|
บทที่ ๒๕ - สูญเสีย
บทที่ ๒๕ สูญเสีย
เมื่อเขารีบเร่งมาถึงหน้าห้องพักนั้น ครอบครัวของท่านเบเรคก็อยู่พร้อมหน้าแล้ว ท่านหญิงร้องไห้เสียงดัง คุณหนูฟิเดลมากอดท่านหญิงไว้พลางสะอื้น ท่านเบเรคมีสีหน้าสลดอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนรูอาร์คยืนพิงผนังก้มหน้าไม่พูดจา
ทหารยามยังคงกั้นไม่ให้ใครได้เข้าไปในห้อง ทว่าเพียงมองดูจากข้างนอกก็เลวร้ายเกินพอ เจ้าของห้องที่เขาเพิ่งพูดคุยด้วยเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อค่ำนี้...ตอนขอตัวออกไปพบดูลัสตามนัดหมาย...นอนกึ่งคว่ำกึ่งตะแคงอยู่บนพื้น ดวงตาที่ไร้ชีวิตยังเบิกกว้าง บนใบหน้า...ร่างกาย...และพื้นห้องแดงฉานด้วยเลือดจากแผลยาวบนคอ
อาเมียร์เบือนหน้าไปแทบไม่ทันก่อนจะก้าวถอยหลังไปพิงผนัง นัยน์ตาร้อนผ่าวและหยดน้ำเริ่มหลั่งไหล
เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้!!
ตอนแรกข้าก็คิดเหมือนกันว่าข้าไม่มีทางเป็นราชาได้หรอก ข้าไม่อยากเป็น กระทั่งเจ้ามณฑลข้ายังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเป็นได้เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้...ข้ากลับคิดว่าจะทำให้เต็มที่ขอรับ
ข้าเคยคิดว่าตัวเองมีชีวิตที่มีความสุขดีแล้ว อยากอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่อยากไขว่คว้าหาอำนาจหรือลาภยศมากไปกว่านี้ แต่พอได้ฟังเรื่องที่เกิดกับลีชา...ข้าก็เห็นจริงอย่างที่อาจารย์บอกขอรับ ข้าอยู่ในที่ที่มีความสุขและปลอดภัย ขณะที่มีคนอีกมากมายในอาณาจักรนี้ที่ต้องทุกข์ร้อนมีอันตราย ข้า...ควรจะช่วยเหลือพวกเขาเท่าที่จำได้จริงๆ นั่นล่ะขอรับ
ข้าก็มีอะไรสักอย่างที่น่าจะทำได้เหมือนกันใช่ไหมขอรับ
เพราะฉะนั้น...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ ถึงไม่ได้ข้าก็ไม่เสียอะไร ข้ายังพยายามดูแลชาวยาร์ลาธให้มีความสุขได้นี่ขอรับ
ใครกันที่มันทำเรื่องนี้...และทำเพื่ออะไร เฟลิมเป็นคนที่มีจิตใจดี ไม่ควรจะมาตายแค่เพราะเรื่องขัดผลประโยชน์ทางการเมืองเช่นนี้เลย
เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นของคนอีกกลุ่มดังไล่มาจากทางเดินอีกทาง เด็กหนุ่มเหลือบเห็นท่านผู้สำเร็จราชการคอนรอย เจ้าหญิงแอชลีนน์ นางกำนัลคนหนึ่ง และราชองครักษ์ดูลัส
พวกเจ้า...พวกเจ้าปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร! เสียงร้องของเด็กสาวดังตามมาไม่นาน
พระอาญามิพ้นเกล้า... ทหารองครักษ์สองคนที่น่าจะเป็นคนเฝ้าหน้าห้องในคืนนั้นคุกเข่าและค้อมศีรษะแทบจรดพื้นทันควัน พวกกระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ แต่...แต่พวกกระหม่อมไม่เห็นหรือได้ยินอะไรผิดสังเกตเลยพ่ะย่ะค่ะ จึงไม่นึกว่า...
เอาเถอะ ที่สำคัญคือเราต้องรีบหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการบอก
ผู้กระทำผิดเป็นใคร...มันก็เห็นๆ กันอยู่แล้วนี่ รูอาร์คเข่นเสียง ใครกันที่มันโกงการสอบมาตลอดจนแถกไถขึ้นมาได้ถึงขั้นนี้ กะแค่เรื่องโกงเป็นชุดๆ ยังจับไม่ได้ ต้องปล่อยให้ผู้ชนะตายเปล่าสักคนแล้วให้ฆาตกรมันขึ้นครองราชย์แทนรึไง!!
รูอาร์ค! ท่านเบเรคขัดขึ้น
ข้าขออภัยด้วย ท่านคอนรอยกลับหันมาค้อมศีรษะน้อยๆ ให้กับทุกคนในครอบครัวของเฟลิมอย่างเคร่งขรึม พวกท่านมีเหตุผลที่จะโกรธแค้นและตำหนิพวกเราที่บกพร่องในหน้าที่ แต่ขณะนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือการสืบสวนอย่างละเอียดเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงให้ได้ ขอให้พวกท่านสงบอารมณ์และทำความเข้าใจเรื่องนี้ด้วย
ข้าทราบดี ท่านคอนรอย ท่านเบเรคตอบ ก่อนน้ำเสียงจะเริ่มสั่นเครือขึ้น ช่วย...ช่วยมอบความเป็นธรรมให้แก่ลูกของข้าด้วย...
ชายวัยกลางคนดูจะห้ามตนเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาอย่างยากเย็น ความเงียบที่มีเพียงเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของท่านหญิงกับคุณหนูฟิเดลมาดำเนินไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ท่านผู้สำเร็จราชการจะเอ่ยขึ้น
พวกท่านไปพักสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ ข้าจะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบที่นี่ให้ละเอียด ได้ผลอย่างไรแล้วจะรีบรายงานให้พวกท่านทราบ
ท่านเจ้ามณฑลซึ่งเพิ่งสูญเสียลูกชายไปพยักหน้ารับ แล้วจึงประคองภรรยาไป ตามด้วยฟิเดลมากับรูอาร์ค
อาเมียร์ตัดสินใจตามพวกเขาไปเป็นคนหลังสุด...ในเมื่อรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่ตนเองจะอยู่ช่วยอะไรที่นี่ได้อีก
* * * เจ้าหญิง...เสวยพระกระยาหารเช้าสักหน่อยเถอะเพคะ
เราไม่หิว ไม่มีอารมณ์จะรับประทานอะไรเลยด้วย แอชลีนน์ตอบง่ายๆ
อย่าว่าแต่จะรับประทานอาหารเลย เธอไม่มีอารมณ์จะทำอะไรหรือคิดจับต้นชนปลายอะไรเสียด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงใจหาย เธอไม่ได้ร้องไห้ออกมา...เธอไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับคู่หมั้นของตนพอจะเสียใจลึกซึ้งถึงเพียงนั้น แต่การสูญเสียชีวิต...ไม่ว่าของใครก็ตาม...ย่อมเป็นเรื่องน่าเศร้า เด็กสาวยังจำได้ดีถึงตอนที่ตนสูญเสียคนที่รักที่สุดไปพร้อมๆ กันกะทันหันถึงสามคน การตายของเฟลิมเองก็เป็นเรื่องกะทันหันและคาดไม่ถึง...และยิ่งน่าเศร้าเมื่อเป็นเรื่องแน่นอนว่าเขาต้องตายเพียงเพราะเป็นคู่หมั้นของเธอ
...ทั้งๆ ที่ทั้งสองน่าจะร่วมมือกันดูแลธีร์ดีเรได้แท้ๆ...
ถึงอย่างไรก็เสวยสักหน่อยเถอะเพคะ เคียรายังพยายามคะยั้นคะยอ หม่อมฉันทราบว่าทรงเสียพระทัยมาก แต่พระพลานามัยของพระองค์ก็เป็นสิ่งสำคัญนะคะ
แอชลีนน์สั่นศีรษะ
อดข้าวมื้อเดียวเราไม่ตายหรอก
องค์หญิง! หญิงสาวอุทาน อย่าตรัสไม่เป็นมงคลอย่างนี้สิเพคะ! วันนี้เกิดเรื่องร้ายมาแล้วนะเพคะ!!
เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ก็เพราะเกิดเรื่องร้ายขึ้นมาน่ะสิ...จะให้เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เลยหรือ
แล้วอดพระกระยาหารช่วยอะไรได้ล่ะเพคะ เคียราไม่วายแย้ง
คำพูดนั้นกลับทำให้แอชลีนน์ฉุกคิดขึ้นมา หากการอดอาหารช่วยอะไรไม่ได้...แล้วการมานั่งซึมเศร้าไม่รู้ว่าจะรู้สึกหรือคิดทำอะไรอย่างอื่นได้มากกว่านี้เล่า
แล้วถ้าเธอยังมาคิดเรื่องนี้ได้อยู่...แสดงว่าเธอไม่ได้เสียใจจริงๆ กับการตายของเฟลิมเลยหรือ
ไม่ใช่นะ...
เธอเสียใจ เพียงแต่เมื่อนึกถึงตอนที่เสียเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่จากไปพร้อมกัน...เธอก็นึกเสียใจยิ่งกว่าที่ตนเองทำอะไรเพื่อทั้งสามพระองค์ไม่ได้เลย เมื่อเห็นครอบครัวของเฟลิมโศกเศร้าเสียใจถึงเพียงนี้แล้ว เธอก็เข้าใจว่าพวกเขาพอจะรู้สึกอย่างไร ในความเสียใจคงมีความโกรธแค้นคนที่บังอาจพรากคนที่ตนรักไป และอยากทวงความยุติธรรมให้แก่คนคนนั้น...
แต่เธอจะทำอย่างไรได้เล่า...
เด็กสาวพอนึกอะไรขึ้นมาได้
เคียรา ช่วยตามดูลัสเข้ามาหน่อยได้ไหม
ทำไมหรือเพคะ
เรามีเรื่องจะพูดกับดูลัสนิดหน่อย เคียราอยู่ฟังด้วยก็ได้
ถ้าองค์หญิงจะเสวยพระกระยาหารเช้าก่อนนะเพคะ นางกำนัลสาวต่อรอง
เด็กสาวจึงรับคำไป แล้วก็รับประทานพอเป็นพิธีเท่าที่ตนทำได้ ขณะเร่งนึกให้ถึงเวลาที่จะได้พบองครักษ์หนุ่มโดยเร็ว
* * * หลังจากบอกองครักษ์หนุ่มที่คุกเข่าลงถวายบังคมให้มานั่งที่โต๊ะรับรองเบื้องหน้าเธอแล้ว แอชลีนน์ก็รีบถามตรงประเด็นในทันที
ดูลัสคิดว่าชาลัวห์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือเปล่า
ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจ
ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ
ก็...มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะโกงการประลอง...ไม่ใช่รอบเดียวแต่หลายรอบไม่ใช่หรือ
ถึงได้ทรงคิดว่า...เขาจะทำได้ถึงขั้นลอบสังหารพระคู่หมั้น...เพื่อให้ตนขึ้นมาเป็นแทนน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ
แล้วนั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายของเขาหรอกหรือ
ดูลัสขมวดคิ้วเคร่งเครียดแม้จะพยักหน้ารับ
เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ แต่...หากชาลัวห์หรือบิดามีความฉลาดกว่านี้อีกสักหน่อย จะทราบว่ายังไม่ควรลงมือในเวลานี้ เพราะพวกตนกำลังถูกจับตามองอยู่ สองวันหลังพิธีหมั้น กระหม่อมเห็นว่าเร็วเกินไปพ่ะย่ะค่ะ
แต่ถ้าไม่ใช่แล้วจะเป็นใคร เรายังไม่เห็นเลยว่าใครจะได้ผลประโยชน์จากการตายของเฟลิมชัดเจนไปกว่าสองคนนี้
ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
กระหม่อมก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่...กระหม่อมเชื่อว่าหากเป็นผู้บงการที่ฉลาดจริงๆ เขากำลังฉวยโอกาสในขณะที่มีคนอื่นน่าสงสัยมากกว่าตน แล้วก็...น่าจะเป็นคนที่เราคาดไม่ถึงมากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ
แต่แอชลีนน์มองไม่ออกเลยว่าเป็นใคร ไม่มีทางเป็นท่านแฟคท์นากับดูลัสแน่ๆ แม่ทัพคาฮาลกับคาเฮียร์ก็ไม่น่าจะใช่อีกเช่นกัน ทว่าหากไม่ใช่หนึ่งในบรรดาผู้ผ่านเข้ามาในการทดสอบรอบสุดท้ายแล้ว...ใครกันจะได้รับประโยชน์จากการตายของเฟลิมกันเล่า
แล้วดูลัสคิดว่าเรื่อง...ผู้ชนะ...จะทำอย่างไรต่อไป เด็กสาวตั้งคำถาม จะให้ชาลัวห์ขึ้นมาแทนเลย หรือจะคัดเลือกคู่หมั้นของเราใหม่จากคนที่เหลืออยู่ ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแต่ชาลัวห์ ดูลัส กับคาเฮียร์ เราเชื่อว่าดูลัสกับคาเฮียร์ไม่มีวันใช้วิธีสกปรกอย่างนี้เด็ดขาด แล้วชาลัวห์ก็...น่าจะโกงมาตั้งแต่รอบแรกๆ แล้วด้วยนี่
กระหม่อมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ผู้บงการต้องการให้พวกเราคิดพ่ะย่ะค่ะ
เธอนิ่งไป เห็นด้วยกับองครักษ์หนุ่มก็พอเห็นด้วยอยู่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า...เขาหวาดระแวงเกินไปเหมือนครั้งอาเมียร์หรือเปล่าหนอ
ตอนนี้เรายังไม่ได้ข้อมูลชัดเจนเลย กระหม่อมคิดว่าองค์หญิงควรจะทรงรักษาท่าทีและรอต่อไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากได้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไร กระหม่อมจะรีบมากราบทูลและหารือด้วยแน่นอน...หากองค์หญิงทรงให้เกียรติและไว้ใจกระหม่อมถึงเพียงนั้น
แอชลีนน์พยักหน้า
เราเชื่อใจดูลัส ฝากด้วยนะ
ชายหนุ่มค้อมศีรษะอย่างหนักแน่น
กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงทรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ
* * * เวลาในวันนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก...
ในทีแรก อาเมียร์ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งไปนั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้องรับรอง ขณะที่ท่านเบเรคกับคุณหนูฟิเดลมาคอยดูแลท่านหญิงซึ่งร้องไห้อยู่เป็นพักๆ เหมือนจะรับความสูญเสียได้ยากยิ่งนัก ส่วนรูอาร์คดูจะหลบเข้าห้องพักของตนเองเงียบอยู่เพียงลำพัง
เมื่อเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป เด็กหนุ่มที่ตระหนักดีว่าตนเองเป็นส่วนเกินของครอบครัวผู้สูญเสียก็ลุกจากไปอย่างเงียบงัน เขาไปคอยมองอยู่แถวหน้าห้องพักของเฟลิมซึ่งบัดนี้มีพวกเจ้าหน้าที่เดินกันอยู่ขวักไขว่ ดูเหมือนศพของเฟลิมจะถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่อื่นแล้ว แต่เมื่อมองแวบๆ เขาก็ยังเห็นรอยเลือดแห้งกรังอยู่บนพื้น เป็นเหตุให้อาเมียร์รู้ดีว่าตนไม่สามารถทำอะไรที่นี่ได้เช่นกัน และหลบมุมไปยังระเบียงด้านหนึ่งที่มองออกไปเห็นสวนเล็กๆ แห่งใดแห่งหนึ่งในบรรดาอุทยานทั้งหมด
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาเจ็บใจกับอาการกลัวเลือดของตน ถ้าเพียงแต่เขาจะช่วยทำอะไรสักอย่าง...ถ้าเพียงแต่เขาจะหาหลักฐานมามัดตัวฆาตกรที่มันฆ่าคนดีอย่างเฟลิมอย่างเลือดเย็นอย่างนี้ได้...
ถ้าเพียงแต่...เขาจะทำอะไรสักอย่างเพื่อไถ่โทษของตนได้
เฟลิมไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่เคยต้องการเป็นกษัตริย์ หากอาเมียร์ไม่เข้ามาแทรกแซงการทดสอบโดยการเสนอตัวมาเป็นอาจารย์สอนชายหนุ่มตั้งแต่ต้น...เขาก็คงไม่ตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหารอย่างนี้
อาเมียร์มาอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากให้คนดีอย่างเกล็นต้องตายเปล่าก่อนวัยอันควร แต่เขาก็กลับทำให้เฟลิมต้องตายเช่นนั้นเสียเองอีกคน
ทุกอย่างที่เขาทำลงไปโดยคิดว่าเป็นเพื่อธีร์ดีเร...ที่จริงแล้วมันเป็นเพื่อใคร...หรืออะไร...แล้วผลมันจะกลับกลายเป็นอะไรไปแล้วกันแน่...
อาเมียร์กำมือทุบระเบียงหินเต็มแรง ก่อนจะทิ้งศีรษะลงบนนั้นเมื่อไม่อาจห้ามน้ำตาของตนได้
โธ่เว้ย!!
ข้า...ไม่ควรจะดันทุรังมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม...
ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่เขาซบระเบียงอยู่อย่างนั้น แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีมือทาบลงบนไหล่ เขารีบเช็ดน้ำตากับแขน แล้วหันไปมองใบหน้าเศร้าสร้อยของคนคนนั้น
ท่านเบเรค
เจ้าไปรับประทานอาหารกลางวันเถอะ นี่เที่ยงแล้ว
อาเมียร์หลบสายตาลงมองสวน
ขอบคุณมากที่ท่านอุตส่าห์มาตาม แต่ข้า...ข้ายังไม่หิวขอรับ
ข้าก็ไม่หิว ไม่มีใครหิวเลยเหมือนกัน ชายวัยกลางคนถอนใจ แต่...เฟลิมคงไม่อยากให้พวกเราเป็นอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ เขา...ขี้เป็นห่วงมาตั้งแต่เด็ก เห็นใครมีสีหน้าทุกข์ร้อนอะไรก็รีบเข้าไปถามไถ่เป็นกังวลแทนเสียเอง ถ้าพวกเราไม่ยอมดูแลตัวเองอย่างนี้...เขาจะยิ่งเป็นห่วงขนาดไหน เขาอยู่...อยู่ที่อีกฟากนั้นก็คงเห็นพวกเราทุกคน เขากำลังเฝ้าดูพวกเราทุกคนอยู่ใช่ไหมล่ะ
อาเมียร์กลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะตัดสินใจพูด
ข้า...ขออภัยขอรับ
ท่านเบเรคเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
อย่าคิดอย่างนั้นเลย ข้าไม่โทษเจ้าหรอก พวกเราไม่มีใครโทษเจ้าเลย เจ้าอุตส่าห์ช่วยให้เฟลิมได้พิสูจน์ตนเอง...ทำให้เขามั่นใจขึ้น...และทำให้ข้าภูมิใจในตัวเขา หากเฟลิมจะต้องตายเพื่อธีร์ดีเร...เพื่อกันไม่ให้คนชั่วได้ครองบัลลังก์...ก็คงจะเป็นชะตากรรมที่พวกเราต้องยอมรับ
แต่ข้า... เด็กหนุ่มยังอดพูดตามความจริงไม่ได้ ข้า...ยอมรับไม่ได้ขอรับ ชะตากรรมอะไรนั่น...ที่จริงมันเกิดขึ้นจากมือของข้าเองแท้ๆ
อาเมียร์ ท่านเบเรคบีบไหล่เขาแน่นขึ้นพลางกระซิบ อย่าคิดอย่างนั้น คิดเสียว่า...คิดเสียว่าทำเพื่อเฟลิมเถอะนะ เพื่อให้ลูกข้าได้ตายตาหลับ อย่าโทษตัวเองเลย
อย่าโทษตัวเองเลย...
รู้สึกเสด็จแม่จะเคยตรัสอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหมนะ...เมื่อเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเด็กและผู้หญิงที่อารามฮอว์ธอร์นซึ่งหนีไปพร้อมกับเขา...เมื่อเขาสารภาพว่าทุกคนถูกสังหารอย่างเลือดเย็นจนหมดทั้งๆ ที่พยายามต่อสู้ปกป้องเขา...ทั้งๆ ที่เขาซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทและศิษย์ของนักรบผู้เกรียงไกรได้แต่หลบซ่อนอยู่ในที่มืดมิดและปลอดภัย...ปิดตาหนีภาพเหล่านั้นด้วยความขลาดเขลาจนเสด็จอาเนมอสเข้ามาช่วยชีวิตตนเองได้เพียงลำพัง
แล้วเขายัง...
เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อภาพที่คุ้นตาอย่างประหลาดผุดขึ้นในห้วงสำนึกอีกครั้ง เสด็จแม่ที่คู้ร่างกลางกองของเหลวสีแดงฉาน...แผ่นหลังของท่านซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลยับเยิน...และกองศพรอบด้าน
เขาสั่นศีรษะแรงๆ เพื่อไล่พวกมันออกไป
ดูเหมือนคนที่ยืนอยู่หลังเขาจะตีความการกระทำนั้นเป็นอีกอย่าง
เอาเถอะ...ข้าเข้าใจ เจ้าย่อมต้องใช้เวลา พวกเราทุกคนก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็...อย่าคิดหรือทำอะไรที่เป็นการทำร้ายตนเองเลยนะ
อาเมียร์พยายามกลั้นน้ำตาไว้ขณะพยักหน้า
...ขอรับ
ดีแล้ว ชายวัยกลางคนตบบ่าของเขา ไปรอที่ห้องรับรองเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปพูดกับรูอาร์คอีกที เมื่อครู่ข้าไปตามเขาให้มารับประทานอาหารกลางวันก็ไม่ยอมออกมา ไม่รู้ป่านนี้จะอาละวาดจนห้องของพระราชวังเละเทะขนาดไหนแล้วบ้าง
ไม่เป็นไรขอรับ ท่านเบเรคไปเถอะ ข้า...ข้าจะไปตามเขาให้เองขอรับ อาเมียร์พึมพำ ข้าก็มีเรื่องที่ต้องพูดกับเขาเหมือนกัน
จะดีหรือ สีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น ถ้าเกิด...
ถ้าเกิดเขาลุกขึ้นมาต่อยข้า ข้าก็ยิ่งกว่ายินดีให้เขาต่อยขอรับ อาเมียร์พูดเรียบๆ ก็ข้า...เป็นคนทำให้พี่ชายของเขาต้องตายนี่ขอรับ
อาเมียร์...
ท่านเบเรคกลับไปที่ห้องรับรองก่อนเถอะขอรับ เดี๋ยวข้าจะพารูอาร์คไปด้วยให้ได้
สีหน้าของท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธยังไม่สู้ดีนัก กระนั้นอาเมียร์ก็เดินออกมาเสียแล้ว
* * * ไม่มีเสียงตอบเมื่อเขาเคาะประตูห้องของรูอาร์ค
รูอาร์ค นี่ข้าเอง อาเมียร์พยายามอีกครั้ง
ข้าบอกแล้วว่าไม่กินข้าว ยังจะส่งใครมาตามอีก เสียงขุ่นเขียวตอบอู้อี้มาจากในห้อง
อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ ไปหน่อยเลย เจ้าก็รู้ว่าอดอาหารมันช่วยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
เออสิ มันช่วยอะไรไม่ได้แต่ข้าอยากทำ ข้ามันชอบทำตัวเป็นเด็กๆ เอง ใครจะไปทำอะไรก็ทำไป ปล่อยข้าไว้ของข้าอย่างนี้ก็พอแล้ว
รูอาร์ค เด็กหนุ่มผมดำตัดสินใจยกคำพูดที่น่าจะได้ผลที่สุด เฟลิมไม่อยากให้เจ้าทำอย่างนี้หรอก เขาจะเป็นห่วงเจ้ามากนะ
มีเสียงบางสิ่งกระแทกผนังห้องดังโครมแว่วออกมา ตามมาด้วยเสียงขุ่นอีกครั้ง
ให้ตายสิ ทำไมอาจารย์ถึงพูดเหมือนลุงกระรอกน้ำตาลนักนะ อาเมียร์ยังไม่ทันตอบ เจ้าตัวก็พูดต่อไป พี่เฟลิมตายไปแล้ว คนตายคือไม่ลุกขึ้นมาหายใจหรือพูดคุยอะไรกับเราได้อีก อย่ามาทึกทักไปเองได้ไหมว่าพี่เฟลิมจะรู้สึกอะไรยังไง! ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน...รู้สึกอะไร...หรือแม้แต่มีความรู้สึกหรือเปล่าด้วยซ้ำ!!
รูอาร์ค...
แล้วไอ้เรื่องที่ว่ามันเป็นชะตากรรมที่ต้องยอมรับก็เหลวไหลทั้งเพ! ชะตากรรมบ้าอะไร!! คนถูกฆ่าก็คือคนถูกฆ่า!! จะให้มานั่งทำใจสงบนิ่ง...คิดว่าคนเขาต้องตายอยู่แล้วทั้งๆ ที่เขาควรจะอยู่ต่อไปจากนี้ได้อีกนานน่ะหรือ!! มีแต่แก่ตายเท่านั้นล่ะที่เรียกได้ว่าชะตากรรม เรื่องอย่างนี้มันฆาตกรรมชัดๆ!!
รูอาร์ค เด็กหนุ่มผมดำพยายามปราม ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่...ถ้าใครสักคนตายไป...ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไรก็ตามเถอะ...เขาก็ฟื้นคืนกลับมาอยู่กับเราไม่ได้อีกแล้ว เพราะอย่างนี้...พวกเราถึงมีแต่จะต้องยอมรับว่ามันเป็นชะตากรรมเท่านั้น
พอที! ข้าฟังเรื่องห่าเหวแบบนี้มาเยอะแล้ว!!
อาเมียร์พยายามข่มอารมณ์ของตนไว้ ถึงรูอาร์คจะทำตัวเป็นเด็กไปบ้างในบางเรื่อง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำตัวเป็นเด็กโดยสมบูรณ์อย่างนี้
รูอาร์ค ข้าขอเข้าไปได้ไหม
ไม่ได้!! เสียงตอบกลับมาทันควัน
เขาลองดึงประตู พบว่ามันถูกลงกลอนจากด้านใน เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นอีกโครมเป็นคำรบสอง
ให้ข้าเข้าไปเดี๋ยวนี้ เด็กหนุ่มผมดำย้ำ เจ้าจะต่อยจะเตะข้าอย่างไรก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้ข้าเข้าไป
ไม่!!
เจ้ากำลังหนีอยู่นะ!
ช่างข้า! อาจารย์ก็หนีเหมือนกันนั่นล่ะ!!
คนอื่นๆ เขาก็เสียใจไม่น้อยกว่าเจ้า เขายังไม่ยักจะเป็นอย่างเจ้า ทำอย่างนี้คิดว่ามันน่าสงสารนักหรืออย่างไร!!
ถึงมันจะน่ารำคาญน่ากระทืบ...ข้าก็จะทำ ข้ามันผ่าเหล่า! ข้าไม่เหมือนคนอื่น...แต่ก็ไม่อยากเหมือนเองนี่!!
แวบหนึ่งที่อาเมียร์นึกอยากต่อยหน้าอีกฝ่ายจริงๆ ขึ้นมาสักเปรี้ยง มือของเขาก็ดึงประตูอีกครั้ง...และครั้งนี้มันก็เปิดผัวะออก เผยให้เห็นเจ้าของห้องที่หันขวับมาทางผู้เข้ามาอย่างประหลาดใจ ดวงตาช้ำแดงบนใบหน้าที่ยังมีคราบน้ำตาหมาดๆ เบิกกว้างแทบเป็นลุกโพลง
อาจารย์เข้ามาได้อย่างไร!!
เด็กหนุ่มผมดำไม่ตอบและก้าวเข้ามาใกล้ กระทั่งเด็กหนุ่มผมแดงซึ่งตัวสูงแต่ร่างผอมบางกว่าถอยกรูดจนหลังติดผนัง
ข้ารู้ว่าเจ้าเสียใจ อาเมียร์พูดเสียงเข้ม ข้าก็เสียใจ ท่านเบเรค ท่านหญิง กับคุณหนูฟิเดลมาก็เสียใจ ข้าจะไม่มานั่งเทียบว่าใครเสียใจมากไปกว่ากันเพราะมันเทียบไม่ได้ แต่อย่าทำให้คนอื่นๆ เขาเสียใจหรือทุกข์ใจมากไปกว่านี้ได้ไหม ใช่...เจ้าเสียใจ เจ้าจะเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียวไม่มีใครว่า แต่ถ้ามานั่งทำเหมือนตัวเองจะเป็นจะตายอยู่คนเดียวแต่คนอื่นๆ สบายกันหมด...มันก็เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยแล้ว!!
ก็ข้า...
ข้ารู้ว่าเจ้าแค้นใครก็ตามที่มันฆ่าท่านเฟลิม ข้าก็แค้น ข้าอยากให้พวกเขาลากตัวมันมาลงโทษให้ได้ แต่ที่เจ้าทำอยู่มันเป็นประโยชน์กับใครมากน้อยสักเท่าไรกัน!!
แล้วข้าทำอะไรได้เล่า!! จะให้ข้าแล่นไปบีบคอชาลัวห์รึ!!
ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีกข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ทีเรื่องคนอื่นทำเป็นรู้ดีนัก แต่เรื่องตัวเองนี่ไม่ยักกะสำเหนียกเลย!!
ทำมาเป็นพูดดี...อาจารย์รู้จักข้ากับพี่เฟลิมมากนักหรืออย่างไร!! รูอาร์คกลับพูดสวน อาจารย์ไม่รู้หรอกว่าเขามีความหมายแค่ไหนกับข้า ไม่รู้หรอกว่าทำไมใครๆ ถึงไม่รู้ไม่เข้าใจ!!
อาเมียร์เงื้อมือขึ้นทำท่าจะต่อย แต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้มของเด็กหนุ่มผมแดง นั่นทำให้เขาพยายามเรียบเรียงคำตอบด้วยสติ
ใช่...ข้าไม่รู้ แต่เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในอดีตของข้า...คนมากมายที่ตายต่อหน้าข้า...กับคนที่ข้ารักและรู้ว่าเขากำลังจะตาย...โดยที่ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย...มีความหมายอย่างไรกับข้าเหมือนกัน ถ้าเจ้าไม่บอกใครมันจะไปรู้
ข้าจะยังไปบอกใครได้อีกล่ะ รูอาร์คแค่นเสียง ใครกันจะยอมฟัง...ใครกันจะเข้าใจ!
ถ้าเจ้าอยากบอกแต่คิดว่าบอกใครในบ้านไม่ได้...ก็บอกข้าก็ได้ อาเมียร์ตัดสินใจพูด ข้าสัญญาว่าจะไม่เอาไปบอกใคร กระทั่งเรื่องของกระรอกแดงที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังในตอนนั้น ข้าก็ยังไม่ได้พูดกับใครเลยเหมือนกัน
อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบอยู่
หรือเจ้าเห็นว่าบอกกระทั่งข้าไม่ได้ ข้าก็จะไม่เซ้าซี้ แต่เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าฟาดหัวฟาดหางอย่างนี้ไปมันไม่มีอะไรดีขึ้น
ก็ได้ รูอาร์คพูดงึมงำขณะก้มหน้าลง เล่าก็เล่า
ข้าไม่ได้บังคับเจ้านะ
เด็กหนุ่มผมแดงไม่ตอบคำพูดของเขา แต่ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา เงียบอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆ
ข้าแค้นคนที่ฆ่าพี่เฟลิม แต่ข้าแค้นตัวเองมากกว่า...
ทำไมล่ะ
ข้า...ข้าเคยอิจฉาเขา เคยหมั่นไส้เขาที่ชอบทำตัวเป็นเด็กดีเหลือเกิน ตอนแรกที่มาอยู่จวนใหม่ๆ เขาแบ่งของเล่นให้ข้าเล่น...ข้าก็ทำมันพังเพราะอยากทำให้เขาโกรธ ข้าอยากแก้แค้นครอบครัวของเขาด้วยความคิดบ้าๆ ที่ว่าพวกเขาตัดแม่ข้าออกจากตระกูล ทำให้พ่อกับแม่ต้องลำบากจนตายเพียงเพราะทั้งสองคนเลือกที่จะแต่งงานกันด้วยความรัก ข้าอิจฉาเขาที่มีทั้งพ่อแม่ ข้าอิจฉาเขาที่มีอะไรต่อมิอะไรที่ข้าไม่เคยมี ที่เขาไม่รู้จักความอดอยากหรือเจ็บปวด...ทั้งๆ ที่ข้าต้องอดมื้อกินมื้อ...ต้องถูกไอ้พวกหนูท่อมันซ้อมมันทำอะไรร้ายๆ กับข้าสารพัด ถึงอย่างนั้น...ไม่ว่าข้าจะแกล้งอะไร...เขาก็ยังทำดีกับข้าเหมือนเดิม ข้ารู้ว่าเขาเสียใจที่คิดไปว่าลุงกระรอกน้ำตาลนอกใจแม่เขา...แต่ข้าก็พูดใส่หน้าเขาไปว่าลุงกระรอกน้ำตาลรักแม่ข้าเสียยิ่งกว่าที่รักแม่ของเขาอีก ข้าคิดว่ามันเป็นความจริง...ข้าไม่ผิดที่พูดความจริง ถึงอย่างนั้น...เวลาข้าโมโหแล้วหลบมาอยู่ตัวคนเดียว...เขาก็เป็นคนเดียวที่มาตามข้า เขาเป็นคนแรกในบ้านที่ยอมรับข้า...เป็นคนแรกที่ยอมรับข้าในฐานะน้องชายจริงๆ...
นั่นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เจ้ากับท่านเฟลิมก็เป็นเหมือนพี่น้องกันจริงๆ นี่ เขาไม่โกรธเจ้า เขาน่าจะให้อภัยเจ้าตั้งนานมาแล้วนี่นา
แต่ข้าไม่เคยขอโทษเขา...ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามในตอนนั้น ข้ามันปากหนักเกินไป ข้าไม่เคย...ไม่เคยบอกความจริงให้เขาฟังเลยว่าที่จริงแล้วข้าเป็นใครมาจากไหน ข้ากลัว...กลัวว่าเขาจะยอมรับข้าไม่ได้ ข้าไม่อยาก...ไม่อยากให้พี่เฟลิมยอมรับข้าไม่ได้จริงๆ ถึงอย่างนั้น...พอตอนนี้เขาตายแล้ว...ข้าก็กลับเสียใจที่ไม่ได้บอกเขาไป แถมในคืนก่อนเขาตาย...ข้ายังทำท่าแบบนั้นใส่เขา...ข้านี่มัน...
รูอาร์ค อาเมียร์ตัดสินใจแตะไหล่อีกฝ่าย ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าครั้งใดก็ตามที่เราพบคนคนหนึ่งจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า ที่เจ้าเสียใจไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก แต่...ข้าคิดว่า...ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราก็ต้องจำไว้เพื่อไม่ให้เราเองต้องเสียใจแบบนั้นเป็นครั้งที่สองไม่ใช่หรือ
นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาเคยพร่ำบอกตนเอง...แม้จะยากเย็นเพียงไรก็ตาม
เด็กหนุ่มผมแดงก้มหน้าก้มตาปาดน้ำตาโดยไม่พูดอะไร
ข้าคิดว่าคนติดละครอย่างเจ้าจะรู้จักคำพูดสวยๆ แบบนั้นมากกว่าข้าเสียอีก แต่...
ที่สำคัญกว่ารู้จักคือต้องทำตามคำพูดนั้นให้ได้ รูอาร์ครับเบาๆ ถึงมันจะยากแค่ไหน...อย่างนั้นสินะ
อือม์ อาเมียร์พยักหน้ารับ
ให้ตายสิ... เด็กหนุ่มผมแดงเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะเกาศีรษะ มาพูดแบบนี้กับข้าตอนนี้...ข้าก็ทำไม่ได้หรอก แต่มานึกดูอีกที...ข้านี่มันก็น่ารังเกียจจริงๆ สรุปว่าที่ข้าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรนี่ก็คือเสียใจที่ตัวเองเสียพี่เฟลิมไปเพราะมันทำให้ข้านึกได้ว่าตัวเองเป็นคนเลวแค่ไหน ไม่ใช่เสียใจที่พี่เฟลิมตายจริงๆ แท้ๆ...
แล้วมันผิดด้วยหรือ เด็กหนุ่มผมดำตั้งคำถาม
ไม่รู้สิ แต่มันเป็นความจริง ไม่ต้องปลอบข้าหรอก อาจารย์ รูอาร์คยักไหล่ แต่ก็นั่นแหละ ถึงอย่างไรพี่เฟลิมก็ตายไปแล้ว ถ้าข้าจะมัวแต่มานั่งร้องไห้สงสารตัวเองที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว แทนที่วิญญาณของเขาจะมานั่งหัวเราะเยาะข้าก็คงกลับเป็นห่วงข้าไปกว่าเดิม แล้วข้าก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวขึ้นไปอีก
ข้าก็ไม่ได้จะบอกให้เจ้าเลิกร้องไห้หรอก อยากร้องก็ร้องไปเสียให้พอ ไม่มีใครพูดได้หรอกว่าเจ้าผิด แต่ตอนนี้เราควรจะไปพบท่านเบเรคก่อน ป่านนี้ทุกคนคงรอแย่แล้ว เด็กหนุ่มผมดำเพิ่งนึกขึ้นได้
เด็กหนุ่มผมแดงพยักหน้าเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินนำไปพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างไม่เกรงว่ามันจะยับนัก
อาเมียร์เองก็เดินตามไปจากห้อง ขณะที่อดคิดไม่ได้ว่าตนเป็นเช่นเดียวกับรูอาร์คหรือเปล่าหนอ...หรือเลวร้ายยิ่งกว่าที่เสียใจที่ใครหลายๆ คนรวมทั้งเฟลิมต้องตาย...เพราะเสียใจกับตนเองที่ทำผิดพลาดไปโดยไม่อาจแก้ไขอีกมากมาย
...แล้วเขามีความผิดหรือไม่กันแน่...
ความคิดของเขาสะดุดลงเมื่อพยายามปิดประตูห้องของรูอาร์คแล้วพบว่ามันปิดไม่อยู่ พอลองมองดูดีๆ ก็พบว่ากลอนด้านในห้องของเด็กหนุ่มผมแดงหักกระเด็นไปเสียแล้ว
ตอนนั้นรูอาร์คเดินลิ่วๆ นำหน้าไปโดยไม่สังเกต...มิเช่นนั้นก็คงลืมเรื่องกลอนที่หักไปแล้วอย่างสิ้นเชิง อาเมียร์จึงได้แต่ปิดประตูแบบแง้มๆ แล้วรีบเดินตามไป
เขาจะหาโอกาสแจ้งเจ้าหน้าที่ของพระราชวังทันทีที่ทำได้ แค่กลอนห้องพักหักคงจะไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมายนัก
อาเมียร์พยายามไม่คิดอะไรมากกับความสงสัยที่ว่าเขาหักกลอนประตูเข้าไปได้อย่างไร...นอกจากว่าอารมณ์โกรธชั่ววูบทำให้เขา...ออกแรงมากเกินไป
ในตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญที่หวังว่าจะสืบรู้ให้ได้โดยเร็วที่สุดมากกว่านี้ คือใครกันแน่ที่เป็นผู้สังหารเฟลิม...
* * * ดูลัสถอนใจขณะนั่งอยู่ในห้องพักของพวกราชองครักษ์ในพระราชวังตามลำพังยามค่ำนั้น
เขาออกเวรตั้งแต่บ่าย ถึงอย่างนั้นก็ยังคอยถามเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่กำลังเร่งรีบสืบและตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุกับชันสูตรศพเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูสถานที่กับศพโดยตรง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายคนหนึ่ง และก็ต้องถูกถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัยที่อาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือทำลายหลักฐานเสียก่อน
ถึงอย่างนั้น พวกราชองครักษ์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับเขาก็ให้ความร่วมมือเต็มที่เท่าที่จะทำได้ และชายหนุ่มก็ตั้งใจจะหมายความตามที่พูดจริงๆ เมื่อรับปากไปว่าจะไม่ทำให้องค์หญิงแอชลีนน์ทรงผิดหวัง กระนั้นเรื่องเท่าที่เขาได้ยินมาจากพวกเจ้าหน้าที่หรือคนอื่นๆ อีกต่อหนึ่งก็ฟังดูแปลกประหลาดจนเขาไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรดี
เฟลิมเสียชีวิตเพราะแผลลึกที่คอเพียงแผลเดียว เขาคงตายโดยไม่มีโอกาสส่งเสียงร้องหรือแม้แต่จะรู้ตัวคนร้ายเลยด้วยซ้ำเพราะทหารยามไม่ได้ยินเสียงผิดสังเกต และในห้องก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แสดงว่าคนร้ายต้องมีฝีมือในระดับนักฆ่าอาชีพ
หากเป็นอย่างนั้น ก็อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทหารยามซึ่งเฝ้าหน้าห้องไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรที่มีพิรุธเลยแม้แต่น้อย ทว่าที่แปลกยิ่งกว่านั้น...คือไม่มีร่องรอยเลยว่าใครเข้ามาในห้อง
ไม่มีเลย...หน้าต่างเปิดรับลมไว้ก็จริง แต่ด้านนอกไม่มีกันสาดกว้างพอให้เดินได้สะดวก...ซ้ำยังอยู่ในมุมที่ทหารยามบนกำแพงป้อมมองได้โดยง่าย ดังนั้นเรื่องที่ใครสักคนจะลอบปีนผนังหรือรางน้ำฝนที่แคบจนวางเท้าลงไปได้ไม่ถึงครึ่งจึงไม่น่าจะเป็นไปได้
แล้วนักฆ่าจะลอบข้ามสะพานมาจากแผ่นดินใหญ่...เล็ดลอดสายตาของทหารยามท้ามฤตยูเข้าไปสังหารเหยื่อในห้อง...แล้วลอบออกมาโดยไม่มีใครรู้ตัว...โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลยแม้แต่รอยเท้าได้อย่างไรกัน
และที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือแผลที่คอของเฟลิมไม่ได้เกิดจากของมีคม...และก็ไม่ได้เกิดจากกรงเล็บสัตว์ ผิวหนังบริเวณคอของชายหนุ่มปริแตกออกมาเองจากภายในเส้นเลือดใหญ่ที่คอ...อย่างที่ไม่รู้เลยว่าจะมีอาวุธใดหรือยาอะไรทำให้คนตายด้วยลักษณะนั้นได้
คงมีแต่เวทมนตร์แท้ๆ ที่ทำอย่างนั้นได้...
นั่นทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ว่ามีหญิงชราชาวทะเลทรายซึ่งน่าจะเป็นผู้มีอาคมที่ทำใบแชมร็อคใส่มนต์ให้ตนอ่อนเพลียขึ้นมา หากนำตัวนางมาสืบสวนได้ก็ดี...แต่เขาจะหาเหตุใดมาเรียกตัวนางไปสอบสวนได้โดยที่ใครๆ ไม่หาว่าเขางมงายหรือเพ้อเจ้อไปเอง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนนั้น
ท่านดูลัส...ยังอยู่ใช่ไหมคะ
เสียงที่คุ้นหูทำให้เขาวางมือจากเอกสารแล้วตอบไป
เคียราหรือ ประตูไม่ได้ลงกลอนไว้ เข้ามาสิ
หญิงสาวผู้สวมชุดนางกำนัลถือตะเกียงเดินเข้ามา ก่อนจะมองรอบห้องพักที่มีเพียงเขาอยู่กับกองกระดาษบนโต๊ะยาวและตะเกียงอีกดวง
ข้าเพิ่งมาจากห้องของเจ้าหญิง เห็นพวกองครักษ์ที่อยู่เวรบอกว่าท่านยังค้นข้อมูลไม่ยอมกลับ ข้า...ข้าเลยนำของว่างมาให้น่ะค่ะ
ราชองครักษ์หนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นตะกร้าใบเล็กๆ ที่เธอคล้องแขนมาด้วย หญิงสาวจัดแจงวางตะกร้าใบนั้นบนโต๊ะแล้วเลิกผ้าผืนเล็กที่คลุมอยู่
มีขนมปังกับแฮมรมควัน แล้วก็เนยค่ะ เดี๋ยวข้าทำแซนด์วิชให้นะคะ
ขอบใจนะ ดูลัสตอบอย่างยินดี
ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เขาเห็นเคียรายิ้มอ่อนๆ ใต้แสงตะเกียงขณะวางขนมปังลงบนจานไม้ที่เธอหยิบออกมาจากตะกร้า ก็...ท่านดูลัสกำลังพยายามช่วยเจ้าหญิงอยู่อย่างเต็มที่นี่คะ
ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่ของข้าเท่านั้นเอง องครักษ์หนุ่มพูดง่ายๆ
แต่ถ้าแค่ทำตามหน้าที่ก็ไม่เห็นจะต้องมานั่งอยู่จนดึกดื่นขนาดนี้เลยนี่คะ หญิงสาวแย้ง ก่อนจะพูดเรื่องที่ทำให้เขาแปลกใจขึ้นมา แต่ก็ดี เพราะท่านดูลัสอยู่ที่นี่จะได้แจ้งข่าวล่าสุดได้เลย
ข่าว? มีข่าวเรื่องอะไรหรือ
เมื่อเย็นนี้มีผู้ต้องสงสัยถูกจับตัวมาได้คนหนึ่งค่ะ เคียราเล่าไปพลางจัดอาหาร
ผู้ต้องสงสัยหรือ ใครกัน
เห็นบอกว่าเป็น...แม่มดน่ะค่ะ
แม่มดนี่นะ ดูลัสขมวดคิ้ว
ค่ะ เห็นว่าชาวบ้านในย่านแออัดไปพบเข้า ดูเหมือนนางจะเสียสติ นางพูดขอโทษใครสักคนที่นางเรียกว่า ท่านจ้าว แล้วก็บอกว่าตัวเองฆ่าพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงไปตามคำสั่งของ ท่านจ้าว กับชาลัวห์แล้ว
...เสียสติแล้วเชื่อได้อย่างไร หญิงชราตัวคนเดียวไม่มีทางเข้ามาฆ่าพระคู่หมั้นในวังได้แน่ๆ
นางบอกว่านางใช้เวทมนตร์ค่ะ เคียราพูดขึงขังขึ้น นางออกมาพูดว่าตนเองฆ่าคุณชายเฟลิมไปก่อนที่ข่าวจะออกไปนอกวังเสียอีก แล้วนางยังมีแผล...แผลเหมือน...เขาบอกว่าเหมือนเส้นเลือดข้างในระเบิดออกมาเองค่ะ ไม่ถึงตายแต่ก็เป็นแผลลึกน่าดู แต่มนุษย์ธรรมดาไม่น่าจะทำให้เกิดแผลอย่างนี้ได้ใช่ไหมล่ะคะ
ดูลัสนึกไปถึงหญิงชราที่เคียราบอกว่ามอบใบแชมร็อคให้เธอ ขณะสงสัยว่าแม่มดที่ว่านี้เป็นคนเดียวกันหรือไม่
ตอนนี้นางถูกคุมตัวไว้ที่ไหนหรือ
คุกใต้ดินของปราสาทค่ะ จะมีการไต่สวนนางในตอนเช้าพรุ่งนี้ ท่านเจ้ามณฑลยาร์ลาธกับครอบครัวตั้งใจจะอยู่ฟังก่อนนำศพของลูกชายกลับไปทำพิธีที่มณฑล และเจ้าหญิงแอชลีนน์ก็ทรงตัดสินพระทัยว่าจะเสด็จไปประทับฟังด้วยค่ะ
อย่างนั้นหรือ องครักษ์หนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ พลางครุ่นคิด
เจ้าหญิงทรงมีพระดำริให้ท่านดูลัสตามเสด็จอารักขาค่ะ ท่านจะได้อยู่ฟังในห้องไต่สวนด้วย
ดีแล้ว เขาพูด ขอบใจที่มาบอกนะ เคียรา
ม...ไม่เป็นไรค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าบอกท่านดูลัสไว้เนิ่นๆ ก็คงดี แต่ก็ปลีกตัวมาได้เร็วที่สุดเท่านี้ นางกำนัลสาวเสมองไปอีกทางขณะเช็ดมือด้วยผ้า
เอาเถอะ นี่ก็ดึกแล้วล่ะ ดูลัสตัดสินใจว่าหากอีกฝ่ายมีเรื่องจะบอกเขาเพียงเท่านี้ก็สมควรแก่เวลาขอตัวเสียที เจ้ากลับไปดูแลเจ้าหญิงเถอะ ข้าคงต้องอ่านเอกสารต่ออีกสักหน่อย
ค่ะ เคียรารับง่ายๆ ก่อนจะเดินไปยังประตู พยายามเข้านะคะ แล้วก็...ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่านดูลัส
ราตรีสวัสดิ์
องครักษ์หนุ่มหยิบแซนด์วิชที่อีกฝ่ายเพิ่งทำให้มากัด ก่อนจะหันไปสนใจเอกสารอีกครั้งขณะที่มีเสียงประตูเบาๆ ยังมีเรื่องต้องทบทวนอีกมากมาย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากเร่งวันเร่งคืนให้ไปถึงตอนที่ตนได้เข้าฟังการไต่สวนหญิงชราที่น่าจะเป็นแม่มดในวันพรุ่งนี้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้องหรือไม่ และเรื่องทั้งหมดนี้เป็นมาอย่างไรเสียที
บทที่ ๒๖ การไต่สวน
* * * ผู้อ่านหลายท่านทายถูกว่าคนที่ต้องตายคือเฟลิม คงเป็นเพราะคำบอกตอนท้ายค่อนข้างบ่งชี้ ซึ่งผมก็ตั้งใจบางส่วนให้เตรียมใจกันด้วยว่างานนี้มีคนต้องสังเวยชีวิตก่อนทางขึ้นสู่บัลลังก์แน่ๆ
จริงๆ ผมก็เห็นว่าเฟลิมเป็นคนที่ไม่สมควรตายเลยครับ ถึงจะอ่อนแอเกินไป ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง อย่าว่าแต่จะเป็นกษัตริย์ แต่เขาก็เป็นคนดีที่ต้องจบชีวิตเพราะอยู่ผิดที่ผิดทาง ขวางผลประโยชน์เขาโดยไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
การไต่สวนจะเป็นอย่างไร ขอเชิญชมในตอนหน้าครับ
Create Date : 21 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 14:29:20 น. |
Counter : 264 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บทที่ ๒๔ - เรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้
คุณ C (chaiwatmsu) - :D
* * * บทที่ ๒๔ เรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้
กว่าอาเมียร์จะกลับเข้ามาในงานเลี้ยงก็ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ถึงอย่างนั้นท่านเบเรคกับครอบครัวก็ยังรอเขาอยู่ เมื่อกลับมาถึงบริเวณห้องพักของพวกตน ชายวัยกลางคนยังบอกว่ามีเรื่องอยากพูดกับเด็กหนุ่มตามลำพังเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้เอง อาเมียร์จึงให้ท่านเบเรคเข้ามาในห้องพักของตน แม้จะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายมีเรื่องใดที่ต้องการพูดกับเขาก็ตาม กระนั้น...เขาก็พอเดาได้เมื่อได้ยินคำขึ้นต้นของท่าน แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง
เจ้าคิดว่าฟิเดลมาเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตอบให้ตรงที่สุด
ข้าเข้าใจเรื่องที่ท่านจะพูด แต่ข้าขออภัยที่ต้องปฏิเสธขอรับ
ทำไมล่ะ ท่านเจ้ามณฑลยังคงถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เจ้าเชื่อในรักแท้เหมือนกับพ่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ
อาเมียร์ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเชื่อหรือไม่ หากการที่แม่ของเขากับเสด็จอาเนมอสรักกันมั่นคงยืนนานแม้ในตอนที่รู้ว่าไม่อาจครองคู่กันได้ถือเป็นความรักแท้...เขาก็คงเชื่อ แต่เด็กหนุ่มไม่เคยคิดหรือเชื่อเลยว่าตนจะได้พบและมีรักแท้
เห็นจะเป็นจริงอย่างที่แม่เคยบอก...คนอย่างเขาคงถูกปลูกฝังให้เห็นการแต่งงานกับใครก็ตามที่เหมาะสมเป็นหน้าที่...เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักรจนเกินไป จนไม่คาดหวังว่าจะพบรักแท้ก่อนแต่งงาน...แต่เรียนรู้ที่จะรักใครก็ตามที่ตนแต่งงานด้วยเท่าที่ทำได้
หรือ...เจ้ามีคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอโทษด้วย ข้าได้ยินมาว่าผู้หญิงธีร์ดีเรอีกคนที่อยู่ที่บ้านเจ้าไม่ใช่ภรรยาหรือคนรักของเจ้า แต่ข้าไม่แน่ใจว่าได้ข่าวผิดพลาดหรือเปล่า
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางหรอกขอรับ อาเมียร์ปฏิเสธไปตามตรง ข้าไม่ทราบว่าข้าเชื่อในรักแท้หรือเปล่า แต่ข้าไม่คู่ควรกับคุณหนูฟิเดลมาเลยขอรับ ข้าเชื่อว่าท่านเบเรคย่อมหาลูกเขยที่เหมาะสมกว่าข้าได้มากมาย...ทั้งเพื่อความสุขของคุณหนูและตัวท่านด้วย
แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าไม่คู่ควรกับนางเพราะอะไรกันล่ะ นายจ้างของเขายังไม่วายหว่านล้อม ข้านับถือความสามารถของคนมากกว่าจะใส่ใจเรื่องเชื้อชาติ วัยของเจ้ากับฟิเดลมาก็ไม่ห่างกันนัก แล้วข้าก็ใช่จะให้เจ้าแต่งงานกับนางในวันนี้วันพรุ่งเสียเมื่อไร ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะให้เจ้าเข้ารับราชการกับข้า แล้วอีกสักปีสองปี...เจ้าก็คงก้าวหน้าพอจะแต่งงานกับนางได้อย่างเหมาะสม ข้าเชื่อว่าเจ้าย่อมดูแลลูกสาวของข้าได้เป็นอย่างดี และหากเจ้าเป็นเขยของข้า...เจ้าก็จะมีหนทางก้าวหน้าได้มากขึ้น เจ้าเป็นคนฉลาด ถึงข้าจะไม่พูดอะไรมากก็คงเห็นแล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเราทั้งสองฝ่าย
ข้าเห็นด้วยตามนั้นขอรับ เด็กหนุ่มยอมรับ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ขออภัยที่ข้าอาจจะพูดกะทันหันไปหน่อย แต่ข้าตั้งใจไว้ว่าจะลาออกหลังจากสิ้นสุดการประลองครั้งนี้ขอรับ
ท่านเบเรคมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่มากนัก
ทำไมล่ะ
ข้า...รู้ตัวว่าข้าไม่เหมาะสมกับงานแบบนี้ขอรับ
แล้ว งานแบบนี้ ของเจ้าหมายถึงงานอะไรกัน
ทั้งสอนคุณชายรูอาร์คและรับราชการนั่นล่ะขอรับ ข้ายังขาดความสามารถนัก
ข้าไม่เห็นว่าเจ้าขาดความสามารถเลย นอกจากความต้องการที่จะทำ ชายวัยกลางคนกลับพูดตรงใจของเขาถูกเผง แต่ข้าไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้เจ้าคิดอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ
อาเมียร์ยังคงนิ่งเงียบ
เอาเถอะ หากบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ท่านเบเรคยิ้มน้อยๆ เจ้าช่วยข้ากับเฟลิมมามากแล้ว พวกเราเองก็ซาบซึ้งมาก หากเจ้าจะตัดสินใจลาออกก็เป็นสิทธิ์ของเจ้า แต่ข้าก็จะให้รางวัลตอบแทนเจ้าอย่างคุ้มค่า นอกจากเงินเดือนแล้ว...ข้ายังคิดว่าจะให้ค่าตอบแทนเจ้าเพิ่มเติมด้วย
ขอบคุณมากขอรับ เขาค้อมศีรษะ แต่...เงินเดือนเพียงเท่าเดิมก็เกินพอแล้วขอรับ งานของข้ายังบกพร่องนัก
หากเจ้าไม่สะดวกใจจะรับเป็นเงิน...ก็เอาเป็นว่าข้าจะงดเว้นภาษีให้ครอบครัวของเจ้าเป็นเวลาห้าปีก็แล้วกัน คงไม่ขัดข้องหรอกนะ
...ขอบคุณมากขอรับ อาเมียร์ตัดสินใจคำนับอีกครั้งหนึ่ง
แต่ข้ายังไม่เลิกหวังหรอกนะ นายจ้างของเขายังบอก หากเจ้าอยากกลับมาทำงานกับข้า...ไม่ว่าเมื่อไร...ก็มาเถอะ ข้ากับครอบครัวยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ
...ขอรับ
แล้วเรื่องเดินทางกลับ...ถึงอย่างไรก็อยู่ร่วมพิธีอภิเษกเสียก่อนแล้วค่อยกลับไปด้วยกันเถอะ อยู่ฉลองความสำเร็จของเฟลิมที่ได้เจ้าช่วยมากับมือ หากเจ้าต้องการให้ครอบครัวได้มาฉลองที่เมืองหลวงด้วย ข้าก็จะช่วยจัดการเรื่องเดินทางไปกลับให้
ขอบคุณมากขอรับ แต่เรื่องครอบครัวของข้านี่ไม่เป็นไรหรอก เกรงจะลำบากกันเสียมากกว่า ข้าก็แค่...ขอความกรุณาจนกว่าจะสิ้นสุดพิธีอภิเษกก็เป็นพระคุณมากแล้วขอรับ อาเมียร์ตัดสินใจตอบแบ่งรับแบ่งสู้...ในเมื่อถึงอย่างไรเขาก็รับปากใครอีกคนไว้แล้วว่าจะรออยู่จนถึงเวลานั้น
* * * อันที่จริง จนกว่าจะถึงวันอภิเษกในอีกเดือนข้างหน้า แอชลีนน์จะ หาเหตุ ไม่ไปพบหน้าพระคู่หมั้นอีกเลยเสียก็ได้ แต่หลังจากได้พูดคุยกับอาเมียร์เมื่อคืนวาน เด็กสาวก็ตัดสินใจว่าเธอควรจะแสดงให้เฟลิมเห็นด้วยเช่นกันว่าเธอต้องการจะเป็นมิตรกับเขา จึงได้เชิญเขามาดื่มน้ำชาในสวนเมื่อบ่ายวันนั้น
ดูเหมือนเฟลิมจะมาเพียงลำพัง ไม่มีรูอาร์คหรืออาเมียร์มาด้วย แต่มีราชองครักษ์ของวังหลวงเป็นผู้ติดตามอารักขา ถึงอย่างนั้นเธอก็คิดไว้แล้วว่าคงเป็นเช่นนี้ และถึงอย่างไรเรื่องที่เธอจะพูดก็เป็นเรื่องที่ตั้งใจจะบอกกับเขาเพียงคนเดียวอยู่แล้ว
ข้าขอโทษที่หลบหน้าออกไปก่อนตั้งแต่เมื่อวาน เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยหลังทักทายตามธรรมเนียม และจิบชาไปได้นิดหน่อย
ห...หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต่างหากที่ต้องขอประทานอภัย หากกระหม่อมทำสิ่งใดที่ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย เฟลิมก้มหน้าพูด โดยเฉพาะเรื่องที่...ที่กระหม่อมบอกไปว่าทราบว่าฝ่าบาทคือแอชกับท่านเคียรา กระหม่อมเพิ่งทราบเมื่อวานนี้เอง อาจารย์เป็นคนบอกกระหม่อม อาจารย์ยังฝากขอประทานอภัยเรื่องใดก็ตามที่เคยทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยมาเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังว่า...หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าพระทัยและประทานอภัย...
ข้าไม่ว่าอะไรหรอก แอชลีนน์ตัดสินใจพูดง่ายๆ ยังผลให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ข้าเองก็อารมณ์ร้อนเกินไป ข้าเป็นคนขอไปเรียนร่วมกับท่านเอง อาจารย์เขาก็รับสอนให้...ซ้ำยังเต็มใจสอนเป็นอย่างดีแท้ๆ ยังคิดระแวงอะไรไม่เป็นเรื่องอย่างนี้อีก
เฟลิมก้มหน้าก้มตาคนชาในถ้วยของตน
ฝ่าบาท...ทรงไม่พอพระทัยกับผลครั้งนี้หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ
ก็ไม่นี่ เด็กสาวรีบตอบ
ถ...ถ้าทรงไม่พอพระทัยก็ตรัสมาตรงๆ เถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...กระหม่อมรู้ตัวว่ากระหม่อมยังขาดความสามารถอีกมาก ที่จริงที่กระหม่อมพยายามเต็มที่ในการทดสอบครั้งนี้ก็เพราะอยากพิสูจน์ตนเอง มีคนที่กระหม่อมคิดว่าสมควรชนะมากกว่านี้...แต่เพราะเขาถูกโกงจนแพ้ไป อาจารย์กับกระหม่อมถึงได้เห็นตรงกันว่า...จะปล่อยให้คนโกงคนนั้นชนะไปก่อนไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ
แล้วท่านเฟลิมอยากให้ข้าทำอย่างไร แอชลีนน์เป็นฝ่ายถามบ้าง
ก็...ตรวจสอบ...หากจับได้ว่ามีการทุจริต...ก็น่าจะจัดให้มีการประลองใหม่อย่างยุติธรรมได้ ผลของการประลองอาจจะเป็นที่พอพระทัยมากกว่านี้...
เด็กสาวลอบยิ้มอย่างอ่อนใจโดยที่เขาไม่เห็น
ข้าเองก็เชื่อว่ามีผู้ทุจริตจริงๆ แต่เรายังขาดหลักฐานอยู่ หากคิดจะสืบให้ได้ผลสิ้นสุดคงใช้เวลานาน ยิ่งไม่นับว่าการจัดการทดสอบใหม่จะทำให้ใครต่อใครต้องลำบากมากไปกว่านี้ ธีร์ดีเรขาดราชามานานแล้ว และข้าก็คิดว่าหากท่านเป็นราชาองค์ใหม่ก็อาจจะดีแล้วก็ได้ นอกเสียจาก...ท่านไม่อยากแต่งงานกับข้าด้วยเหตุอื่น
ห...หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เฟลิมตอบตะกุกตะกัก กระหม่อม...เอ้อ...กระหม่อมไม่ได้อาจเอื้อมอยากแต่งงานกับพระองค์ แต่...แต่ถ้าถือเป็นความรับผิดชอบของ...ของผู้ชนะ...เอ๊ย...ถ้าฝ่าบาททรงเห็นชอบ...กระหม่อมก็...
ข้าหมายถึง...ท่านมี...คนรักอยู่แล้วหรือเปล่า เธอตัดสินใจพูดตรงขึ้น
ชายหนุ่มสั่นศีรษะทันที
ม...ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ แต่ไหนแต่ไร...กระหม่อมก็รู้ตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสม ท่านพ่อเคยบอกว่า...หากกระหม่อมทำหน้าที่แต่งงานเพื่อวงศ์ตระกูลแล้ว...จะมี...เอ่อ...คนรักอีกก็ได้หากสามารถรับผิดชอบได้และไม่ทำให้เป็นเรื่องเสื่อมเสีย แต่...แต่กระหม่อมก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...สงสารผู้หญิงทั้งสองฝ่ายพ่ะย่ะค่ะ
ข้าก็เหมือนกัน เด็กสาวตอบลอยๆ
หือม์? เฟลิมทำเสียงรับอย่างประหลาดใจ
ข้าหมายความว่า...ข้าก็รู้ตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสมเหมือนกัน
ถึงอย่างนั้นใจอันดื้อด้านของเธอก็ยังยอมรับได้ยากเย็น เธอไม่อยากนึกถึงชีวิตที่ต้องจากเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่ไอลีชไปต่างแดน เพื่อแต่งงานกับเจ้าชายหรือราชาองค์ใดที่ตนมีเวลาทำความรู้จักเพียงน้อยนิด ซ้ำยังต้องรักษากิริยาอยู่ทุกขณะในฐานะตัวแทนแห่งธีร์ดีเร หาความสุขสบายของตนเองจริงๆ ได้ยากนัก
ไม่นึกเลยว่าเธอจะไม่จำเป็นต้องไปแดนไกล...สมกับที่เคยเฝ้าภาวนาไว้ แต่เสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่ไอลีชต่างหากที่ล้วนจากธีร์ดีเรกับเธอไปจนหมดสิ้น
ฝ่าบาทคงยังไม่ทรงทราบเรื่องรูอาร์ค เสียงพูดของเฟลิมเรียกเธอออกจากภวังค์ เขา...เป็นลูกนอกสมรสของท่านพ่อกับ...ผู้หญิงคนอื่นพ่ะย่ะค่ะ
อย่างนั้นหรือ แอชลีนน์รับโดยไม่ประหลาดใจอะไรนัก กระทั่งเคียราที่เธอสนิทด้วยมานานยังเป็นอย่างนั้นเลยนี่นา
ท่านแม่ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรเลย แต่...กระหม่อมคิดว่าท่านแม่ก็คงเสียใจเรื่องนี้เหมือนกัน มันอาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ชาย แต่...กระหม่อมก็คิดว่ามันไม่ยุติธรรม กระหม่อมเห็นใจท่านแม่ แล้วถ้า...ถ้ามีใครทำร้ายจิตใจฟิเดลมาอย่างนั้น กระหม่อมก็ต้องไม่พอใจ กระหม่อมจึงตั้งใจว่า...ไม่ว่าจะแต่งงานกับใคร...กระหม่อมก็จะ...ซื่อสัตย์กับคนคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ
เด็กสาวฟังแล้วนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอรู้ว่าถึงอย่างไรเธอก็คงต้องมีชะตาเหมือนหญิงชั้นสูงอีกมากมายที่ไม่อาจหนีการแต่งงานกับคนที่เหมาะสม และก็ไม่อาจหนีการที่สามีไปมีคนรักอื่น...อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต แม้เสด็จแม่กับเสด็จพ่อจะดูรักใคร่ผูกพันกันดี...เธอก็ยังบอกได้ในบางขณะว่าเสด็จแม่มีเรื่องลำบากพระทัยซ่อนอยู่ลึกๆ...เรื่องที่เธอได้ยินมาแว่วๆ ว่าเกี่ยวกับการที่เสด็จพ่อทรง เอ็นดู นางกำนัลบางคนเป็นพิเศษ แม้จะไม่มีพวกนางคนใดที่...มีพยานอันเกิดจากความเอ็นดูเกินควรนั้นขึ้นมาก็ตาม
เธอประหลาดใจที่เฟลิมสามารถรับคำได้อย่างหนักแน่นถึงเพียงนั้น กระนั้นก็ตัดสินใจถามเบาๆ
ถึงแม้ว่า...จะเข้ากับคนคนนั้นไม่ได้น่ะหรือ
กระหม่อม...เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่าย ถึงอย่างไรก็...น่าจะปรับตัวให้เข้ากันได้ในระดับหนึ่งล่ะพ่ะย่ะค่ะ ขนาดรูอาร์คยังเคยพูดว่า...ต่อให้ท่านพ่อใช้ให้กระหม่อมไปแต่งงานกับงูพิษ...กระหม่อมก็จะทำให้งูพิษเชื่องไปเองโดยไม่รู้ตัว เอ้อ...กระหม่อมไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทเป็น...
แอชลีนน์ค่อยหัวเราะออกมาได้น้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นป้องปากเมื่อรู้ตัวว่าตนเองคงดูไม่สำรวมนัก
ข...ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เฟลิมพูดเจื่อนๆ
ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ได้เป็นงูพิษอะไร เป็นแต่...แมวที่เอาใจยากเท่านั้นกระมัง เด็กสาวยักไหล่ แต่ข้าจะพยายามไม่สร้างปัญหาให้ท่านมาก ข้า...คิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ แล้วก็จะช่วยดูแลธีร์ดีเรด้วยกัน
พ...พ่ะย่ะค่ะ ชายหนุ่มก้มหน้าลงอีกครั้ง กระหม่อม...กระหม่อมไม่ทราบว่าตนเองมีอะไรดีกว่าคนอื่น...แต่กระหม่อมจะพยายามให้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม...จะพยายามไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ
ข้าก็จะพยายามเหมือนกัน เด็กสาวตัดสินใจยื่นมือข้ามโต๊ะไปจับมือของเขา ก่อนจะพยายามส่งยิ้มให้ ข้าไม่อยากให้ท่านผิดหวัง ไม่อยากให้เสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จพี่ต้องผิดหวัง ไม่อยากให้ชาวธีร์ดีเรผิดหวัง แล้วก็...
แอชลีนน์ชะงักไปเมื่อลังเลว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอควรเอ่ยหรือไม่ จนกระทั่งเฟลิมเป็นฝ่ายถามขึ้น
แล้วก็...อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ
แล้วก็... เธอลอบระบายลมหายใจเบาๆ ...ไม่อยากให้อาจารย์ของเราสองคนต้องผิดหวัง
เด็กสาวจะพยายามนึกถึงคนคนนั้นในฐานะนี้ จะพยายามไม่หวังถึงสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้เสียที...
* * * อาจารย์คิดจะหนีล่ะสิ
อาเมียร์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ในห้องพักของตน และเพียงแต่ยิ้มเนือยๆ เมื่อถูกลูกศิษย์...หรือที่ถูกควรจะเป็นอดีตลูกศิษย์...กล่าวหาเอาด้วยเสียงหยันๆ ทันทีที่เจ้าตัวแสบออกปากเรื่องที่เขาไปขอลาออกกับท่านเบเรคเมื่อคืน
ใช่...ข้าคิดจะหนีอยู่จริงๆ นั่นล่ะ
รูอาร์คกลับทำสีหน้าพิลึก ก่อนจะเกาศีรษะแกรกขณะเท้าแขนกับโต๊ะข้างหน้าเขา
เฮ้ย...ยอมรับง่ายๆ อย่างนี้ไม่สนุกนะอาจารย์ ด่าข้าเถียงข้าเหมือนเดิมสิ
ก็เจ้าพูดจริง ข้าจะด่าไปทำไม เด็กหนุ่มรับพลางกอดอก ทอดสายตาเลื่อนลอยบนโต๊ะที่มีเพียงแจกันดอกไม้วางประดับ ข้าคิดจะหนีเงื่อนไขของเจ้าจริงๆ ต้องขอโทษด้วย
...แสดงว่าเป็นเอามากเข้าขั้น รูอาร์คกลอกตาก่อนจะรีบแย้ง ข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ถ้าอาจารย์จะเลิกทำงานกับพวกเราแค่เพราะกลัวข้าจับอาจารย์ไปอาบเลือด...อาจารย์ก็ไม่ได้มีกึ๋นเท่ากับที่ข้ารู้ว่ามีหรอก ข้าหมายถึงเรื่องที่อาจารย์คิดจะหนีหน้ายายเจ้าหญิงเปี๊ยกนั่นต่างหาก
เมื่อวานข้าหลบไปขอโทษเจ้าหญิงแล้ว...ถึงจะไม่ได้ปีนเข้าห้องนาง เจ้าพอใจแล้วหรือยัง
แล้วเพราะไปขอโทษแล้ว...เลยคิดจะหนีอย่างนี้ล่ะสิ เด็กหนุ่มผมแดงกลับเดาได้ถูกเผงเหมือนเดิม ก่อนจะแถมด้วยคำที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย ขอโทษเถอะนะ...อาจารย์สมควรไปเคี้ยวเอื้องจริงๆ แล้ว มีผู้ชายตั้งมากตั้งมายพยายามทุกวิถีทางแค่ให้ผู้หญิงคนหนึ่งเหลียวหน้ามาค้อน ส่วนอาจารย์ไม่ต้องกระดิกนิ้วก็มีคนมาหลงรักหัวปักหัวปำเอง...แล้วก็กลับหนีเขาไปเสียดื้อๆ อย่างนี้
ผู้หญิงที่เจ้ากำลังพูดถึงคือเจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเร แล้วก็กำลังจะเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าด้วย อาเมียร์พูดเสียงขรึม ให้ข้าไปเสนอหน้าอยู่ใกล้ๆ สองคนนั้นทุกวันได้เสียที่ไหนเล่า
งั้นอาจารย์ก็แต่งงานกับฟิเดลมาไปเลยสิ เจ้าหญิงจะได้ตัดใจได้เร็วๆ
เจ้าไม่อยากให้ข้าแต่งงานกับคุณหนู ถึงได้ชักชวนสองคนนั้นไปสอดแนมบ้านข้าไม่ใช่หรือ
เขาพยายามจ้องตารูอาร์ค แต่อีกฝ่ายก็ทำเป็นเสมองไปทางอื่น
ไม่รู้สิ...ถ้าอาจารย์กับฟิเดลมารักกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าอาจารย์รักยายเจ้าหญิงเปี๊ยกนั่นก็เป็นอีกเรื่อง
ความรู้สึกของข้าไม่เกี่ยวอะไรด้วย ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นางเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งธีร์ดีเร ข้าเป็นแค่คนต่างชาติ ไม่มีเชื้อสายขุนนาง ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอให้ใครๆ ยอมรับเป็นราชาปกครอง เจ้าจะไปชอบไปสนับสนุนเรื่องรักต้องห้ามในละครเรื่องไหนก็แล้วแต่เจ้า แต่นี่เป็นความจริง เป็นเรื่องที่กระทบกับอาณาจักรทั้งอาณาจักร เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
สำหรับข้า...เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มีแต่เรื่องที่ข้าไม่อยากทำเท่านั้นล่ะ รูอาร์คแค่นเสียง
แล้วถ้าเจ้าเป็นข้าและรักแอช เจ้าจะทำอย่างไร พานางหนีไป...หรือพยายามถีบตัวเองขึ้นมาคู่กับนางให้ได้โดยไม่สนใครๆ ไม่สนท่านเบเรคกับท่านเฟลิม ไม่สนพ่อแม่กับน้องๆ ที่อาจตกอยู่ในอันตราย ไม่สนประชาชนชาวธีร์ดีเรที่ต้องลำบากเดือดร้อนเมื่อบ้านเมืองระส่ำระสายเลยหรือ! อาเมียร์เริ่มไม่สบอารมณ์ รูอาร์ค...คนเราลอยตัวอยู่เหนือปัญหาทุกอย่างตลอดไปไม่ได้หรอก เจ้าจะมัวหาความสุขใส่ตัวเจ้าคนเดียวในโลกใบนี้ไม่ได้ เราทุกคนมีความรับผิดชอบและหน้าที่ที่ต้องทำ...มีเรื่องที่ต้องเสียสละกันทั้งนั้น!
แต่เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน เป็นเรื่องของอาจารย์กับยายเปี๊ยก พี่เฟลิมหรือใครๆ ก็ไม่เกี่ยว
งั้นก็รู้ไว้เลยว่าข้าไม่ได้รักเจ้าหญิง! อาเมียร์โพล่งออกไป
เขากลัวอีกฝ่ายจะหาว่าเขาโกหก ทว่าเด็กหนุ่มผมแดงก็เอาแต่นั่งไขว่ห้าง ใบหน้าเฉยเมยไม่ได้หันมามองเขา
นั่นสิ ข้าก็ว่าไม่ได้รักหรอก รูอาร์คพูดช้าๆ คนอย่างอาจารย์ยึดติดกับเหตุผลกับความเป็นไปได้เกินไปจนไม่เปิดช่องว่างไว้แต่แรกแล้ว พอรู้ตัว...อะไรก็ตามที่มีในใจเลยไม่ใช่ความรัก แต่เป็นแค่ เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เท่านั้นเอง
อาเมียร์พยายามสะกดกลั้นความโกรธเคืองไว้อย่างรวดเร็ว
ก็แล้วเจ้าจะให้ข้าทำให้มันเป็นไปได้ได้อย่างไร! รู้ดีนักก็บอกข้ามาสิ!!
ข้าเองก็ไม่รู้ ถ้าอาจารย์อยากทำให้มันเป็นไปได้ก็ต้องจัดการเอง แต่ถ้าอาจารย์คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วยังทิ้งทุกอย่างที่ตัวเองทำมาจนถึงตอนนี้ให้มันค้างคาอยู่เพื่อหนีไปเสียเฉยๆ มันจะทำได้ที่ไหน ปากบอกทำเพื่อธีร์ดีเรอยู่ปาวๆ แต่พอเห็นว่าผลของเรื่องที่ตัวเองก่อขึ้นมามันไม่โสภานักก็หนีมันทุกอย่าง มันก็เหมือนกับเรื่องกลัวเลือดนั่นล่ะ ถ้าอาจารย์ตั้งใจจะทำอะไรก็ตามที่ต้องยุ่งกับเลือดก็ต้องเอาชนะมันให้ได้ ไม่ใช่หนีเลือดทุกโอกาส...แล้วยังคิดจะทิ้งทุกเรื่องที่อาจารย์อยากทำด้วยเหตุผลตื้นๆ กะแค่หนีหน้าคนที่เขาชอบเราเพราะกลัวเขาตัดใจไม่ได้ สุดท้ายงานราชการที่อาจารย์อยากทำ...กับธีร์ดีเรที่อาจารย์บอกว่าอยากให้สงบสุข...มันก็แค่การเล่นสนองตัณหาอาจารย์ชั่วคราวเท่านั้นสินะ
ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่คนที่ชอบเล่นบ้าบอสนองตัณหาตัวเองมากกว่าข้ามันก็ยืนอยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้แท้ๆ มิหนำซ้ำมันยังมีหน้ามาพูดอย่างนี้กับข้าเสียอีก!
เด็กหนุ่มผมแดงกลับลุกจากเก้าอี้มาประจันหน้าเขา
เออ ข้าชอบสนองตัณหาตัวเอง แต่ถ้าข้าทำอะไรลงไปเพื่อสนองตัณหาตัวเอง...ข้าจะรับผิดชอบ อาจารย์ทำอย่างนั้นหรือเปล่าล่ะ
ก็นี่อย่างไรความรับผิดชอบของข้า! หรือเจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบอย่างไรแทนก็บอกมาสิ!
บอกไปก็ป่วยการเปล่า อาจารย์ไม่คิดจะทำอยู่แล้วนี่ เชิญดูคนสองคนเขาแต่งงานการเมืองกันแล้วกลับบ้านไปไถนาตามเดิมเถอะ แต่อย่าลืมสลับตำแหน่งตัวเองไปเดินลากไถอยู่ข้างหน้าเสียล่ะ
รูอาร์ค! อาเมียร์ถลันเข้าไปกระชากแขนอีกฝ่ายบีบแน่น เจ้าพูดเกินไปแล้วนะ!!
แล้วอย่างไร คนถูกดึงแขนไว้กลับมองเขาอย่างเรียบๆ
ถ้าขืนเจ้าพูดอะไรอย่างนั้นอีก...ข้าไม่เกรงใจแน่!
งั้นข้าจะพูดอีก กลับไปไถนาแทนวัวไป อาจารย์...อ้อ...ขอโทษที เราไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กันต่อไปแล้วนี่ รูอาร์คพูดเสียงเย็น อยากต่อยข้าก็ต่อยมาเลย ข้าเป็นคนพูดแล้วรับผิดชอบ ไม่ขี้แยขนาดจะวิ่งไปฟ้องพ่อหรอก ถ้าเจ้าจะไม่ต่อยข้าก็แค่เพราะเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้นเอง
เจ้า!! เด็กหนุ่มผมดำขึ้นเสียง ใจอยากรับคำท้าอยู่เร่าๆ แต่มือกลับยังไม่ยอมขยับ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตอนนั้น
อาจารย์...รูอาร์ค ทำอะไรกันอยู่หรือ
เป็นเสียงของเฟลิม อาเมียร์ปล่อยมือจากรูอาร์คแล้วไปเปิดประตูให้เขาเข้ามา
ชายหนุ่มดูยิ้มแย้มกว่าเมื่อเช้ามาก...จนเด็กหนุ่มผมดำอดสงสัยไม่ได้
เจ้าหญิง...ทรงว่าอย่างไรหรือ
เจ้าหญิงทรงมีพระปฏิสันถารกับข้าดีมากขอรับ ตรัสว่าไม่ได้ทรงกริ้วอะไรอาจารย์เลยด้วย ข้าบอกเรื่องที่อาจารย์จะลาออกไปแล้ว เจ้าหญิงก็ทรงเสียดายขอรับ แต่...ก็อวยพรให้อาจารย์โชคดีขอรับ เฟลิมบอกอย่างกระตือรือร้น
อย่างนั้นหรือ อาเมียร์ทำเป็นรับเฉยๆ เพื่อปกปิดความจริงที่ว่าเขาบอกเจ้าหญิงแอชลีนน์ก่อนอีกฝ่ายเสียอีก ก็ดีแล้ว
ข้าก็ใจหายเหมือนกันล่ะขอรับ ที่จู่ๆ อาจารย์มาบอกว่าจะลาออกอย่างนี้ ชายหนุ่มพูดต่อ แต่...ถึงอย่างไรอาจารย์ก็คงอยู่สอนข้าตลอดไปไม่ได้จริงๆ นี่ขอรับ ต้องให้ข้าได้เรียนรู้เองบ้าง ถ้ามีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ก็คงจะช่วยกับคนอื่นๆ แก้ได้ขอรับ
หาคนอื่นมาช่วยแก้เถอะ รูอาร์คโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงขุ่นๆ คนบางคนแถวนี้ยังไม่มีปัญญาแก้ปัญหาของตัวเองให้ตกเลย
ว่าแล้วเด็กหนุ่มผมแดงก็ก้าวฉับๆ ออกไปจากประตูแล้วปิดมันค่อนข้างดัง
เฟลิมมองตามหลังของรูอาร์คไปจนถึงประตูที่ปิดอยู่อย่างงงๆ
รูอาร์คเขาเป็นอะไรไปหรือขอรับ
ก็...คงโมโหเรื่องที่ข้าจะลาออกนั่นล่ะ อาเมียร์รีบกลบเกลื่อน
ชายหนุ่มโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ
อย่าถือสาเขาเลยขอรับ รูอาร์คเขาคงน้อยใจ เดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว อาจารย์ก็จะไม่อยู่สอนเขาต่อเหมือนกัน เขาคงเหงามาก เขาเห็นอาจารย์เป็นเหมือนเพื่อนเหมือนพี่น้องอีกคนนะขอรับ
นั่นสินะ เด็กหนุ่มผมดำยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะตัดสินใจพูด เอ้อ...ท่านเฟลิม
ทำไมหรือขอรับ
ข้า...ตอนนี้ข้าก็ไม่ถือเป็นอาจารย์ของท่านอีกแล้ว ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์หรอก ข้าคิดว่าข้ายังบกพร่องไม่เหมาะสมกับคำนั้นอีกมาก
เฟลิมหัวเราะน้อยๆ
อย่าคิดมากไปเลยขอรับอาจารย์ ท่านทำหน้าที่ของท่านได้ดีแล้ว ข้าพูดจริงๆ ถ้าไม่ได้พบท่าน...ข้าคงไม่รู้ตัวหรอกขอรับว่ามีเรื่องที่ข้าทำได้มากมายถึงขนาดนี้
อาเมียร์นิ่งเงียบและยิ้มเฝื่อนๆ ตามเดิม
แต่ถ้าเป็นความต้องการของอาจารย์...ก็ได้นะขอรับ มีคนอายุมากกว่าอย่างข้ามาเรียกอาจารย์อยู่ทุกวันคงเป็นเรื่องแปลกอยู่จริงๆ ชายหนุ่มเสยผมของตน แต่จะให้ข้าเรียกอาจารย์ว่าอะไรดีล่ะขอรับ
เรียกแค่ชื่ออาเมียร์ก็ได้
ถ้าอย่างนั้นก็...ตกลงขอรับ อาเมียร์ เฟลิมยื่นมือมาจับมือกับเขา ถือว่า...นี่เป็นวันสุดท้ายที่เราจะเป็นศิษย์อาจารย์กันนะขอรับ
อื้อ
เอ้อ เย็นนี้เจ้าหญิงทรงเชิญทุกคนในครอบครัวของข้ากับอาจารย์...เอ้อ...อาเมียร์ ไปร่วมโต๊ะเสวยด้วย รีบแต่งตัวเถอะขอรับ รูอาร์คก็ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวข้าคงต้องขอตัวไปบอกเขาก่อน ชายหนุ่มคลายมือก่อนจะเริ่มก้าวไปที่ประตู แล้วพบกันนะขอรับ
แล้วพบกัน เด็กหนุ่มผมดำพยายามรักษารอยยิ้มไว้
กระนั้น...เมื่ออีกฝ่ายออกไปจากห้องแล้ว เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม ไม่คิดจะไปค้นหาเสื้อผ้าสำหรับงานทางการหรือพิธีการซึ่งท่านเบเรคให้มาจนมากมายเกินพอด้วยซ้ำไป
เขาชั่งใจว่าจะหาข้ออ้างว่าไม่สบายแล้วหลบอยู่ในห้องคนเดียวตอนเย็นนี้ดีกว่าไหม แต่นึกดูอีกทีนั่นคงเป็นการจงใจหลบหน้าอย่างเป็นพิรุธจนเกินไป และเขาก็ไม่อยากให้เจ้าหญิงแอชลีนน์หรือใครก็ตามรู้สึกอย่างนั้นเสียด้วย...
อย่างไหนถือว่าเป็นการหนีกันนะ...หรือว่าจะเป็นทั้งสองอย่าง
แต่ถ้าเป็น...มันจะผิดตรงไหน
เสียงฝีเท้าที่ผ่านหน้าห้อง...ตามมาด้วยเสียงแสกสากเบาๆ ที่ประตูทำให้อาเมียร์รีบหันไปมอง เห็นของบางอย่างที่เป็นแผ่นแบนเล็กๆ สีนวลสอดอยู่ใต้ประตูห้อง
เขาลุกไปหยิบขึ้นมา พบว่ามันเป็นกระดาษพับหนึ่ง เมื่อคลี่ออกดูก็เห็นลายมือที่คุ้นตา
"พบกันที่สวนหลิวคืนนี้หนึ่งยาม มีเรื่องจะพูดด้วยเกี่ยวกับกลโกงของชาลัวห์ อ่านแล้วทำลายจดหมายนี้ทิ้งเสีย"
ไม่มีชื่อเขียนไว้ แต่เขาจำได้ดีว่านี่เป็นลายมือของดูลัส เด็กหนุ่มถอนใจก่อนจะลุกไปจุดตะเกียงเผากระดาษแผ่นนั้นตามคำบอก
อาเมียร์เองก็ไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของดูลัสคืออะไร แต่ก็ตัดสินใจว่าคงต้องลองไปพูดคุยด้วยดู ถึงอย่างไรเขาก็อยากแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องการโกงของชาลัวห์...และจัดการให้คนผิดได้ถูกลงโทษสมความผิดเสียที
...หากว่านั่นจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้...
* * * ชายหนุ่มผมสีทองจางยังคงครุ่นคิดทบทวนข้อมูลต่างๆ ที่ตนรู้เป็นอย่างหนัก ขณะรอเวลาที่คู่นัดหมายจะมาถึง
เขาลองถามเคียราแล้ว ได้ความว่าใบแชมร็อคพวกนั้นมาจากแม่ค้าชราชาวทะเลทรายแถวจัตุรัส และตัวเขาก็บอกมาดายแล้วว่าเห็นใบแชมร็อคที่คล้ายกัน...อยู่กับใครอีกคนที่มีเวทมนตร์สามารถทำลายมันได้
ส่วนตัวเขาเดาไว้สองทาง หนึ่งคือใบแชมร็อคพวกนั้นถูกส่งมาให้เฟลิมเช่นกันโดยใครสักคนที่เป็นพวกของชาลัวห์ แต่อาเมียร์รู้อาคมจึงได้แก้ไขทัน ส่วนอย่างที่สองคืออาเมียร์เป็นผู้ใช้อาคมทำใบแชมร็อคนั่นขึ้นมาเสียเอง และอยู่เบื้องหลังแผนการนี้...
แต่หากเป็นอย่างที่สอง...เด็กหนุ่มคงไม่กล้าถึงขนาดนำใบแชมร็อคนั้นมาให้เขาเห็นและเผามันให้ดูคาตาเขามิใช่หรือ หากมันไม่รู้เรื่องของมาดาย...มันจะทำลายใบไม้นั้นเสียทำไม สู้ปล่อยให้เขาเห็นว่าเป็นใบแชมร็อคธรรมดาๆ ไปคงมีพิรุธน้อยกว่า เพราะหากไม่มีจอมเวทของท่านพ่อมาชี้ต้นเหตุของอาการอ่อนเพลียผิดปกติของเขา...ดูลัสก็ไม่มีวันนึกไปถึงใบไม้พวกนั้นได้เด็ดขาด
ถึงอย่างนั้น หากอาเมียร์คิดไว้ว่าการแสดงพิรุธไว้บ้างโดยสุจริตเป็นผลดีกว่าการไม่แสดงพิรุธอย่างแนบเนียน มันอาจจะวางแผนเช่นนี้ไว้ก็ได้ จุดบอดสำคัญของเขาก็คือเขายังไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมันเป็นใคร มาจากไหน มีจุดประสงค์อะไรและกำลังร่วมมือกับใคร ขณะที่หากเด็กหนุ่มคิดจะสืบประวัติขององครักษ์หนุ่มกับบิดาจริงๆ ก็ทำได้ไม่ยาก...แม้จะไม่น่ารู้เรื่องของมาดายซึ่งท่านพ่อเพียงแต่รับไว้เป็นผู้ติดตามโดยไม่ได้ให้รับราชการ และไม่ให้ออกร่วมทางไปทั่วจนเป็นที่สังเกต
นั่นทำให้เขาถามจอมเวทคนนั้นว่าผู้มีอาคมสามารถรับรู้ตัวตนของกันและกันได้หรือไม่ และก็ได้รับคำตอบว่า
หากเพ่งจิตสืบทราบ...ผู้มีอาคมก็ย่อมจับตัวตนของผู้อื่นได้แม้ว่าผู้นั้นจะมีอาคมเช่นกันหรือไม่ก็ตาม แต่จอมเวทที่มีความสามารถสูงจะสามารถดับสัมผัสของตนไม่ให้จอมเวทที่มีพลังด้อยกว่าหรือทัดเทียมกันทราบได้ ข้าเองไม่ทราบว่าชายที่ท่านว่ามีอาคมในระดับใด แต่ตอนที่อยู่ในอาคารสนามประลองนั้นข้าไม่อาจสัมผัสผู้มีเวทคนอื่นได้เลย
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาไม่มีอาคม ดูลัสถามไปในตอนนั้น
อาจเป็นอีกทางหนึ่งก็ได้ มาดายกลับบอก หากเขาทำลายใบไม้ลงอาคมได้ตามที่ท่านบอก...เขาก็ย่อมมีอาคม ที่ข้าไม่รู้สึกถึงเขาอาจเป็นเพราะ...เขามีอาคมสูงในระดับที่กลบลบตัวตนของตนได้อย่างไร้ร่องรอย
หากเป็นความจริง...นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไป อาเมียร์จะกลายเป็นคนที่น่ากลัวเกินกว่าจะต่อกรได้ กระนั้นมาดายก็บอกว่าเวทมนตร์ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น
ข้าจะมอบเครื่องรางป้องกันให้ท่านพกติดตัวตลอดเวลาก็ได้ มิเช่นนั้นเราต้องทำเขตอาคมป้องกันไว้หากคิดจะต้อนเขาให้จนมุม จอมเวทเสนอ
ด้วยเหตุนี้ดูลัสจึงยอมรับเครื่องรางป้องกันของมาดาย ซึ่งก็เป็นเพียงสายประคำร้อยจี้ตราสัญลักษณ์แห่งองค์สุริยเทพ เขาไม่รู้สึกเหมือนมันมีสิ่งใดวิเศษไปกว่าสร้อยธรรมดา ถึงอย่างนั้นก็คงมีแต่จะต้องเชื่อเจ้าเครื่องรางนี้สักครั้ง
เสียงฝีเท้าเบาๆ ทำให้องครักษ์หนุ่มหันไป เห็นคนที่เขารออยู่ค่อยๆ เดินเข้ามาหา เด็กหนุ่มผมดำยังสวมชุดทางการอยู่ แสดงว่าหลังร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารค่ำกับเจ้าหญิงและพระคู่หมั้นแล้วคงจะตรงมาที่นี่ทันที
ท่านได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโกงของชาลัวห์หรือ อาเมียร์ถามตรงประเด็นทันที
ข้าคิดว่ากลโกงในรอบสุดท้ายไม่น่าจะใช่ยา แต่เป็นเวทมนตร์ ดูลัสบอกไปตามตรง
ครั้นรอดูปฏิกิริยาของคู่สนทนาก็เห็นอีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ เหมือนไม่อยากเชื่อ จึงเปรยออกไป
ข้านึกว่าชาวทะเลทรายเชื่อเรื่องเวทมนตร์เสียอีก
โดยทั่วไปก็คงใช่ เด็กหนุ่มตอบ แต่ข้าไม่เคยเห็นเวทมนตร์จริงๆ กับตา เลยไม่รู้ว่าตนเองเชื่อหรือไม่
องครักษ์หนุ่มจับตามองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังขณะพูดต่อ
ข้าลองให้นักบวชผู้รู้เวทตรวจสอบดู จึงได้รู้ว่าใครก็ตามที่ใช้กลโกงนั่นสร้างใบแชมร็อคขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ แล้วก็หลอกคนรู้จักของข้าคนหนึ่งให้นำมันมาให้ข้าพกติดตัวตอนประลอง คนรู้จักคนนั้นบอกว่าเขาไปได้ใบแชมร็อคพวกนั้นจากแม่ค้าแก่ๆ แถวจัตุรัสที่เป็นชาวทะเลทราย
เด็กหนุ่มมีสีหน้าเหมือนนึกอะไรออก
อย่างนี้นี่เอง! เขาร้องก่อนจะรีบพูด ท่านเฟลิมก็ได้รับใบไม้นี้เหมือนกัน ตอนนั้นข้าให้คนรู้จักไปซื้อของเข้ามา ก็ปรากฏว่าเขาเจอแม่ค้าลักษณะแบบเดียวกับที่ท่านว่า จึงได้ใบแชมร็อคติดมาด้วย แต่ว่า...พวกเราเห็นมันมีพิรุธ เลยไม่ได้ให้ท่านเฟลิมพกติดตัว
ที่ว่ามีพิรุธหมายความว่าอย่างไร
อาเมียร์ดูลำบากใจขึ้นมาทันที แต่ก็เอ่ยช้าๆ
เมื่อข้าแตะมัน...มันจะไหม้คามือ แต่ข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บปวดอะไรเลย นั่นเป็นผลของเวทมนตร์ใช่ไหม
...เห็นจะใช่ ดูลัสตัดสินใจบอกความจริง นักบวชคนนั้นบอกข้ามาว่าใบแชมร็อคพวกนี้ลงอาคมไว้ให้ทำลายตนเองเมื่อถูกผู้มีเวทมนตร์ด้วยกันสัมผัส แสดงว่าเจ้ามีเวทมนตร์อย่างนั้นสินะ
ข้าน่ะหรือ...มีเวทมนตร์ เด็กหนุ่มผมดำกลับอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ ข้า...ข้าไม่รู้เวทมนตร์อะไรเลยจริงๆ
ข้าหมายความว่า... องครักษ์หนุ่มสันนิษฐาน เจ้าอาจจะมีอำนาจเวทมนตร์อยู่ในตัวโดยไม่เคยรู้ตัวมาก่อน...ก็เป็นได้กระมัง
ข้าไม่รู้เหมือนกัน อาเมียร์รับเบาๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะรีบตัดบท แต่ช่างเถอะ หากสืบทราบว่าเป็นเวทมนตร์...ก็น่าจะเปิดโปงกลโกงของชาลัวห์ได้ใช่ไหม
มันไม่ง่ายหรอก ชายหนุ่มตอบตามตรง เราไม่มีหลักฐาน ถึงหาใบแชมร็อคแบบนั้นมาได้เพิ่มเติม...ใครจะไปเชื่อ ต่อให้เห็นใบไม้พวกนั้นไหม้คามือผู้มีอาคม คนเขาก็คงหาว่าเล่นกลแหกตาไปเท่านั้นเอง
แล้วเรื่องอื่นล่ะ อย่างผลสอบข้อเขียน หรือผลการจับฉลากเลือกที่มั่น นั่นน่าจะมีโอกาสมากกว่านะ
ชาลัวห์โง่บัดซบก็จริง แต่พ่อของมันก็มีอิทธิพลมากพอตัว ดูลัสติง ข้าเชื่อว่าพรรคพวกที่ร่วมกันโกงคงยังเกรงบารมีมันอยู่ อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจจริงๆ นั่นล่ะ ขึ้นอยู่กับว่านายของเจ้าจะพิสูจน์ตนเองว่าเป็นราชาที่เข้มแข็งได้ขนาดไหน
นั่นหมายความว่า...ท่านไม่อยากให้มีการทดสอบใหม่อย่างนั้นหรือ น้ำเสียงคนถามฟังจริงใจเสียจนเขาไม่รู้จะคิดอย่างไรดี
ประหลาดที่เจ้าอยากให้มี ทั้งๆ ที่นายเจ้าก็ชนะไปแล้ว แถมยังดูร่าเริงยินดีเวลาได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าหญิงถึงขนาดนั้น ชายหนุ่มตั้งใจประชดแม้เสียงจะเรียบสนิท
ข้า...ก็แค่... เด็กหนุ่มพูดเบาๆ อยากให้มีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย
ข้าเคยกราบทูลเจ้าหญิงแล้วว่าจะลอบสืบเรื่องโกงการทดสอบ แต่วันนี้พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ ตรัสว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่อยากให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านี้ ถ้าพระองค์ทรงพอพระทัยนายของเจ้าจริงๆ ...ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอก ดูลัสตอบตามความจริงในทีแรก...แม้นประโยคหลังจะเป็นสิ่งที่ขัดกับความรู้สึกของเขาเหลือเกิน
เขาระแวงว่าหรืออาเมียร์จะเป็นผู้ทำกลโกงในการประลองระหว่างเขากับชาลัวห์เพื่อกันไม่ให้มีพิรุธกับพวกตน เพราะรู้ว่าเฟลิมย่อมเอาชนะชาลัวห์ได้ง่ายๆ ทั้งจะได้ป้ายความผิดให้อีกฝ่ายและดึงเขามาเป็นพันธมิตร เขาเคยสงสัยว่าเด็กหนุ่มมีจุดประสงค์บางอย่าง เช่น คอยชักใยการปกครองธีร์ดีเรอยู่เบื้องหลังเฟลิม แต่เรื่องที่เพิ่งได้ทราบมาในวันนี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจ...พอๆ กับไม่วางใจขึ้นมาอีกว่าอีกฝ่ายต้องการจะเล่นแผนหลอกอะไรให้เขาตายใจกันแน่
หากไม่กระเทือนถึงเจ้าหญิงก็ปล่อยเรื่องโกงการประลองไว้เถอะ อีกเรื่องที่ข้าอยากถามมากกว่าคือทำไมเจ้าถึงจะลาออก
อ้อ เด็กหนุ่มผมดำรับเรียบๆ ท่านทราบด้วยหรือ
ในเมื่อเจ้าหญิงทรงทราบ ทำไมข้าถึงจะไม่รู้
อันที่จริง เจ้าหญิงแอชลีนน์เป็นคนบอกเรื่องนี้กับเขาตอนให้คำตอบว่าจะปล่อยผลการประลองให้เป็นเช่นนี้โดยไม่ต้องสืบสวนเสียด้วยซ้ำ
เขาไม่ได้วางแผนชักใยเฟลิมหรอก นี่เขาก็ตั้งใจจะลาออกกลับไปอยู่ชนบทเหมือนเดิมนะ
ดูลัสกลับพบว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่อาจวางใจ เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนและชวนให้นึกไปว่าเป็นกลลวง
แล้ว...ทำไมหรือ อาเมียร์ถามต่อ
ข้าอยากรู้ว่าทำไมเจ้าถึงลาออกกะทันหัน ทั้งๆ ที่มีช่องทางให้รับราชการแล้วแท้ๆ
อ้อ เด็กหนุ่มเสมองคูน้ำใกล้บริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ ข้ารู้ตัวว่าข้าไม่เหมาะกับงานพวกนี้ แล้วข้าก็พบว่า...กลับไปทำไร่ไถนาตามเดิมสบายใจกว่า
คนมีความสามารถอย่างเจ้า ทำไมถึงคิดจะไปหมกตัวในชนบทให้เสียเปล่าอีก
ข้าไม่มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษหรอก เพียงแต่เคยมีโอกาสได้ร่ำเรียนมากกว่าชาวทะเลทรายทั่วไป...ก็เท่านั้น อาเมียร์พูดเรียบๆ ที่ข้ารับทำงานนี้ก็เพราะความคะนองของคนหนุ่ม คิดไปว่าตัวเองจะช่วยให้ธีร์ดีเรสงบสุขขึ้นได้ แต่ลงท้าย...มันก็เป็นแค่ความเห็นแก่ตัว...ความอยากเอาชนะแบบเด็กๆ ของข้าเอง
ความอยากเอาชนะ...อย่างนั้นหรือ ดูลัสทวนคำอย่างสนใจ
ท่านคงเคยได้ยินเรื่องชาลัวห์ ข้าชังเขา...ถึงได้พยายามทำให้เขาเสียหน้าทุกโอกาส พ่อห้ามไม่ให้ข้ามาที่นี่...ข้าก็ดึงดันจะมาเพราะอยากพิสูจน์ว่าพ่อคิดผิด ข้าเห็นท่านเป็นคนเก่ง...ข้าถึงได้อยากทดสอบว่าระหว่างเราสองคนใครจะเหนือกว่ากัน ท่านคงเห็นแล้วจากการทดสอบรอบสอง แล้วหลังจากนั้นข้ายังเคี่ยวเข็ญท่านเฟลิมให้พัฒนาฝีมือ...เพื่อมาประลองตัวต่อตัวกับท่านแทนที่ข้า ข้าทำทุกอย่างลงไปโดยไม่รู้เลยว่าท่าน ท่านเฟลิม กับแอช...ข้าหมายถึงเจ้าหญิงแอชลีนน์...ทรงรู้สึกอย่างไรกับเรื่องทั้งหมด ข้าทำเหมือนทุกคนเป็นแค่เบี้ยของข้าอย่างไม่อาจให้อภัยเลยจริงๆ
ชายหนุ่มนิ่งฟัง...พร้อมกับพยายามชั่งน้ำหนักดูว่าเขาจะเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหน
เจ้าไม่เคยได้ยินหรืออย่างไร สุดท้ายองครักษ์หนุ่มก็ตัดสินใจเปรย มหาราชทุกองค์เป็นทรราช แต่ทรราชทุกคนไม่จำเป็นจะต้องเป็นมหาราช
อย่านำคำพูดแบบนี้มาเปรียบเทียบกับข้าเลย ท่านดูลัส อาเมียร์ยิ้มฝืดเฝือ ข้าต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็น...หรือแม้แต่จะคิดเป็นถึงขั้นนั้นหรอก
ไม่ใช่ว่าเจ้า เกิด มาเพื่อเป็นคนระดับนั้นหรอกหรือ ดูลัสค่อยๆ ตะล่อมถามย้ำข้อมูลที่ได้รับมา
คู่สนทนาดูมีสีหน้าตกใจ
ท่านไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน
ได้ยินว่าในทะเลทรายมีหลายอาณาจักร...ถ้าเผ่าพวกนั้นจะนับเป็นอาณาจักรได้ ตอนนี้จะปิดอย่างไร...เจ้าก็ปิดไม่มิดหรอกว่าเจ้ากับพ่อแม่ดูมีชาติตระกูลและความรู้ความสามารถสูงกว่าชาวทะเลทรายธรรมดา พวกเจ้าจะทิ้งเผ่ามาเป็นแค่ชาวไร่ชาวนาทำไมหากไม่มีเหตุจำเป็น เช่นการชิงอำนาจ...สงคราม...หรือ...ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ องครักษ์หนุ่มบอกข้อสันนิษฐานของตน เจ้ากลัวเลือดเพราะเหตุนั้น ใช่ไหมล่ะ
เด็กหนุ่มผมดำพยักหน้าง่ายๆ
ใช่ เขาถอนใจยาว ในเมื่อท่านรู้ถึงขั้นนี้ก็คงไม่ต้องปิดบังกันอีก เผ่าของข้าถูกทำลายไปแล้ว เหลือรอดมาแต่พวกเราพ่อแม่ลูกเท่านั้น พ่อของข้าถึงได้อยากเพียงแต่หาที่อยู่สงบๆ กับแม่กับน้องๆ แต่ข้า...ตอนนั้นข้าโตเกินกว่าจะลืมเรื่องพวกนั้น แต่ก็เด็กเกินกว่าจะปล่อยวางให้มันเป็นอดีต...ข้าถึงได้หนีออกจากบ้านมาจนอยู่ตรงนี้ เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาตายเปล่าต่อหน้าอย่างนั้นอีก
คนทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง รอบบริเวณจึงมีเพียงเสียงใบหลิวลู่ลมแสกสาก และเสียงน้ำในคูไหลเอื่อย
แต่ตอนนี้ ข้าได้บทเรียนของข้าเกินพอแล้ว ที่เหลือก็หวังแต่ว่าท่านจะช่วยชี้แนะท่านเฟลิมกับเจ้าหญิงต่อไปเท่านั้นเอง
ข้าจะทำทุกอย่างตามหน้าที่ของข้า ดูลัสตอบเป็นกลางไว้
เท่านั้นก็ดีแล้ว อาเมียร์รับก่อนจะหันไปมองดวงจันทร์ ซึ่งเคลื่อนห่างจากบริเวณเดิมที่เคยอยู่เมื่อตนมาถึงไปพอสมควร เอ้อ ข้าคงต้องขอตัวก่อน นี่ใกล้ดึกแล้ว
ไปเถอะ ข้าเองก็หมดเรื่องที่ต้องการถามหรือบอกเจ้าแล้วเหมือนกัน ดูลัสพูดง่ายๆ
ลาก่อน ท่านดูลัส
ลาก่อน
องครักษ์หนุ่มมองตามแผ่นหลังของชายผู้อ่อนวัยกว่าไปอย่างระแวดระวัง ขณะประมวลทุกอย่างที่เขาได้ยินมาว่าเป็นจริงเท็จประการใด...
อย่างไรก็ตาม...ดูลัสหวังมากกว่าให้เรื่องที่เขาได้ยินเป็นความจริงทั้งหมด และอาเมียร์ไม่มีเจตนาจะแทรกแซงเหตุการณ์บ้านเมืองของธีร์ดีเรอย่างแท้จริง เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ไม่มีเรื่องยุ่งยากกว่านี้
...และเพื่อที่เขากับเด็กหนุ่มจะได้ไม่ต้องกลายมาเป็นศัตรูกันจริงๆ...
* * * อาเมียร์ถอนใจน้อยๆ เมื่อออกมาพ้นบริเวณสวนนั้น กึ่งเสียดายและกึ่งโล่งอกที่ดูลัสดูจะยอมรับผลการประลองที่ตนถูกโกงมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด
หากเขาไม่ได้มีใจให้เจ้าหญิงแอชลีนน์ในแบบนั้นจริงๆ ก็คงดี หากมีดูลัสช่วยดูแลเฟลิมกับแอชอย่างบริสุทธิ์ใจ เขาก็คงไม่ต้องกังวลอะไรอีก...
แผ่นหลังที่พลันเย็นวาบทำให้เด็กหนุ่มหันกลับไปก่อนจะพบภาพอันแปลกประหลาด...
เขาเห็นของบางสิ่งเป็นแท่งยาวสีดำไหวพร่า...ลอยค้างอยู่ห่างจากแผ่นหลังของตนหนึ่งชั่วแขน นิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ขยับเขยื้อนก่อนจะร่วงผล็อยลงกับพื้นหินทางเดินในสวน
เด็กหนุ่มก้มลงมองสำรวจมัน ดูรูปร่างของมันคล้ายธนูหรืออาวุธซัด...แต่ก็พร่ามัวเหมือนควันที่ก่อตัวเป็นรูปร่างเช่นนั้น คงอยู่ไม่นานก็กลับจางหายไป
ไม่ทันตั้งตัว อาเมียร์ก็รู้สึกเย็นวาบที่ข้างศีรษะอีกครั้ง เขาหันไปเห็นสิ่งประหลาดสีดำอีกอันหนึ่งพุ่งเข้าหาตนใต้แสงตะเกียงในสวน มันหยุดอยู่ตรงหน้าเขา...สั่นไหวระรัวเหมือนกำลังพยายามเจาะทะลุกำแพงที่มองไม่เห็น...ก่อนจะพุ่งเข้ามาใกล้กว่าเดิม
เด็กหนุ่มไม่อาจหลบได้ทัน แต่ก็ยกสองแขนขึ้นป้องหน้าไว้ คลื่นความร้อนวูบปะทะแขนวูบหนึ่ง กระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าถูกซัดด้วยขี้เถ้าที่ยังไม่หายร้อนดี
มีเพียงภาพแปลกประหลาดที่ผุดขึ้นในคลองจักษุให้เบิกตาโพลง
...เขาเห็นใครสักคน...ใครก็ไม่รู้ที่มีร่างผอมบาง...ผิวเหี่ยวย่น...ผมขาวกระเซิงสยาย...นางเป็นหญิงชรา...สวมชุดสีดำทึม...คอสวมสร้อยระย้าและข้อมือมีกำไลหลายขอน...
...ดวงตาที่มีรอยช้ำเลือดของนางเบิกกว้าง...ริมฝีปากเผยอค้าง...เขาแลเห็นร่างสูงใหญ่สะท้อนอยู่ในแก้วตาของนางอย่างไม่น่าเป็นไปได้...ร่างนั้นมีสีดำตลอดร่างเหมือนหมอกควัน...นัยน์ตาเรืองแสงสีทอง...กับปีกขนาดใหญ่ที่แผ่กว้างดำทะมึนอยู่เบื้องหลัง
แล้วภาพทั้งหมดก็ดับวูบไป...
อาเมียร์หันมองรอบสวนแต่ก็ไม่พบใคร บนแขนของเขามีแต่คราบเขม่าเล็กน้อย บนพื้นที่เคยเจอแท่งเงาประหลาดนั้นก็มีเพียงขี้เถ้าบางๆ เช่นกัน เด็กหนุ่มได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ
นี่คือ...เวทมนตร์...อย่างนั้นหรือ
...เป็นไปไม่ได้...
เขาภาวนาอย่าให้เรื่องเลวร้ายใดๆ ก็ตามเกิดขึ้นกับเขาหรือคนรอบข้างอีกเลย แต่ก็มารู้ในไม่นาน...เพียงเช้าวันต่อมา...ว่าดูความปรารถนาของเขาเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
พวกทหารยามมาเคาะ...หรือที่ถูกควรจะเป็นทุบประตูห้องของเขาจนอาเมียร์ตกใจตื่นขึ้นมา
เพื่อฟังข่าวว่าใครสักคน...ใครสักคนที่บัดนี้สำคัญยิ่งต่ออาณาจักรธีร์ดีเร...ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับเสียแล้ว...
บทที่ ๒๕ สูญเสีย
* * * ที่จริง นี่คือจบตอนที่ผมแบ่งไว้ของเนื้อเรื่องช่วงแรก ในชื่อ พิธีสยุมพรแห่งธีร์ดีเร เนื้อเรื่องช่วงที่สองมีชื่อว่า นักโทษแห่งคำลวง เป็นตอนที่เนื้อเรื่องเริ่มเปลี่ยนทิศ มีเหตุให้อาเมียร์กับแอชได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม และตัวละครหน้าใหม่หน้าเก่ามีบทบาทเพิ่มขึ้นครับ
ในที่สุดท่านเบเรคก็เห็นสมควรแก่เวลาจีบอาจารย์ของลูกชายให้มาเป็นลูกเขยเสียที นับตามสแตนดาร์ดของธีร์ดีเรยังต้องบอกว่าใจกว้างมากที่ยอมให้คนต่างชาติ แถมเป็นชาติผู้อพยพที่ถือว่าด้อยกว่าเข้าตระกูล แต่ด้วยความสามารถ ท่านเบเรคคงคิดว่าดองกันไว้เป็นการดีกว่านั่นละครับ
ด้านแอชกับเฟลิม สองคนนี้ผมก็มองว่ามีโอกาสจะเข้ากันได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะเฟลิมเป็นคนสุภาพและยอมลงให้คนอื่นง่าย (พูดง่ายๆ คือคงเป็นพระสวามีที่โดนข่ม) ...หากว่าแอชจะไม่ระเบิดลงใส่จนไมเกรนขึ้นสมองหรือถูกขุนนางกดดันจนล้มหมอนหนอนเสื่อด้วยโรคเครียดนั่นละนะ ^^a
ส่วนรูอาร์ค ไม่ทราบเหมือนกันว่าครั้งนี้ค่อนข้างจะจี้และแผลงฤทธิ์กับอาเมียร์หนักข้อเกินไปหรือเปล่า แต่หมอนี่เป็นคนที่มักเห็นความต้องการกับความรู้สึกส่วนตัวมาก่อนกฎเกณฑ์ของชนชั้นที่ตนเองไม่ชอบ (พ่อแม่หนีตามกันเพื่อรักมาแล้ว) จึงได้ขัดจิตขัดใจมากกับการที่อาเมียร์ยอมบอกศาลากับเรื่อง "หมายดอกฟ้า" ไปตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มกระบวนการปีน ทั้งๆ ที่ดอกฟ้าพยายามโน้มกิ่งลงมาหาแล้วนั่นแล ^^;;;
แล้วพบกับตอนใหม่สัปดาห์หน้าครับ :)
ปล. รู้สึกเหมือนจบช่วงนี้แล้วมีคอมเมนต์คนเขียนยาวเหมือนกันแฮะ
Create Date : 14 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2552 13:46:16 น. |
Counter : 314 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บทที่ ๒๓ - เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร
บทที่ ๒๓ เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร
หลังเสียงแตรสัญญาณในยามบ่าย เด็กสาวก้าวมายืนอยู่หน้าที่นั่งของตน และนั่งลงก่อนจะมีเสียงขุนนางและผู้ชมอื่นๆ ที่ยืนทำความเคารพนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกัน ผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งสองเข้ามาประจำที่ขอบสนาม และการประลองรอบสุดท้ายก็เริ่มขึ้นในไม่ช้า...ท่ามกลางเสียงร้องให้กำลังใจที่ไม่ใคร่ดังนักในทีแรก คงเป็นเพราะผู้เข้าประลองที่มีผู้รู้จักและให้กำลังใจมากกว่าอย่างดูลัสกับคาเฮียร์ล้วนแต่แพ้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ไม่นาน...เสียงเหล่านั้นก็เริ่มดังขึ้นเมื่อการต่อสู้ทวีความดุเดือดขึ้นทุกขณะ ชาลัวห์เปิดฉากรุกเป็นชุดเช่นเดิม ทว่าเฟลิมก็หลบหลีกได้อย่างง่ายดายก่อนจะพลิกตัวแล้วฟาดดาบไปกลางหลังอีกฝ่ายเต็มแรงจนเซหลายก้าว เรียกเสียงเฮจากบรรดาผู้ชม
...อย่างน้อยคนที่เอาใจช่วยเฟลิมดูเหมือนจะมีมากกว่า หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...
แอชลีนน์เองก็ดูการต่อสู้ด้วยใจที่เต้นระทึก เธอเองก็ให้กำลังใจเฟลิมไปโดยปริยาย...ในเมื่อปักใจเชื่อว่าชาลัวห์ต้องวางยาโกงอะไรสักอย่างกับดูลัส เธอไม่เห็นเลยว่าชาลัวห์จะเก่งกาจอย่างไร และยิ่งเฟลิมต้อนอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ เธอก็พบจุดอ่อนที่ไม่ควรมีเต็มไปหมด
ผู้ชมโห่อย่างไม่พอใจเมื่อชาลัวห์ที่เซถลาแทบล้มกับพื้นคว้าดินปนทรายขึ้นมาซัดใส่หน้าอีกฝ่ายแล้วฟันซ้ำ แต่เฟลิมก็ยังหลบได้ทันท่วงที ซ้ำยังหมุนตัวไปวางดาบจ่อหลังคอคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด
ชาลัวห์กลับไม่ยอมหยุดมือ...จนกรรมการต้องเข้ามาแยกทั้งสองจากกัน
ข้ายังไม่แพ้!! ข้าจะแพ้ได้อย่างไร!!
ก็ดาบของคู่ต่อสู้แตะจุดตายของท่านแล้ว
แตะจุดตายแล้วไม่ได้หมายความว่าโดนฆ่าเสมอไปสักหน่อย! ข้าขยับหลบได้ก่อนแต่เจ้าไม่เห็นเอง!!
คำตัดสินของกรรมการถือเป็นสิทธิ์ขาด ท่านน้าคอนรอยพูดเสียงดังให้ได้ยินถึงในสนามประลอง
ใต้เท้า!! แต่ว่า ชายหนุ่มยังค้าน
หากเจ้ายังคัดค้านคำตัดสินก็เท่ากับลบหลู่พระเกียรติของเจ้าหญิงแอชลีนน์และราชวงศ์อลาสตาร์
นั่นทำให้ชาลัวห์เงียบลง และยอมจับมือกับผู้ชนะได้ตามธรรมเนียม กระนั้นตอนเดินกลับเข้าไปในอาคารก็ยังแสดงท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
กรรมการชูมือเฟลิมขึ้นพร้อมทั้งประกาศว่าเขาเป็นผู้ชนะ ผู้ชมโห่ร้องแสดงความยินดี และกรรมการก็ทำสัญญาณให้ชายหนุ่มก้าวมาตรงหน้าเธอ
แอชลีนน์ลุกขึ้นยืน หยิบมงกุฎใบลอว์ราสอันเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะจากบนถาด แล้วก้าวไปยังระเบียงด้านหน้าอัฒจันทร์เพื่อพบกับเขา
เฟลิมค้อมศีรษะลงคำนับตามธรรมเนียมก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ เขาไม่มองหน้าเธอเลยขณะยืนอยู่ข้างล่างนั้น
เด็กสาวก็ไม่เห็นความจำเป็นของการบอกให้เขาเงยหน้าขึ้น เธอวางมงกุฎใบลอว์ราสลงบนศีรษะของเขา แล้วก็กลับหลังหันเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ขณะพยายามระงับคำถามที่ผุดขึ้นซ้ำๆ ในใจ...ว่าทำไมคนที่เธอรู้ว่ามีความสามารถถึงขั้นอยู่เบื้องหลังชัยชนะของชายที่จะต้องแต่งงานกับเธอจึงไม่ใช่คนที่มายืนอยู่ที่นี่แทน ทำไมคนที่เธอเฝ้านึกถึงอยู่บ่อยๆ ...ทั้งๆ ที่ยังมีความโกรธต่อคนคนนั้นอยู่ในใจอีกหลายขณะ...จึงไม่ใช่ชายคนนี้
เอาเถิด...แอชลีนน์ปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยผู้ชนะก็ไม่ใช่ดูลัสที่เคียราชอบ ไม่ใช่คาเฮียร์ที่เธอไม่รู้จัก ไม่ใช่ชาลัวห์ที่ไร้มารยาทและดูไร้ความสามารถ แต่เป็นคนที่เธอรู้จัก...และ...อย่างน้อยก็ยังไม่เห็นข้อเสียร้ายแรงอะไรอย่างเฟลิม
ถึงอย่างนั้น...เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะปฏิบัติต่อเขาในงานเลี้ยงฉลองคืนนี้อย่างไรดี
* * * หลังถูกเคี่ยวเข็ญให้แต่งตัวงดงามที่สุดจนเย็นย่ำ แอชลีนน์จึงได้ออกมาในโถงใหญ่ที่มีเพดานสูงและสว่างพราวแพรวด้วยโคมไฟระย้าขนาดใหญ่อันเป็นสถานที่จัดพิธี เธอพยายามก้าวอย่างเรียบเฉยและสง่างามให้มากเท่าที่จะทำได้ ท่านน้าคอนรอยเป็นผู้รอรับมือของเธอ ก่อนที่เฟลิมในชุดพิธีการจะก้าวมาตามพรมที่ปูเป็นทางยาวมาที่เบื้องหน้าเด็กสาว...พร้อมกับกล่องกำมะหยี่ซึ่งเธอรู้ว่ามีแหวนหมั้นอยู่ภายใน แหวนหมั้นทั้งสองวงทำโดยสำนักพระราชวัง...ในเมื่อพระสวามีของเธอย่อมถือเป็นผู้สมรสเข้าพระราชวงศ์
ชายหนุ่มคุกเข่าลง เธอยื่นมือไปให้เขาจุมพิตเบาๆ ตามธรรมเนียม ก่อนที่จะรับแหวนทองที่สลักลวดลายเกี่ยวพันไม่มีวันจบสิ้นเป็นพื้นหลังตราประจำพระราชวงศ์จากท่านน้าคอนรอยมาสวมให้กับนิ้วนางซ้ายของเขา
แหวนนั้นหลวมนิดหน่อย แต่แหวนแบบเดียวกันที่เฟลิมเป็นผู้สวมให้กับนิ้วนางซ้ายของเธอพอดีกับนิ้ว เพราะเธอเคยลองแหวนวงนี้มาแล้วนั่นเอง
ทั้งสองไม่ได้ตั้งใจจะสบตากันเลย...และเมื่อสายตาเผลอประสานแวบหนึ่ง ก็ดูเหมือนเฟลิมจะเป็นฝ่ายเบือนหลบเสียก่อนด้วย แอชลีนน์อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงประหม่าจริงๆ...แต่ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าเขารู้เรื่องที่เธอเป็นคนคนเดียวกับแอชและเคียราที่ชายหนุ่มได้พบในวันลูคนาซาธหรือไม่ จึงลังเลที่จะเข้าหน้าเธอเช่นนี้
เสียงประกาศอวยชัยแด่ธีร์ดีเร เจ้าหญิงกับพระคู่หมั้นดังสะท้อนในโถงหิน ทว่าพิธียังไม่ได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เธอกับเฟลิมยังมีหน้าที่เป็นคู่เต้นรำคู่แรกของคืนนี้
ชายหนุ่มจูงเธอมายังกลางลานเต้นรำก่อนจะโค้งคำนับ และโอบหลังเอวพร้อมกับจับมือเธอไว้หลวมๆ เมื่อนั้นเองที่ทั้งสองไม่อาจหลีกเลี่ยงจะสบตากันได้อีก แอชลีนน์บังคับตนเองให้แสดงสีหน้าเรียบเฉยที่สุดขณะที่เฟลิมกลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะกระซิบเบาๆ
ท่านเคียรา...เจ้าหญิงคือท่านเคียรา...หรือแอช...จริงๆ ใช่ไหมขอรั...พ่ะย่ะค่ะ
เด็กสาวไม่ตอบและก้มหน้าลงมองชายกระโปรง เพียงเสียงดนตรีที่เริ่มขึ้นให้ทั้งสองเต้นรำกันอย่างเงียบงัน...เป็นพิธีรีตอง ผิดกับการเต้นรำอันแสนสนุกสนานในวันลูคนาซาธครั้งที่แล้ว...
เมื่อจบเพลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นตามธรรมเนียม เฟลิมคลายมือจากร่างของเธอก่อนจะค้อมศีรษะอีกครั้ง แอชลีนน์ถอนสายบัวรับอย่างเงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจกลับหลังหัน
ขออภัยด้วยที่ต้องขอตัวก่อน เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย
เธอก้าวไปหาเคียรากับคุณท้าวทราซาที่ยืนประจำอยู่ตรงมุม ทีแรกคุณท้าวทราซายังยืนกรานให้รักษามารยาทไว้ แต่ครั้นเด็กสาวบอกว่าตนอยู่ร่วมงานไม่ไหวแล้วจริงๆ นางจึงยินยอมไปรายงานท่านน้าคอนรอย และแอชลีนน์ก็ได้รับอนุญาตให้กลับห้องบรรทมไปกับเคียรา
* * * ดูลัสผู้สวมเครื่องแบบราชองครักษ์ค้อมคำนับเธออยู่ที่ข้างนอก ก่อนจะเป็นผู้อารักขาเธอไปตามทางเดินในวัง
ดูลัสไม่ไปร่วมงานเลี้ยงหรือ ระหว่างทาง แอชลีนน์ก็อดถามเบาๆ ไม่ได้
คนแพ้อย่างกระหม่อมไม่มีเรื่องใดให้ฉลองนี่พ่ะย่ะค่ะ
ดูลัส...
พระอาญามิพ้นเกล้า...กระหม่อมเพียงแต่ล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ ที่จริงกระหม่อมไม่อยากพบชาลัวห์ในงาน เพราะเกรงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น องครักษ์หนุ่มพูดเรียบๆ
อย่างนั้นหรือ เด็กสาวรับ เขา...มาในงานด้วยหรือ
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหมดได้รับเชิญมาในพิธีทั้งนั้นนี่เพคะ รวมทั้ง...ผู้เข้าประลองและผู้ติดตามใกล้ชิดด้วย หม่อมฉันยังเห็นน้องชายของคุณชายเฟลิม...กับคนทะเลทรายนั่นอยู่เลยเพคะ เคียราเอ่ยขึ้นบ้าง
แอชลีนน์กลับเงียบไป ตลอดเวลาที่อยู่ในโถงนั้นเธอเอาแต่ก้มหน้า แทบไม่มองผู้คนรอบด้านให้ละเอียดเสียด้วยซ้ำไป
ทั้งสามเดินกันมาเงียบๆ จนถึงห้องบรรทม เมื่อนั้นเองที่เด็กสาวตัดสินใจเอ่ยขึ้น
ดูลัส เรา...เราขอพูดกับดูลัส...ตามลำพัง...แค่ครู่เดียวได้ไหม
ทั้งองครักษ์หนุ่มและนางกำนัลสาวมีสีหน้าตกใจไม่แพ้กัน
องค์หญิง! เรื่องแบบนี้... เคียราเริ่มค้าน
แค่ครู่เดียวเอง เคียรา...นะ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากด้วย เราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พูดอีกเมื่อไร
...เพคะ หญิงสาวรับอย่างจำใจ หม่อมฉันจะดูต้นทางให้ แต่อย่านานนักนะเพคะ
แอชลีนน์พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องของตน ตามมาด้วยชายหนุ่ม
มีเรื่องอะไรจะตรัสกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ ดูลัสรีบถาม
เรา... เด็กสาวพยายามเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะหาคำที่เธอคิดว่าเหมาะสมที่สุดไม่ได้จริงๆ เรา...หวังว่า...ดูลัสจะไม่เสียใจมาก...เรื่องประลอง...เรา...เราเชื่อว่าดูลัสมีฝีมือมากกว่านี้...เราเชื่อว่าต้องมีเรื่องผิดพลาดแน่ๆ
เธอเห็นอีกฝ่ายยิ้มอ่อนๆ
ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ
แต่ว่า...ถึงจะไม่ชนะ...ดูลัสก็...ไม่เป็นไรใช่ไหม
หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้ว
คือ...เราคิดว่า...มีคนที่... แอชลีนน์รวบรวมความกล้า มีคนที่...เรา...คิดว่าคู่ควรกับดูลัสอยู่ ถ้าดูลัส...เอ้อ...ไม่ได้หมายความว่าเราอยากให้ดูลัสจำใจคบกับคนคนนั้นหรอกนะ แต่ว่า...ถ้าดูลัสกับคนคนนั้นมีใจตรงกัน...เราจะ...จะดีใจมาก
ขอบพระทัยในพระเมตตาพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์หนุ่มกลับพูดเสียงเครียด แต่...ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร กระหม่อมคงต้องขอบังอาจปฏิเสธ ในเมื่อองค์หญิงทรงโทมนัสอย่างนี้...แต่ยังทรงมีพระเมตตาคำนึงถึงความสุขของกระหม่อมก่อนแท้ๆ
หมายความว่าอย่างไร เด็กสาวถามอย่างสงสัย
องค์หญิงไม่ได้มีพระประสงค์จะอภิเษกกับเฟลิมไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ แค่เห็นในพิธีหมั้นเมื่อครู่กระหม่อมก็ทราบแล้ว ชายทะเลทรายคนนั้นเป็นคนผลักดันให้เขาชนะจนได้ นั่นคือแผนการของพวกเขาไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ
เรา... แอชลีนน์รู้ว่าใจจริงเธอไม่อยากอภิเษกกับใคร...อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้เข้าประลองรอบสุดท้ายทั้งสี่คน
หากองค์หญิงทรงไม่พอพระทัย ก็ได้โปรดให้กระหม่อมได้ช่วยเท่าที่ทำได้เถอะพ่ะย่ะค่ะ
แล้วดูลัสจะทำอย่างไร
กระหม่อมจะสืบ...ทั้งเรื่องที่กระหม่อมมีอาการแปลกๆ ตอนสู้กับชาลัวห์ ทั้งเรื่องจุดมุ่งหมายของชาวทะเลทรายพวกนั้น หากทราบแผนร้ายของพวกเขาได้ก่อนพิธีอภิเษกก็จะเปิดโปงจับกุมพวกเขา...และผลักดันให้มีการคัดเลือกพระคู่ใหม่ได้
แอชลีนน์ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการหรือไม่
แต่...เราไม่คิดว่าเฟลิมจะโกงหรอกนะ เธอพยายามแย้ง ส่วนอาเมียร์...ถึงเขาจะมีแผนอะไร เราก็คิดว่าเขาเป็นคนดี เขาแค่...แค่คิดถึงธีร์ดีเรมากกว่าใจของเราเท่านั้นเอง
แต่องค์หญิงคือพระหถทัยของธีร์ดีเร หากองค์หญิงไม่ทรงสำราญแล้ว...ความสงบสุขของธีร์ดีเรก็ไม่มีความหมายหรอกพ่ะย่ะค่ะ
ดูลัส... เด็กสาวเริ่มไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ทำไมกันหนอ...เรื่องที่เธออยากพูดเกี่ยวกับดูลัสกับเคียรากลับกลายมาเป็นเรื่องไร้คำตอบของเธอจนได้แท้ๆ
เธอตกใจเมื่อองครักษ์หนุ่มถึงกับคุกเข่าลงเบื้องหน้าเธอ
ขอเพียงองค์หญิงตรัสมาคำเดียว ดูลัสก็พร้อมจะรับใช้ถวายชีวิตทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ
ดูลัส...เรา...
เสียงเคาะประตูอย่างร้อนรนกลับดังขึ้น
องค์หญิง คุณท้าวทราซากำลังเดินมาแล้วเพคะ
ชายหนุ่มรีบออกไปจากห้อง ให้เคียราผลุบเข้ามาแทบทันควัน การสนทนาที่ไม่เป็นผลอะไรจึงจบลงเพียงเท่านั้น
* * * ท่านได้พูดอะไรกับเจ้าหญิงไหม อาเมียร์ตรงเข้ามาถามเฟลิมทันทีที่ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามา
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ
ข้า...ทำได้แค่ถามว่าเจ้าหญิงเป็นคนเดียวกับแอชกับเคียราหรือเปล่าเท่านั้นขอรับ พระองค์ไม่ได้ตรัสตอบ ส่วนข้ายังไม่ทันได้บอกเรื่องที่อาจารย์ฝากให้บอกเลย พระองค์ก็ทรงขอตัวออกไปก่อน
เด็กหนุ่มพยายามเก็บความกังวลไว้
ขออภัยด้วยขอรับ ตอนเต้นรำกันอยู่ข้าไม่กล้าเสี่ยงพูด...กลัวทำอะไรผิดไปแล้วจะไม่ดีนัก
ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องขอโทษหรอก ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษ
อาจารย์ เฟลิมยิ้มอย่างอ่อนใจ เราก็พูดกันแล้วนี่ขอรับ
หลังจากเฟลิมชนะ อาเมียร์ก็รีบขอเวลาพูดกับเขากับรูอาร์คตามลำพังทันที เพื่อเปิดเผยเรื่องที่เขารู้ว่าแอชกับเคียราในวันลูคนาซาธคือเจ้าหญิงแอชลีนน์ ชายหนุ่มดูจะประหลาดใจและตกใจมากจริงๆ ถึงอย่างนั้นเมื่ออาเมียร์ขอโทษที่ปิดบังไว้ เขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษ
ถ้าอาจารย์บอกข้าตั้งแต่ตอนนั้นว่าแอชคือเจ้าหญิงแอชลีนน์...ข้าคงจะวางตัวไม่ถูกจนเจ้าหญิงทรงไม่สบายพระทัยตั้งแต่แรกแน่ๆ
เด็กหนุ่มตัดสินใจเล่าต่อว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์เลิกเสด็จมาเรียนเพราะเข้าใจไปว่าเขาต้องการจับคู่พระองค์กับเฟลิม จึงบอกฝากคำขอโทษให้กับเจ้าหญิงด้วยถ้ามีโอกาส ชายหนุ่มไม่ได้ต่อว่าเขาในเรื่องนี้ รูอาร์คฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงอย่างนั้นยังแอบยิ้มมุมปากและมองเขาด้วยสายตาเป็นนัยๆ เหมือนกับจะบอกว่าข้อสันนิษฐานทั้งหมดของตนไม่มีผิดเลย
อาจารย์ก็หาโอกาสไปพูดกับเจ้าตัวเองไม่ได้หรือ เด็กหนุ่มผมแดงแทรกขึ้นใกล้ๆ ทั้งสอง ใครเขาจะอยากฟังคำขอโทษที่มีคนฝากมากันเล่า
ก็ข้าเข้าพบเจ้าหญิงได้เสียที่ไหน เด็กหนุ่มผมดำแย้งทันควัน
เข้าพบไม่ได้ก็ปีนเข้าห้องคืนนี้เลย ไหนๆ ตอนนี้ก็ได้พักในวังแล้ว ข้าไปตะล่อมถามนางกำนัลแถวนี้มาให้ก็ได้ว่าห้องบรรทมของเจ้าหญิงอยู่ที่ไหน จะได้ปีนสะดวก
อาเมียร์กำลังจะอ้าปากดุคนยุให้เขาหาเรื่องหัวขาดอยู่พอดี...เมื่อท่านเบเรคกับท่านหญิงภรรยาและคุณหนูฟิเดลมาเดินเข้ามา
พูดอะไรกันอยู่หรือพ่อหนุ่มทั้งสาม ท่านเบเรคถาม
เรื่องที่พี่เฟลิมเพิ่งถูกสลัดรักกระมังขอรับ รูอาร์คโพล่งตอบทันควัน
รูอาร์ค นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วทันควัน
เด็กหนุ่มผมแดงกลับยักไหล่ก่อนจะผละไปคุยกับหญิงในชุดราตรีอีกคน แล้วไม่นานก็ควงแขนกันไปเต้นรำเรียบร้อย
เจ้าหญิงคงจะแค่ทรงพระประชวรนิดหน่อย ตอนพิธีหมั้นกับเต้นรำ ลูกก็ทำถูกต้องตามธรรมเนียมทุกอย่าง อย่าห่วงเลย ท่านเบเรคดูเหมือนจะเป็นห่วงความรู้สึกของลูกชายคนโตเช่นกัน
ขอรับ ข้าก็ไม่ได้กังวลอะไรหรอก เฟลิมตอบพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ
ไปพักผ่อนตามสบายเถอะ แต่ตอนนี้ลูกเป็นพระคู่หมั้นแล้วก็วางตัวให้ดีด้วย ท่านเจ้ามณฑลไม่วายบอก ก่อนจะหันมาทางลูกสาวคนเล็ก เอ้อ ฟิเดลมา ลูกอยากไปเต้นรำหรือเปล่า
เด็กสาวผมสีน้ำตาลก้มหน้าลงอย่างสำรวม
ถ้าท่านพ่ออนุญาตนะคะ
ถ้าอย่างนั้น...ไปเต้นรำกับอาเมียร์ไหม เด็กหนุ่มผมดำประหลาดใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน พอมองไปทางท่านเบเรคก็เห็นอีกฝ่ายสบตาด้วยเหมือนคะยั้นคะยอทางอ้อม ให้เกียรติเต้นรำกับลูกสาวข้าสักหน่อยเถอะนะ
ข้า...ขออภัยขอรับ อาเมียร์รีบค้อมศีรษะ ข้าเต้นรำอย่างชาวธีร์ดีเรไม่เป็นขอรับ
อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายนะ ชายวัยกลางคนรับ หากรู้ก่อน ข้าจะได้ให้เฟลิมหรือรูอาร์คช่วยหัดให้ เอาเถอะ กลับไปแล้วก็ไปหาโอกาสฝึกก็ได้
ให้ฟิเดลมาเต้นรำกับข้าก่อนก็ได้นะขอรับท่านพ่อ เฟลิมเสนอขึ้น
ก็ดี ถึงอย่างไรก็มาในงานวังหลวงแล้ว จะได้ถือเป็นประสบการณ์ไว้ เสียแต่คู่เต้นรำก็ต้องเลือกหาให้ดี ให้ได้คนที่เป็นสุภาพบุรุษและมีเกียรตินั่นล่ะนะ ท่านเบเรคลดเสียงลงขณะเหลือบมองไปอีกทาง เป็นครั้งเดียวที่ดูคล้ายรูอาร์คมากขึ้น อย่างน้อยก็อย่าเลือกอย่างรองชนะเลิศงานนี้เป็นอันขาด
ท่านหญิงยกพัดขึ้นป้องปาก ส่วนอาเมียร์กับเฟลิมยิ้มออกมา...แม้จะไม่สดใสนัก
ชายหนุ่มส่งมือให้กับฟิเดลมาก่อนจะพาเธอไป ส่วนเด็กหนุ่มผมดำก็ได้รับคำบอกจากนายจ้างให้ผ่อนคลายตามสบายในงานเลี้ยง เขาจึงเลี่ยงเดินไปดื่มเครื่องดื่มและรับประทานของว่างที่จัดไว้บนโต๊ะมุมหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่อาจทำตนเองให้ชินกับบรรยากาศของงานที่ล้วนมีเพียงขุนนางชั้นสูง ซ้ำบางคนยังลอบมองหรือซุบซิบอย่างประหลาดใจที่คนต่างชาติอย่างเขาแต่งกายราวกับขุนนางเข้ามาอยู่ในงานนี้ได้
สุดท้ายอาเมียร์จึงหลบไปสูดอากาศในสวนด้านนอก ที่สวนยามค่ำซึ่งมีตะเกียงจุดไว้เป็นระยะๆ นั้นไม่มีคนมากนัก ลึกเข้าไปอีก เด็กหนุ่มเห็นหลังคา ด้านบนของป้อมกำแพง และหอคอยหลังหนึ่งซึ่งสูงดึงดูดสายตาที่สุด เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจพวกมันขึ้นมา พระราชวังหลวงของธีร์ดีเรแตกต่างจากวังที่เขาเคยอยู่ซึ่งประกอบด้วยหมู่อาคารหลายหลังบนพื้นที่กว้างขวาง ปราสาทหลังนี้สร้างบนเกาะในอ่าว ก่อด้วยหินแน่นหนาเหมือนป้อมปราการ มีทางเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ทางเดียวคือสะพานขนาดใหญ่ซึ่งมีกลไกชักออกได้ เหมือนจะใช้ทะเลเป็นด่านคุ้มกันทางธรรมชาติอีกชั้นหนึ่ง กระทั่งในสวนเช่นนี้ กลิ่นไอเกลือก็ยังโชยเข้ามาแม้จะไม่ได้ยินเสียงคลื่น
มิน่าเล่า...แอชจึงบอกว่าใกล้ถึงปราสาทเมื่อใด สิ่งแรกที่บอกให้รู้ก็คือกลิ่นไอเกลือ
ความคิดถึงเจ้าของชื่อนั้นทำให้เด็กหนุ่มสงสัยขึ้นมาว่าตอนนี้เจ้าหญิงแอชลีนน์อยู่ที่ใดและกำลังทำอะไรอยู่ สนามประลองอยู่ด้านหน้าสุดของปราสาท ขนาบซ้ายขวาของลานที่มีประตูใหญ่ด้านหน้าโถงท้องพระโรง ที่ประทับส่วนพระองค์ก็คงจะอยู่ลึกเข้าไปข้างใน...ตรงส่วนที่มีหอคอยสูงๆ นั่นกระมัง
แต่แอชก็คงไม่ถึงกับอยู่บนยอดหอคอยเหมือนเจ้าหญิงในตำนานพื้นบ้านแถบนี้จริงๆ...แม้สถานการณ์ของเธอจะดูเหมือนไม่ต่างกับเจ้าหญิงองค์นั้นเลย
เด็กหนุ่มลองเดินสำรวจในสวนไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบทางเดินต่อไปอีกด้านหลัง ทางนั้นมีทหารเฝ้าอยู่ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทักหรือห้ามเขาเมื่อเดินผ่านเข้าไปแต่อย่างใด
ข้างในนั้นดูเหมือนจะเป็นสวนเล็กๆ ติดคูน้ำ ปลูกต้นหลิวไว้เป็นทิวดูร่มรื่นกว่าด้านนอก แลไปอีกก็เห็นระเบียงเล็กๆ ล้อมกรอบด้วยราวเหล็กดัด
...มีสีขาวขยับไหวน้อยๆ อยู่บนนั้น...
อาเมียร์กะพริบตาเผื่อเขาจะตาฝาดไป แต่สีขาวนั้นยังคงอยู่ สิ่งที่พลิ้วไหวเหมือนเนื้อผ้าบอกว่าร่างนั้นคงเป็นผู้หญิง เขาลองก้าวเข้าไปใกล้...แล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
แอช!
ร่างนั้นสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันมา เป็นคนที่เขาคิดจริงๆ...ซึ่งสวมชุดนอนสีขาวพลิ้วมีผ้าคลุมไหล่อีกผืน เด็กสาวกระชับผ้าคลุมไหล่แน่นขึ้นก่อนจะถามลงมา
ท่านเข้ามาได้อย่างไร
ข้า... อาเมียร์ชี้ข้ามไหล่ไปข้างหลัง ก็เดินเข้ามาทางนี้
นี่เขตวังชั้นในนะ ทหารยามไม่ห้ามไว้หรือ
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ
เห็นพวกเขาไม่พูดว่าอะไร ข้าเลยเดินเข้ามา
เจ้าหญิงแอชลีนน์ขมวดคิ้วเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรัสเสียงเข้มขึ้น
ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดจริงหรือใช้วิธีอื่นลอบเข้ามา แต่รีบออกไปเสีย เธอกลับหลังหัน หากไม่อยากถูกลงโทษ
เดี๋ยวก่อน อาเมียร์ร้องห้ามทันควันเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ข้า....กระหม่อม...มีเรื่องต้องกราบทูลให้ได้พ่ะย่ะค่ะ
เด็กสาวเหลียวหน้ามาน้อยๆ
เรายังมีอะไรต้องพูดกันอีก
กระหม่อมฝากจดหมายขอโทษไปกับดูลัสตั้งแต่ก่อนกลับเมืองหลวง พระองค์คงจะทรงยังไม่ได้รับ...ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ
เจ้าหญิงหันกลับมาทางเขาเต็มตัว แต่ยังไม่เข้ามาใกล้ระเบียงนัก
ขอโทษเรื่องอะไร
ก็...ทุกเรื่องที่กระหม่อมทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย โดยเฉพาะ...เรื่องที่กระหม่อมทำตัวเป็นพ่อสื่อโดยที่พระองค์ไม่ต้องการ
แล้วจะมาพูดอะไรกันตอนนี้ อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ในเมื่อท่านผลักดันเฟลิมจนมาถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ
กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจให้ท่านเฟลิมชนะ แต่กระหม่อมทราบว่าจะปล่อยให้ชาลัวห์ชนะไม่ได้ เด็กหนุ่มพยายามอธิบาย กระหม่อมได้ยินมาว่าชาลัวห์ชอบฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน แล้วพ่อของเขายังอยู่เบื้องหลังพวกโจรป่าที่เที่ยวปล้นเก็บค่าคุ้มครอง...พวกที่ฆ่าสามีของลีชาก็เป็นพวกนั้น กระหม่อมเชื่อว่าท่านดูลัสแพ้เพราะถูกโกงด้วยวิธีบางอย่าง แต่ในเมื่อยังพิสูจน์ไม่ได้...ก็มีแต่ใครสักคนต้องชนะชาลัวห์ให้ได้ก่อนเท่านั้น
เด็กสาวเงียบไปอีกครู่
...อย่างนั้นหรือ เธอรับแล้วก็ถามช้าๆ แล้วถ้า...พิสูจน์ได้ว่าชาลัวห์โกงจริงๆ ท่านจะทำอย่างไร ผลักดันให้มีการประลองใหม่อย่างยุติธรรม...อย่างนั้นหรือ
อาเมียร์ครุ่นคิดว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ต้องการบอกอะไรเขาจากคำตอบนั้น
หากทรงต้องการให้เป็นเช่นนั้น
เขารู้สึกเหมือนได้ยินเด็กสาวถอนใจหยันๆ
ความต้องการของเราเคยสำคัญเสียที่ไหน
ถ้าทรงต้องการให้ดูลัสชนะ...กระหม่อมมั่นใจว่าเขาต้องชนะได้อย่างยุติธรรมแน่ๆ เด็กหนุ่มเสี่ยงพูด
แอชลีนน์กลับจ้องเขม็งมาทางเขาทันควัน
แล้วท่านไปรู้ได้อย่างไรว่าเราอยากให้ดูลัสชนะ เราอาจจะอยากให้ชาลัวห์ชนะ...อยากให้คาเฮียร์ชนะ...หรืออาจจะอยากให้ใครก็ตามที่ไม่ได้ลงประลองตั้งแต่แรกชนะก็ได้
เด็กหนุ่มเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น...ไม่ก็คิดว่าตนเข้าใจ แต่ทว่า...
ถ้าอยากให้ใครก็ตามที่ไม่มีสิทธิ์เข้าประลองเป็นผู้ชนะ ก็เลิกหวังเสียเถอะพ่ะย่ะค่ะ หวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มีแต่จะยิ่งทำให้เจ็บปวดพระทัยเมื่อผิดหวัง
แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นไปไม่ได้ เด็กสาวแย้งทันที
พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าเป็นไปได้
ก็ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือ
เรื่องบางอย่างผิดพลาดแล้วไม่อาจแก้ไขให้เป็นอย่างเดิมได้ อาเมียร์พยายามตัดบท เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่ยังรั้นจะหวังก็เหมือนกัน กระหม่อมเคยหวังในสิ่งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นไปไม่ได้...และก็ผิดหวังมาแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงหวังแต่ในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ดีกว่า
เรื่องที่ท่านหวังคืออะไร...และเมื่อไร เจ้าหญิงแอชลีนน์กลับถาม ใช่...เรื่องเดียวและเวลาเดียวกับที่ข้าหวังไว้หรือเปล่า
เด็กหนุ่มตอบตนเองได้ทันทีว่า...เขาไม่อาจเอื้อมถึงขั้นนั้น เจ้าหญิงแอชลีนน์...เมื่อตอนเป็นแอช...เป็นคนที่สดใสและกล้าหาญชาญชัยกว่าหญิงอีกหลายคนตามความเข้าใจของเขา แต่ตัวเขาเองปิดกั้นใจไม่ให้รักคนที่รู้ว่าไม่มีทางครองคู่กันได้เสียแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว
เห็นจะไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ อาเมียร์ตัดสินใจตอบ เป็นเรื่อง...การสู้รบครั้งใหญ่...ในแผ่นดินเกิดของกระหม่อมเมื่อนานมาแล้ว มีคนที่กระหม่อมอยากช่วยชีวิตไว้ให้ได้...มีคนที่กระหม่อมไม่อยากให้ตายอยู่มากมาย กระหม่อมหวังว่าตนเองจะไม่อ่อนแอ...หวังว่ากระหม่อมจะช่วยชีวิตพวกเขาได้...และหวังว่าพวกเขาจะรอดชีวิต แต่กระหม่อมทำไม่ได้ ตอนนี้กระหม่อมได้แต่หวังว่า...เรื่องผิดหวังอย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก กระหม่อมไม่อยากให้เกิดเหตุนองเลือดใดๆ ก็ตามอีกในธีร์ดีเร...โดยเฉพาะเรื่องที่กระหม่อมอาจเป็นต้นเหตุ
อย่างน้อยสิ่งที่เขาพูดในตอนต้นก็เป็นความจริง...เป็นหนึ่งในความผิดหวังมากมายที่เขาแบกรับอยู่
เจ้าหญิงแอชลีนน์เงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจยาว
ทำไมท่านไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเลย
เรื่องที่จบสิ้นไปนานแล้ว...ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดขึ้นมานี่พ่ะย่ะค่ะ
แต่ข้าอยากรู้ ข้ามีเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับท่านมากมาย ข้าไม่เคยพบใครอย่างท่านมาก่อน บางที... เด็กสาวชะงักไป ข้า...จะพยายามเลิกหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่...โอกาสที่เราจะได้พบได้พูดคุยกัน...โอกาสที่ท่านจะได้สอนข้าเหมือนเมื่อก่อนยังมีอยู่ใช่ไหม อันที่จริง...ข้าไม่ได้รังเกียจอะไรเฟลิมหรอก บางทีข้ายังคิดว่าหากเป็นเขา...หากเขาชนะโดยที่ท่านไม่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้ทั้งหมด...ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ท่านจะยังสอนเขาเหมือนเมื่อก่อน...ไม่ก็เป็นที่ปรึกษาของเขาใช่ไหม
อาเมียร์พลันเย็นวาบในใจ เขาไม่รู้ว่าตนเองหวาดระแวงเกินไปหรือไม่...แต่ก็เหมือนสังหรณ์ในใจบอกว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์ยังไม่ได้ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ถึงจะรู้ว่าครองคู่กันไม่ได้ก็ยังคิดจะพบเขา...ยังคิดจะให้เขาอยู่ใกล้ๆ
...และถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจจะ...
เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะ
ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ
ทำไม...หมายความว่าอย่างไร
กระหม่อมตัดสินใจมาก่อนหน้านี้ได้พักใหญ่แล้ว...ว่ากระหม่อมจะเลิกทำงานกับท่านเจ้ามณฑลเมื่อสิ้นสุดการประลอง เขาพูดตามที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้
ทำไม! เด็กสาวก้าวเข้ามาใกล้ลูกกรงกั้นระเบียง สองมือเท้าบนราวขณะชะโงกมองเขา
กระหม่อมคิดได้ว่ากระหม่อมไม่เหมาะกับงานนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ
แล้วท่านจะไปทำอะไร
ก็คงจะกลับไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ตามเดิม
แต่ความสามารถของท่านล่ะ...ท่านเก่งออกขนาดนั้น เก่งจนข้ายังอิจฉาเลย
กระหม่อมไม่ได้เก่งอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ คนที่มีความสามารถมากกว่ากระหม่อมยังมีอยู่อีกมากมาย กระหม่อม...ก็แค่สำคัญตนไปว่าตนเองจะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยธีร์ดีเรได้ แต่บางที...กระหม่อมคงจะเดินมาผิดทางเสียเอง
ถ้าท่านตั้งใจจะช่วยข้าจริงๆ ท่านอาจจะทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ได้ เจ้าหญิงแอชลีนน์กลับแย้งจนเขาประหลาดใจขึ้นมา ถ้า...ถ้าชาลัวห์โกงจริงๆ อย่างที่ท่านว่าก็ต้องมีใครสักคนหยุดเขา ท่านเพียงแต่บังเอิญเป็นคนของเฟลิมเท่านั้นเอง แล้วถ้าท่านอยากจะช่วยธีร์ดีเรก็มาช่วยข้าเถอะ...ช่วยชี้แนะข้ากับเฟลิมว่าจะปกครองอย่างไรดีเถอะนะ
อาเมียร์ยังคงสั่นศีรษะปฏิเสธ เขากลัวว่านั่นต่างหากจะเป็นการเดินผิดทางซ้ำสอง
ท่านเฟลิมเรียนรู้จากกระหม่อมไปมากแล้ว และหากทรงต้องการผู้ชี้แนะจริงๆ ก็ยังมีคนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีกว่ากระหม่อมอยู่ไม่ห่างพระองค์นี่เอง ขออภัยด้วย
ครั้งนี้เด็กสาวนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
เอาเถอะ เธอยิ้มเจื่อนๆ ข้าเข้าใจ...ว่าการทำสิ่งที่ต้องฝืนใจตนเองเป็นเรื่องที่ไม่สบายใจขนาดไหน ข้าไม่โทษอะไรท่านหรอก ถึงอย่างไร...เราก็ยังเป็นคนรู้จักกันเหมือนเดิม ถึงอย่างไร...ข้ากับเฟลิมก็ยังไปเยี่ยมเยียนบ้านท่านได้ใช่ไหม...ถึงเราสองคนคงจะไม่ค่อยว่างนัก
บ้านของกระหม่อมยินดีต้อนรับฝ่าบาทกับท่านเฟลิมเสมอพ่ะย่ะค่ะ เขาพยายามยิ้มตอบ
แล้ว...อย่างน้อยท่านก็จะอยู่ร่วมพิธี...ของพวกเราใช่ไหม อย่างน้อยก็อยู่จนกว่าจะถึงตอนนั้นแล้วค่อยกลับเถอะนะ
อาเมียร์นิ่งคิดอยู่อีกครู่ก่อนจะตัดสินใจ
...พ่ะย่ะค่ะ
แอชลีนน์พยักหน้า แล้วก็มองไปรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้น
เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นเราคงมีเวลาพูดกันวันหลัง ตอนนี้ท่านรีบกลับเข้างานไปก่อนดีกว่า มาคุยกันนานๆ อย่างนี้ในเขตหวงห้ามสำหรับท่านออกจะอันตรายไปหน่อย
รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ
รับด้วยเกล้าอะไรกัน เด็กสาวยิ้มอย่างอ่อนใจก่อนจะยักไหล่ ข้า...ยังเห็นท่านเป็นอาจารย์อยู่เหมือนเดิมนะขอรับ
เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น...ลาก่อนนะแอช
ลาก่อนขอรับ อาจารย์
เด็กหนุ่มโบกมือให้เด็กสาวบนระเบียงแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับหลังหันเดินจากไป
...ด้วยใจที่ปลอดโปร่งขึ้น...แต่ก็ยังมีความไม่สบายใจบางประการค้างอยู่ในใจ...
เขาไม่รู้อีกแล้วว่าสิ่งใดถูกหรือผิด รู้แต่ว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าจะทำเป็นการช่วยเหลือธีร์ดีเรอาจไม่ใช่ความช่วยเหลือที่แท้จริง และสิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะยอมทำเพื่อคำพูดสวยหรูอย่าง อุดมการณ์...สิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะทำได้เพื่อคนอื่น...ก็กลับกลายเป็นเรื่องเล่นๆ เอาสนุกเพียงเมื่อไม่มีชีวิตคนอื่นเป็นเดิมพัน...ซ้ำบางอย่างก็เป็นเพียงการสนองความสาสมใจส่วนตัวที่เขาได้รับจากการทำลายความหวังคนที่เขาเกลียดชังอย่างชาลัวห์เท่านั้น เขาคิดถึงใจของคนที่อยู่กลางเรื่องทั้งหมดนี้และจะได้รับผลกระทบทุกประการอย่างแอชน้อยเกินไปอย่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ
...บางที...การออกห่างจากเรื่องบ้านเมืองของธีร์ดีเร...และจากแอชกับเฟลิมเพื่อให้ทั้งสองคนได้ช่วยเหลือกันและกันให้ก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีเขามายุ่งเกี่ยว...ก็อาจจะเป็นการดับโอกาสของปัญหาอะไรก็ตามที่อาจเกิดตามมาก็เป็นได้
* * * แอชลีนน์มองตามร่างของอาเมียร์จนลับสายตา ก่อนจะถอนใจออกมาอีกครั้งเมื่อคิดขึ้นมาว่า...เธอยอมแพ้ง่ายดายไปหรือเปล่าหนอ ถึงอย่างนั้น...เมื่อรู้ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า...การมัวโกรธเขาอยู่อย่างนี้จะทำให้เรื่องอะไรก็ตามดีขึ้นมาได้อย่างไร
เขาคงรู้...ไม่สิ...ต้องรู้ความรู้สึกของเธอแน่ๆ ถึงได้หลีกเลี่ยงเสียขนาดนั้น บางทีเขาคงไม่ได้มีใจตรงกับเธอจริงๆ ไม่สิ...ถึงมี...เธอจะคาดหวังให้เขาทำตามความปรารถนาของเธอได้อย่างไรกัน
ถึงจะมีความรู้ความสามารถเหนือกว่าขุนนางหลายคน...อาเมียร์ก็ยังคงเป็นผู้อพยพต่างชาติที่ไม่มีอำนาจหนุนหลัง มิหนำซ้ำยังมีพ่อแม่และน้องเล็กๆ ให้ต้องเป็นห่วง แล้วยังเรื่องที่เขาพูดเป็นนัยๆ ให้เธอฟังอีก...
เด็กสาวเคยได้ยินมาบ้างว่าชนเผ่านับร้อยในทะเลทรายเป็นพวกป่าเถื่อนที่นิยมการสู้รบ แม้ไม่มีเรื่องแค้นเคืองอะไรก็สามารถยกพวกมารบราฆ่าฟันจนถึงขั้นล้างเผ่าใดเผ่าหนึ่งได้ และเธอยังเคยคิดว่าเป็นเรื่องประหลาดเหมือนกันที่ชาวทะเลทรายที่ดูมีชาติตระกูลและมีความรู้ความสามารถอย่างครอบครัวของอาเมียร์อพยพเข้าธีร์ดีเรมาเพียงเพื่อใช้ชีวิตเป็นชาวไร่อย่างนี้...
บางที...คงมีเหตุอะไรมากกว่านั้น ครอบครัวของอาเมียร์อาจจะรอดชีวิตมาจากการฆ่าล้างเผ่า...ในขณะที่เขายังเด็กอยู่ ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมที่เขาบอกว่าอยากให้ธีร์ดีเรเป็นที่ที่สงบสุขกว่านี้ แต่เมื่อนึกถึงฐานะของเขาในปัจจุบัน เธอก็รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่เกินตัวเสียเหลือเกิน...
ไม่มีทางที่พวกขุนนางแทบทั้งธีร์ดีเรจะยอมรับเขา และเธอก็ยังเคารพรักเสด็จพ่อเสด็จแม่ กับเสด็จพี่ไอลีชผู้ล่วงลับเกินกว่าจะทิ้งธีร์ดีเรที่ทั้งสามฝากไว้ให้ หรือแม้แต่จะบังอาจเห็นความสุขของตนเองมาก่อนความมั่นคงของชาติ บางที...ความโกรธเคืองที่เธอมีเมื่อก่อนหน้านี้คงเป็นเรื่องที่ไร้สาระและเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ
แล้วเธอก็ยังเก็บความโกรธนี้มาได้นานแสนนาน...เพียงเพื่อจะตระหนักได้เมื่อได้พบเด็กหนุ่มอีกครั้งแท้ๆ
ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ เสียงเรียกจากด้านล่างทำให้เธอก้มลง เห็นองครักษ์ที่มีผมสีทองอ่อนค้อมคำนับในสวนห่างออกไปอีกระยะ
ดูลัส มีอะไรหรือ
เมื่อครู่...ทรงมีพระปฏิสันถารกับใครหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินเสียงมาแว่วๆ
เอ้อ ไม่มีใครหรอก เราก็แค่...พูดอะไรกับตัวเองนิดหน่อยน่ะ เด็กสาวรีบกลบเกลื่อน
อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ
ก็ใช่น่ะสิ เดี๋ยวเราจะไปเข้านอนแล้ว ดูลัสก็ไปทำตามหน้าที่เถอะ ราตรีสวัสดิ์นะ
...ถวายบังคมลาพ่ะย่ะค่ะ
แอชลีนน์กลับหลังหันก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตน ใจยังคงคิดถึงคนที่เธอเพิ่งพบเมื่อครู่...ด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ก็ยังไม่อาจสลัดความปรารถนาที่เป็นไปไม่ได้ออกไป...แม้เมื่อสิ้นสุดพิธีสยุมพรแล้วก็ตาม
บทที่ ๒๔ เรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้
* * * ณ ตอนนี้ อาเมียร์ก็ตัดสินใจครั้งใหญ่ไปแล้ว ตอนหน้าก็จะจบเนื้อเรื่องช่วงแรกของที่ผมแบ่งคร่าวๆ ไว้จากหนึ่งในสามครับ
มุขรูอาร์คยุอาเมียร์ให้ปีนขึ้นห้องเจ้าหญิง (น่าตีดีจริงๆ) ได้แรงบันดาลใจจากคุณ Rhodes จากบอร์ด All-final ครับ ว่าไปก็น่าให้ลองทำจริงๆ เหมือนกันนะนี่ เผื่อจะได้เลื่อนตำแหน่ง (ไม่ใช่เป็นพระสวามีหรอก นักโทษประหารข้อหาอะไรก็ตามแต่นั่นล่ะ ^^a ) พรวดพราดกับเขาโดยไม่ต้องมานั่งช่วยคนอื่นรบเสียที
แล้วพบกับตอนใหม่สัปดาห์หน้าครับ :)
Create Date : 07 พฤษภาคม 2552 | | |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2552 21:22:06 น. |
Counter : 282 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บทที่ ๒๒ - เริ่มพิธีสยุมพร
บทที่ ๒๒ เริ่มพิธีสยุมพร
แอชลีนน์บังคับตนเองให้แสดงสีหน้าเรียบเฉยเป็นที่สุดขณะเดินไปยังที่นั่งของตนบนอัฒจันทร์ อันเป็นเก้าอี้ตัวกว้างบุนวมกำมะหยี่ลักษณะคล้ายบัลลังก์ที่เสด็จพ่อเคยประทับมาก่อน มีท่านน้าคอนรอยซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการนั่งบนเก้าอี้ที่เล็กลงมาและห่างออกไป บรรดาขุนนางอื่นๆ นั่งในที่นั่งที่จัดไว้ ขณะที่เคียรากับคุณท้าวทราซายืนอยู่เยื้องไปข้างหลังเธอ
เธอเคยมาชมการประลองในเทศกาลลูคนาซาธบ้างในวัยเด็ก และเห็นเป็นเรื่องตื่นตาพอๆ กับเสด็จพี่ไอลีช เสด็จแม่เคยตรัสอย่างอ่อนพระทัยว่านั่นเป็นเรื่อง...ไม่งามนัก ในเมื่อมันทำให้เจ้าหญิงน้อยยิ่งซุกซนขึ้นขนาดหยิบดาบไม้ขึ้นมาวิ่งเล่นไล่ฟันกับพี่ชายทั่วอุทยานเลียนแบบพวกนักสู้ เธอเคยอ้างกับเสด็จแม่ว่าเสด็จพ่อเคยทรงพระสรวลแล้วตรัสว่าการต่อสู้ในสนามประลองไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายจริงๆ จึงได้สนุก ถึงจะดูน่าหวาดเสียว...ทว่าอาวุธที่ใช้ในสนามประลองเป็นอาวุธเฉพาะ ซึ่งถึงแม้จะทำจากเหล็ก มองไกลๆ มีสีและลักษณะเหมือนอาวุธจริง ก็ไม่มีความคมพอจะสร้างอาการบาดเจ็บร้ายแรงได้...หากไม่เกิดการพลาดพลั้ง
แต่ตอนนี้ เธอไม่อยากดู...ไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับการประลองครั้งนี้อีกแล้ว ถึงอย่างนั้น...เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งธีร์ดีเรก็มีหน้าที่ต้องอยู่เป็นประธานในพระราชพิธีสยุมพร...ซึ่งที่แท้ก็คืองานประลองที่มีอาณาจักรธีร์ดีเรต่างเงินรางวัล และตัวเธอเป็นถ้วยรางวัลมีชีวิตแท้ๆ
เอาเถิด...แอชลีนน์บอกตนเองว่ายังดีที่อย่างน้อยเธอก็มีหน้าที่เพียงนั่งเฉยๆ ให้ดูสง่างามอยู่ตรงนี้ แล้วก็สวมมงกุฎใบไม้ให้กับผู้ชนะโดยไม่ต้องพูดอะไร หน้าที่ประกาศเปิดปิดพิธีเป็นของท่านน้าคอนรอยซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการ ซึ่งเริ่มหน้าที่แรกแล้วโดยที่เด็กสาวไม่ใส่ใจจะฟังนัก
มีประโยชน์อะไรสำหรับเธอที่จะต้องฟัง...
ผู้เข้าประลองทั้งสี่ในชุดเกราะสำหรับประลองถือหมวกศึกไว้ในมือ ก้าวมายืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ในลานประลอง แล้วค้อมคำนับเธอ แอชลีนน์จำดูลัสกับเฟลิมได้ดี และมองออกทันทีว่าใครคือคาเฮียร์กับชาลัวห์ คาเฮียร์มีผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนเคียราไม่มีผิด ร่างกายดูกำยำแข็งแกร่งสมเป็นทหารถึงจะไม่สูงใหญ่มาก เขาสูงไล่เลี่ยกับเฟลิมขณะที่ดูลัสสูงที่สุด ส่วนชาลัวห์เป็นชายผมสีทองหม่นที่ดูจะเตี้ยที่สุด ร่างออกบางดูสะโอดสะอง
เจ้าหน้าที่นำถ้วยเงินใส่สลากมาให้ทั้งสี่จับเลือกคู่ต่อสู้และลำดับการประลองตามความสูงของคะแนนรวมเข้ารอบสุดท้าย นั่นหมายความว่าดูลัสได้จับก่อน ตามมาด้วยคาเฮียร์ เฟลิม และชาลัวห์
เจ้าหน้าที่ประกาศว่าคู่ประลองคู่แรกคือคาเฮียร์กับเฟลิม
ทั้งสองเข้าประจำขอบสนามทั้งสองฝั่งในไม่ช้าและสวมหมวกศึกให้เรียบร้อย ก่อนที่กรรมการจะประกาศให้เริ่มการประลองได้
คาเฮียร์เปิดฉากรุกก่อน ส่วนเฟลิมเบี่ยงหลบหรือป้องกันไปเรื่อยๆ แอชลีนน์เริ่มมองอย่างตั้งใจขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมเรียนดูจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วกว่าที่เธอเคยเห็นเมื่อหลายเดือนก่อนมาก...จนใกล้เคียงกับใครอีกคนที่เธอจำได้มากกว่า
...อาเมียร์ถ่ายทอดวิชาให้เขาได้มากขนาดนี้เชียวหรือ...
ผู้กองคาเฮียร์ท่าทางจะชนะแน่ๆ นะเพคะ คุณท้าวทราซาเอ่ยขึ้นเบาๆ อีกฝ่ายแทบทำอะไรไม่ได้เลยอย่างนี้
เด็กสาวโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วก็แทบชะโงกมอง พึมพำออกมาเบาๆ
...ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
ตรัสว่าอะไรหรือเพคะ
แอชลีนน์ไม่ตอบแต่เฝ้าดูต่อไป เฟลิมยังคงหลบหลีกปัดป้องเป็นหลักตามเดิม แล้วก็สวนกลับไปเป็นระยะๆ แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลนัก
ถึงอย่างนั้น...เธอก็ยังจำได้ว่านี่เป็นกลวิธีที่อาเมียร์เคยใช้เวลาซ้อมกับเฟลิมหรือรูอาร์คซึ่งล้วนแต่ตัวสูงกว่าเขา เมื่อเวลาค่อยๆ ดำเนินไป...
เฟลิมดูเหนื่อยอ่อนยิ่งขึ้น ใครๆ ก็คงคาดว่าหากการต่อสู้ยิ่งยืดเยื้อ เขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะคาเฮียร์ดูตัวใหญ่กว่าและน่าจะมีกำลังกว่ามาก เพราะอย่างนั้น...
คาเฮียร์โถมเข้าฟันเป็นวงสูงจากบนลงล่างหมายจะจบการแข่งขันในอีกดาบเดียว แต่แล้วคู่ต่อสู้กลับยกดาบขึ้นรับไว้ก่อนจะบิดข้อมือ ใช้ดาบปัดจนดาบของผู้รุกเองเอาปลายเฉียงลงดิน แล้วก็ยกขาขึ้นถีบให้ร่างใหญ่กว่าเซออกไปและดาบหลุดจากมือ
ตายแล้ว! อย่างนี้มันโกงกันนี่เพคะ คุณท้าวทราซาร้อง
ในกฎไม่ได้บอกให้ใช้แต่ดาบอย่างเดียวใช่ไหมคะ ท่านน้า แอชลีนน์หันไปถามผู้ที่น่าจะรู้ดีที่สุด
ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ มีแต่ห้ามลงมือโดยคาดหมายได้ว่าคู่ต่อสู้จะถึงตาย พิการ หรือบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
กรรมการประกาศว่าผู้ชนะคือเฟลิม เรียกเสียงฮือฮา...หรือที่ถูกควรจะเป็นโห่มากกว่า...ของผู้ชม ดูเหมือนคนที่เอาใจช่วยผู้กองคาเฮียร์ซึ่งเป็นชาวเมืองหลวงโดยกำเนิดจะมีไม่น้อย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฝ่าบาทกับเจ้าชายทรงดาบได้สง่างามกว่านี้เป็นไหนๆ ผู้กองคาเฮียร์ต่างหากยังใกล้เคียงกว่า น่าเสียดายนะเพคะ
การประลองดาบเพื่อเกียรติยศกับการต่อสู้เอาชีวิตไม่เหมือนกัน ผู้พูดคือท่านแม่ทัพใหญ่คาฮาล ซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างจากท่านน้าคอนรอยนัก
ท่านคาฮาลพูดเหมือนเห็นชอบที่ลูกตนเองแพ้เลยนะ ขุนนางร่างอ้วนใหญ่ศีรษะล้านคนหนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ ตำแหน่งที่นั่งของเขาอยู่ใกล้เจ้ามณฑลอุลทูร์ซึ่งเธอเคยเห็นชินตาที่สุด แสดงว่าเขาคงเป็นเจ้ามณฑลคนใดคนหนึ่งในอีกสองคนที่เหลือ...น่าจะเป็นเจ้ามณฑลชอร์ซา เพราะชายวัยกลางคนอีกคนที่มีผมบางสีน้ำตาลแซมเทาดูมีเค้าหน้าใกล้เคียงกับเฟลิมมากกว่า
พวกเราต้องการกษัตริย์ที่ท่าสวยเวลาประลองเล่นๆ...แต่ป้องกันตนเองไม่ได้ในการรบหรือภาวะคับขันจริงๆ หรือ ประสบการณ์ควรจะสอนเราอีกอย่างแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร แม่ทัพคาฮาลย้ำ ลูกข้าแพ้เพราะอะไร ข้ายอมรับกระจ่างแก่ใจ เขาอ่านคู่ต่อสู้ไม่ละเอียดเอง
ดูเหมือนว่า อาจารย์ จากต่างแดนของท่านเบเรคจะทำงานได้คุ้มค่า ถึงขนาดทำให้ลูกท่านสู้ได้อย่างดุเดือดไม่ผิดชาวทะเลทรายทีเดียว ชายอ้วนศีรษะล้านพูดขึ้นอีก คราวนี้แอชลีนน์รู้แน่แล้วว่าเขาคือคาลวาห์...เจ้ามณฑลชอร์ซา
นักรบชาวทะเลทรายแท้ๆ ยังเก่งกว่าลูกข้ามากมายนัก ท่านคาลวาห์ เจ้ามณฑลยาร์ลาธตอบเรียบๆ แต่หวังว่าไม่ช้านี้เราทุกคนจะได้พบว่าอาจารย์ต่างๆ ที่ท่านทุ่มเทจ้างมาให้ลูกชายของท่านจะทำงานได้คุ้มค่าเช่นกัน
พวกท่านทั้งสองก็แปลกดี เจ้ามณฑลอุลทูร์ที่สูงอายุที่สุดเสริมขึ้นบ้าง วิทยาลัยหลวงของธีร์ดีเร กับราชองครักษ์หรือทหารที่มีฝีมือของชาติเราเองก็มีแท้ๆ ข้าคิดว่าให้ลูกหลานได้ศึกษาจากสถาบันอันมีเกียรติของเรากับการทำงานจริงๆ น่าจะดีที่สุดแท้ๆ
ท่านแฟคท์นา อันวิทยาลัยหลวงนี่ผู้สอบเข้าได้ย่อมเป็นคนที่มีฝีมือจริงๆ เพียงหยิบมือเดียว ลูกข้าไม่บังอาจเทียบเคียงกับลูกชายอัจฉริยะของท่านหรอก คาลวาห์แย้ง แต่การทำงานเป็นนายอำเภอในชนบทก็ทำให้เขาได้ประสบการณ์ในการปราบปรามโจรและดูแลทุกข์สุขของประชาชนมากกว่าคอยตามติดคนชั้นสูง...เอ้อ ข้าไม่ได้จะว่างานราชองครักษ์เป็นงานที่ไม่ดีหรอกนะ ทั้งสองงานต่างก็สำคัญในแบบของมันเอง ชาวไร่ชาวนาเป็นกระดู กสันหลังของชาติ แต่เจ้าเหนือหัวเป็นหัวใจของชาติ ขาดหัวใจก็ไร้ชีวิต แต่ถ้ากระดูกสันหลังเป็นอะไร ชาติก็เหมือนเป็นอัมพาต
เช่นนั้นข้าก็ขอใคร่ออกความเห็นสักหน่อย ว่าการปราบปรามโจรของท่านออกจะเป็นอัมพฤกษ์อยู่บ้าง ถึงขั้นที่ผู้อพยพจากต่างแดนต้องช่วยปราบซ่องโจรแบบไม่ได้อะไรตอบแทนเลยทีเดียว ท่านเบเรคเอ่ยขึ้นบ้าง แต่ก็นับเป็นโชคดีของข้าที่เขาย้ายเข้ามาในยาร์ลาธ ข้าจึงติดต่อกับเขาได้โดยง่าย ไม่อย่างนั้นลูกชายข้าคงไม่ได้พัฒนาฝีมือถึงขั้นนี้
หึ เจ้ามณฑลชอร์ซาหัวเราะ ลูกข้ามีภารกิจมากมายก็ย่อมบกพร่องไปบ้าง กระทั่งราชองครักษ์ยังบกพร่องกันได้เลยไม่ใช่หรือ แล้วในเมื่อมีภารกิจมากมาย ใครกันจะมีเวลาว่างรับการฝึกจากยอดฝีมือในต่างแดนได้อย่างลูกชายที่ไม่ได้รับราชการของท่าน
เด็กสาวอยากลุกหนีการปะทะคารมของเจ้ามณฑลทั้งสามซึ่งทำเหมือนเธอไร้ตัวตน แต่ก็ทำได้แค่หันไปขอน้ำดื่มจากเคียรา ขณะสงสัยว่าเหตุใดการประลองรอบต่อไปจึงได้เริ่มต้นช้านัก เจ้าหน้าที่ปรับสภาพสนามประลองซึ่งเป็นดินทรายเรียบร้อยแล้ว และคู่ต่อสู้คนหนึ่ง...ดูเหมือนจะเป็นชาลัวห์เพราะตัวเล็กกว่าร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาเธอ...ก็ออกมายืนรอที่ฝั่งสนามอีกด้าน
ท่านน้า ทำไมการประลองถึงได้เริ่มช้านักคะ มีอะไรหรือเปล่า เธอตัดสินใจพูดขึ้นมา
กระหม่อมจะให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ ท่านน้าคอนรอยหันไปเรียกเจ้าหน้าที่ แต่แล้วเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกระลอกเมื่อดูลัสออกมาที่ขอบสนามในตอนนั้น
เขาสวมหมวกศึกเรียบร้อยแล้ว แต่ดูท่ายืนไม่มั่นคงนัก ซ้ำยังตอบสนองค่อนข้างช้าเมื่อกรรมการให้สัญญาณเริ่มประลองแล้วชาลัวห์ปรี่เข้ามาพร้อมกับดาบ
กระทั่งเด็กสาวยังมองออกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
ท่านดูลัสเป็นอะไรไป... เคียราเอ่ยเบาๆ ด้วยเสียงหวาดหวั่น
แอชลีนน์ดูด้วยสายตาที่อาเมียร์ฝึกให้ เธอเห็นชาลัวห์โจมตีโดยเร็วเป็นชุด แต่พร้อมกันนั้นก็เปิดช่องว่างของตนมากมาย หากเป็นดูลัสในเวลาปกติคงจะมองออกและหาโอกาสตอบโต้พลิกกลับได้โดยเร็ว ทว่าชายหนุ่มในตอนนี้กลับดูเหมือนคนอ่อนเพลียหนักกระทั่งประคองตนเองยังลำบาก
สุดท้ายดาบในมือของชาลัวห์ก็ฟาดลงมาที่ไหล่ของเขาเต็มแรง ดูลัสเซไปหลายก้าวก่อนจะล้มลงนอนตะแคง คู่ต่อสู้ตามมาเอาดาบจ่อคอของเขา กรรมการประกาศชื่อของผู้ชนะ
โกง! ต้องโกงกันแน่ๆ!! เคียราร้องขึ้นมา
ตายจริง ท่านแฟคท์นา ลูกชายท่านโหมงานราชองครักษ์จนพักผ่อนไม่พออย่างนั้นหรือ ช่างน่าเสียดายจริงๆ คาลวาห์พูดกลั้วหัวเราะอีกครั้ง ลูกชายข้าชื่นชมลูกชายท่านมากและอยากสู้กันเต็มที่แท้ๆ
ดูเหมือนแฟคท์นาจะไม่ตอบโดยสิ้นเชิง
ท่านน้า เด็กสาวหันไปเรียกเบาๆ ด้วยความกังวล
ท่านน้าคอนรอยเรียกเจ้าหน้าที่ข้างหลังตนเข้ามาใกล้และกระซิบสั่งบางอย่าง ก่อนจะหันมาทางเธอ
กระหม่อมให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้ว หากพบว่ามีการทุจริตจะจัดการให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เสด็จเข้าไปพักผ่อนเสวยพระกระยาหารกลางวันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ
แล้ว...แล้วหลานจะเข้าไปเยี่ยมเขาได้ไหมคะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองครักษ์ของหลาน แอชลีนน์ถาม
สีหน้าของท่านน้าบอกชัดว่าไม่เห็นด้วย
กระหม่อมเกรงว่าไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงควรทรงวางพระองค์เป็นกลางไว้ แต่หากราชองครักษ์ดูลัสแพ้ด้วยการโกงอย่างใดก็ตาม กระหม่อมจะให้ความยุติธรรมกับเขาอย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ
ค่ะ...ขอบคุณท่านน้ามากนะคะ เด็กสาวรับก่อนจะลุกจากเก้าอี้หลังเสียงแตรสัญญาณ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องพักที่จัดไว้ให้เธอ มีเคียรากับคุณท้าวทราซาตามไป
เธอเหลือบมองนางกำนัลสาวที่อายุมากกว่านิดหน่อย เห็นสีหน้าร้อนรนของอีกฝ่ายแล้วก็บอกกับตนเองว่า...ถึงเธอจะไปเยี่ยมดูลัสไม่ได้ ก็ยังมีคนที่เธอบอกให้ไปเยี่ยมเขาได้
* * * อาเมียร์ไม่อยากเชื่อสายตาของตนเมื่อเห็นการประลองระหว่างชาลัวห์กับดูลัส
เขาอยากเห็นฝีมือของดูลัสเต็มๆ ตา แม้จะเสียดายอยู่บ้างที่ผลการจับคู่ไม่ได้ออกมาเป็นอย่างที่หวัง เขาอยากเห็นคาเฮียร์สู้กับดูลัส และก็อยากเห็นเฟลิมสู้กับดูลัส แต่แน่นอนว่าไม่อยากเห็นชาลัวห์สู้กับคนเก่งระดับนั้นให้เสียสายตา เด็กหนุ่มคิดว่าผลการต่อสู้ระหว่างชาลัวห์กับดูลัสเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ล่วงหน้าได้แน่นอนและง่ายดาย...ว่าองครักษ์หนุ่มจะจัดการคู่ต่อสู้หมอบได้ในไม่กี่กระบวนท่า ไม่ใช่ถูกเล่นงานหมดท่าเสียเอง
เด็กหนุ่มปักใจเชื่อว่าดูลัสถูกวางยา หากว่าชาลัวห์โกงคะแนนสอบข้อเขียน โกงจับฉลากจนได้ชัยภูมิที่ดีที่สุดไป และโกงคะแนนรวมจนเข้ามาในรอบสุดท้าย ทำไมเขาจะไม่ทำถึงขั้นนี้เพื่อให้ได้ชัยชนะสูงสุดมาเล่า
เอาเถิด อย่างน้อยเจ้าหน้าที่ของธีร์ดีเรก็ไม่นิ่งดูดาย มีการประกาศว่าการประลองรอบสุดท้ายระหว่างเฟลิมกับชาลัวห์ในตอนบ่ายถูกเลื่อนออกไปเพื่อการตรวจสอบบางอย่าง อาเมียร์หวังว่าพวกเขาจะพบยาหรือสิ่งผิดปกติอะไรก็ตามโดยเร็ว และปรับให้คนที่โกงมาตลอดหมดสิทธิ์ไปเสียที
แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท อาเมียร์จึงพยายามตัดโอกาสที่เฟลิมจะได้รับยาเช่นเดียวกันบ้าง เขาคำนวณเวลาจากตอนที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่รับประทานอาหารเช้าซึ่งส่งมาจากห้องเครื่อง กับเวลาประลองของดูลัส แล้วก็พบว่าเฟลิมคงไม่ถูกวางยาพร้อมกันตั้งแต่ช่วงนั้น...หากเป็นยาแบบเดียวกัน นั่นเท่ากับว่าถ้าฝ่ายศัตรูไม่ได้วางยาอีกตัวไว้ในอาหารเช้าของเฟลิม ก็กำลังจะวางยาชนิดเดียวกันในอาหารกลางวัน
นั่นเป็นเหตุให้ชุดอาหารกลางวันหรูหราในภาชนะเครื่องเงินที่ส่งมายังห้องพักของเฟลิมถูกวางหลีกไว้บนโต๊ะมุมห้องโดยไม่แตะต้อง และอาเมียร์ก็ใช้ให้รูอาร์คซึ่งดูจะคล่องตัวที่สุดออกนอกวังไปหาซื้ออาหารจากร้านที่ไว้ใจได้ รวมทั้งซื้อยาสมุนไพรแก้พิษทั่วไปที่เขาพอรู้จักมาเตรียมไว้ด้วย
ท่านดูลัสคงไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ เฟลิมซึ่งนั่งรอด้วยกันพูดขึ้น หวังว่าพวกเขาจะตรวจหายาได้เร็วๆ นะขอรับ
ข้าก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน เด็กหนุ่มผมดำรับ
ข้าไม่อยากให้ท่านดูลัสแพ้เลยขอรับ ยังคิดอยู่เลยว่าเขาจะได้ไปสู้กับท่านคาเฮียร์ในรอบชนะเลิศแน่ๆ ชายหนุ่มเอ่ยลอยๆ
แต่ท่านกับคาเฮียร์ก็สู้กันอย่างยุติธรรมแล้วนี่ สู้อย่างยุติธรรมแล้วเอาชนะมาได้ไม่ใช่หรือ
เฟลิมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะยักไหล่
ก็อย่างที่ข้าบอกอาจารย์นั่นล่ะขอรับ ข้า...ข้าแค่ลองสู้เต็มที่ดู แล้วอาจารย์ก็สอนกลวิธีให้ข้าเป็นพิเศษด้วย ท่านคาเฮียร์คงคาดไม่ถึงเพราะทางดาบของข้าเป็นแบบนักรบทะเลทรายเหมือนอาจารย์มากกว่า
อาเมียร์พยักหน้ารับคำตอบอย่างถ่อมตนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มกลับไม่พูดอะไรเลยถึงการฝึกเพิ่มแรงข้อมือที่เด็กหนุ่มผมดำเคี่ยวเข็ญให้ทำอย่างหนักทุกวันหลังรู้ว่าผ่านเข้ารอบสุดท้าย พอๆ กับการที่อาเมียร์สะกดรอยหรือบุกโจมตีเขาในเวลาไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะด้วยกำปั้น...ไม้...หรือเม็ดถั่วที่ดีดจากนิ้วก็ตาม จนเฟลิมมีสัมผัสไวขึ้นขนาดหลบหลีกได้มากกว่าครึ่งของการโจมตีพวกนั้น
ก็ดีแล้ว เด็กหนุ่มผมดำบอกสั้นๆ
ประตูเปิดเข้ามาโดยไม่มีเสียงเคาะ บอกได้เป็นอย่างดีว่าคนเปิดเป็นใคร รูอาร์คก้าวสวบๆ เข้ามาในห้องก่อนจะหยิบห่อกระดาษแบนเป็นแผงออกมาจากในเสื้อคลุมสองห่อ วางห่อแรกที่ดูใหญ่กว่าบนโต๊ะตรงหน้าเฟลิม ตามมาด้วยผ้าพับเล็กๆ สีขาวอีกผืน
ให้ตาย...เกิดพวกทหารหาว่าข้าเอาของต้องสงสัยเข้าวังละก็ยุ่งแน่ เด็กหนุ่มผมแดงโยนห่อกระดาษที่เล็กกว่าให้อาเมียร์ นี่ของที่อาจารย์สั่งมา แล้วนี่แซนด์วิชของพี่เฟลิม แบนช้ำไปหน่อยก็ขออภัย แอบเอาเข้ามาได้นี่นับว่าโชคดีแล้ว
ขอบใจ เฟลิมคลี่ห่อกระดาษ แล้วหยิบขนมปังประกบเนื้อกับผักข้างในมากินอย่างไม่เกี่ยงงอน
เด็กหนุ่มผมดำตรวจดูว่าตนได้สมุนไพรตามคำสั่ง แล้วก็มองห่อผ้าขาวเล็กๆ ที่รูอาร์คกำลังคลี่ออกมาด้วยความสงสัย
นั่นอะไรหรือ รูอาร์ค
เครื่องรางนำโชคน่ะ เห็นยายชาวทะเลทรายปิดหน้าปิดตาคนหนึ่งบอกว่าหลานแกเจอมาตั้งสี่ใบ สี่คูณสี่ก็ยิ่งอภิมหานำโชคน่ะสิ
ใบแชมร็อคนี่นะ ผู้พูดคือเฟลิมที่เพิ่งกลืนแซนด์วิชคำแรกลงคอ มีคนเจอใบสี่แฉกพร้อมกันถึงสี่ใบ...แถมในเมืองหลวงอย่างนี้ด้วยหรือ เหลือเชื่อ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ รูอาร์คพูดอย่างภูมิใจก่อนจะคลี่ออกให้ดูจะๆ แกบอกไม่ขาย แต่ข้าซื้อของแกนิดหน่อยแกก็แถมมา เลยว่าเอามาให้พี่เฟลิมพกติดตัวนำโชคก็ดี
อย่างนั้นหรือ อาเมียร์พูดขึ้นบ้างก่อนจะชะโงกเข้ามาดูใกล้ๆ ใบแชมร็อคสี่แฉกเป็นอย่างนี้เองหรือนี่ ข้าเพิ่งเคยเห็น
ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาเลื่อนนิ้วไปแตะมันดู แล้วก็สะดุ้งเฮือกเมื่อร้อนวูบขึ้นมาที่ปลายนิ้ว เด็กหนุ่มชักนิ้วออก ยิ่งเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าใบแชมร็อคที่ถูกนิ้วตนค่อยๆ ไหม้กลายเป็นสีดำแต่ไม่มีเปลวไฟ...สุดท้ายก็เหลือเพียงเขม่าบนผืนผ้าขาวที่มีรอยไหม้ตามไปด้วย
เฟลิมกับรูอาร์คจ้องตาค้าง
อาจารย์! อาจารย์ทำอะไร!! เด็กหนุ่มผมแดงเพิ่งร้องเสียงหลงจริงๆ เป็นครั้งแรก
ม...ไม่รู้ อาเมียร์สั่นศีรษะ เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ข้า...ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
รูอาร์คหยิบใบแชมร็อคที่เหลือใบหนึ่งขึ้นมาพลิกๆ ดู แล้วก็บี้ในมือ ก่อนจะยื่นให้เด็กหนุ่มผมดำ
เจ้าจะทำอะไร อาเมียร์ถามอย่างประหลาดใจโดยไม่รับมันไป
ลองดู อาจารย์ มันจะเป็นอย่างใบนั้นอีกหรือเปล่า
คนถูกบอกให้ทดสอบไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ก็อยากรู้เช่นกัน
และครั้งนี้...ทันทีที่ใบไม้นั้นร่วงลงถึงมือของเขา อาเมียร์ก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาอีก ใจของเขาสั่นอย่างประหลาดขณะที่ใบไม้นั้นไหม้คามือจนกลายเป็นขี้เถ้า ทว่าพอสะบัดเศษใบไม้ที่เหลืออยู่ออกไป...ผิวตรงนั้นก็ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีรอยแผลแดงพุพองเลยแม้แต่นิดเดียว
อาจารย์ไปทำอะไรมา รูอาร์คตั้งคำถามอีกครั้ง อาจารย์เล่นกลเป็นด้วยหรือ
ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เด็กหนุ่มผมดำยืนกราน พอข้าแตะถูกมัน มันก็ไหม้เอง
เด็กหนุ่มผมแดงหยิบใบแชมร็อคใบที่สามขึ้นมา แล้วก็ตรงไปที่เหยือกน้ำดื่มข้างถาดอาหาร เทน้ำรดมือตนเองกับใบไม้นั้นให้ชุ่มก่อนจะเดินกลับมา
ลองอีกทีซิ
อาเมียร์แตะใบแชมร็อคบนมือของรูอาร์ค เขาตกใจเมื่อเจ้าตัวแสบพลันร้องเสียงดังพร้อมกับสะบัดมือเร่าๆ ใบแชมร็อคที่ร่วงลงบนพื้นหินขัดไหม้เป็นเขม่าตามสองใบแรก มิหนำซ้ำยังมีควันพวยพุ่งฟู่เมื่อน้ำระเหยเป็นไอ
เด็กหนุ่มผมแดงวิ่งไปเทน้ำในเหยือกราดมือตนเองจนหกเลอะพื้นพลางสูดปาก
ข...ข้าขอโทษ เด็กหนุ่มผมดำตัดสินใจพูด ทั้งๆ ที่ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำร้ายอีกฝ่ายได้อย่างไร
อาจารย์ไม่รู้สึกร้อนเลยหรือ! รูอาร์คหันมาตั้งคำถาม
ก็...นิดหน่อย แต่...แต่มันไม่เห็นจะลวกมือข้าเลย
หมายความว่า...มือของอาจารย์ร้อนจนเผาใบไม้กับทำให้น้ำเดือดได้ แต่อาจารย์ไม่รู้ตัวเลยหรือขอรับ! เฟลิมซึ่งวางแซนด์วิชค้างไว้นานพูดขึ้นบ้าง
ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ๆ อาเมียร์ค้านเสียงแข็ง แล้วก็ตรงไปยังที่วางเหยือก รูอาร์คหลีกทางให้เขาโดยเร็วทันควัน
เด็กหนุ่มผมดำรินน้ำใส่มือของตน เขายังรู้สึกว่าน้ำนั้นเย็นอยู่ตามปกติ และไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนอกจากมันไหลซึมลงไปตามร่องนิ้ว
ข้าไม่ได้ทำให้น้ำเดือดได้ เขาสรุป แต่...ดูเหมือนถ้าข้าแตะใบไม้นั่นแล้วมันจะไหม้คามือได้จริงๆ
งั้นหมายความว่ามันเป็นใบไม้ประหลาด...หรืออาจารย์เป็นมนุษย์ประหลาดกันแน่ รูอาร์คทำสีหน้าบอกไม่ถูก เพราะข้าเอามันมาถึงนี่ก็ไม่ยักจะเกิดอะไรขึ้นเลย
แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นมนุษย์ประหลาดหรือ! อาเมียร์พูดเสียงขุ่นขึ้นทันควัน ไว้พูดตอนข้ามีเขางอกขึ้นมาต่อหน้าต่อตาเจ้าก่อนเถอะ!!
รูอาร์คกับเฟลิมชะงักไป ขณะที่เด็กหนุ่มรวบรวมสติบอกตนเองให้อารมณ์เย็นไว้ เขาก็แค่รู้สึกไม่ดี...ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ต้องฟังเรื่องที่ใครๆ เล่าลือกันว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่กับเสด็จอา...รวมทั้งตัวเขาเองเป็นปีศาจ...ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นบุตรแห่งเทพแห่งความมืดผู้ชั่วร้ายที่ต้องถูกกวาดล้างกำจัด
ข้าขอโทษ อาเมียร์กลั้นใจพูด ข้า...แค่อารมณ์ไม่ดีไปหน่อย ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใบไม้พวกนี้ถึงไหม้บนมือของข้า
รูอาร์คหัวเราะเฝื่อนๆ
อาจารย์น่าจะฝึกเล่นแร่แปรธาตุดูนะ อาจจะไปได้รุ่งก็ได้
ข้าว่านี่น่าจะเป็นใบไม้ประหลาดนะขอรับ เฟลิมพูดขึ้นบ้างขณะก้มมองใบแชมร็อคใบสุดท้ายที่เหลืออยู่โดยไม่แตะต้อง บางที...มันอาจจะไหม้ในมือของคนบางคนก็ได้ แต่อย่างกับเวทมนตร์เลย
อาเมียร์ไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามีสังหรณ์ไม่ดีกับใบแชมร็อคนี้อย่างบอกไม่ถูก
ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรแตะต้องมันจริงๆ เด็กหนุ่มพูดตามตรง เดี๋ยวข้าจะเอามันไปทิ้งก็แล้วกัน
เอางั้นก็ได้ รูอาร์คพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหยิบของอีกสองอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อตน
อาเมียร์เห็นว่าพวกมันเป็นสร้อยลูกปัดและกำไลแบบชาวทะเลทราย
นี่อะไร
ของที่ข้าซื้อมาจากยายคนนั้น อาจารย์ช่วยลองดูหน่อยแล้วกันว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า เกิดข้าเอาไปให้คนที่ข้าอยากให้ แล้วมันมีมนต์เสน่ห์ทำให้นางรักข้าเต็มเปาในทันทีเลยก็จีบไม่ลุ้นน่ะสิ
เจ้านี่! เด็กหนุ่มผมดำเอ็ด ข้าไม่ใช่พ่อมดสักหน่อยจะได้รู้! แล้วเรื่องแบบนี้ยังมาพูดเล่นได้อีก!!
เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้ทั้งสามเงียบลงทันควัน
พ่อเอง ขอเข้าไปได้ไหม
เชิญขอรับท่านพ่อ เฟลิมตอบทันที
ท่านเบเรคเปิดประตูเข้ามา สีหน้าบอกความภูมิใจในตัวลูกชายเต็มที่
รีบเตรียมตัวเสียนะ การประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งชั่วยามหน้า
อาเมียร์กะพริบตาปริบๆ
กับชาลัวห์น่ะหรือขอรับ
ชายวัยกลางคนพยักหน้า
แล้วดูลัส...พวกเขาไม่สืบหรือขอรับว่าดูลัส...ถูกโกงหรือเปล่า
เห็นจะไม่ต้องสืบต่อแล้วล่ะ ท่านเบเรคตอบพร้อมกับยักไหล่ หมอไม่พบร่องรอยของยาอะไรเลย ไม่มีหลักฐานว่าชาลัวห์โกง...ถึงมันจะดูไม่น่าเชื่อก็เถอะ
ชายวัยกลางคนปรายตามองถาดอาหารที่วางหลบไว้ตรงโต๊ะมุมห้อง กับแซนด์วิชที่มีรอยกัดค้างอยู่ตรงหน้าเฟลิม
แต่ก็ดีแล้วที่เจ้ารอบคอบไว้ก่อน เราไม่ควรเสี่ยงจริงๆ หากชาลัวห์ชนะย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับธีร์ดีเรแน่ๆ คงต้องฝากหน้าที่นี้ไว้ให้เจ้าแล้ว เฟลิม
...ขอรับ อีกฝ่ายรับคำแม้จะลังเล ข้า...ข้าคงพูดไม่ได้ว่าจะไม่ทำให้ท่านพ่อหรือใครๆ ผิดหวัง แต่ข้า...ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดขอรับ
ดีแล้ว แค่พยายามก็พอแล้วลูก ท่านเบเรคยิ้มอ่อนๆ เท่านี้พ่อก็ภูมิใจในตัวเจ้ามากแล้ว
ทั้งสี่เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจหยิบแซนด์วิชขึ้นมารับประทานต่อ
เดี๋ยวพ่อกลับไปยังที่นั่งดีกว่า...ถึงจะไม่อยากฟังคาลวาห์พล่ามอวดสรรพคุณลูกชายนักก็เถอะ ตามสบายนะทุกคน ขอให้เจ้ามีชัย เฟลิม
หลังจากท่านเบเรคออกไปจากห้อง อาเมียร์ก็ทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะบังคับตนเองไม่ให้ถอนใจเฮือกใหญ่
เขาไม่รู้เลยว่าชาลัวห์ใช้วิธีสกปรกอะไร แต่หากจับกลโกงของมันไม่ได้ทั้งๆ ที่เห็นพิรุธอยู่ทนโท่มันก็น่าหงุดหงิดเกินไปแล้ว
อาจารย์... เฟลิมเรียกเบาๆ
ท่านเฟลิม ท่านต้องเล่นงานมันให้หนัก อาเมียร์พูดเสียงแข็ง ข้าจะบอกเดี๋ยวนี้ว่าท่านต้องทำอย่างไร
* * * ไอ้คางคกนั่น... เสียงของชายชราคำรามอยู่ใกล้ๆ กับดูลัสที่ยังนอนบนเตียง มันใช้วิธีโกงอะไรกันนะ
ข้อนี้องครักษ์หนุ่มก็ตอบพ่อของตนไม่ได้ เขามั่นใจว่าตนกับเกอร์มอนระแวดระวังเรื่องอาหารและน้ำดื่มถ้วนถี่แล้ว ทั้งยังตรวจดูชุดเกราะอาวุธด้วยว่าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย ถึงอย่างนั้น...ตอนที่กรรมการเรียกตัวเขากับชาลัวห์ออกไปประลอง ดูลัสก็ปวดศีรษะและวิงเวียนขึ้นมาอย่างประหลาด เขาพยายามข่มอาการไว้สุดความสามารถ...แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ
...เป็นการพ่ายแพ้ที่ไม่น่าให้อภัยจริงๆ...
หมอเข้ามาตรวจดูอาการของเขาอย่างละเอียด แต่ก็ดูเหมือนอาการของเขาจะหายดีเป็นปลิดทิ้งทันทีที่ได้ถอดชุดเกราะเข้ามานอนพัก ไม่มีร่องรอยหรือผลตกค้างของยาชนิดใดที่หมอรู้จัก...หรือไม่รู้จัก นั่นคือคำบอกที่เขาได้รับ ทั้งๆ ที่ใครๆ พร้อมใจกันบอกว่าความพ่ายแพ้ของเขาผิดปกติเกินไป แม้แต่เจ้าหญิงแอชลีนน์...ซึ่งถึงจะเสด็จมาเยี่ยมเขาด้วยพระองค์เองไม่ได้ก็ยังทรงมีน้ำพระทัยส่งนางกำนัลคนสนิทมา
...นางกำนัลคนสนิทคนเดียวกับที่นำบรรดาเครื่องรางนำโชคมาให้เขา...
เคียราดูเหมือนจะเสียใจมาก หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ถามเขาซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรมากไหม กำชับหมอให้ตรวจอาการของเขาดีๆ แล้วก็แสดงความห่วงใยด้วยการถามอาการเขาเองบวกกับเสนอวิธีพยาบาลสารพัดอย่าง ออกจะเป็นความหวังดีที่วุ่นวายเกินไปจนสุดท้ายดูลัสต้องบอกเธอว่าเขาไม่เป็นอะไรมากและอยากพักผ่อนเงียบๆ เธอจึงได้ยอมกลับไป และเมื่อหมอออกไปแล้ว บัดนี้ในห้องก็เหลือเพียงเขา เกอร์มอน...คนสนิทของเขา ท่านพ่อ กับมาดาย...คนสนิทของท่านพ่อ
ชายชราร่างผอมสูงที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวอย่างนักปราชญ์ มีเส้นผมและหนวดเคราสีขาวสั้นราวต้นคอหันมองไปมาโดยรอบก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็น
ข้าคิดว่า...ข้าสัมผัสเวทมนตร์ได้จากบริเวณนี้
เวทมนตร์...อย่างนั้นหรือ ท่านพ่อหันไปถามทันควัน พวกมันใช้เวทมนตร์ทำให้ดูลัสแพ้ได้ด้วยหรือ
อาจเป็นได้ แต่ข้าต้องสืบดูต้นตอของเวทมนตร์เสียก่อนว่าเป็นสิ่งใด ชายชุดขาวหันศีรษะไปมา ก่อนจะตรงไปยังชุดเกราะและเสื้อผ้าที่ดูลัสสวมตอนประลอง ซึ่งถูกวางเรียงไว้บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
เขาหยิบถุงผ้าเล็กๆ ในนั้นขึ้นมา
หากสัมผัสของข้าไม่ผิด...วัตถุที่มีพลังเวทมนตร์อยู่ในนี้
ดูลัสชันกายขึ้นนั่งแล้วขมวดคิ้ว
นั่นมัน...
นิ้วเรียวของมาดายคลายเกลียวด้ายที่ปากถุงก่อนจะคว่ำมันลงหามือข้างหนึ่ง ใบแชมร็อคทั้งสี่ใบทยอยร่วงลงบนฝ่ามือของเขา ก่อนที่ดูลัสจะเห็นเปลวไฟสีฟ้าลุกพรึบขึ้นบนมือเหี่ยวย่น...เผาใบแชมร็อคทุกใบจนกลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา
มันรู้ทัน...กำกับมนตร์ทำลายมาด้วยหากถูกสัมผัสด้วยผู้มีเวทมนตร์เหมือนกัน จะได้เก็บไว้พิสูจน์หลักฐานไม่ได้ มาดายเปรยขึ้น อาคมสะกดแรงมาก ท่านไปได้พวกมันมาจากที่ใดกัน
...มีคนมอบให้ข้า องครักษ์หนุ่มจำใจตอบ เป็นเครื่องรางนำโชค
คนคนนั้นเป็นใคร ท่านพ่อถามเสียงห้วนแข็งทันควัน
ข้าไม่คิดว่าคนคนนั้นรู้เรื่องนี้หรอก ดูลัสตัดบท เขา...เป็นคนที่ข้าเชื่อว่าไว้ใจได้
ถึงไว้ใจได้ก็ต้องระวังไว้ ไม่สิ...เพราะยิ่งไว้ใจต่างหากจึงต้องระแวงให้จงหนัก ท่านพ่อผู้เข้มงวดยังไม่วายพูดเสียงเครียด
ขอรับ ข้าทราบแล้ว ชายหนุ่มรับเสียให้หมดเรื่อง ข้าจะไปถามคนคนนั้นเองว่าได้ใบไม้นี่มาจากไหน ท่านไม่ต้องห่วง แต่เรื่องเวทมนตร์...ท่านมาดายคิดว่าเราจะพิสูจน์ว่าฝ่ายตรงข้ามใช้เวทมนตร์ในการโกงได้ไหม
เป็นเรื่องที่ดูลัสถามทั้งๆ ที่ตนเองเชื่อว่าเป็นไปได้ยาก ตัวเขาเองไม่เคยเชื่อถือเรื่องเวทมนตร์...ในเมื่อไม่เคยเห็นกับตาจนถึงตอนนี้ และแม้ชาวธีร์ดีเรส่วนมากจะเชื่อในเรื่องแบบนี้...หากไม่มีหลักฐานชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอันจะยืนยันให้ผู้สำเร็จราชการและคณะกรรมการเชื่อได้อย่างไร
มาดายปัดเศษขี้เถ้าไปจากมือก่อนจะโคลงศีรษะ
หากไม่มีหลักฐานชัดเจนให้นักบวชผู้รู้อาคมตรวจสอบก็เห็นจะไม่ได้ ข้าขออภัย...ที่ประมาทมิได้ร่ายมนตร์ล้างอาคมทำลายเสียก่อน แต่หาก...ได้วัตถุเวทมนตร์อย่างเดียวกันมาปลดอาคมทำลายได้ก็อาจมีหวัง
นั่นหมายความว่าคาดหวังกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย ท่านพ่อพูดขึ้น
อย่าร้อนใจไป ท่านแฟคท์นา มาดายติงด้วยเสียงเรียบๆ ชะตาลิขิตเป็นเช่นไร วิถีของทุกผู้คนย่อมเดินไปตามแนวทางนั้น ท่านวางใจเถอะ
เสียงแตรสัญญาณที่ดังแว่วมาบอกว่าการประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ดูลัสลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อย เกอร์มอนหยิบเสื้อคลุมที่แขวนอยู่มาสวมให้เขาอย่างรู้หน้าที่
เอาเถอะ ตอนนี้เรายังทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ อย่างกังวลเลย ดูลัสบอกตนเองให้ข่มอารมณ์อันขุ่นมัวเป็นที่สุดไว้ด้วยเหตุนั้นเช่นกัน ข้าจะไปดูการประลอง ไม่แน่...หากลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธมีอาการเดียวกัน เราอาจมีหวังคัดค้านผลการประลองได้มากขึ้น
เจ้าคิดจะร่วมมือกับพวกมันหรือ ท่านพ่อถามเขา พวกมันเชื่อถือได้มากเท่าไรกัน
ถ้าเพื่อกำจัดศัตรูที่อันตรายที่สุดในตอนนี้ก็ต้องทำ องครักษ์หนุ่มตอบง่ายๆ แล้วถ้าจำเป็นก็ค่อยตลบหลังพวกมันทีหลังไม่สาย
ชายชราหัวเราะสั้นๆ
เจ้าคิดถูกแล้ว ลูกพ่อ
ดูลัสออกไปจากห้อง มีเกอร์มอนผู้เป็นองครักษ์ตามไปเพียงคนเดียว ทิ้งบิดาของตนไว้กับผู้รู้อาคมเพียงลำพัง
* * * เมื่อเดินไปตามทางเดินเพียงไม่นาน...เขาก็พบกับคนที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะพบ
ท่านดูลัส อีกฝ่ายทักเขาก่อน หายดีแล้วหรือ
ดูลัสมองเด็กหนุ่มชาวทะเลทรายที่เป็นคนถาม สีหน้าของมันบอกความห่วงใยอย่างจริงใจ...แต่เขาก็ยังย้ำกับตนเองว่ามันอาจเสแสร้งก็ได้
ก็อย่างที่เห็น
อาเมียร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ข้า...เสียใจด้วย ข้าหวังว่าท่านจะชนะแท้ๆ
ขอบใจ ชายหนุ่มตอบสั้นๆ แล้วไม่ไปให้กำลังใจนายของเจ้าหรือ
ข้าก็กำลังจะไปอยู่นี่ล่ะ
ดูลัสมองคนตอบ...ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายถือผืนผ้าสีขาวบางไว้ในมือเหมือนมีบางสิ่งอยู่ด้านบน...บางสิ่งที่เขาเห็นแวบๆ เป็นแผ่นเล็กสีเขียวมัวๆ
นั่นอะไร
เอ้อ...ไม่มีอะไรหรอก เด็กหนุ่มตอบตะกุกตะกัก แค่...เศษขยะน่ะ ข้ากำลังจะนำไปทิ้ง
ชายหนุ่มปราดไปข้างหน้า แลเห็นใบสี่แฉกถนัดตา เขารีบยื่นมือไปคว้าโดยไม่คิดอะไรอีก
เอามานี่!
อาเมียร์ปัดป้องทั้งๆ ที่สีหน้าดูตกใจ พอดูลัสแย่งผ้าขาวผืนนั้นมาได้ก็พบเพียงเศษเขม่าบนผืนผ้าเท่านั้น
องครักษ์หนุ่มก้มลงมองพื้นหินโดยรอบ แต่ก็ไม่พบสิ่งที่ตนตามหาอยู่
ใบแชมร็อค...ใบแชมร็อคนั่นอยู่ไหน! เขามองอีกฝ่ายอย่างแข็งกร้าว เจ้าเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน!
ใบแชมร็อคอะไรกัน เด็กหนุ่มตอบอย่างสงบขึ้น พร้อมกับแบมือที่มีคราบเขม่าเล็กน้อยให้เขาดู ผ้านี่เปื้อนเขม่า ข้าถึงจะเอาไปทิ้ง ท่านตาฝาดไปหรือเปล่า
ชายหนุ่มจ้องมองมือของอีกฝ่าย ครั้นเห็นว่าคราบเขม่าบนมือนั้นมีรูปร่างคล้ายกับใบแชมร็อคสี่แฉกมากก็เบิกตากว้าง
...เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมันอย่างนั้นหรือ...
ดูลัสสูดหายใจลึกๆ แล้วก็บอกตนเองให้สงบอารมณ์ไว้
ขอโทษ ข้าคงตาฝาดไปเอง
ไม่เป็นไร อาเมียร์ตอบง่ายๆ ข้าเข้าใจว่าท่านคงระแวงเรื่องยา ข้า...เชื่อว่าท่านถูกวางยาจริงๆ ทางคณะกรรมการคงจะสืบสวนต่อ
อาจจะไม่ใช่ยาก็ได้ องครักษ์หนุ่มพูดทันควันพร้อมกับมองอีกฝ่ายหาพิรุธเพิ่มเติม
แต่ท่าน... อาเมียร์ยังดูงุนงงและซื่อจนเขาไม่อยากเชื่อ...ว่ามันจะแสดงละครเป็นคนดีได้แนบเนียนเสียเหลือเกิน
ช่างเถอะ ข้าจะรีบไปดูการประลอง หวังเป็นอย่างยิ่งว่านายของเจ้าจะไม่แพ้แบบเดียวกับข้า
ว่าแล้วดูลัสก็ก้าวยาวๆ จากไปกับเกอร์มอน ทิ้งเด็กหนุ่มไว้ที่เดิม
...ไม่นึกเลยว่ามันจะอันตรายกว่าที่เขาคิดจริงๆ...เพียงแต่มันอยู่ฝ่ายใครกันแน่...
นั่นคือคำตอบที่เขาต้องรู้ให้ได้จากผลการประลองครั้งนี้
บทที่ ๒๓ เสร็จสิ้นพิธีสยุมพร
* * * และแล้วคุณพ่อเขี้ยวตันทั้งสาม (หรือสี่ดี) ก็ออกโรงสำแดงเดชกันพอหอมปากหอมคอจนได้ ^^a
แอบเสียดายคู่ดูลัสล้มมวย แต่คิดว่าต่อไปน่าจะมีโอกาสให้หมอนี่ได้แสดงฝีมือจริงๆ เหมือนกัน
อาเมียร์ตอนนี้ก็กำลังจะค่อยๆ เผยความประหลาดส่วนตนออกมาเรื่อยๆ แต่ก่อนหน้านั้นต้องดูผลแพ้ชนะของชาลัวห์กับเฟลิมก่อนครับ
Create Date : 30 เมษายน 2552 | | |
Last Update : 30 เมษายน 2552 11:50:06 น. |
Counter : 570 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บทที่ ๒๑ - ก่อนการประลองรอบสุดท้าย
บทที่ ๒๑ ก่อนการประลองรอบสุดท้าย
เสียงระฆังบนหอคอยอารามหลวงดังกังวานในเช้าวันศักดิ์สิทธิ์ หญิงสาวผู้สวมชุดกระโปรงเรียบๆ สีเทา และผ้าคลุมผมสำหรับวันทำพิธีทางศาสนาก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง ให้ทุกย่างก้าวของตนตรงกับจังหวะที่เสียงระฆังดังทุกครั้งไป
จากนั้นเธอก็ไปที่น้ำพุอธิษฐานที่ลานข้างหน้าอาราม อวยพรถึงความปรารถนาของตนก่อนจะทิ้งเหรียญเงินที่ใหญ่ที่สุดลงไป
เคียรามองเหรียญของตนจมลงไปสู่ก้นน้ำพุหินอ่อนสีขาวที่มีเหรียญอื่นๆ สะท้อนแสงแดดวาววับอยู่ภายในแล้วหลากหลายมากมาย...ดูเหมือนจะมากมายกว่าวันศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะตอนนี้เข้าช่วงปีใหม่กับฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งผู้คนมักจะมาอธิษฐานขอให้ปีนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี...
หรืออาจเป็นเพราะ...วันประลองรอบสุดท้ายก็คือวันพรุ่งนี้เอง
เธอคิดว่าเธอเห็นขบวนรถที่ติดธงตราหมูป่าอันเป็นสัญลักษณ์ของมณฑลชอร์ซาแล่นเข้ามาใกล้ๆ ออกจะสายไปหน่อยสำหรับการทำวัตร...แต่ท่านเจ้ามณฑล หรือไม่ก็ลูกชาย คงคิดจะมาเพียงอธิษฐานเท่านั้นกระมัง ท่านดูลัสตอนนี้ก็คงอารักขาเจ้าหญิงแอชลีนน์กลับจากพิธีทำวัตรตามปกติที่จัดในอารามเล็กๆ ในพื้นที่พระราชวังแล้ว
คนที่มาอธิษฐานเกี่ยวกับผลการประลองในวันพรุ่งไม่จำเป็นต้องมีเพียงผู้เข้าร่วมการทดสอบ ครอบครัว หรือมิตรสหาย หญิงสาวได้ยินมาบ้างว่ามีกระทั่งการลอบพนันขันต่อด้วยเงินว่าใครในสี่คนจะเป็นผู้ชนะ...แม้ทางการจะพยายามปราบปรามควบคุม เธอไม่พอใจนักที่คนพวกนั้นเห็นความสุขของเจ้าหญิงแอชลีนน์เป็นเรื่องสนุก...แต่จะทำอย่างไรได้ ทุกคนดูจะครึกครื้นกันเสียเหลือเกินกับวันประลองนี้...ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกในรอบสามปีหลังการลอบปลงพระชนม์ที่มีการเปิดสนามประลองในพระราชวังและมีงานประลองให้ประชาชนเข้าชม แทนที่งานลูคนาซาธที่ว่างเว้นไปนาน
เคียราไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกคนที่เธออธิษฐานให้ชนะว่าอย่างไรดี...ไม่ใช่ทั้งญาติ และก็ไม่รู้จะเรียกว่ามิตรได้หรือไม่ เอาเป็นว่าเป็นคนที่เธอรัก...และอยากให้คู่กับคนอีกคนที่เธอรักก็แล้วกัน
ขออภัย ท่านชื่อเคียรา โบรนัคใช่ไหมขอรับ เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้หญิงสาวตกใจ
หันขวับไปก็เห็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ชายวัยยี่สิบต้นๆ เค้าโครงหน้าแข็งแกร่งเหมือนชายอายุมากกว่าอีกคนที่เธอเคยเห็น เขามีผมสีน้ำตาลเข้มเหมือนเธอ...แต่ดวงตาสีเขียว...
...เหมือนกับแม่...
ขออภัยที่ข้าเข้ามาพูดคุยด้วยโดยไม่บอกกล่าว แต่ข้ามีเรื่องต้องการถามขอรับ ชายคนนั้นยังพูดต่อไป ถ้อยคำของเขาสุภาพ แต่น้ำเสียงติดจะห้วนแข็งเหมือนทหาร ว่าท่านรู้จักผู้หญิงที่ชื่อชีลา โบรนัค หรือเปล่า
ชื่อของแม่...เคียราเริ่มลังเล เธอควรจะตอบชายหนุ่มไปอย่างไรดี บอกว่าเขาทักคนผิดอย่างนั้นหรือ...หรือปฏิเสธไปว่าไม่รู้จัก
ข้ารู้จักท่านจากข่าวลอบปลงพระชนม์เมื่อสามปีก่อน แต่หาโอกาสเข้ามาพูดกับท่านไม่ได้จนถึงวันนี้ ชีลา โบรนัคเป็นแม่ของข้าเอง ข้าได้ข่าวมาว่านางล้มป่วยจนเสียชีวิตไปตั้งแต่ข้าอายุแค่สองขวบ ข้าจำหน้าของแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้ยินมาว่านางมาจากตระกูลโบรนัค แต่หลังจากนางเสียชีวิต ครอบครัวของข้าก็ไม่ได้ติดต่อกับญาติทางแม่อีก ข้าจึงต้องการทราบว่าท่านรู้จักแม่ของข้าหรือเปล่า
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ยังคงตั้งสติไม่ถูกว่าจะตอบอย่างไร จนกระทั่งเขาพูดขึ้นอีกครั้ง
ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าชื่อคาเฮียร์ เป็นผู้กอง
ผู้กองคาเฮียร์...ข้ารู้จักท่านแล้วค่ะ เคียราก้มหน้าหลบสายตาขณะตอบ
จากที่ไหนหรือขอรับ น้ำเสียงของเขาฟังยินดีขึ้น
ท่าน...เป็นผู้เข้าร่วมงานประลองนี่คะ แล้วข้าก็...เป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงแอชลีนน์ เธอค่อยๆ เรียบเรียงคำตอบ...ซึ่งก็เป็นคำลวงทั้งสิ้น เธอรู้จักชื่อของเขามาก่อนหน้านี้อีก แต่ข้าไม่รู้จักแม่ของท่านหรอกค่ะ ขออภัยด้วย
แต่...ท่านมาจากตระกูลโบรนัคไม่ใช่หรือ เราน่าจะเป็นญาติกัน กระทั่งสีผมของเรายังเหมือนกันมากเลย
...ข้าไม่ได้เป็นญาติกับขุนนางตระกูลโบรนัคค่ะ เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นเองที่เรามีนามสกุลเดียวกัน เคียราปฏิเสธ
อย่างน้อยนั่นก็เป็นความจริงครึ่งหนึ่ง เพราะญาติทางฝ่ายแม่ตัดขาดแม่กับเธอออกจากตระกูลตั้งแต่ก่อนตัวเธอจะลืมตาดูโลกเสียอีก
ข้า...ข้าขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวข้าต้องรีบกลับเข้าวังไปรับใช้เจ้าหญิง เธอพยายามปลีกตัวไปโดยเร็ว แต่แล้วก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งสอง นำมาโดยชายหนุ่มอีกคนที่มีผมหยักศกสีทอง แต่งกายด้วยชุดสีเคร่งขรึมตามธรรมเนียม...แต่ก็แขวนสร้อยประคำเส้นโตฝังเพชรพลอยดูหรูหราอย่างที่เคียราไม่ใคร่ชอบนัก
ผู้กองคาเฮียร์ ไม่นึกเลยว่าจะออกมาเกี้ยวสาวอื่นในวันศักดิ์สิทธิ์ แถมยังก่อนวันประลองวันเดียวแท้ๆ
คาเฮียร์มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่พูดอะไร กระนั้นหญิงสาวก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจ
เขาแค่มีเรื่องจะถามข้านิดหน่อยค่ะ ข้าเป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงแอชลีนน์ เธอตัดสินใจพูดแทน เพราะเห็นว่าอย่างไรชายคนนี้ก็ถือเป็นพี่ชายร่วมแม่ ไม่ควรจะปล่อยให้ขุนนางชนบทระดับล่างมากล่าวหาให้เสียชื่อได้
อ้อ ชายคนนั้นกลับพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา นับเป็นเกียรติที่ได้พบกันในวันนี้ ข้าคือชาลัวห์ ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาที่จะมาเป็นพระสวามีของนายของเจ้าเอง
เคียราต้องบังคับตนเองเป็นอย่างหนักไม่ให้แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าคนโอ้อวดอย่างนี้จะสามารถเข้ารับการทดสอบได้ด้วยซ้ำ
...หามิได้ค่ะ นับเป็นเกียรติของข้าต่างหาก
ชายหนุ่มจับมือของเธอขึ้นมาทำท่าจะจูบเบาๆ ทำให้นางกำนัลสาวยิ่งต้องบอกตนเองให้อดทนกว่าเดิม
แต่ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะทันสัมผัสหลังมือของเธอก็มีเสียงคนพูดแทรกขึ้นมา
ท่านชาลัวห์ วันศักดิ์สิทธิ์แถมวันก่อนหน้าประลองแท้ๆ ยังมาทำเจ้าชู้ไก่แจ้อย่างนี้ ไม่งามนะขอรับ
หญิงสาวหันไปเห็นชายอีกสามคน ชายหนุ่มคนหนึ่งมีผมสีน้ำตาลตัดสั้นราวต้นคอ อีกคนที่ดูอายุน้อยและร่างเพรียวบางกว่ามีผมสีแดงดูยุ่งเหยิงหน่อยๆ และคนที่สามที่อายุน้อยกว่าเหมือนกันอีกเป็นชายผมสีดำสนิท ผิวออกเหลืองไม่เหมือนชาวธีร์ดีเรแต่ก็ไม่ถึงกับคล้ำ ทั้งสามแต่งกายภูมิฐานด้วยชุดสีเคร่งขรึม แต่ชายผมแดงดูจะปล่อยให้เสื้อผ้ายับจนเกินควรไปหน่อย
แกอีกแล้ว คนถูกทักพูดเหมือนเข่นเสียง
ความจำยังดีเหมือนเดิม ว่าแต่ข้อมือหายดีแล้วหรือขอรับ ชายผมดำพูดขึ้น เคียราจำเสียงได้ว่าเขาเป็นคนเตือนชาลัวห์ตอนเดินเข้ามานี่เอง
หายดีพอจะไล่บี้นายแกให้แบนติดลานประลองก็แล้วกัน!
วันศักดิ์สิทธิ์เขาห้ามสบถสาบานไม่ใช่รึ เด็กหนุ่มผมแดงเสริมขึ้นบ้าง ระวังเทพเจ้าลงโทษก็แล้วกัน ทั้งก้อร่อก้อติกกับผู้หญิงกับปากสุนัขอย่างนี้
ยังกะแกไม่สบถสาบานอย่างนั้นล่ะ
รูอาร์คโคลงศีรษะแล้วจุปาก
ข้าพูดว่า ปากสุนัข เป็นคำสุภาพนา ไม่ได้พูดว่าปาก...อ๊ะ เกือบไปแล้วๆ คนพูดตบปากตนเองเสียงดัง
จะพูดว่าอะไรมันก็เหมือนกันนั่นล่ะ! ชาลัวห์ปล่อยมือจากเธอ ทำท่าจะก้าวเข้าไปหาทั้งสามคน แต่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็พูดขึ้นเสียก่อน
ทั้งสองคนพอทีเถอะ เดี๋ยวก็กลายเป็นทะเลาะกันกลางที่สาธารณะหรอก
แกตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่รึ!
คาเฮียร์เข้าไปขวางระหว่างทั้งสองฝ่าย
หากพวกท่านทำอย่างนั้น พระเกียรติของเจ้าหญิงแอชลีนน์จะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย
แล้วเจ้าเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย ข้าพูดกับไอ้พวกหมารับใช้ลูกเจ้ามณฑลยาร์ลาธ ไม่ใช่เจ้า!
ขอโทษ...สุนัขไม่เห่ากัดเจ็บนะ เทียบกับสุนัขที่เอาแต่เห่าใบไม้แห้ง...รายหลังพอเจอสุนัขที่แน่จริงก็คงจะได้แต่วิ่งหางจุก...อ๊ะ ไม่ได้ๆ ข้าเกือบสบถอีกแล้ว เด็กหนุ่มผมแดงตบปากตนเองอีกครั้ง
ไอ้!!
พวกท่านทั้งสองควรรักษากิริยาเสียบ้าง! คาเฮียร์พูดเสียงดังขึ้นเหมือนออกคำสั่งทหาร
ชาลัวห์ทำท่าไม่พอใจนัก แต่ก็ดูเหมือนจะยอมรามือ
หึ...ไว้พรุ่งนี้จะได้รู้กันว่าใครสิงห์ใครหมา
ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซาก้าวยาวๆ จากไปทางอาราม ขณะที่ทั้งห้ายืนอยู่ในความเงียบตรงหน้าน้ำพุอธิษฐาน
เอ้อ...ท่านคาเฮียร์ ขออภัยขอรับที่ทำให้ท่านต้องลำบาก น้องชายกับ...คนของข้าเลือดร้อนไปหน่อย ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลพูดขึ้นบ้าง
ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซามุทะลุเองด้วย ท่านเฟลิมยังนับว่าใจเย็นที่พยายามปรามคนของท่านไว้ คาเฮียร์ตอบด้วยเสียงเรียบๆ ตามเดิม แต่ก็ควรจะห้ามให้เด็ดขาดกว่านี้
เคียรากระพริบตาปริบๆ ผู้ชายที่ดูสุภาพ ถ่อมตัว แต่ดูไม่ค่อยเข้มแข็งคนนี้น่ะหรือคือลูกชายของเจ้ามณฑลยาร์ลาธ...คนที่เจ้าหญิงแอชลีนน์แอบเสด็จไปเรียนด้วย
หมายความว่า...ผู้ชายผมดำที่ดูอายุไม่มากไปกว่าเจ้าหญิงเท่าไรก็คืออาจารย์ชาวทะเลทรายที่เขาพูดกันน่ะหรือ
ไม่ใช่กระมัง ถึงจะดูเด็กอย่างไรก็ไม่น่าถึงขนาดนี้ แล้วคนเป็นอาจารย์สอนคนอื่นได้ก็ควรจะใจเย็นและสำรวมคำพูดมากกว่านี้ คงเป็นคนอื่นอย่างผู้ติดตามหรือองครักษ์มากกว่า
ข้าจะพยายามขอรับ เฟลิมยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะพูดต่อเหมือนนึกขึ้นได้ เอ้อ ข้าแค่ตั้งใจจะมาทักทายขอรับ เห็นท่านตอนอยู่ในพิธีแล้วแต่ไม่มีโอกาสพูดคุยกัน
ข้าก็เห็นท่านแล้วเหมือนกัน
พรุ่งนี้...ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ
ข้าก็เช่นกัน
ทั้งสองดูจะเงียบไปครู่หนึ่ง เคียรามองชายทั้งสองที่สบตากันราวกับกำลังนึกว่าจะพูดอะไรต่อ ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มผมแดงที่หันไปเอาเท้าเขี่ยพื้นเล่นกับเด็กหนุ่มผมดำที่มองอยู่ห่างๆ
ข้า...ขอตัวก่อนนะขอรับ เฟลิมค้อมศีรษะน้อยๆ เชิญท่านกับน้องสาวตามสบายขอรับ
เคียราตกใจแต่พยายามระงับไว้ แลเห็นสีหน้าของคาเฮียร์เปลี่ยนไป
ท่านเฟลิมเข้าใจผิดแล้วกระมัง นี่ไม่ใช่น้องสาวของข้า แต่เป็นนางกำนัลของเจ้าหญิงแอชลีนน์ต่างหาก
อ...เอ้อ ขออภัยด้วยขอรับ เห็นท่านสองคนมีสีผมเค้าหน้าเดียวกัน ข้าเลยนึกไปว่าเป็นญาติกัน ชายหนุ่มพูดเก้อๆ
ม...ไม่ใช่ค่ะ เราไม่ได้เป็นญาติกันเลย หญิงสาวตัดสินใจค้อมศีรษะบ้าง...ด้วยเห็นว่าอย่างน้อยเขาก็เข้ามาขัดจังหวะตอนที่ชาลัวห์จะทำไม่งามกับเธอพอดี เคียราค่ะ...ยินดีได้ที่รู้จักท่านเฟลิม
ชายหนุ่มผู้ฟังกลับกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดอย่างประหลาดใจ
ท่านเคียรา! ท่านเคียราจริงๆ หรือขอรับ! แต่ท่านเคียรา...ตอนนั้นไม่ได้ผมสีนี้นี่ขอรับ!
หญิงสาวเป็นฝ่ายกระพริบตาถี่ๆ บ้าง
พี่สาวอาจจะย้อมผมมาก็ได้นี่พี่เฟลิม ผู้หญิงเขารักสวยรักงามจะตายไป เด็กหนุ่มผมแดงพูดขึ้นก่อนจะเหล่สายตามาทางเธอแล้วยิ้มที่มุมปาก ผมสีนี้ก็เข้ากับพี่สาวไม่หยอกนะ ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย
ท่านเคียราหรือ เด็กหนุ่มผมสีดำเอ่ยขึ้นก่อนจะพยายามสบตากับเธอ แต่เธอก็เบือนสายตาหลบ ท่าน...ได้รับจดหมายของข้าจากท่านองครักษ์ดูลัสแล้วใช่ไหม
จดหมาย...จดหมายอะไรหรือคะ เคียราไม่รู้เรื่องที่เขาพูดจริงๆ
เอ่อ...ข้าขออภัย จดหมายคงไปไม่ถึง ไว้...ไว้วันหลังข้าจะบอกเรื่องจดหมายนั้นก็แล้วกัน...ถ้าท่านสะดวก เด็กหนุ่มผมดำพูดก่อนจะก้มหน้าลงไม่ยอมมองเธอ
กระนั้นเฟลิมยังพูดต่อ
แล้วแอชล่ะขอรับ สบายดีไหม
แอช? หญิงสาวยังคงไม่รู้เรื่อง
แอช...น้องชายของท่านน่ะขอรับ หลังจากวันก่อนลูคนาซาธก็ไม่ได้พบกันเลย
เคียราพยายามปะติดปะต่อ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าแอชเป็นชื่อปลอมของเจ้าหญิงแอชลีนน์นี่เอง
ข...เขาก็สบายดีค่ะ แต่ข้าต้องขอตัวก่อน ต้องรีบกลับไปเข้าวังแล้วล่ะค่ะ หญิงสาวค้อมศีรษะ แล้วก็กลับหลังหันก้าวยาวๆ ออกมาให้เร็วที่สุดโดยไม่รอคำตอบจากใครก็ตาม
* * * เคียราถอนใจน้อยๆ เมื่อพ้นจากลานหน้าอารามหลวงมาได้ กระนั้นยังประหลาดใจไม่หาย...ว่าเรื่องที่พวกเขาพูดถึงนี่คือเรื่องอะไรกันแน่
เจ้าหญิงแอชลีนน์ปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายไปเรียนร่วมกับคุณชายเฟลิม ลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธอยู่นานเป็นเดือนๆ ต่อให้หญิงสาวห้ามจนอ่อนใจและท่านดูลัสจับได้แล้วก็ยังไม่ฟัง ถึงกับยอมอดพระกระยาหารเพื่อให้ทั้งสองยินยอมให้ลักลอบออกไปเรียนต่อเสียอีก
แต่จู่ๆ หลังวันลูคนาซาธ เจ้าหญิงก็บอกว่าจะไม่ไปเรียนอีกแล้ว พระเนตรที่แดงก่ำเหมือนเพิ่งร้องไห้มาทำให้เคียราอดถามไม่ได้ แล้วก็ได้ความว่าอาจารย์ของคุณชายเฟลิมรู้ตัวจริงของเจ้าหญิงมาตั้งแต่ต้น และที่ยอมให้เจ้าหญิงมาเรียนด้วยก็เพื่อให้ทั้งสองได้สนิทกัน
เธอเห็นเป็นการดีแล้วที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงล้มเลิกที่จะทำอะไรแผลงๆ อย่างนั้นเสียที ตัวเธอเองต้องใจหายใจคว่ำมานานเกินไปแล้ว หากไม่ได้ท่านดูลัสคอยช่วยปกปิดเรื่องที่เธอปลอมตัวอยู่แทนเจ้าหญิงแอชลีนน์ทุกๆ วันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ทำไมพวกคุณชายเฟลิมถึงรู้จักเธอ...เดี๋ยวสิ...รู้จักชื่อเธอ ทำเหมือนจำหน้าตาเธอได้ แต่ทักว่าเธอมีสีผมไม่เหมือนเดิม
อย่าบอกนะว่า...เจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่ได้แค่ให้เธอปลอมตัวเป็นพระองค์ แต่เอาชื่อเธอไปบอกพวกเขาตอนออกไปเที่ยวในวันงานเทศกาลลูคนาซาธ...ตามที่ท่านดูลัสบอกเธอ
ตายแล้ว...
เคียราได้แต่ถอนใจ แล้วก็ภาวนาให้ไม่มีเรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้ เห็นจะเป็นจริงเสียแล้วที่ทั้งเจ้าหญิงแอชลีนน์กับท่านดูลัสบอกตรงกันว่าเธอหน้าตาเหมือนเจ้าหญิงมากเหลือเกิน...คงเพราะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ในเมื่อทั้งสามคนนั้นดูเหมือนจะจำเจ้าหญิงแอชลีนน์ที่ใช้ชื่อเธอได้ติดใจอย่างประหลาด
เป็นเรื่องที่ทำให้หญิงสาวลำบากใจ อันที่จริงเวลาเธอแต่งกายเป็นนางกำนัลตามปกติก็ไม่มีใครจับสังเกต และสีผมของทั้งสองก็ต่างกันมาก แม้สีตากับเค้าโครงหน้าจะแทบเป็นพิมพ์เดียวกัน เธอก็เพิ่งมารู้ว่าทั้งสองเหมือนกันขนาดนี้ก็ตอนที่เจ้าหญิงทรงบังคับให้เธอสวมช้องผมปลอมตัวเป็นพระองค์เสียด้วยซ้ำ ท่านดูลัสจับพิรุธได้ไม่ใช่เพราะหน้าตาของเธอ แต่เพราะลองพูดคุยแล้วเห็นมีอะไรผิดปกติจึงค่อยๆ ต้อนเธอจนมุมเสียเอง
พอนึกถึงท่านดูลัส...เธอก็เผลอนึกถึงเรื่อง จดหมาย ที่เด็กหนุ่มผมดำคนนั้นพูดขึ้นมา เขาฝากจดหมายอะไรผ่านท่านดูลัสมาให้เธอ...ไม่สิ น่าจะเป็นเจ้าหญิงแอชลีนน์ที่ใช้ชื่อของเธอมากกว่า ดูไม่น่าไว้ใจเสียเลย เห็นทีกลับไปเธอคงต้องถามท่านดูลัสเสียแล้วว่าจดหมายนั่นมันเรื่องอะไรกัน แล้วท่านดูลัสทำอย่างไรกับจดหมายนั้น
ถึงอย่างไรในวันนี้เธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปพบท่านดูลัส ต้องไปอวยพรเขา...แล้วก็มีของที่ต้องมอบให้เขาเอาไว้แท้ๆ
คุณหนู สนใจเครื่องรางนำโชคไหมเจ้าคะ เครื่องรางนำโชคของดีแท้ๆ นะ เสียงเรียกทำให้เคียราชะงัก เธอหันไปเห็นร่างร่างหนึ่งที่สวมผ้าคลุมทอลวดลายอย่างชาวทะเลทราย เปิดเผยเพียงดวงตาสีดำสนิท ร่างนั้นนั่งบนพรมผ้าทอแบบเดียวกันที่ข้างตึก ใกล้กับพื้นที่ตลาดกลางจัตุรัสซึ่งเงียบเหงาเพราะห้ามขายของในวันศักดิ์สิทธิ์
หญิงชราชาวทะเลทรายคนนี้คงไม่รู้ธรรมเนียม...ไม่ก็ไม่สนใจกระมัง หญิงสาวไม่ค่อยชอบใจพวกผู้อพยพที่ไม่เคารพศาสนาของที่ที่ตนมาอยู่สักเท่าไร จึงทำท่าจะรีบเดินไป แต่แล้วสายตาก็ไปพบบางสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจเสียก่อน
ท่ามกลางกระถางกำยาน ตะเกียงกระเบื้องและทองเหลือง สร้อยลูกปัด กับเครื่องรางกระจุกกระจิกอื่นๆ มีผืนผ้าขาวที่รองใบไม้เล็กๆ สี่แฉกสี่ใบ...เป็นใบไม้ที่ดูสดและชื้นน้ำค้างเหมือนเพิ่งเก็บมาในเช้านี้เอง
ใบแชมร็อคสี่แฉก...สัญลักษณ์ของโชคดี แถมยังมีถึงสี่ใบพร้อมกันเชียวหรือ
สมัยอยู่ในชนบทกับแม่ เธอเคยเทียวหาใบแชมร็อคสี่แฉกในทุ่งอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบไปเสียทุกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็กลับมาพบในวันแบบนี้...
เคียราตัดสินใจโน้มตัวลงชี้ใบไม้พวกนั้น
เท่าไรหรือ
เสียงอู้อี้ใต้ผ้าคลุมหัวเราะน้อยๆ
ไม่ได้ขาย คนฟังอยากผุดลุกขึ้นเดินจากไปทันควัน แต่แล้วก็ได้รับคำขยายเสียก่อน เอาไว้แถมเวลาซื้อของอย่างอื่นเจ้าค่ะ
เคียราเหลือบมองไปทั่วๆ แต่ก็ไม่เห็นของที่ตนอยากได้สักเท่าไร กำไลหรือสร้อยลูกปัดสวยๆ ก็ใช่ว่าเธอจะไม่ชอบ เพียงแต่ไม่เห็นเลยว่าจะนำไปสวมใส่ตอนไหนได้ กำยานของชาวทะเลทรายเธอก็ไม่คุ้นกลิ่น ตะเกียงก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
คุณหนูต้องการเครื่องรางนำโชคใช่ไหมเจ้าคะ
หญิงสาวประหลาดใจขึ้นมา
รู้ได้อย่างไร
ไม่อย่างนั้นจะสนใจใบแชมร็อคหรือเจ้าคะ หญิงชราย้อนถาม
...นั่นสินะ เธอเพิ่งตระหนักได้
มือเหี่ยวย่นใต้ชายผ้าคลุมยื่นออกมาหยิบของอย่างหนึ่งซึ่งดูคล้ายก้อนขนสัตว์ยาวๆ สีเทาบนพรม มีเชือกหนังมัดร้อยติดไว้
สนใจนี่ไหมเจ้าคะ เท้าหลังซ้ายของกระต่ายป่า เครื่องรางนำโชคชั้นดีนะเจ้าคะ นอกจากจะช่วยให้โชคดี ได้ชัยชนะในการแข่งขันต่างๆ แล้วยังใช้ป้องกันภัยได้ด้วย
...อย่างนั้นหรือ
เคียรามองของนั้นเทียบกับสินค้าอื่นๆ ที่มีให้เลือกอยู่ครู่หนึ่ง เครื่องรางนำโชคของชาวทะเลทรายไม่รู้จะเชื่อถือได้มากเท่าไร แต่ก็น่าลองดูไม่ใช่หรือ
เท่าไร
ยี่สิบวีร์เจ้าค่ะ
หญิงสาวหยิบถุงเงินของตน
ขอใบแชมร็อคทั้งสี่ใบเลยได้ไหม
เจ้าค่ะ หญิงชราจัดแจงนำผ้ามาห่อเท้ากระต่ายกับใบไม้ทั้งสี่ให้ นี่หลานข้าไปเก็บมาจากสวนริมแม่น้ำนี่เอง เห็นคนธีร์ดีเรบอกว่าเป็นของนำโชค แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็นำโชคให้ข้าขายของชิ้นแรกได้ในวันนี้แหละนะ
วันศักดิ์สิทธิ์คนธีร์ดีเรไม่ขายของกัน ยายเปลี่ยนไปขายวันอื่นน่าจะมีคนซื้อมากกว่านะ
ก็เห็นว่าวันนี้เป็นวันก่อนวันประลอง แล้วหลานข้าก็เก็บใบแชมร็อคได้พอดีตั้งสี่ใบ เลยว่าจะเสี่ยงดูสักหน่อย ขอให้คุณหนูโชคดีนะเจ้าคะ มีทั้งเครื่องรางของธีร์ดีเรกับเครื่องรางของทะเลทรายแท้ๆ นี่
ขอบคุณ เคียราตอบสั้นๆ ก่อนจะส่งเหรียญเงินให้ รับสินค้าแล้วเดินจากไป
เอ้อ เวลาจะขอโชคดีก็อย่าลืมลูบเท้ากระต่าย แล้วพกติดตัวไว้ตลอดเวลานะเจ้าคะ
ค่ะ ขอบคุณมาก หญิงสาวเหลียวไปตอบ
* * * เธอจำเวลาออกเวรของดูลัสได้ดี และรีบกลับพระราชวังไปผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดนางกำนัลมาหาเขาที่ห้องพักราชองครักษ์ได้ก่อนเขากลับเข้ามาในห้องไม่ถึงห้านาทีเท่านั้นเอง
ดูลัส นางกำนัลของเจ้าหญิงมาหา ราชองครักษ์ที่อายุมากกว่าหันไปบอกเขาอย่างรื่นเริง เห็นทีเจ้าหญิงจะทรงฝากคำอวยพรมาให้กระมัง
ชายหนุ่มผมสีทองจางหันมามองเคียรา ซึ่งหลบสายตาลงอย่างสำรวมโดยเร็ว
มีอะไรหรือ
เรา...ออกไปพูดกันข้างนอกได้ไหมคะ
ดูลัสรับคำสั้นๆ แม้จะยังดูสงสัย
* * * ทั้งสองออกมาในอุทยานเล็กๆ ระหว่างอาคารสองหลัง ซึ่งมีพรรณไม้ในฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่งใต้ร่มต้นหลิวที่ปลูกเป็นแถวเรียงกัน
มีอะไรหรือ ชายหนุ่มยังถามคำเดิมเมื่อทั้งสองได้อยู่ด้วยกันสองคน
เคียรารวบรวมความกล้าส่งห่อผ้าที่เธอถือมาตลอดไว้ให้เขา
ข้า...ย...อยากให้ท่านรับนี่ไว้ค่ะ
ดูลัสทำตาม ก่อนจะคลี่ผ้าออก ให้เห็นของที่เธอวางรวบรวมไว้ในนั้น
นี่อะไรกัน น้ำเสียงของเขาฟังดูงงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขุ่นมัวเหมือนไม่พอใจ
คือ...ข้า...ข้าอยากมอบของพวกนี้ให้ท่าน เป็นเครื่องรางนำโชคน่ะค่ะ ก...เกือกม้านี่ให้แขวนติดตัวไว้ แต่...แต่ต้องแขวนให้ปลายชี้ขึ้นนะคะถึงจะนำโชคดีมาให้ ห้ามแขวนชี้ลงเด็ดขาด นี่ใบแชมร็อคสี่ใบ แล้วก็เท้ากระต่าย...เป็นเครื่องรางแบบทะเลทรายน่ะค่ะ เขาบอกว่าให้ลูบเท้ากระต่ายอธิษฐานแล้วพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
ดูลัสก้มมองของในห่อผ้า ก่อนจะหันมามองเธออีกครั้ง ยังผลให้เคียราหลบสายตาด้วยความประหม่า
ข...เขาให้พกของพวกนี้เข้าสนามประลองได้...ใช่ไหมคะ
ก็...ไม่มีกติกาห้ามไว้ ชายหนุ่มตอบก่อนจะพูดด้วยเสียงเหมือนขันนิดหน่อย แต่ถ้าพกเข้าไปหมดนี่ ข้าคงกลายเป็นมนุษย์เครื่องรางไปแน่ๆ
เอ่อ... เคียราเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่เคยได้ยินดูลัสพูดด้วยเสียงอย่างนี้มาก่อนเลย
ข้าไม่ได้หมายความว่าไม่ดีหรอกนะ ต้องขอบใจต่างหากที่ช่วยให้กำลังใจข้า
ก็...ก็ข้าอยากให้ท่านดูลัสได้อยู่เคียงข้างเจ้าหญิงนี่คะ
แล้วเจ้าหญิงล่ะ ดูลัสถามเบาๆ ทรงมีพระประสงค์อย่างนั้นเหมือนกันหรือเปล่า
เอ่อ... หญิงสาวรีบหาคำตอบที่อีกฝ่ายอยากได้ยิน ...ค่ะ ก็พระองค์ทรงสนิทกับท่านดูลัสที่สุดนี่คะ
ข้าก็ตั้งใจจะสู้เต็มที่อยู่แล้ว เพื่อพระองค์ ดูลัสรับ
ค่ะ...ขอให้ท่านมีชัยนะคะ เคียราเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เขา
ขอบใจ แต่เดี๋ยวข้าคงต้องรีบกลับไปพักผ่อนแล้ว ชายหนุ่มบอก
ค่ะ...พิธีเปิดการประลองมีตั้งแต่ตอนเช้าเลยนี่คะ หญิงสาวรับ ข้า...ข้าจะคอยดูท่านดูลัสนะคะ ข้า...จะเป็นกำลังใจให้ท่านเสมอค่ะ
ขอบใจ ดูลัสยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไป
เคียรามองแผ่นหลังขององครักษ์หนุ่มขณะที่เขาเดินจากไปจนลับหายไปในประตูอาคารหลังหนึ่ง เมื่อนั้นเองหญิงสาวจึงได้ถอนใจเบาๆ
เธอทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว ที่เหลือก็ได้แต่หวังว่าเทพเจ้าจะช่วยเมตตาตามคำอธิษฐานของเธอเท่านั้นเอง...
* * * เคียราไปไหนมานานจัง เจ้าหญิงแอชลีนน์ทักทันทีที่เธอเข้ามาถวายบังคมในตอนบ่ายเกือบเย็น
เด็กสาวยังอยู่ในชุดสำหรับพระราชพิธีของวันพรุ่งนี้...ชุดเป็นทางการซึ่งทอลวดลายประณีตมีตราสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ ผมเกล้าอย่างบรรจงกว่าทุกครั้ง และบนศีรษะก็ยังสวมมงกุฎอยู่
หม่อมฉันออกไปสวดภาวนาในอารามหลวง...ตามที่บอกตอนมาทูลขอนี่เพคะ
แต่ก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้เลย พิธีน่าจะเสร็จตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้วนี่ นายหญิงผู้อายุน้อยกว่าทำหน้าง้ำ ทำไมนะ เคียราออกไปข้างนอกได้เป็นนานแต่เราออกไปไม่ได้เลย
ผู้ฟังยิ้มอย่างอ่อนใจ พอจะเข้าใจอารมณ์ของผู้สูงศักดิ์กว่าขึ้นมา คงเพราะอยากออกไปข้างนอกแต่ไปไม่ได้ ถึงได้พาลหงุดหงิดที่เธอกลับมีสิทธิ์ทำเช่นนั้นกระมัง
วันศักดิ์สิทธิ์ใครๆ เขาก็ไปเข้าอารามกันทั้งนั้นล่ะเพคะ ไม่มีอะไรหรอก หม่อมฉันถูกรั้งไว้ด้วยล่ะเพคะถึงได้กลับมาช้า
ถูกรั้ง? ใครรั้งเคียราไว้หรือ เจ้าหญิงแอชลีนน์ดูสนใจขึ้นมา
ก็...ผู้กองคาเฮียร์น่ะเพคะ เขา...ทักทายหม่อมฉันนิดหน่อย แล้วก็มีคุณชายชาลัวห์ ลูกชายเจ้ามณฑลชอร์ซา กับคุณชายเฟลิม ลูกชายเจ้ามณฑลยาร์ลาธด้วย ทั้งสามคนดูเหมือนจะมาที่อารามหลวงเหมือนกัน
หมายความว่าถ้าดูลัสไปด้วยก็ครบสี่คนเลยน่ะสิ เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าขุ่นมัว ก็ดี จะได้ตีกันเสียตั้งแต่ตอนนั้นเลย ทำไมต้องให้เรามาทำอะไรยุ่งยากแบบนี้ด้วยนะ
องค์หญิง...พระราชพิธีทดสอบครั้งสุดท้ายนี่สำคัญมากนะเพคะ
ผู้ฟังไม่ตอบ กลับก้าวขัดๆ ไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงก่อนจะแทบสลัดรองเท้าส้นสูงประดับพลอยออกจากเท้าทั้งสองข้าง ทิ้งพวกมันให้ร่วงกระทบพื้นพรมดังก้อง
พอแล้ว เคียราคงเห็นว่าชุดใช้ได้แล้วใช่ไหมล่ะ นมบอกให้เรารอเคียรามาช่วยดู แต่ลองเคียราไม่บอกว่าชุดไม่ดีตรงไหนก็แสดงว่าเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เราจะได้เปลี่ยนเสียที ใส่ไม่สบายตัวเลยชุดนี้ แล้วรองเท้าก็สูงจนเรากลัวจะสะดุดคอหักตาย
คุณท้าวถึงได้บอกให้ซ้อมเสด็จพระราชดำเนินให้มากๆ อย่างไรล่ะเพคะ
กะแค่เพื่อให้เราไม่คอหักตายนี่นะ นี่ใครๆ กลัวเจ้าหญิงจะไม่สูงสง่ามากกว่าคอหักตายเพราะรองเท้าส้นสูงเชียวหรือ คนพูดเริ่มเสียงแข็งขึ้นขณะแกว่งเท้าที่มีรอยแดงชัดเจนจากรองเท้าบีบ
องค์หญิงประทับนั่งพักเสียก่อน แล้วเสวยนมน้ำผึ้งอุ่นๆ หน่อยไหมเพคะ หม่อมฉันจะไปชงมาให้ เคียรารีบเสนอ แต่อีกฝ่ายก็สั่นศีรษะ
ไม่เอา วันนี้เราไม่รู้สึกอยากรับประทานอะไรเลย
แต่ก็เสวยพระกระยาหารตามปกติใช่ไหมเพคะ วันพรุ่งนี้องค์หญิงจะทรงพระประชวรไม่ได้นะเพคะ
เรารู้แล้ว ถึงป่วยเราก็ต้องทำเหมือนไม่ป่วย ก็แค่นั้นเอง
หญิงสาวยังคงพยายามเอาใจอีกฝ่าย...ทั้งๆ ที่ทางเลือกดูจะไม่เหลือมากมายนัก
ถ้าทรงปวดพระบาท หม่อมฉันจะนำน้ำกุหลาบอุ่นๆ มาให้แช่ แล้วก็นวดพระบาทให้นะเพคะ
ไม่เป็นไร ถ้าเคียราเห็นว่าชุดเรียบร้อยแล้วก็ให้เราเปลี่ยนชุดเสียที ขอแค่นี้พอแล้ว
เคียรามองสำรวจชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีตนั้นแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ
ชุดเรียบร้อยดีแล้วล่ะเพคะ แต่องค์หญิงทรงขยับพระองค์หยุกหยิกเกินไปกระมัง ผ้าเลยดูยับนิดหน่อย ทรงฉลองพระองค์กลับแล้วให้หม่อมฉันนำไปให้ห้องฉลองพระองค์รีดให้เรียบแล้วกันเพคะ
ก็ดี เด็กสาวรีบถอดมงกุฎออกจากศีรษะทันที ตามมาด้วยพระกุณฑลทั้งสองข้างและสร้อยพระศอ เคียราอย่าลืมไปบอกนมด้วยล่ะว่าเรียบร้อยดีแล้ว เดี๋ยวนมจะบ่นอีก แล้วช่วยแก้ผมให้เราที
เพคะ หญิงสาวขยับเข้าไปทำตามคำสั่งอย่างชำนาญ เธอปลดตาข่ายดิ้นทองร้อยไข่มุกที่รวบพระเกษาเป็นมวย คลายเปียเล็กๆ ที่ถักไว้ แล้วก็ใช้แปรงขนนุ่มแปรงพระเกษาเรียบลื่นสีน้ำตาลอ่อนให้
แล้ว...ผู้กองคาเฮียร์เข้ามาทักอะไรเคียราหรือ ในระหว่างนั้น เจ้าหญิงแอชลีนน์ก็ถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เขารู้ด้วยหรือว่าเคียราเป็นน้องสาวเขา
ไม่ใช่หรอกเพคะ เขามาถามเพราะเห็นนามสกุลของหม่อมฉันเหมือนแม่ของเขาเท่านั้นเอง เคียราตอบตามตรง...แล้วก็ตัดสินใจพูดให้ผู้เป็นนายเข้าใจไว้ เขาไม่รู้...แล้วก็ไม่ควรจะรู้ตลอดไปเพคะ ให้รู้คงมีแต่จะอับอายและเสียใจมากกว่า
แต่เขาเป็นพี่ชายของเคียรา...ไม่ใช่หรือ ลูกๆ คนอื่นๆ ของท่านน้าคอนรอยก็เป็นพี่น้องของเคียรา เคียราไม่อยากพบพวกเขา...ไม่อยากรู้จักพวกเขาบ้างหรือ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ นี่
เรื่องบางอย่างไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกเพคะ ต่อจากคลายผม หญิงสาวก็ช่วยปลดกระดุมกระดูกปลาวาฬที่หลังชุดตัวนอกให้ ถึงอย่างไรเราสองคนก็ไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ ที่หม่อมฉันเกิดมาถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียด้วยซ้ำ ไว้องค์หญิงทรงมีพระชนมายุมากกว่านี้สักหน่อยก็จะเข้าพระทัยเพคะ
อือ... เด็กสาวรับเรียบๆ ในที่สุด ก่อนจะตั้งคำถามอีกครั้ง แล้ว...ชาลัวห์เป็นคนอย่างไร เห็นเคียราบอกว่าพบเขาด้วยนี่
เคียราย่นจมูกทันทีเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อนั้น
ดูหยิ่งและโอ้อวดเพคะ แถมยังทำกรุ้มกริ่มกับหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันไม่ทราบเลยว่าคนอย่างนั้นเข้ารอบมาได้อย่างไร หญิงสาวอดพูดต่อไม่ได้ คุณชายเฟลิมก็ดูสุภาพเรียบร้อยอยู่หรอกเพคะ แต่คุมคนไม่เป็นเอาเสียเลย คนที่มาด้วยกับเขา...รู้สึกจะเป็นน้องชายน่ะเพคะ ทำกรุ้มกริ่มกับหม่อมฉันเหมือนกัน แล้วคนติดตามอีกคนที่ไม่ใช่ชาวธีร์ดีเรก็ปากกล้าเกินนาย คนอย่างนี้หม่อมฉันว่าไม่เหมาะจะเป็นราชาเลยเพคะ
ปากกล้าเกินนาย...หมายความว่าอย่างไรหรือ
ก็...ตอนที่คุณชายชาลัวห์มาพูดจาโอ้อวดกับหม่อมฉันว่าจะเป็นสวามีขององค์หญิงให้ได้ เขาเป็นคนที่พูดขัดขึ้นมาน่ะเพคะ เกือบจะทะเลาะกันในที่สาธารณะอยู่แล้วด้วยซ้ำ ถ้าผู้กองคาเฮียร์ไม่ห้ามไว้
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...เคียราเห็นว่าคาเฮียร์ดีกว่าสองคนนั้นสินะ
ก็...ปฏิเสธไม่ได้เพคะ เขาดูเข้มแข็งหนักแน่นสมเป็นทหารดี แต่หม่อมฉันว่าถึงอย่างไรท่านดูลัสก็ดีที่สุดสำหรับองค์หญิงเพคะ
เจ้าหญิงแอชลีนน์เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจแล้วพูดเบาๆ
...นึกแล้วว่าเคียราต้องพูดแบบนั้น
บทที่ ๒๒ เริ่มพิธีสยุมพร
* * *
ตอนนี้เป็นมุมมองของเคียราครั้งแรกครับ ว่าไปผมก็ชอบเคียราแบบแปลกๆ แฮะ เป็นคนที่ออกมาโดนแกล้งทุกที (ฮา...) ชาลัวห์ยังคงเกรียนเหมือนเดิม แต่ก็เป็นความเกรียนแบบไร้พิษภัย เพราะหมอนี่ไปเกรียนใส่ใครก็ดันโดนแนวร่วม อกปก. (แอบเกรียนปราบเกรียน) อย่างอาเมียร์กับรูอาร์คตีกลับได้หมด
ใบแชมร็อค หลายท่านอาจสงสัยว่าใช่โคลเวอร์หรือเปล่า เพราะมีสี่แฉกเหมือนกัน จะนับว่าเป็นอย่างเดียวกันก็ได้ครับ บางคนบอกว่าแชมร็อคหมายถึงใบโคลเวอร์พันธุ์ไวท์โคลเวอร์ ขณะที่มีอีกฝ่ายบอกว่าแชมร็อคใช้เรียกใบไม้ที่มีสามแฉกทุกแบบ โคลเวอร์จึงจัดเป็นหนึ่งในพันธุ์ต่างๆ ของแชมร็อค แต่ไม่ว่าจะยังไง ชาวไอริชถือว่าใบแชมร็อคเป็นสัญลักษณ์ของนักบุญแพทริค นักบุญอารักษ์ของไอร์แลนด์ ดังนั้น ไปๆ มาๆ ใบแชมร็อคจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของไอร์แลนด์ด้วยครับ
ป.ล. อันที่จริงวาดรูปของคาเฮียร์กับชาลัวห์ไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้สแกน แล้วจะลงรูปวันหลังนะครับ ^^a
Create Date : 23 เมษายน 2552 | | |
Last Update : 30 เมษายน 2552 11:49:15 น. |
Counter : 251 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|