวงของธีร์ดีเร กับราชองครักษ์หรือทหารที่มีฝีมือของชาติเราเองก็มีแท้ๆ ข้าคิดว่าให้ลูกหลานได้ศึกษาจากสถาบันอันมีเกียรติของเรากับการทำงานจริงๆ น่าจะดีที่สุดแท้ๆ”

“ท่านแฟคท์นา อันวิทยาลัยหลวงนี่ผู้สอบเข้าได้ย่อมเป็นคนที่มีฝีมือจริงๆ เพียงหยิบมือเดียว ลูกข้าไม่บังอาจเทียบเคียงกับลูกชายอัจฉริยะของท่านหรอก” คาลวาห์แย้ง “แต่การทำงานเป็นนายอำเภอในชนบทก็ทำให้เขาได้ประสบการณ์ในการปราบปรามโจรและดูแลทุกข์สุขของประชาชนมากกว่าคอยตามติดคนชั้นสูง...เอ้อ ข้าไม่ได้จะว่างานราชองครักษ์เป็นงานที่ไม่ดีหรอกนะ ทั้งสองงานต่างก็สำคัญในแบบของมันเอง ชาวไร่ชาวนาเป็นกระดู กสันหลังของชาติ แต่เจ้าเหนือหัวเป็นหัวใจของชาติ ขาดหัวใจก็ไร้ชีวิต แต่ถ้ากระดูกสันหลังเป็นอะไร ชาติก็เหมือนเป็นอัมพาต”

“เช่นนั้นข้าก็ขอใคร่ออกความเห็นสักหน่อย ว่าการปราบปรามโจรของท่านออกจะเป็นอัมพฤกษ์อยู่บ้าง ถึงขั้นที่ผู้อพยพจากต่างแดนต้องช่วยปราบซ่องโจรแบบไม่ได้อะไรตอบแทนเลยทีเดียว” ท่านเบเรคเอ่ยขึ้นบ้าง “แต่ก็นับเป็นโชคดีของข้าที่เขาย้ายเข้ามาในยาร์ลาธ ข้าจึงติดต่อกับเขาได้โดยง่าย ไม่อย่างนั้นลูกชายข้าคงไม่ได้พัฒนาฝีมือถึงขั้นนี้”

“หึ” เจ้ามณฑลชอร์ซาหัวเราะ “ลูกข้ามีภารกิจมากมายก็ย่อมบกพร่องไปบ้าง กระทั่งราชองครักษ์ยังบกพร่องกันได้เลยไม่ใช่หรือ แล้วในเมื่อมีภารกิจมากมาย ใครกันจะมีเวลาว่างรับการฝึกจากยอดฝีมือในต่างแดนได้อย่างลูกชายที่ไม่ได้รับราชการของท่าน”

เด็กสาวอยากลุกหนีการปะทะคารมของเจ้ามณฑลทั้งสามซึ่งทำเหมือนเธอไร้ตัวตน แต่ก็ทำได้แค่หันไปขอน้ำดื่มจากเคียรา ขณะสงสัยว่าเหตุใดการประลองรอบต่อไปจึงได้เริ่มต้นช้านัก เจ้าหน้าที่ปรับสภาพสนามประลองซึ่งเป็นดินทรายเรียบร้อยแล้ว และคู่ต่อสู้คนหนึ่ง...ดูเหมือนจะเป็นชาลัวห์เพราะตัวเล็กกว่าร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาเธอ...ก็ออกมายืนรอที่ฝั่งสนามอีกด้าน

“ท่านน้า ทำไมการประลองถึงได้เริ่มช้านักคะ มีอะไรหรือเปล่า” เธอตัดสินใจพูดขึ้นมา

“กระหม่อมจะให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ท่านน้าคอนรอยหันไปเรียกเจ้าหน้าที่ แต่แล้วเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกระลอกเมื่อดูลัสออกมาที่ขอบสนามในตอนนั้น

เขาสวมหมวกศึกเรียบร้อยแล้ว แต่ดูท่ายืนไม่มั่นคงนัก ซ้ำยังตอบสนองค่อนข้างช้าเมื่อกรรมการให้สัญญาณเริ่มประลองแล้วชาลัวห์ปรี่เข้ามาพร้อมกับดาบ

กระทั่งเด็กสาวยังมองออกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

“ท่านดูลัสเป็นอะไรไป...” เคียราเอ่ยเบาๆ ด้วยเสียงหวาดหวั่น

แอชลีนน์ดูด้วยสายตาที่อาเมียร์ฝึกให้ เธอเห็นชาลัวห์โจมตีโดยเร็วเป็นชุด แต่พร้อมกันนั้นก็เปิดช่องว่างของตนมากมาย หากเป็นดูลัสในเวลาปกติคงจะมองออกและหาโอกาสตอบโต้พลิกกลับได้โดยเร็ว ทว่าชายหนุ่มในตอนนี้กลับดูเหมือนคนอ่อนเพลียหนักกระทั่งประคองตนเองยังลำบาก

สุดท้ายดาบในมือของชาลัวห์ก็ฟาดลงมาที่ไหล่ของเขาเต็มแรง ดูลัสเซไปหลายก้าวก่อนจะล้มลงนอนตะแคง คู่ต่อสู้ตามมาเอาดาบจ่อคอของเขา กรรมการประกาศชื่อของผู้ชนะ

“โกง! ต้องโกงกันแน่ๆ!!” เคียราร้องขึ้นมา

“ตายจริง ท่านแฟคท์นา ลูกชายท่านโหมงานราชองครักษ์จนพักผ่อนไม่พออย่างนั้นหรือ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” คาลวาห์พูดกลั้วหัวเราะอีกครั้ง “ลูกชายข้าชื่นชมลูกชายท่านมากและอยากสู้กันเต็มที่แท้ๆ”

ดูเหมือนแฟคท์นาจะไม่ตอบโดยสิ้นเชิง

“ท่านน้า” เด็กสาวหันไปเรียกเบาๆ ด้วยความกังวล

ท่านน้าคอนรอยเรียกเจ้าหน้าที่ข้างหลังตนเข้ามาใกล้และกระซิบสั่งบางอย่าง ก่อนจะหันมาทางเธอ

“กระหม่อมให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้ว หากพบว่ามีการทุจริตจะจัดการให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เสด็จเข้าไปพักผ่อนเสวยพระกระยาหารกลางวันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้ว...แล้วหลานจะเข้าไปเยี่ยมเขาได้ไหมคะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองครักษ์ของหลาน” แอชลีนน์ถาม

สีหน้าของท่านน้าบอกชัดว่าไม่เห็นด้วย

“กระหม่อมเกรงว่าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงควรทรงวางพระองค์เป็นกลางไว้ แต่หากราชองครักษ์ดูลัสแพ้ด้วยการโกงอย่างใดก็ตาม กระหม่อมจะให้ความยุติธรรมกับเขาอย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”

“ค่ะ...ขอบคุณท่านน้ามากนะคะ” เด็กสาวรับก่อนจะลุกจากเก้าอี้หลังเสียงแตรสัญญาณ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องพักที่จัดไว้ให้เธอ มีเคียรากับคุณท้าวทราซาตามไป

เธอเหลือบมองนางกำนัลสาวที่อายุมากกว่านิดหน่อย เห็นสีหน้าร้อนรนของอีกฝ่ายแล้วก็บอกกับตนเองว่า...ถึงเธอจะไปเยี่ยมดูลัสไม่ได้ ก็ยังมีคนที่เธอบอกให้ไปเยี่ยมเขาได้

* * *

อาเมียร์ไม่อยากเชื่อสายตาของตนเมื่อเห็นการประลองระหว่างชาลัวห์กับดูลัส

เขาอยากเห็นฝีมือของดูลัสเต็มๆ ตา แม้จะเสียดายอยู่บ้างที่ผลการจับคู่ไม่ได้ออกมาเป็นอย่างที่หวัง เขาอยากเห็นคาเฮียร์สู้กับดูลัส และก็อยากเห็นเฟลิมสู้กับดูลัส แต่แน่นอนว่าไม่อยากเห็นชาลัวห์สู้กับคนเก่งระดับนั้นให้เสียสายตา เด็กหนุ่มคิดว่าผลการต่อสู้ระหว่างชาลัวห์กับดูลัสเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ล่วงหน้าได้แน่นอนและง่ายดาย...ว่าองครักษ์หนุ่มจะจัดการคู่ต่อสู้หมอบได้ในไม่กี่กระบวนท่า ไม่ใช่ถูกเล่นงานหมดท่าเสียเอง

เด็กหนุ่มปักใจเชื่อว่าดูลัสถูกวางยา หากว่าชาลัวห์โกงคะแนนสอบข้อเขียน โกงจับฉลากจนได้ชัยภูมิที่ดีที่สุดไป และโกงคะแนนรวมจนเข้ามาในรอบสุดท้าย ทำไมเขาจะไม่ทำถึงขั้นนี้เพื่อให้ได้ชัยชนะสูงสุดมาเล่า

เอาเถิด อย่างน้อยเจ้าหน้าที่ของธีร์ดีเรก็ไม่นิ่งดูดาย มีการประกาศว่าการประลองรอบสุดท้ายระหว่างเฟลิมกับชาลัวห์ในตอนบ่ายถูกเลื่อนออกไปเพื่อการตรวจสอบบางอย่าง อาเมียร์หวังว่าพวกเขาจะพบยาหรือสิ่งผิดปกติอะไรก็ตามโดยเร็ว และปรับให้คนที่โกงมาตลอดหมดสิทธิ์ไปเสียที

แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท อาเมียร์จึงพยายามตัดโอกาสที่เฟลิมจะได้รับยาเช่นเดียวกันบ้าง เขาคำนวณเวลาจากตอนที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่รับประทานอาหารเช้าซึ่งส่งมาจากห้องเครื่อง กับเวลาประลองของดูลัส แล้วก็พบว่าเฟลิมคงไม่ถูกวางยาพร้อมกันตั้งแต่ช่วงนั้น...หากเป็นยาแบบเดียวกัน นั่นเท่ากับว่าถ้าฝ่ายศัตรูไม่ได้วางยาอีกตัวไว้ในอาหารเช้าของเฟลิม ก็กำลังจะวางยาชนิดเดียวกันในอาหารกลางวัน

นั่นเป็นเหตุให้ชุดอาหารกลางวันหรูหราในภาชนะเครื่องเงินที่ส่งมายังห้องพักของเฟลิมถูกวางหลีกไว้บนโต๊ะมุมห้องโดยไม่แตะต้อง และอาเมียร์ก็ใช้ให้รูอาร์คซึ่งดูจะคล่องตัวที่สุดออกนอกวังไปหาซื้ออาหารจากร้านที่ไว้ใจได้ รวมทั้งซื้อยาสมุนไพรแก้พิษทั่วไปที่เขาพอรู้จักมาเตรียมไว้ด้วย

“ท่านดูลัสคงไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ” เฟลิมซึ่งนั่งรอด้วยกันพูดขึ้น “หวังว่าพวกเขาจะตรวจหายาได้เร็วๆ นะขอรับ”

“ข้าก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน” เด็กหนุ่มผมดำรับ

“ข้าไม่อยากให้ท่านดูลัสแพ้เลยขอรับ ยังคิดอยู่เลยว่าเขาจะได้ไปสู้กับท่านคาเฮียร์ในรอบชนะเลิศแน่ๆ” ชายหนุ่มเอ่ยลอยๆ

“แต่ท่านกับคาเฮียร์ก็สู้กันอย่างยุติธรรมแล้วนี่ สู้อย่างยุติธรรมแล้วเอาชนะมาได้ไม่ใช่หรือ”

เฟลิมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะยักไหล่

“ก็อย่างที่ข้าบอกอาจารย์นั่นล่ะขอรับ ข้า...ข้าแค่ลองสู้เต็มที่ดู แล้วอาจารย์ก็สอนกลวิธีให้ข้าเป็นพิเศษด้วย ท่านคาเฮียร์คงคาดไม่ถึงเพราะทางดาบของข้าเป็นแบบนักรบทะเลทรายเหมือนอาจารย์มากกว่า”

อาเมียร์พยักหน้ารับคำตอบอย่างถ่อมตนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มกลับไม่พูดอะไรเลยถึงการฝึกเพิ่มแรงข้อมือที่เด็กหนุ่มผมดำเคี่ยวเข็ญให้ทำอย่างหนักทุกวันหลังรู้ว่าผ่านเข้ารอบสุดท้าย พอๆ กับการที่อาเมียร์สะกดรอยหรือบุกโจมตีเขาในเวลาไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะด้วยกำปั้น...ไม้...หรือเม็ดถั่วที่ดีดจากนิ้วก็ตาม จนเฟลิมมีสัมผัสไวขึ้นขนาดหลบหลีกได้มากกว่าครึ่งของการโจมตีพวกนั้น

“ก็ดีแล้ว” เด็กหนุ่มผมดำบอกสั้นๆ

ประตูเปิดเข้ามาโดยไม่มีเสียงเคาะ บอกได้เป็นอย่างดีว่าคนเปิดเป็นใคร รูอาร์คก้าวสวบๆ เข้ามาในห้องก่อนจะหยิบห่อกระดาษแบนเป็นแผงออกมาจากในเสื้อคลุมสองห่อ วางห่อแรกที่ดูใหญ่กว่าบนโต๊ะตรงหน้าเฟลิม ตามมาด้วยผ้าพับเล็กๆ สีขาวอีกผืน

“ให้ตาย...เกิดพวกทหารหาว่าข้าเอาของต้องสงสัยเข้าวังละก็ยุ่งแน่” เด็กหนุ่มผมแดงโยนห่อกระดาษที่เล็กกว่าให้อาเมียร์ “นี่ของที่อาจารย์สั่งมา แล้วนี่แซนด์วิชของพี่เฟลิม แบนช้ำไปหน่อยก็ขออภัย แอบเอาเข้ามาได้นี่นับว่าโชคดีแล้ว”

“ขอบใจ” เฟลิมคลี่ห่อกระดาษ แล้วหยิบขนมปังประกบเนื้อกับผักข้างในมากินอย่างไม่เกี่ยงงอน

เด็กหนุ่มผมดำตรวจดูว่าตนได้สมุนไพรตามคำสั่ง แล้วก็มองห่อผ้าขาวเล็กๆ ที่รูอาร์คกำลังคลี่ออกมาด้วยความสงสัย

“นั่นอะไรหรือ รูอาร์ค”

“เครื่องรางนำโชคน่ะ เห็นยายชาวทะเลทรายปิดหน้าปิดตาคนหนึ่งบอกว่าหลานแกเจอมาตั้งสี่ใบ สี่คูณสี่ก็ยิ่งอภิมหานำโชคน่ะสิ”

“ใบแชมร็อคนี่นะ” ผู้พูดคือเฟลิมที่เพิ่งกลืนแซนด์วิชคำแรกลงคอ “มีคนเจอใบสี่แฉกพร้อมกันถึงสี่ใบ...แถมในเมืองหลวงอย่างนี้ด้วยหรือ เหลือเชื่อ”

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” รูอาร์คพูดอย่างภูมิใจก่อนจะคลี่ออกให้ดูจะๆ “แกบอกไม่ขาย แต่ข้าซื้อของแกนิดหน่อยแกก็แถมมา เลยว่าเอามาให้พี่เฟลิมพกติดตัวนำโชคก็ดี”

“อย่างนั้นหรือ” อาเมียร์พูดขึ้นบ้างก่อนจะชะโงกเข้ามาดูใกล้ๆ “ใบแชมร็อคสี่แฉกเป็นอย่างนี้เองหรือนี่ ข้าเพิ่งเคยเห็น”

ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาเลื่อนนิ้วไปแตะมันดู แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อร้อนวูบขึ้นมาที่ปลายนิ้ว เด็กหนุ่มชักนิ้วออก ยิ่งเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าใบแชมร็อคที่ถูกนิ้วตนค่อยๆ ไหม้กลายเป็นสีดำแต่ไม่มีเปลวไฟ...สุดท้ายก็เหลือเพียงเขม่าบนผืนผ้าขาวที่มีรอยไหม้ตามไปด้วย

เฟลิมกับรูอาร์คจ้องตาค้าง

“อาจารย์! อาจารย์ทำอะไร!!” เด็กหนุ่มผมแดงเพิ่งร้องเสียงหลงจริงๆ เป็นครั้งแรก

“ม...ไม่รู้” อาเมียร์สั่นศีรษะ เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน “ข้า...ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

รูอาร์คหยิบใบแชมร็อคที่เหลือใบหนึ่งขึ้นมาพลิกๆ ดู แล้วก็บี้ในมือ ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มผมดำ

“เจ้าจะทำอะไร” อาเมียร์ถามอย่างประหลาดใจโดยไม่รับมันไป

“ลองดู อาจารย์ มันจะเป็นอย่างใบนั้นอีกหรือเปล่า”

คนถูกบอกให้ทดสอบไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ก็อยากรู้เช่นกัน

และครั้งนี้...ทันทีที่ใบไม้นั้นร่วงลงถึงมือของเขา อาเมียร์ก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาอีก ใจของเขาสั่นอย่างประหลาดขณะที่ใบไม้นั้นไหม้คามือจนกลายเป็นขี้เถ้า ทว่าพอสะบัดเศษใบไม้ที่เหลืออยู่ออกไป...ผิวตรงนั้นก็ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีรอยแผลแดงพุพองเลยแม้แต่นิดเดียว

“อาจารย์ไปทำอะไรมา” รูอาร์คตั้งคำถามอีกครั้ง “อาจารย์เล่นกลเป็นด้วยหรือ”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” เด็กหนุ่มผมดำยืนกราน “พอข้าแตะถูกมัน มันก็ไหม้เอง”

เด็กหนุ่มผมแดงหยิบใบแชมร็อคใบที่สามขึ้นมา แล้วก็ตรงไปที่เหยือกน้ำดื่มข้างถาดอาหาร เทน้ำรดมือตนเองกับใบไม้นั้นให้ชุ่มก่อนจะเดินกลับมา

“ลองอีกทีซิ”

อาเมียร์แตะใบแชมร็อคบนมือของรูอาร์ค เขาตกใจเมื่อเจ้าตัวแสบพลันร้องเสียงดังพร้อมกับสะบัดมือเร่าๆ ใบแชมร็อคที่ร่วงลงบนพื้นหินขัดไหม้เป็นเขม่าตามสองใบแรก มิหนำซ้ำยังมีควันพวยพุ่งฟู่เมื่อน้ำระเหยเป็นไอ

เด็กหนุ่มผมแดงวิ่งไปเทน้ำในเหยือกราดมือตนเองจนหกเลอะพื้นพลางสูดปาก

“ข...ข้าขอโทษ” เด็กหนุ่มผมดำตัดสินใจพูด ทั้งๆ ที่ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำร้ายอีกฝ่ายได้อย่างไร

“อาจารย์ไม่รู้สึกร้อนเลยหรือ!” รูอาร์คหันมาตั้งคำถาม

“ก็...นิดหน่อย แต่...แต่มันไม่เห็นจะลวกมือข้าเลย”

“หมายความว่า...มือของอาจารย์ร้อนจนเผาใบไม้กับทำให้น้ำเดือดได้ แต่อาจารย์ไม่รู้ตัวเลยหรือขอรับ!” เฟลิมซึ่งวางแซนด์วิชค้างไว้นานพูดขึ้นบ้าง

“ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆ” อาเมียร์ค้านเสียงแข็ง แล้วก็ตรงไปยังที่วางเหยือก รูอาร์คหลีกทางให้เขาโดยเร็วทันควัน

เด็กหนุ่มผมดำรินน้ำใส่มือของตน เขายังรู้สึกว่าน้ำนั้นเย็นอยู่ตามปกติ และไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนอกจากมันไหลซึมลงไปตามร่องนิ้ว

“ข้าไม่ได้ทำให้น้ำเดือดได้” เขาสรุป “แต่...ดูเหมือนถ้าข้าแตะใบไม้นั่นแล้วมันจะไหม้คามือได้จริงๆ”

“งั้นหมายความว่ามันเป็นใบไม้ประหลาด...หรืออาจารย์เป็นมนุษย์ประหลาดกันแน่” รูอาร์คทำสีหน้าบอกไม่ถูก “เพราะข้าเอามันมาถึงนี่ก็ไม่ยักจะเกิดอะไรขึ้นเลย”

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นมนุษย์ประหลาดหรือ!” อาเมียร์พูดเสียงขุ่นขึ้นทันควัน “ไว้พูดตอนข้ามีเขางอกขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเจ้าก่อนเถอะ!!”

รูอาร์คกับเฟลิมชะงักไป ขณะที่เด็กหนุ่มรวบรวมสติบอกตนเองให้อารมณ์เย็นไว้ เขาก็แค่รู้สึกไม่ดี...ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ต้องฟังเรื่องที่ใครๆ เล่าลือกันว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จอา...รวมทั้งตัวเขาเองเป็นปีศาจ...ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นบุตรแห่งเทพแห่งความมืดผู้ชั่วร้ายที่ต้องถูกกวาดล้างกำจัด

“ข้าขอโทษ” อาเมียร์กลั้นใจพูด “ข้า...แค่อารมณ์ไม่ดีไปหน่อย ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใบไม้พวกนี้ถึงไหม้บนมือของข้า”

รูอาร์คหัวเราะเฝื่อนๆ

“อาจารย์น่าจะฝึกเล่นแร่แปรธาตุดูนะ อาจจะไปได้รุ่งก็ได้”

“ข้าว่านี่น่าจะเป็นใบไม้ประหลาดนะขอรับ” เฟลิมพูดขึ้นบ้างขณะก้มมองใบแชมร็อคใบสุดท้ายที่เหลืออยู่โดยไม่แตะต้อง “บางที...มันอาจจะไหม้ในมือของคนบางคนก็ได้ แต่อย่างกับเวทมนตร์เลย”

อาเมียร์ไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามีสังหรณ์ไม่ดีกับใบแชมร็อคนี้อย่างบอกไม่ถูก

“ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรแตะต้องมันจริงๆ” เด็กหนุ่มพูดตามตรง “เดี๋ยวข้าจะเอามันไปทิ้งก็แล้วกัน”

“เอางั้นก็ได้” รูอาร์คพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหยิบของอีกสองอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อตน

อาเมียร์เห็นว่าพวกมันเป็นสร้อยลูกปัดและกำไลแบบชาวทะเลทราย

“นี่อะไร”

“ของที่ข้าซื้อมาจากยายคนนั้น อาจารย์ช่วยลองดูหน่อยแล้วกันว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เกิดข้าเอาไปให้คนที่ข้าอยากให้ แล้วมันมีมนต์เสน่ห์ทำให้นางรักข้าเต็มเปาในทันทีเลยก็จีบไม่ลุ้นน่ะสิ”

“เจ้านี่!” เด็กหนุ่มผมดำเอ็ด “ข้าไม่ใช่พ่อมดสักหน่อยจะได้รู้! แล้วเรื่องแบบนี้ยังมาพูดเล่นได้อีก!!”

เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้ทั้งสามเงียบลงทันควัน

“พ่อเอง ขอเข้าไปได้ไหม”

“เชิญขอรับท่านพ่อ” เฟลิมตอบทันที

ท่านเบเรคเปิดประตูเข้ามา สีหน้าบอกความภูมิใจในตัวลูกชายเต็มที่

“รีบเตรียมตัวเสียนะ การประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งชั่วยามหน้า”

อาเมียร์กะพริบตาปริบๆ

“กับชาลัวห์น่ะหรือขอรับ”

ชายวัยกลางคนพยักหน้า

“แล้วดูลัส...พวกเขาไม่สืบหรือขอรับว่าดูลัส...ถูกโกงหรือเปล่า”

“เห็นจะไม่ต้องสืบต่อแล้วล่ะ” ท่านเบเรคตอบพร้อมกับยักไหล่ “หมอไม่พบร่องรอยของยาอะไรเลย ไม่มีหลักฐานว่าชาลัวห์โกง...ถึงมันจะดูไม่น่าเชื่อก็เถอะ”

ชายวัยกลางคนปรายตามองถาดอาหารที่วางหลบไว้ตรงโต๊ะมุมห้อง กับแซนด์วิชที่มีรอยกัดค้างอยู่ตรงหน้าเฟลิม

“แต่ก็ดีแล้วที่เจ้ารอบคอบไว้ก่อน เราไม่ควรเสี่ยงจริงๆ หากชาลัวห์ชนะย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับธีร์ดีเรแน่ๆ คงต้องฝากหน้าที่นี้ไว้ให้เจ้าแล้ว เฟลิม”

“...ขอรับ” อีกฝ่ายรับคำแม้จะลังเล “ข้า...ข้าคงพูดไม่ได้ว่าจะไม่ทำให้ท่านพ่อหรือใครๆ ผิดหวัง แต่ข้า...ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดขอรับ”

“ดีแล้ว แค่พยายามก็พอแล้วลูก” ท่านเบเรคยิ้มอ่อนๆ “เท่านี้พ่อก็ภูมิใจในตัวเจ้ามากแล้ว”

ทั้งสี่เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจหยิบแซนด์วิชขึ้นมารับประทานต่อ

“เดี๋ยวพ่อกลับไปยังที่นั่งดีกว่า...ถึงจะไม่อยากฟังคาลวาห์พล่ามอวดสรรพคุณลูกชายนักก็เถอะ ตามสบายนะทุกคน ขอให้เจ้ามีชัย เฟลิม”

หลังจากท่านเบเรคออกไปจากห้อง อาเมียร์ก็ทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะบังคับตนเองไม่ให้ถอนใจเฮือกใหญ่

เขาไม่รู้เลยว่าชาลัวห์ใช้วิธีสกปรกอะไร แต่หากจับกลโกงของมันไม่ได้ทั้งๆ ที่เห็นพิรุธอยู่ทนโท่มันก็น่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว

“อาจารย์...” เฟลิมเรียกเบาๆ

“ท่านเฟลิม ท่านต้องเล่นงานมันให้หนัก” อาเมียร์พูดเสียงแข็ง “ข้าจะบอกเดี๋ยวนี้ว่าท่านต้องทำอย่างไร”

* * *

“ไอ้คางคกนั่น...” เสียงของชายชราคำรามอยู่ใกล้ๆ กับดูลัสที่ยังนอนบนเตียง “มันใช้วิธีโกงอะไรกันนะ”

ข้อนี้องครักษ์หนุ่มก็ตอบพ่อของตนไม่ได้ เขามั่นใจว่าตนกับเกอร์มอนระแวดระวังเรื่องอาหารและน้ำดื่มถ้วนถี่แล้ว ทั้งยังตรวจดูชุดเกราะอาวุธด้วยว่าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย ถึงอย่างนั้น...ตอนที่กรรมการเรียกตัวเขากับชาลัวห์ออกไปประลอง ดูลัสก็ปวดศีรษะและวิงเวียนขึ้นมาอย่างประหลาด เขาพยายามข่มอาการไว้สุดความสามารถ...แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ

...เป็นการพ่ายแพ้ที่ไม่น่าให้อภัยจริงๆ...

หมอเข้ามาตรวจดูอาการของเขาอย่างละเอียด แต่ก็ดูเหมือนอาการของเขาจะหายดีเป็นปลิดทิ้งทันทีที่ได้ถอดชุดเกราะเข้ามานอนพัก ไม่มีร่องรอยหรือผลตกค้างของยาชนิดใดที่หมอรู้จัก...หรือไม่รู้จัก นั่นคือคำบอกที่เขาได้รับ ทั้งๆ ที่ใครๆ พร้อมใจกันบอกว่าความพ่ายแพ้ของเขาผิดปกติเกินไป แม้แต่เจ้าหญิงแอชลีนน์...ซึ่งถึงจะเสด็จมาเยี่ยมเขาด้วยพระองค์เองไม่ได้ก็ยังทรงมีน้ำพระทัยส่งนางกำนัลคนสนิทมา

...นางกำนัลคนสนิทคนเดียวกับที่นำบรรดาเครื่องรางนำโชคมาให้เขา...

เคียราดูเหมือนจะเสียใจมาก หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ถามเขาซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรมากไหม กำชับหมอให้ตรวจอาการของเขาดีๆ แล้วก็แสดงความห่วงใยด้วยการถามอาการเขาเองบวกกับเสนอวิธีพยาบาลสารพัดอย่าง ออกจะเป็นความหวังดีที่วุ่นวายเกินไปจนสุดท้ายดูลัสต้องบอกเธอว่าเขาไม่เป็นอะไรมากและอยากพักผ่อนเงียบๆ เธอจึงได้ยอมกลับไป และเมื่อหมอออกไปแล้ว บัดนี้ในห้องก็เหลือเพียงเขา เกอร์มอน...คนสนิทของเขา ท่านพ่อ กับมาดาย...คนสนิทของท่านพ่อ

ชายชราร่างผอมสูงที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวอย่างนักปราชญ์ มีเส้นผมและหนวดเคราสีขาวสั้นราวต้นคอหันมองไปมาโดยรอบก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็น

“ข้าคิดว่า...ข้าสัมผัสเวทมนตร์ได้จากบริเวณนี้”

“เวทมนตร์...อย่างนั้นหรือ” ท่านพ่อหันไปถามทันควัน “พวกมันใช้เวทมนตร์ทำให้ดูลัสแพ้ได้ด้วยหรือ”

“อาจเป็นได้ แต่ข้าต้องสืบดูต้นตอของเวทมนตร์เสียก่อนว่าเป็นสิ่งใด” ชายชุดขาวหันศีรษะไปมา ก่อนจะตรงไปยังชุดเกราะและเสื้อผ้าที่ดูลัสสวมตอนประลอง ซึ่งถูกวางเรียงไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

เขาหยิบถุงผ้าเล็กๆ ในนั้นขึ้นมา

“หากสัมผัสของข้าไม่ผิด...วัตถุที่มีพลังเวทมนตร์อยู่ในนี้”

ดูลัสชันกายขึ้นนั่งแล้วขมวดคิ้ว

“นั่นมัน...”

นิ้วเรียวของมาดายคลายเกลียวด้ายที่ปากถุงก่อนจะคว่ำมันลงหามือข้างหนึ่ง ใบแชมร็อคทั้งสี่ใบทยอยร่วงลงบนฝ่ามือของเขา ก่อนที่ดูลัสจะเห็นเปลวไฟสีฟ้าลุกพรึบขึ้นบนมือเหี่ยวย่น...เผาใบแชมร็อคทุกใบจนกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา

“มันรู้ทัน...กำกับมนตร์ทำลายมาด้วยหากถูกสัมผัสด้วยผู้มีเวทมนตร์เหมือนกัน จะได้เก็บไว้พิสูจน์หลักฐานไม่ได้” มาดายเปรยขึ้น “อาคมสะกดแรงมาก ท่านไปได้พวกมันมาจากที่ใดกัน”

“...มีคนมอบให้ข้า” องครักษ์หนุ่มจำใจตอบ “เป็นเครื่องรางนำโชค”

“คนคนนั้นเป็นใคร” ท่านพ่อถามเสียงห้วนแข็งทันควัน

“ข้าไม่คิดว่าคนคนนั้นรู้เรื่องนี้หรอก” ดูลัสตัดบท “เขา...เป็นคนที่ข้าเชื่อว่าไว้ใจได้”

“ถึงไว้ใจได้ก็ต้องระวังไว้ ไม่สิ...เพราะยิ่งไว้ใจต่างหากจึงต้องระแวงให้จงหนัก” ท่านพ่อผู้เข้มงวดยังไม่วายพูดเสียงเครียด

“ขอรับ ข้าทราบแล้ว” ชายหนุ่มรับเสียให้หมดเรื่อง “ข้าจะไปถามคนคนนั้นเองว่าได้ใบไม้นี่มาจากไหน ท่านไม่ต้องห่วง แต่เรื่องเวทมนตร์...ท่านมาดายคิดว่าเราจะพิสูจน์ว่าฝ่ายตรงข้ามใช้เวทมนตร์ในการโกงได้ไหม”

เป็นเรื่องที่ดูลัสถามทั้งๆ ที่ตนเองเชื่อว่าเป็นไปได้ยาก ตัวเขาเองไม่เคยเชื่อถือเรื่องเวทมนตร์...ในเมื่อไม่เคยเห็นกับตาจนถึงตอนนี้ และแม้ชาวธีร์ดีเรส่วนมากจะเชื่อในเรื่องแบบนี้...หากไม่มีหลักฐานชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอันจะยืนยันให้ผู้สำเร็จราชการและคณะกรรมการเชื่อได้อย่างไร

มาดายปัดเศษขี้เถ้าไปจากมือก่อนจะโคลงศีรษะ

“หากไม่มีหลักฐานชัดเจนให้นักบวชผู้รู้อาคมตรวจสอบก็เห็นจะไม่ได้ ข้าขออภัย...ที่ประมาทมิได้ร่ายมนตร์ล้างอาคมทำลายเสียก่อน แต่หาก...ได้วัตถุเวทมนตร์อย่างเดียวกันมาปลดอาคมทำลายได้ก็อาจมีหวัง”

“นั่นหมายความว่าคาดหวังกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย” ท่านพ่อพูดขึ้น

“อย่าร้อนใจไป ท่านแฟคท์นา” มาดายติงด้วยเสียงเรียบๆ “ชะตาลิขิตเป็นเช่นไร วิถีของทุกผู้คนย่อมเดินไปตามแนวทางนั้น ท่านวางใจเถอะ”

เสียงแตรสัญญาณที่ดังแว่วมาบอกว่าการประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ดูลัสลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อย เกอร์มอนหยิบเสื้อคลุมที่แขวนอยู่มาสวมให้เขาอย่างรู้หน้าที่

“เอาเถอะ ตอนนี้เรายังทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ อย่างกังวลเลย” ดูลัสบอกตนเองให้ข่มอารมณ์อันขุ่นมัวเป็นที่สุดไว้ด้วยเหตุนั้นเช่นกัน “ข้าจะไปดูการประลอง ไม่แน่...หากลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธมีอาการเดียวกัน เราอาจมีหวังคัดค้านผลการประลองได้มากขึ้น”

“เจ้าคิดจะร่วมมือกับพวกมันหรือ” ท่านพ่อถามเขา “พวกมันเชื่อถือได้มากเท่าไรกัน”

“ถ้าเพื่อกำจัดศัตรูที่อันตรายที่สุดในตอนนี้ก็ต้องทำ” องครักษ์หนุ่มตอบง่ายๆ “แล้วถ้าจำเป็นก็ค่อยตลบหลังพวกมันทีหลังไม่สาย”

ชายชราหัวเราะสั้นๆ

“เจ้าคิดถูกแล้ว ลูกพ่อ”

ดูลัสออกไปจากห้อง มีเกอร์มอนผู้เป็นองครักษ์ตามไปเพียงคนเดียว ทิ้งบิดาของตนไว้กับผู้รู้อาคมเพียงลำพัง

* * *

เมื่อเดินไปตามทางเดินเพียงไม่นาน...เขาก็พบกับคนที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะพบ

“ท่านดูลัส” อีกฝ่ายทักเขาก่อน “หายดีแล้วหรือ”

ดูลัสมองเด็กหนุ่มชาวทะเลทรายที่เป็นคนถาม สีหน้าของมันบอกความห่วงใยอย่างจริงใจ...แต่เขาก็ยังย้ำกับตนเองว่ามันอาจเสแสร้งก็ได้

“ก็อย่างที่เห็น”

อาเมียร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ข้า...เสียใจด้วย ข้าหวังว่าท่านจะชนะแท้ๆ”

“ขอบใจ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ “แล้วไม่ไปให้กำลังใจนายของเจ้าหรือ”

“ข้าก็กำลังจะไปอยู่นี่ล่ะ”

ดูลัสมองคนตอบ...ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายถือผืนผ้าสีขาวบางไว้ในมือเหมือนมีบางสิ่งอยู่ด้านบน...บางสิ่งที่เขาเห็นแวบๆ เป็นแผ่นเล็กสีเขียวมัวๆ

“นั่นอะไร”

“เอ้อ...ไม่มีอะไรหรอก” เด็กหนุ่มตอบตะกุกตะกัก “แค่...เศษขยะน่ะ ข้ากำลังจะนำไปทิ้ง”

ชายหนุ่มปราดไปข้างหน้า แลเห็นใบสี่แฉกถนัดตา เขารีบยื่นมือไปคว้าโดยไม่คิดอะไรอีก

“เอามานี่!”

อาเมียร์ปัดป้องทั้งๆ ที่สีหน้าดูตกใจ พอดูลัสแย่งผ้าขาวผืนนั้นมาได้ก็พบเพียงเศษเขม่าบนผืนผ้าเท่านั้น

องครักษ์หนุ่มก้มลงมองพื้นหินโดยรอบ แต่ก็ไม่พบสิ่งที่ตนตามหาอยู่

“ใบแชมร็อค...ใบแชมร็อคนั่นอยู่ไหน!” เขามองอีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว “เจ้าเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน!”

“ใบแชมร็อคอะไรกัน” เด็กหนุ่มตอบอย่างสงบขึ้น พร้อมกับแบมือที่มีคราบเขม่าเล็กน้อยให้เขาดู “ผ้านี่เปื้อนเขม่า ข้าถึงจะเอาไปทิ้ง ท่านตาฝาดไปหรือเปล่า”

ชายหนุ่มจ้องมองมือของอีกฝ่าย ครั้นเห็นว่าคราบเขม่าบนมือนั้นมีรูปร่างคล้ายกับใบแชมร็อคสี่แฉกมากก็เบิกตากว้าง

...เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมันอย่างนั้นหรือ...

ดูลัสสูดหายใจลึกๆ แล้วก็บอกตนเองให้สงบอารมณ์ไว้

“ขอโทษ ข้าคงตาฝาดไปเอง”

“ไม่เป็นไร” อาเมียร์ตอบง่ายๆ “ข้าเข้าใจว่าท่านคงระแวงเรื่องยา ข้า...เชื่อว่าท่านถูกวางยาจริงๆ ทางคณะกรรมการคงจะสืบสวนต่อ—“

“อาจจะไม่ใช่ยาก็ได้” องครักษ์หนุ่มพูดทันควันพร้อมกับมองอีกฝ่ายหาพิรุธเพิ่มเติม

“แต่ท่าน...” อาเมียร์ยังดูงุนงงและซื่อจนเขาไม่อยากเชื่อ...ว่ามันจะแสดงละครเป็นคนดีได้แนบเนียนเสียเหลือเกิน

“ช่างเถอะ ข้าจะรีบไปดูการประลอง หวังเป็นอย่างยิ่งว่านายของเจ้าจะไม่แพ้แบบเดียวกับข้า”

ว่าแล้วดูลัสก็ก้าวยาวๆ จากไปกับเกอร์มอน ทิ้งเด็กหนุ่มไว้ที่เดิม

...ไม่นึกเลยว่ามันจะอันตรายกว่าที่เขาคิดจริงๆ...เพียงแต่มันอยู่ฝ่ายใครกันแน่...

นั่นคือคำตอบที่เขาต้องรู้ให้ได้จากผลการประลองครั้งนี้


บทที่ ๒๓ เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร

* * *

และแล้วคุณพ่อเขี้ยวตันทั้งสาม (หรือสี่ดี) ก็ออกโรงสำแดงเดชกันพอหอมปากหอมคอจนได้ ^^a

แอบเสียดายคู่ดูลัสล้มมวย แต่คิดว่าต่อไปน่าจะมีโอกาสให้หมอนี่ได้แสดงฝีมือจริงๆ เหมือนกัน

อาเมียร์ตอนนี้ก็กำลังจะค่อยๆ เผยความประหลาดส่วนตนออกมาเรื่อยๆ แต่ก่อนหน้านั้นต้องดูผลแพ้ชนะของชาลัวห์กับเฟลิมก่อนครับ




 

Create Date : 30 เมษายน 2552    
Last Update : 30 เมษายน 2552 11:50:06 น.
Counter : 570 Pageviews.  

บทที่ ๒๑ - ก่อนการประลองรอบสุดท้าย

บทที่ ๒๑ ก่อนการประลองรอบสุดท้าย


เสียงระฆังบนหอคอยอารามหลวงดังกังวานในเช้าวันศักดิ์สิทธิ์ หญิงสาวผู้สวมชุดกระโปรงเรียบๆ สีเทา และผ้าคลุมผมสำหรับวันทำพิธีทางศาสนาก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง ให้ทุกย่างก้าวของตนตรงกับจังหวะที่เสียงระฆังดังทุกครั้งไป

จากนั้นเธอก็ไปที่น้ำพุอธิษฐานที่ลานข้างหน้าอาราม อวยพรถึงความปรารถนาของตนก่อนจะทิ้งเหรียญเงินที่ใหญ่ที่สุดลงไป

เคียรามองเหรียญของตนจมลงไปสู่ก้นน้ำพุหินอ่อนสีขาวที่มีเหรียญอื่นๆ สะท้อนแสงแดดวาววับอยู่ภายในแล้วหลากหลายมากมาย...ดูเหมือนจะมากมายกว่าวันศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะตอนนี้เข้าช่วงปีใหม่กับฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งผู้คนมักจะมาอธิษฐานขอให้ปีนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี...

หรืออาจเป็นเพราะ...วันประลองรอบสุดท้ายก็คือวันพรุ่งนี้เอง

เธอคิดว่าเธอเห็นขบวนรถที่ติดธงตราหมูป่าอันเป็นสัญลักษณ์ของมณฑลชอร์ซาแล่นเข้ามาใกล้ๆ ออกจะสายไปหน่อยสำหรับการทำวัตร...แต่ท่านเจ้ามณฑล หรือไม่ก็ลูกชาย คงคิดจะมาเพียงอธิษฐานเท่านั้นกระมัง ท่านดูลัสตอนนี้ก็คงอารักขาเจ้าหญิงแอชลีนน์กลับจากพิธีทำวัตรตามปกติที่จัดในอารามเล็กๆ ในพื้นที่พระราชวังแล้ว

คนที่มาอธิษฐานเกี่ยวกับผลการประลองในวันพรุ่งไม่จำเป็นต้องมีเพียงผู้เข้าร่วมการทดสอบ ครอบครัว หรือมิตรสหาย หญิงสาวได้ยินมาบ้างว่ามีกระทั่งการลอบพนันขันต่อด้วยเงินว่าใครในสี่คนจะเป็นผู้ชนะ...แม้ทางการจะพยายามปราบปรามควบคุม เธอไม่พอใจนักที่คนพวกนั้นเห็นความสุขของเจ้าหญิงแอชลีนน์เป็นเรื่องสนุก...แต่จะทำอย่างไรได้ ทุกคนดูจะครึกครื้นกันเสียเหลือเกินกับวันประลองนี้...ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกในรอบสามปีหลังการลอบปลงพระชนม์ที่มีการเปิดสนามประลองในพระราชวังและมีงานประลองให้ประชาชนเข้าชม แทนที่งานลูคนาซาธที่ว่างเว้นไปนาน

เคียราไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกคนที่เธออธิษฐานให้ชนะว่าอย่างไรดี...ไม่ใช่ทั้งญาติ และก็ไม่รู้จะเรียกว่ามิตรได้หรือไม่ เอาเป็นว่าเป็นคนที่เธอรัก...และอยากให้คู่กับคนอีกคนที่เธอรักก็แล้วกัน

“ขออภัย ท่านชื่อเคียรา โบรนัคใช่ไหมขอรับ” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้หญิงสาวตกใจ

หันขวับไปก็เห็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ชายวัยยี่สิบต้นๆ เค้าโครงหน้าแข็งแกร่งเหมือนชายอายุมากกว่าอีกคนที่เธอเคยเห็น เขามีผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนเธอ...แต่ดวงตาสีเขียว...

...เหมือนกับแม่...

“ขออภัยที่ข้าเข้ามาพูดคุยด้วยโดยไม่บอกกล่าว แต่ข้ามีเรื่องต้องการถามขอรับ” ชายคนนั้นยังพูดต่อไป ถ้อยคำของเขาสุภาพ แต่น้ำเสียงติดจะห้วนแข็งเหมือนทหาร “ว่าท่านรู้จักผู้หญิงที่ชื่อชีลา โบรนัค หรือเปล่า”

ชื่อของแม่...เคียราเริ่มลังเล เธอควรจะตอบชายหนุ่มไปอย่างไรดี บอกว่าเขาทักคนผิดอย่างนั้นหรือ...หรือปฏิเสธไปว่าไม่รู้จัก

“ข้ารู้จักท่านจากข่าวลอบปลงพระชนม์เมื่อสามปีก่อน แต่หาโอกาสเข้ามาพูดกับท่านไม่ได้จนถึงวันนี้ ชีลา โบรนัคเป็นแม่ของข้าเอง ข้าได้ข่าวมาว่านางล้มป่วยจนเสียชีวิตไปตั้งแต่ข้าอายุแค่สองขวบ ข้าจำหน้าของแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้ยินมาว่านางมาจากตระกูลโบรนัค แต่หลังจากนางเสียชีวิต ครอบครัวของข้าก็ไม่ได้ติดต่อกับญาติทางแม่อีก ข้าจึงต้องการทราบว่าท่านรู้จักแม่ของข้าหรือเปล่า”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ยังคงตั้งสติไม่ถูกว่าจะตอบอย่างไร จนกระทั่งเขาพูดขึ้นอีกครั้ง

“ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าชื่อคาเฮียร์ เป็นผู้กอง—“

“ผู้กองคาเฮียร์...ข้ารู้จักท่านแล้วค่ะ” เคียราก้มหน้าหลบสายตาขณะตอบ

“จากที่ไหนหรือขอรับ” น้ำเสียงของเขาฟังยินดีขึ้น

“ท่าน...เป็นผู้เข้าร่วมงานประลองนี่คะ แล้วข้าก็...เป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงแอชลีนน์” เธอค่อยๆ เรียบเรียงคำตอบ...ซึ่งก็เป็นคำลวงทั้งสิ้น เธอรู้จักชื่อของเขามาก่อนหน้านี้อีก “แต่ข้าไม่รู้จักแม่ของท่านหรอกค่ะ ขออภัยด้วย”

“แต่...ท่านมาจากตระกูลโบรนัคไม่ใช่หรือ เราน่าจะเป็นญาติกัน กระทั่งสีผมของเรายังเหมือนกันมากเลย”

“...ข้าไม่ได้เป็นญาติกับขุนนางตระกูลโบรนัคค่ะ เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นเองที่เรามีนามสกุลเดียวกัน” เคียราปฏิเสธ

อย่างน้อยนั่นก็เป็นความจริงครึ่งหนึ่ง เพราะญาติทางฝ่ายแม่ตัดขาดแม่กับเธอออกจากตระกูลตั้งแต่ก่อนตัวเธอจะลืมตาดูโลกเสียอีก

“ข้า...ข้าขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวข้าต้องรีบกลับเข้าวังไปรับใช้เจ้าหญิง” เธอพยายามปลีกตัวไปโดยเร็ว แต่แล้วก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งสอง นำมาโดยชายหนุ่มอีกคนที่มีผมหยักศกสีทอง แต่งกายด้วยชุดสีเคร่งขรึมตามธรรมเนียม...แต่ก็แขวนสร้อยประคำเส้นโตฝังเพชรพลอยดูหรูหราอย่างที่เคียราไม่ใคร่ชอบนัก

“ผู้กองคาเฮียร์ ไม่นึกเลยว่าจะออกมาเกี้ยวสาวอื่นในวันศักดิ์สิทธิ์ แถมยังก่อนวันประลองวันเดียวแท้ๆ”

คาเฮียร์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่พูดอะไร กระนั้นหญิงสาวก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจ

“เขาแค่มีเรื่องจะถามข้านิดหน่อยค่ะ ข้าเป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงแอชลีนน์” เธอตัดสินใจพูดแทน เพราะเห็นว่าอย่างไรชายคนนี้ก็ถือเป็นพี่ชายร่วมแม่ ไม่ควรจะปล่อยให้ขุนนางชนบทระดับล่างมากล่าวหาให้เสียชื่อได้

“อ้อ” ชายคนนั้นกลับพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา “นับเป็นเกียรติที่ได้พบกันในวันนี้ ข้าคือชาลัวห์ ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาที่จะมาเป็นพระสวามีของนายของเจ้าเอง”

เคียราต้องบังคับตนเองเป็นอย่างหนักไม่ให้แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าคนโอ้อวดอย่างนี้จะสามารถเข้ารับการทดสอบได้ด้วยซ้ำ

“...หามิได้ค่ะ นับเป็นเกียรติของข้าต่างหาก”

ชายหนุ่มจับมือของเธอขึ้นมาทำท่าจะจูบเบาๆ ทำให้นางกำนัลสาวยิ่งต้องบอกตนเองให้อดทนกว่าเดิม

แต่ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะทันสัมผัสหลังมือของเธอก็มีเสียงคนพูดแทรกขึ้นมา

“ท่านชาลัวห์ วันศักดิ์สิทธิ์แถมวันก่อนหน้าประลองแท้ๆ ยังมาทำเจ้าชู้ไก่แจ้อย่างนี้ ไม่งามนะขอรับ”

หญิงสาวหันไปเห็นชายอีกสามคน ชายหนุ่มคนหนึ่งมีผมสีน้ำตาลตัดสั้นราวต้นคอ อีกคนที่ดูอายุน้อยและร่างเพรียวบางกว่ามีผมสีแดงดูยุ่งเหยิงหน่อยๆ และคนที่สามที่อายุน้อยกว่าเหมือนกันอีกเป็นชายผมสีดำสนิท ผิวออกเหลืองไม่เหมือนชาวธีร์ดีเรแต่ก็ไม่ถึงกับคล้ำ ทั้งสามแต่งกายภูมิฐานด้วยชุดสีเคร่งขรึม แต่ชายผมแดงดูจะปล่อยให้เสื้อผ้ายับจนเกินควรไปหน่อย

“แกอีกแล้ว” คนถูกทักพูดเหมือนเข่นเสียง

“ความจำยังดีเหมือนเดิม ว่าแต่ข้อมือหายดีแล้วหรือขอรับ” ชายผมดำพูดขึ้น เคียราจำเสียงได้ว่าเขาเป็นคนเตือนชาลัวห์ตอนเดินเข้ามานี่เอง

“หายดีพอจะไล่บี้นายแกให้แบนติดลานประลองก็แล้วกัน!”

“วันศักดิ์สิทธิ์เขาห้ามสบถสาบานไม่ใช่รึ” เด็กหนุ่มผมแดงเสริมขึ้นบ้าง “ระวังเทพเจ้าลงโทษก็แล้วกัน ทั้งก้อร่อก้อติกกับผู้หญิงกับปากสุนัขอย่างนี้”

“ยังกะแกไม่สบถสาบานอย่างนั้นล่ะ”

รูอาร์คโคลงศีรษะแล้วจุปาก

“ข้าพูดว่า ‘ปากสุนัข’ เป็นคำสุภาพนา ไม่ได้พูดว่าปาก...อ๊ะ เกือบไปแล้วๆ” คนพูดตบปากตนเองเสียงดัง

“จะพูดว่าอะไรมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ!” ชาลัวห์ปล่อยมือจากเธอ ทำท่าจะก้าวเข้าไปหาทั้งสามคน แต่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็พูดขึ้นเสียก่อน

“ทั้งสองคนพอทีเถอะ เดี๋ยวก็กลายเป็นทะเลาะกันกลางที่สาธารณะหรอก”

“แกตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่รึ!”

คาเฮียร์เข้าไปขวางระหว่างทั้งสองฝ่าย

“หากพวกท่านทำอย่างนั้น พระเกียรติของเจ้าหญิงแอชลีนน์จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย”

“แล้วเจ้าเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย ข้าพูดกับไอ้พวกหมารับใช้ลูกเจ้ามณฑลยาร์ลาธ ไม่ใช่เจ้า!”

“ขอโทษ...สุนัขไม่เห่ากัดเจ็บนะ เทียบกับสุนัขที่เอาแต่เห่าใบไม้แห้ง...รายหลังพอเจอสุนัขที่แน่จริงก็คงจะได้แต่วิ่งหางจุก...อ๊ะ ไม่ได้ๆ ข้าเกือบสบถอีกแล้ว” เด็กหนุ่มผมแดงตบปากตนเองอีกครั้ง

“ไอ้—!!”

“พวกท่านทั้งสองควรรักษากิริยาเสียบ้าง!” คาเฮียร์พูดเสียงดังขึ้นเหมือนออกคำสั่งทหาร

ชาลัวห์ทำท่าไม่พอใจนัก แต่ก็ดูเหมือนจะยอมรามือ

“หึ...ไว้พรุ่งนี้จะได้รู้กันว่าใครสิงห์ใครหมา”

ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาก้าวยาวๆ จากไปทางอาราม ขณะที่ทั้งห้ายืนอยู่ในความเงียบตรงหน้าน้ำพุอธิษฐาน

“เอ้อ...ท่านคาเฮียร์ ขออภัยขอรับที่ทำให้ท่านต้องลำบาก น้องชายกับ...คนของข้าเลือดร้อนไปหน่อย” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลพูดขึ้นบ้าง

“ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซามุทะลุเองด้วย ท่านเฟลิมยังนับว่าใจเย็นที่พยายามปรามคนของท่านไว้” คาเฮียร์ตอบด้วยเสียงเรียบๆ ตามเดิม “แต่ก็ควรจะห้ามให้เด็ดขาดกว่านี้”

เคียรากระพริบตาปริบๆ ผู้ชายที่ดูสุภาพ ถ่อมตัว แต่ดูไม่ค่อยเข้มแข็งคนนี้น่ะหรือคือลูกชายของเจ้ามณฑลยาร์ลาธ...คนที่เจ้าหญิงแอชลีนน์แอบเสด็จไปเรียนด้วย

หมายความว่า...ผู้ชายผมดำที่ดูอายุไม่มากไปกว่าเจ้าหญิงเท่าไรก็คืออาจารย์ชาวทะเลทรายที่เขาพูดกันน่ะหรือ

ไม่ใช่กระมัง ถึงจะดูเด็กอย่างไรก็ไม่น่าถึงขนาดนี้ แล้วคนเป็นอาจารย์สอนคนอื่นได้ก็ควรจะใจเย็นและสำรวมคำพูดมากกว่านี้ คงเป็นคนอื่นอย่างผู้ติดตามหรือองครักษ์มากกว่า

“ข้าจะพยายามขอรับ” เฟลิมยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะพูดต่อเหมือนนึกขึ้นได้ “เอ้อ ข้าแค่ตั้งใจจะมาทักทายขอรับ เห็นท่านตอนอยู่ในพิธีแล้วแต่ไม่มีโอกาสพูดคุยกัน”

“ข้าก็เห็นท่านแล้วเหมือนกัน”

“พรุ่งนี้...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ”

“ข้าก็เช่นกัน”

ทั้งสองดูจะเงียบไปครู่หนึ่ง เคียรามองชายทั้งสองที่สบตากันราวกับกำลังนึกว่าจะพูดอะไรต่อ ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มผมแดงที่หันไปเอาเท้าเขี่ยพื้นเล่นกับเด็กหนุ่มผมดำที่มองอยู่ห่างๆ

“ข้า...ขอตัวก่อนนะขอรับ” เฟลิมค้อมศีรษะน้อยๆ “เชิญท่านกับน้องสาวตามสบายขอรับ”

เคียราตกใจแต่พยายามระงับไว้ แลเห็นสีหน้าของคาเฮียร์เปลี่ยนไป

“ท่านเฟลิมเข้าใจผิดแล้วกระมัง นี่ไม่ใช่น้องสาวของข้า แต่เป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงแอชลีนน์ต่างหาก”

“อ...เอ้อ ขออภัยด้วยขอรับ เห็นท่านสองคนมีสีผมเค้าหน้าเดียวกัน ข้าเลยนึกไปว่าเป็นญาติกัน” ชายหนุ่มพูดเก้อๆ

“ม...ไม่ใช่ค่ะ เราไม่ได้เป็นญาติกันเลย” หญิงสาวตัดสินใจค้อมศีรษะบ้าง...ด้วยเห็นว่าอย่างน้อยเขาก็เข้ามาขัดจังหวะตอนที่ชาลัวห์จะทำไม่งามกับเธอพอดี “เคียราค่ะ...ยินดีได้ที่รู้จักท่านเฟลิม”

ชายหนุ่มผู้ฟังกลับกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดอย่างประหลาดใจ

“ท่านเคียรา! ท่านเคียราจริงๆ หรือขอรับ! แต่ท่านเคียรา...ตอนนั้นไม่ได้ผมสีนี้นี่ขอรับ!”

หญิงสาวเป็นฝ่ายกระพริบตาถี่ๆ บ้าง

“พี่สาวอาจจะย้อมผมมาก็ได้นี่พี่เฟลิม ผู้หญิงเขารักสวยรักงามจะตายไป” เด็กหนุ่มผมแดงพูดขึ้นก่อนจะเหล่สายตามาทางเธอแล้วยิ้มที่มุมปาก “ผมสีนี้ก็เข้ากับพี่สาวไม่หยอกนะ ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย”

“ท่านเคียราหรือ” เด็กหนุ่มผมสีดำเอ่ยขึ้นก่อนจะพยายามสบตากับเธอ แต่เธอก็เบือนสายตาหลบ “ท่าน...ได้รับจดหมายของข้าจากท่านองครักษ์ดูลัสแล้วใช่ไหม”

“จดหมาย...จดหมายอะไรหรือคะ” เคียราไม่รู้เรื่องที่เขาพูดจริงๆ

“เอ่อ...ข้าขออภัย จดหมายคงไปไม่ถึง ไว้...ไว้วันหลังข้าจะบอกเรื่องจดหมายนั้นก็แล้วกัน...ถ้าท่านสะดวก” เด็กหนุ่มผมดำพูดก่อนจะก้มหน้าลงไม่ยอมมองเธอ

กระนั้นเฟลิมยังพูดต่อ

“แล้วแอชล่ะขอรับ สบายดีไหม”

“แอช?” หญิงสาวยังคงไม่รู้เรื่อง

“แอช...น้องชายของท่านน่ะขอรับ หลังจากวันก่อนลูคนาซาธก็ไม่ได้พบกันเลย”

เคียราพยายามปะติดปะต่อ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าแอชเป็นชื่อปลอมของเจ้าหญิงแอชลีนน์นี่เอง

“ข...เขาก็สบายดีค่ะ แต่ข้าต้องขอตัวก่อน ต้องรีบกลับไปเข้าวังแล้วล่ะค่ะ” หญิงสาวค้อมศีรษะ แล้วก็กลับหลังหันก้าวยาวๆ ออกมาให้เร็วที่สุดโดยไม่รอคำตอบจากใครก็ตาม

* * *

เคียราถอนใจน้อยๆ เมื่อพ้นจากลานหน้าอารามหลวงมาได้ กระนั้นยังประหลาดใจไม่หาย...ว่าเรื่องที่พวกเขาพูดถึงนี่คือเรื่องอะไรกันแน่

เจ้าหญิงแอชลีนน์ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายไปเรียนร่วมกับคุณชายเฟลิม ลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธอยู่นานเป็นเดือนๆ ต่อให้หญิงสาวห้ามจนอ่อนใจและท่านดูลัสจับได้แล้วก็ยังไม่ฟัง ถึงกับยอมอดพระกระยาหารเพื่อให้ทั้งสองยินยอมให้ลักลอบออกไปเรียนต่อเสียอีก

แต่จู่ๆ หลังวันลูคนาซาธ เจ้าหญิงก็บอกว่าจะไม่ไปเรียนอีกแล้ว พระเนตรที่แดงก่ำเหมือนเพิ่งร้องไห้มาทำให้เคียราอดถามไม่ได้ แล้วก็ได้ความว่าอาจารย์ของคุณชายเฟลิมรู้ตัวจริงของเจ้าหญิงมาตั้งแต่ต้น และที่ยอมให้เจ้าหญิงมาเรียนด้วยก็เพื่อให้ทั้งสองได้สนิทกัน

เธอเห็นเป็นการดีแล้วที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงล้มเลิกที่จะทำอะไรแผลงๆ อย่างนั้นเสียที ตัวเธอเองต้องใจหายใจคว่ำมานานเกินไปแล้ว หากไม่ได้ท่านดูลัสคอยช่วยปกปิดเรื่องที่เธอปลอมตัวอยู่แทนเจ้าหญิงแอชลีนน์ทุกๆ วันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร

แต่ทำไมพวกคุณชายเฟลิมถึงรู้จักเธอ...เดี๋ยวสิ...รู้จักชื่อเธอ ทำเหมือนจำหน้าตาเธอได้ แต่ทักว่าเธอมีสีผมไม่เหมือนเดิม

อย่าบอกนะว่า...เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่ได้แค่ให้เธอปลอมตัวเป็นพระองค์ แต่เอาชื่อเธอไปบอกพวกเขาตอนออกไปเที่ยวในวันงานเทศกาลลูคนาซาธ...ตามที่ท่านดูลัสบอกเธอ

ตายแล้ว...

เคียราได้แต่ถอนใจ แล้วก็ภาวนาให้ไม่มีเรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้ เห็นจะเป็นจริงเสียแล้วที่ทั้งเจ้าหญิงแอชลีนน์กับท่านดูลัสบอกตรงกันว่าเธอหน้าตาเหมือนเจ้าหญิงมากเหลือเกิน...คงเพราะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ในเมื่อทั้งสามคนนั้นดูเหมือนจะจำเจ้าหญิงแอชลีนน์ที่ใช้ชื่อเธอได้ติดใจอย่างประหลาด

เป็นเรื่องที่ทำให้หญิงสาวลำบากใจ อันที่จริงเวลาเธอแต่งกายเป็นนางกำนัลตามปกติก็ไม่มีใครจับสังเกต และสีผมของทั้งสองก็ต่างกันมาก แม้สีตากับเค้าโครงหน้าจะแทบเป็นพิมพ์เดียวกัน เธอก็เพิ่งมารู้ว่าทั้งสองเหมือนกันขนาดนี้ก็ตอนที่เจ้าหญิงทรงบังคับให้เธอสวมช้องผมปลอมตัวเป็นพระองค์เสียด้วยซ้ำ ท่านดูลัสจับพิรุธได้ไม่ใช่เพราะหน้าตาของเธอ แต่เพราะลองพูดคุยแล้วเห็นมีอะไรผิดปกติจึงค่อยๆ ต้อนเธอจนมุมเสียเอง

พอนึกถึงท่านดูลัส...เธอก็เผลอนึกถึงเรื่อง ‘จดหมาย’ ที่เด็กหนุ่มผมดำคนนั้นพูดขึ้นมา เขาฝากจดหมายอะไรผ่านท่านดูลัสมาให้เธอ...ไม่สิ น่าจะเป็นเจ้าหญิงแอชลีนน์ที่ใช้ชื่อของเธอมากกว่า ดูไม่น่าไว้ใจเสียเลย เห็นทีกลับไปเธอคงต้องถามท่านดูลัสเสียแล้วว่าจดหมายนั่นมันเรื่องอะไรกัน แล้วท่านดูลัสทำอย่างไรกับจดหมายนั้น

ถึงอย่างไรในวันนี้เธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปพบท่านดูลัส ต้องไปอวยพรเขา...แล้วก็มีของที่ต้องมอบให้เขาเอาไว้แท้ๆ

“คุณหนู สนใจเครื่องรางนำโชคไหมเจ้าคะ เครื่องรางนำโชคของดีแท้ๆ นะ” เสียงเรียกทำให้เคียราชะงัก เธอหันไปเห็นร่างร่างหนึ่งที่สวมผ้าคลุมทอลวดลายอย่างชาวทะเลทราย เปิดเผยเพียงดวงตาสีดำสนิท ร่างนั้นนั่งบนพรมผ้าทอแบบเดียวกันที่ข้างตึก ใกล้กับพื้นที่ตลาดกลางจัตุรัสซึ่งเงียบเหงาเพราะห้ามขายของในวันศักดิ์สิทธิ์

หญิงชราชาวทะเลทรายคนนี้คงไม่รู้ธรรมเนียม...ไม่ก็ไม่สนใจกระมัง หญิงสาวไม่ค่อยชอบใจพวกผู้อพยพที่ไม่เคารพศาสนาของที่ที่ตนมาอยู่สักเท่าไร จึงทำท่าจะรีบเดินไป แต่แล้วสายตาก็ไปพบบางสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจเสียก่อน

ท่ามกลางกระถางกำยาน ตะเกียงกระเบื้องและทองเหลือง สร้อยลูกปัด กับเครื่องรางกระจุกกระจิกอื่นๆ มีผืนผ้าขาวที่รองใบไม้เล็กๆ สี่แฉกสี่ใบ...เป็นใบไม้ที่ดูสดและชื้นน้ำค้างเหมือนเพิ่งเก็บมาในเช้านี้เอง

ใบแชมร็อคสี่แฉก...สัญลักษณ์ของโชคดี แถมยังมีถึงสี่ใบพร้อมกันเชียวหรือ

สมัยอยู่ในชนบทกับแม่ เธอเคยเทียวหาใบแชมร็อคสี่แฉกในทุ่งอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบไปเสียทุกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็กลับมาพบในวันแบบนี้...

เคียราตัดสินใจโน้มตัวลงชี้ใบไม้พวกนั้น

“เท่าไรหรือ”

เสียงอู้อี้ใต้ผ้าคลุมหัวเราะน้อยๆ

“ไม่ได้ขาย” คนฟังอยากผุดลุกขึ้นเดินจากไปทันควัน แต่แล้วก็ได้รับคำขยายเสียก่อน “เอาไว้แถมเวลาซื้อของอย่างอื่นเจ้าค่ะ”

เคียราเหลือบมองไปทั่วๆ แต่ก็ไม่เห็นของที่ตนอยากได้สักเท่าไร กำไลหรือสร้อยลูกปัดสวยๆ ก็ใช่ว่าเธอจะไม่ชอบ เพียงแต่ไม่เห็นเลยว่าจะนำไปสวมใส่ตอนไหนได้ กำยานของชาวทะเลทรายเธอก็ไม่คุ้นกลิ่น ตะเกียงก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร

“คุณหนูต้องการเครื่องรางนำโชคใช่ไหมเจ้าคะ”

หญิงสาวประหลาดใจขึ้นมา

“รู้ได้อย่างไร”

“ไม่อย่างนั้นจะสนใจใบแชมร็อคหรือเจ้าคะ” หญิงชราย้อนถาม

“...นั่นสินะ” เธอเพิ่งตระหนักได้

มือเหี่ยวย่นใต้ชายผ้าคลุมยื่นออกมาหยิบของอย่างหนึ่งซึ่งดูคล้ายก้อนขนสัตว์ยาวๆ สีเทาบนพรม มีเชือกหนังมัดร้อยติดไว้

“สนใจนี่ไหมเจ้าคะ เท้าหลังซ้ายของกระต่ายป่า เครื่องรางนำโชคชั้นดีนะเจ้าคะ นอกจากจะช่วยให้โชคดี ได้ชัยชนะในการแข่งขันต่างๆ แล้วยังใช้ป้องกันภัยได้ด้วย”

“...อย่างนั้นหรือ”

เคียรามองของนั้นเทียบกับสินค้าอื่นๆ ที่มีให้เลือกอยู่ครู่หนึ่ง เครื่องรางนำโชคของชาวทะเลทรายไม่รู้จะเชื่อถือได้มากเท่าไร แต่ก็น่าลองดูไม่ใช่หรือ

“เท่าไร”

“ยี่สิบวีร์เจ้าค่ะ”

หญิงสาวหยิบถุงเงินของตน

“ขอใบแชมร็อคทั้งสี่ใบเลยได้ไหม”

“เจ้าค่ะ” หญิงชราจัดแจงนำผ้ามาห่อเท้ากระต่ายกับใบไม้ทั้งสี่ให้ “นี่หลานข้าไปเก็บมาจากสวนริมแม่น้ำนี่เอง เห็นคนธีร์ดีเรบอกว่าเป็นของนำโชค แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็นำโชคให้ข้าขายของชิ้นแรกได้ในวันนี้แหละนะ”

“วันศักดิ์สิทธิ์คนธีร์ดีเรไม่ขายของกัน ยายเปลี่ยนไปขายวันอื่นน่าจะมีคนซื้อมากกว่านะ”

“ก็เห็นว่าวันนี้เป็นวันก่อนวันประลอง แล้วหลานข้าก็เก็บใบแชมร็อคได้พอดีตั้งสี่ใบ เลยว่าจะเสี่ยงดูสักหน่อย ขอให้คุณหนูโชคดีนะเจ้าคะ มีทั้งเครื่องรางของธีร์ดีเรกับเครื่องรางของทะเลทรายแท้ๆ นี่”

“ขอบคุณ” เคียราตอบสั้นๆ ก่อนจะส่งเหรียญเงินให้ รับสินค้าแล้วเดินจากไป

“เอ้อ เวลาจะขอโชคดีก็อย่าลืมลูบเท้ากระต่าย แล้วพกติดตัวไว้ตลอดเวลานะเจ้าคะ”

“ค่ะ ขอบคุณมาก” หญิงสาวเหลียวไปตอบ

* * *

เธอจำเวลาออกเวรของดูลัสได้ดี และรีบกลับพระราชวังไปผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดนางกำนัลมาหาเขาที่ห้องพักราชองครักษ์ได้ก่อนเขากลับเข้ามาในห้องไม่ถึงห้านาทีเท่านั้นเอง

“ดูลัส นางกำนัลของเจ้าหญิงมาหา” ราชองครักษ์ที่อายุมากกว่าหันไปบอกเขาอย่างรื่นเริง “เห็นทีเจ้าหญิงจะทรงฝากคำอวยพรมาให้กระมัง”

ชายหนุ่มผมสีทองจางหันมามองเคียรา ซึ่งหลบสายตาลงอย่างสำรวมโดยเร็ว

“มีอะไรหรือ”

“เรา...ออกไปพูดกันข้างนอกได้ไหมคะ”

ดูลัสรับคำสั้นๆ แม้จะยังดูสงสัย

* * *

ทั้งสองออกมาในอุทยานเล็กๆ ระหว่างอาคารสองหลัง ซึ่งมีพรรณไม้ในฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่งใต้ร่มต้นหลิวที่ปลูกเป็นแถวเรียงกัน

“มีอะไรหรือ” ชายหนุ่มยังถามคำเดิมเมื่อทั้งสองได้อยู่ด้วยกันสองคน

เคียรารวบรวมความกล้าส่งห่อผ้าที่เธอถือมาตลอดไว้ให้เขา

“ข้า...ย...อยากให้ท่านรับนี่ไว้ค่ะ”

ดูลัสทำตาม ก่อนจะคลี่ผ้าออก ให้เห็นของที่เธอวางรวบรวมไว้ในนั้น

“นี่อะไรกัน” น้ำเสียงของเขาฟังดูงงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขุ่นมัวเหมือนไม่พอใจ

“คือ...ข้า...ข้าอยากมอบของพวกนี้ให้ท่าน เป็นเครื่องรางนำโชคน่ะค่ะ ก...เกือกม้านี่ให้แขวนติดตัวไว้ แต่...แต่ต้องแขวนให้ปลายชี้ขึ้นนะคะถึงจะนำโชคดีมาให้ ห้ามแขวนชี้ลงเด็ดขาด นี่ใบแชมร็อคสี่ใบ แล้วก็เท้ากระต่าย...เป็นเครื่องรางแบบทะเลทรายน่ะค่ะ เขาบอกว่าให้ลูบเท้ากระต่ายอธิษฐานแล้วพกติดตัวไว้ตลอดเวลา”

ดูลัสก้มมองของในห่อผ้า ก่อนจะหันมามองเธออีกครั้ง ยังผลให้เคียราหลบสายตาด้วยความประหม่า

“ข...เขาให้พกของพวกนี้เข้าสนามประลองได้...ใช่ไหมคะ”

“ก็...ไม่มีกติกาห้ามไว้” ชายหนุ่มตอบก่อนจะพูดด้วยเสียงเหมือนขันนิดหน่อย “แต่ถ้าพกเข้าไปหมดนี่ ข้าคงกลายเป็นมนุษย์เครื่องรางไปแน่ๆ”

“เอ่อ...” เคียราเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่เคยได้ยินดูลัสพูดด้วยเสียงอย่างนี้มาก่อนเลย

“ข้าไม่ได้หมายความว่าไม่ดีหรอกนะ ต้องขอบใจต่างหากที่ช่วยให้กำลังใจข้า”

“ก็...ก็ข้าอยากให้ท่านดูลัสได้อยู่เคียงข้างเจ้าหญิงนี่คะ”

“แล้วเจ้าหญิงล่ะ” ดูลัสถามเบาๆ “ทรงมีพระประสงค์อย่างนั้นเหมือนกันหรือเปล่า”

“เอ่อ...” หญิงสาวรีบหาคำตอบที่อีกฝ่ายอยากได้ยิน “...ค่ะ ก็พระองค์ทรงสนิทกับท่านดูลัสที่สุดนี่คะ”

“ข้าก็ตั้งใจจะสู้เต็มที่อยู่แล้ว เพื่อพระองค์” ดูลัสรับ

“ค่ะ...ขอให้ท่านมีชัยนะคะ” เคียราเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เขา

“ขอบใจ แต่เดี๋ยวข้าคงต้องรีบกลับไปพักผ่อนแล้ว” ชายหนุ่มบอก

“ค่ะ...พิธีเปิดการประลองมีตั้งแต่ตอนเช้าเลยนี่คะ” หญิงสาวรับ “ข้า...ข้าจะคอยดูท่านดูลัสนะคะ ข้า...จะเป็นกำลังใจให้ท่านเสมอค่ะ”

“ขอบใจ” ดูลัสยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไป

เคียรามองแผ่นหลังขององครักษ์หนุ่มขณะที่เขาเดินจากไปจนลับหายไปในประตูอาคารหลังหนึ่ง เมื่อนั้นเองหญิงสาวจึงได้ถอนใจเบาๆ

เธอทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว ที่เหลือก็ได้แต่หวังว่าเทพเจ้าจะช่วยเมตตาตามคำอธิษฐานของเธอเท่านั้นเอง...

* * *

“เคียราไปไหนมานานจัง” เจ้าหญิงแอชลีนน์ทักทันทีที่เธอเข้ามาถวายบังคมในตอนบ่ายเกือบเย็น

เด็กสาวยังอยู่ในชุดสำหรับพระราชพิธีของวันพรุ่งนี้...ชุดเป็นทางการซึ่งทอลวดลายประณีตมีตราสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ ผมเกล้าอย่างบรรจงกว่าทุกครั้ง และบนศีรษะก็ยังสวมมงกุฎอยู่

“หม่อมฉันออกไปสวดภาวนาในอารามหลวง...ตามที่บอกตอนมาทูลขอนี่เพคะ”

“แต่ก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้เลย พิธีน่าจะเสร็จตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้วนี่” นายหญิงผู้อายุน้อยกว่าทำหน้าง้ำ “ทำไมนะ เคียราออกไปข้างนอกได้เป็นนานแต่เราออกไปไม่ได้เลย”

ผู้ฟังยิ้มอย่างอ่อนใจ พอจะเข้าใจอารมณ์ของผู้สูงศักดิ์กว่าขึ้นมา คงเพราะอยากออกไปข้างนอกแต่ไปไม่ได้ ถึงได้พาลหงุดหงิดที่เธอกลับมีสิทธิ์ทำเช่นนั้นกระมัง

“วันศักดิ์สิทธิ์ใครๆ เขาก็ไปเข้าอารามกันทั้งนั้นล่ะเพคะ ไม่มีอะไรหรอก หม่อมฉันถูกรั้งไว้ด้วยล่ะเพคะถึงได้กลับมาช้า”

“ถูกรั้ง? ใครรั้งเคียราไว้หรือ” เจ้าหญิงแอชลีนน์ดูสนใจขึ้นมา

“ก็...ผู้กองคาเฮียร์น่ะเพคะ เขา...ทักทายหม่อมฉันนิดหน่อย แล้วก็มีคุณชายชาลัวห์ ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซา กับคุณชายเฟลิม ลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธด้วย ทั้งสามคนดูเหมือนจะมาที่อารามหลวงเหมือนกัน”

“หมายความว่าถ้าดูลัสไปด้วยก็ครบสี่คนเลยน่ะสิ” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าขุ่นมัว “ก็ดี จะได้ตีกันเสียตั้งแต่ตอนนั้นเลย ทำไมต้องให้เรามาทำอะไรยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ”

“องค์หญิง...พระราชพิธีทดสอบครั้งสุดท้ายนี่สำคัญมากนะเพคะ”

ผู้ฟังไม่ตอบ กลับก้าวขัดๆ ไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงก่อนจะแทบสลัดรองเท้าส้นสูงประดับพลอยออกจากเท้าทั้งสองข้าง ทิ้งพวกมันให้ร่วงกระทบพื้นพรมดังก้อง

“พอแล้ว เคียราคงเห็นว่าชุดใช้ได้แล้วใช่ไหมล่ะ นมบอกให้เรารอเคียรามาช่วยดู แต่ลองเคียราไม่บอกว่าชุดไม่ดีตรงไหนก็แสดงว่าเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เราจะได้เปลี่ยนเสียที ใส่ไม่สบายตัวเลยชุดนี้ แล้วรองเท้าก็สูงจนเรากลัวจะสะดุดคอหักตาย”

“คุณท้าวถึงได้บอกให้ซ้อมเสด็จพระราชดำเนินให้มากๆ อย่างไรล่ะเพคะ”

“กะแค่เพื่อให้เราไม่คอหักตายนี่นะ นี่ใครๆ กลัวเจ้าหญิงจะไม่สูงสง่ามากกว่าคอหักตายเพราะรองเท้าส้นสูงเชียวหรือ” คนพูดเริ่มเสียงแข็งขึ้นขณะแกว่งเท้าที่มีรอยแดงชัดเจนจากรองเท้าบีบ

“องค์หญิงประทับนั่งพักเสียก่อน แล้วเสวยนมน้ำผึ้งอุ่นๆ หน่อยไหมเพคะ หม่อมฉันจะไปชงมาให้” เคียรารีบเสนอ แต่อีกฝ่ายก็สั่นศีรษะ

“ไม่เอา วันนี้เราไม่รู้สึกอยากรับประทานอะไรเลย”

“แต่ก็เสวยพระกระยาหารตามปกติใช่ไหมเพคะ วันพรุ่งนี้องค์หญิงจะทรงพระประชวรไม่ได้นะเพคะ”

“เรารู้แล้ว ถึงป่วยเราก็ต้องทำเหมือนไม่ป่วย ก็แค่นั้นเอง”

หญิงสาวยังคงพยายามเอาใจอีกฝ่าย...ทั้งๆ ที่ทางเลือกดูจะไม่เหลือมากมายนัก

“ถ้าทรงปวดพระบาท หม่อมฉันจะนำน้ำกุหลาบอุ่นๆ มาให้แช่ แล้วก็นวดพระบาทให้นะเพคะ”

“ไม่เป็นไร ถ้าเคียราเห็นว่าชุดเรียบร้อยแล้วก็ให้เราเปลี่ยนชุดเสียที ขอแค่นี้พอแล้ว”

เคียรามองสำรวจชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีตนั้นแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ

“ชุดเรียบร้อยดีแล้วล่ะเพคะ แต่องค์หญิงทรงขยับพระองค์หยุกหยิกเกินไปกระมัง ผ้าเลยดูยับนิดหน่อย ทรงฉลองพระองค์กลับแล้วให้หม่อมฉันนำไปให้ห้องฉลองพระองค์รีดให้เรียบแล้วกันเพคะ”

“ก็ดี” เด็กสาวรีบถอดมงกุฎออกจากศีรษะทันที ตามมาด้วยพระกุณฑลทั้งสองข้างและสร้อยพระศอ “เคียราอย่าลืมไปบอกนมด้วยล่ะว่าเรียบร้อยดีแล้ว เดี๋ยวนมจะบ่นอีก แล้วช่วยแก้ผมให้เราที”

“เพคะ” หญิงสาวขยับเข้าไปทำตามคำสั่งอย่างชำนาญ เธอปลดตาข่ายดิ้นทองร้อยไข่มุกที่รวบพระเกษาเป็นมวย คลายเปียเล็กๆ ที่ถักไว้ แล้วก็ใช้แปรงขนนุ่มแปรงพระเกษาเรียบลื่นสีน้ำตาลอ่อนให้

“แล้ว...ผู้กองคาเฮียร์เข้ามาทักอะไรเคียราหรือ” ในระหว่างนั้น เจ้าหญิงแอชลีนน์ก็ถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “เขารู้ด้วยหรือว่าเคียราเป็นน้องสาวเขา”

“ไม่ใช่หรอกเพคะ เขามาถามเพราะเห็นนามสกุลของหม่อมฉันเหมือนแม่ของเขาเท่านั้นเอง” เคียราตอบตามตรง...แล้วก็ตัดสินใจพูดให้ผู้เป็นนายเข้าใจไว้ “เขาไม่รู้...แล้วก็ไม่ควรจะรู้ตลอดไปเพคะ ให้รู้คงมีแต่จะอับอายและเสียใจมากกว่า”

“แต่เขาเป็นพี่ชายของเคียรา...ไม่ใช่หรือ ลูกๆ คนอื่นๆ ของท่านน้าคอนรอยก็เป็นพี่น้องของเคียรา เคียราไม่อยากพบพวกเขา...ไม่อยากรู้จักพวกเขาบ้างหรือ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ นี่”

“เรื่องบางอย่างไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกเพคะ” ต่อจากคลายผม หญิงสาวก็ช่วยปลดกระดุมกระดูกปลาวาฬที่หลังชุดตัวนอกให้ “ถึงอย่างไรเราสองคนก็ไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ที่หม่อมฉันเกิดมาถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียด้วยซ้ำ ไว้องค์หญิงทรงมีพระชนมายุมากกว่านี้สักหน่อยก็จะเข้าพระทัยเพคะ”

“อือ...” เด็กสาวรับเรียบๆ ในที่สุด ก่อนจะตั้งคำถามอีกครั้ง “แล้ว...ชาลัวห์เป็นคนอย่างไร เห็นเคียราบอกว่าพบเขาด้วยนี่”

เคียราย่นจมูกทันทีเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนั้น

“ดูหยิ่งและโอ้อวดเพคะ แถมยังทำกรุ้มกริ่มกับหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันไม่ทราบเลยว่าคนอย่างนั้นเข้ารอบมาได้อย่างไร” หญิงสาวอดพูดต่อไม่ได้ “คุณชายเฟลิมก็ดูสุภาพเรียบร้อยอยู่หรอกเพคะ แต่คุมคนไม่เป็นเอาเสียเลย คนที่มาด้วยกับเขา...รู้สึกจะเป็นน้องชายน่ะเพคะ ทำกรุ้มกริ่มกับหม่อมฉันเหมือนกัน แล้วคนติดตามอีกคนที่ไม่ใช่ชาวธีร์ดีเรก็ปากกล้าเกินนาย คนอย่างนี้หม่อมฉันว่าไม่เหมาะจะเป็นราชาเลยเพคะ”

“ปากกล้าเกินนาย...หมายความว่าอย่างไรหรือ”

“ก็...ตอนที่คุณชายชาลัวห์มาพูดจาโอ้อวดกับหม่อมฉันว่าจะเป็นสวามีขององค์หญิงให้ได้ เขาเป็นคนที่พูดขัดขึ้นมาน่ะเพคะ เกือบจะทะเลาะกันในที่สาธารณะอยู่แล้วด้วยซ้ำ ถ้าผู้กองคาเฮียร์ไม่ห้ามไว้”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...เคียราเห็นว่าคาเฮียร์ดีกว่าสองคนนั้นสินะ”

“ก็...ปฏิเสธไม่ได้เพคะ เขาดูเข้มแข็งหนักแน่นสมเป็นทหารดี แต่หม่อมฉันว่าถึงอย่างไรท่านดูลัสก็ดีที่สุดสำหรับองค์หญิงเพคะ”

เจ้าหญิงแอชลีนน์เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจแล้วพูดเบาๆ

“...นึกแล้วว่าเคียราต้องพูดแบบนั้น”


บทที่ ๒๒ เริ่มพิธีสยุมพร

* * *


ตอนนี้เป็นมุมมองของเคียราครั้งแรกครับ ว่าไปผมก็ชอบเคียราแบบแปลกๆ แฮะ เป็นคนที่ออกมาโดนแกล้งทุกที (ฮา...) ชาลัวห์ยังคงเกรียนเหมือนเดิม แต่ก็เป็นความเกรียนแบบไร้พิษภัย เพราะหมอนี่ไปเกรียนใส่ใครก็ดันโดนแนวร่วม อกปก. (แอบเกรียนปราบเกรียน) อย่างอาเมียร์กับรูอาร์คตีกลับได้หมด

ใบแชมร็อค หลายท่านอาจสงสัยว่าใช่โคลเวอร์หรือเปล่า เพราะมีสี่แฉกเหมือนกัน จะนับว่าเป็นอย่างเดียวกันก็ได้ครับ บางคนบอกว่าแชมร็อคหมายถึงใบโคลเวอร์พันธุ์ไวท์โคลเวอร์ ขณะที่มีอีกฝ่ายบอกว่าแชมร็อคใช้เรียกใบไม้ที่มีสามแฉกทุกแบบ โคลเวอร์จึงจัดเป็นหนึ่งในพันธุ์ต่างๆ ของแชมร็อค แต่ไม่ว่าจะยังไง ชาวไอริชถือว่าใบแชมร็อคเป็นสัญลักษณ์ของนักบุญแพทริค นักบุญอารักษ์ของไอร์แลนด์ ดังนั้น ไปๆ มาๆ ใบแชมร็อคจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของไอร์แลนด์ด้วยครับ

ป.ล. อันที่จริงวาดรูปของคาเฮียร์กับชาลัวห์ไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้สแกน แล้วจะลงรูปวันหลังนะครับ ^^a




 

Create Date : 23 เมษายน 2552    
Last Update : 30 เมษายน 2552 11:49:15 น.
Counter : 251 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Anithin
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add Anithin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.