ทำไมถึงเอามาอ่านได้ไม่บ่อย?
ก็เพราะเนื้อหาที่ค่อนข้างเครียด อัดแน่นเต็มเหยียด
และอาจทำให้คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือแนวนี้เป็นลมหรือไมเกรนขึ้นได้ง่ายๆ
หนังสือชุดนี้ ณ ปัจจุบันมีทั้งหมด 5 เล่ม คือ TheNight Watch, The Day Watch, The Twilight Watch, The Last Watch และ TheNew Watch
แต่มีการแปลเป็นภาษาไทยโดย สุวิทย์ ขาวปลอด ถึงเพียง The LastWatch เท่านั้น
และแค่อ่านภาษาไทยยังโหดขนาดนี้ฉันก็คงไม่พยายามเพิ่มอาการไมเกรนโดยการเอาฉบับภาษาอังกฤษมาอ่าน
The Night Watch ได้ถูกนำไปสร้างเป็นหนังในชื่อ NightWatch และ Day Watch โดยผู้กำกับ Timur Bermanbetov
ซึ่งสร้างออกมาได้สนุกและอาร์ตแตกพอสมควร แม้จะดัดแปลงหนังสือไปค่อนข้างมาก และเนื้อหาไปไม่ถึงเล่ม TheDay Watch ก็ตาม
ก็พอเข้าใจได้ เพราะด้วยเนื้อหาตามหนังสือขนาดนั้นขืนสร้างหมดหนัง
คงกินเวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมง
ในการรีวิว จะขอกล่าวถึงโดยไม่ลงรายละเอียดของเนื้อเรื่องมากนัก
เพราะแต่ละเล่มมีการหักมุมไปมาตลอด
แต่ละเล่ม (ซึ่งไม่เคยต่ำกว่า 500 หน้า)ประกอบด้วยเรื่องราวสำคัญ 3 ตอน เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันและควรอ่านไล่ไปทีละเล่มเพื่อไม่ให้งงกับเนื้อหา
หนังสือกล่าวถึง คนอีกพวก คือผู้ที่เกิดมาพร้อมพลังแตกต่างจาก
มนุษย์ธรรมดาทั่วไป
เมื่อเริ่มต้นรู้สึกและเรียนรู้การใช้พลังของตนเองจะมีอายุยืนยาวกว่าคนปกติ
แต่ไม่ใช่อมตะ สามารถตายได้เช่นกัน
คนอีกพวกสามารถเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง
ซึ่งซ้อนทับกับมิติที่คนทั่วไปมองเห็นมิตินี้เรียกว่า ทไวไลท์
ทไวไลท์มีหลายระดับ จะเข้าไปได้ลึกแค่ไหนขึ้นกับพลังที่มี
และถ้าไม่รู้จักการป้องกันตัวเอง ทไวไลท์จะดูดพลังจากคนอีกพวก
จนหมดเรี่ยวแรงหรือถึงตาย
ในบรรดาคนอีกพวกนี้ พวกที่มีพลังไม่มากอาจสามารถใช้ชีวิตปกติไม่เลือกข้างได้
แต่หากมีพลังมากอีกหน่อย หรือมีความต้องการเลือกก็สามารถสังกัดในวอทช์ที่ตนมีความโน้มเอียงไปได้
ซึ่งวอทช์ที่ว่านี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือ Night Watchเป็นวอทช์ของฝั่งแสงสว่าง
หรือพูดง่ายๆ ว่าวอทช์นี้ทำหน้าที่ดูแลสันติสุขของมนุษย์
และคอยถ่วงดุลไม่ให้ความมืดรุกรานและคุกคามมนุษย์และโลก
อีกฝั่งหนึ่งคือ Day Watch อยู่ฝั่งความมืด วอทช์นี้มีทั้งมนุษย์หมาป่า แวมไพร์และตัวประหลาดต่างๆ ในร่างทไวไลท์
กิจกรรมหลักๆ ของวอทช์นี้ไม่ได้อธิบายชัดเจนนัก(เพราะตัวเอกร่วมของทุกเล่มอยู่ฝั่งแสงสว่าง)
แต่พออธิบายได้ด้วยการกระทำของตัวละคร โดยเฉพาะในเล่ม The Day Watch ว่าการคงอยู่ของวอทช์นี้เพื่อต่อต้านฝั่งแสงสว่างและเอ่อ
สมาชิกของวอทช์นี้ค่อนข้างออกแนว อยากทำอะไรก็ทำไปสิไม่ต้องคำนึงถึงคนอื่นเท่าไหร่นัก
เริ่มต้นของ The Night Watch กล่าวถึง เจ้าหน้าที่ไนท์วอทช์ อันทอนโกโรเดทสกี้ ซึ่งจะมีบทบาทเด่นในทุกเล่มต่อไป
ผู้พบเห็นเหตุการณ์ผิดปกติและไนท์วอทช์สัมผัสการมาถึง
ของคนอีกพวกผู้หนึ่งซึ่งยังไม่ได้เลือกข้างยังไม่รับรู้ความสามารถ
ของตนเองอาจจะกลายเป็นคนของแสงสว่างหรือความมืดก็ได้ทั้งนั้น
และแน่นอน ทั้งสองวอทช์พยายามแย่งชิงคนผู้นี้
ส่วนคนผู้นี้จะเป็นใคร และฝั่งไหนจะได้ไปขืนเล่าต่อคงยาวและสปอยล์เนื้อหาแหลกลาญแน่นอน
สิ่งที่ชอบ(มาก) ของหนังสือชุดนี้คือ
1. เรื่องดำเนินไปในรัสเซียเป็นส่วนมาก และตัวเอกส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซียยูเครน หรือคนในแถบนั้น (ก็ผู้เขียนเป็นชาวรัสเซีย)
ซึ่งค่อนข้างแปลกไปกว่าหนังสือเรื่องอื่นๆ และบรรยายให้เห็นภาพทั้งความสวยงาม ความหนาวเย็นความวุ่นวาย และความวุ่นวายของประเทศเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกได้อย่างเห็นภาพ
2. การสร้างโลกอีกโลกหนึ่งขึ้นมา ทำได้อย่างแนบเนียน อ่านแล้วไม่รู้สึกว่าขัดหูขัดตาตัวละครเคลื่อนไหวดำเนินกิจกรรมซ้อนทับไปกับมนุษย์ปกติโดยสามารถทำให้คนอ่านเชื่อตามไปได้ว่าอาจจะมีอีกมิติหนึ่งและคนอีกพวกหนึ่งอยู่ร่วมในหมู่ของตนได้
3. ตัวละครมีมิติ ทั้งฝั่งแสงสว่าง และฝั่งความมืด ไม่ได้ดีเลิศเลอหรือเลวบัดซบ คนของแสงสว่างอาจจะสามารถเมาเละเทะ เที่ยวผู้หญิง อ่อยผู้ชาย หรือโกหกได้เช่นเดียวกับคนของความมืด ก็อาจสามารถมีคุณธรรม(เฉพาะตัว)และความรักที่แท้จริงได้
แต่ดูแล้วฝั่งแสงสว่างจะอ่อนด้อยในการวางแผนมากกว่าฝั่งความมืด
อาจจะเพราะการมองในแง่ดีของฝั่งแสงสว่างหรือความรู้สึกของฝั่งแสง
สว่างที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัวน้อยกว่า
แต่ผู้นำไนท์วอทช์(ฝั่งแสงสว่าง) ของรัสเซียในเรื่อง เกซาร์และผู้อาวุโส
หลายคนก็ผ่านการทำผิดพลาดมามากมาย และมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
หักเหลี่ยมเฉือนคมกับฝั่งความมืดอย่างไม่น้อยหน้ากัน
4. ชีวิตหลังความตายของคนอีกพวก ไม่ว่าคุณจะเป็นพวกแสงสว่างหรือความมืดเมื่อคุณเลือกและใช้พลังของตนเอง คุณจะมีอายุที่ยืนยาว แต่เมื่อตายลงจะกลับคืนไปสู่โลกทไวไลท์
ในเรื่องไม่ได้กล่าวว่าสวรรค์หรือนรกเป็นยังไง หรือมีจริงหรือไม่แต่การตาย
ของคนอีกพวกนั้นไม่ได้ไปทั้งสวรรค์และนรก แต่จะไปสู่โลกทไวไลท์
ซึ่งผู้อาศัยในโลกทไวไลท์จะมีสภาพคล้ายวิญญาณ หรือให้มองง่ายๆว่าคล้ายกับทุ่งแอสโฟเดลในตำนานกรีกนั่นแหละค่ะ คือไม่มีการลงโทษทัณฑ์แต่ก็ไม่มีความสุขสนุกสนานอะไร
ความคิดในเรื่องนี้ดูแหวกแนวดีนะสำหรับเรา คือมันทำให้เรานึกถึงคำที่ว่า
เมื่อมีอภิสิทธิ์ ก็ต้องมีข้อผูกมัด ในที่นี้อภิสิทธิคือพลังพิเศษ และอายุที่ยืนยาว
แต่คุณก็จะไม่ได้อะไรเป็นพิเศษในชีวิตหลังความตาย
สิ่งที่ไม่ชอบ
แต่ละเล่มหนาพอสมควร และเนื้อหาไม่เอื้อให้นำมาอ่านได้บ่อยๆ เลย 555
ถ้าคนไม่รักการอ่านจริงๆ อาจจะอ่านไปสักห้าสิบหน้าแล้วดองเค็มเลยก็ได้
สรุปการรีวิวสั้นๆ แค่นี้แล้วกันนะคะ
จบห้วนไปหน่อย แต่ถ้าจะให้เพิ่มเติมอะไร ก็คงมีเพียงว่า
ถ้ามีเวลาและชอบเรื่องแนวสืบสวน เหนือธรรมชาติ
ก็ลองหามาอ่านเถอะค่ะเรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
แต่ถ้าชอบแนวโรมานซ์ๆ หน่อย เรื่องนี้แทบไม่ปรากฏค่ะ
แม้ตัวละครจะมีความรักต่อกันแสดงความรักต่อกันบ้าง
แต่บทรักในเรื่องหายากพอๆกับหานักการเมืองไม่โกงนั่นแหละค่ะ
^ ^