Me and you are friends.
You fight, I fight... You hurt, I hurt... You cry, I cry.
You jump off a bridge..........
I'm gonna miss you!
กรรม กับความเป็นอนัตตา
ถ้าจริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนัตตา 'ไม่มีตัวตน' 'ไม่ใช่ตัวตน' แล้วจะมี 'ใคร' รับผลกรรมล่ะ?เรื่องผลกรรม ตามที่ผมเข้าใจไม่ได้เป็นกรรมที่ข้ามภพ ข้ามชาติ ส่งผลให้ชาตินี้เกิดมาเป็นอย่างโน้น หรือต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้แต่มันคือผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือกฎทางฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ตลอดจนพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 'ความรู้สึกว่ามีตัวตน' เลย อย่างเช่นถ้ากินเหล้ามากๆก็ทำให้เป็นโรคตับแข็ง เพราะต่อให้นอนหมดสติไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นเจ้าหญิงนิทราก็เถอะ ถ้าถูกกรอกเหล้าเข้าไปนานๆ ก็เป็นโรคตับแข็งได้เหมือนกันแต่บางอย่างก็เกี่ยวข้องกับ 'ความรู้สึกว่ามีตัวตน' อย่างเช่นไปฆ่าคน ก็อาจจะถูกญาติพี่น้องของผู้ที่ถูกฆ่ามาตามแก้แค้นถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า 'ความรู้สึกว่ามีตัวตน' ที่ทำให้เกิดผลกรรมอันหลัง มาจาก 'ความรู้สึกว่ามีตัวตนที่เป็นฆาตกร' ในความคิดของ 'คนอื่นๆ' ไม่ได้ขึ้นกับว่า ในความจริงแท้แล้ว มีตัวตนอยู่หรือไม่มี จึงไม่ขัดกับคำสอนเรื่องอนัตตาที่ว่า 'ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน'นอกจากนี้ ผลกรรมแบบหลังก็ไม่ได้ขึ้นกับ 'ความรู้สึกว่ามีตัวตน' ของผู้ที่ได้เคยก่อกรรมนั้นๆเลย แม้ว่าฆาตรกรอาจจะความจำเสื่อมไปแล้ว หรือบรรลุอรหันต์ พ้นจากความยึดมั่นในตัวตนแล้ว ก็ยังอาจจะถูกญาติพี่น้องของผู้ที่ถูกฆ่ามาตามล้างแค้นอยู่ดีผมคิดว่าตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งก็คือเรื่องราวขององคุลีมาล ที่สุดท้ายองคุลีมาลก็ต้องรับผลกรรมที่ได้ฆ่าคนไปมากมายไว้ แม้ว่าจะได้บวชจนบรรลุอรหันต์เข้าใจถึงความเป็นอนัตตาแล้วก็ตาม
ลอยกระทง
การลอยกระทง อาจจะถือได้ว่าเป็นประเพณีคำถามก็คือว่าประเพณีมันคืออะไร?มันเป็นแค่ 'การทำตามๆกันไป' เท่านั้นเองหรือเปล่า?ผมว่าไม่นะผมคิดว่าประเพณี คือรูปแบบหนึ่งของการแสดงออกถึงพื้นฐานความคิด ความเชื่อของคนในสังคมเมื่อความคิด ความเชื่อของคนในสังคมเปลี่ยนไป ประเพณีเก่าที่ไม่สอดคล้องกับความคิดความเชื่อใหม่ก็ย่อมถูกละเลยและสูญหายไปตามกาลเวลาผมเชื่อว่า สังคมปัจจุบันโดยเฉพาะในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ที่ผู้คนส่วนมาเลิกเชื่อในเรื่องเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาหรือพระแม่คงคา และไม่เชื่อว่าทุกข์โศกมันจะสามารถลอยทิ้งกันไปได้ง่ายคำถามต่อมาก็คือทำไมการลอยกระทงมันจึงยังคงอยู่ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะงานลอยกระทงมันมีบางอย่างที่คนในปัจจุบันชอบบางคนอาจจะชอบบรรยากาศในงานบางคนอาจชอบเพราะเป็นโอกาสที่จะได้ชวน 'เพื่อนสนิท' ไปเที่ยวด้วยกัน เผื่อจะสบโอกาสบอกความในใจฯลฯซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีอะไร เกี่ยวข้องกับความคิดความเชื่อเดิมของการลอยกระทงเลยผมคิดว่าการพยายามอนุรักษ์ประเพณีใดประพณีหนึ่งไว้ ในขณะที่ความคิดความเชื่อของคนในสังคมเปลี่ยนไปแล้วนั้น คงสามารถทำได้แต่เพียงรักษา 'เปลือก' ของมัน คือรูปแบบเอาไว้เท่านั้นแต่ 'แก่น' หรือเนื้อหาสาระที่แท้จริงนั้นมันได้ตายไปพร้อมๆกับรากเหง้าของความคิดความเชื่อของคนในสังคมที่เปลี่ยนไปแล้วหล่ะครับบางที 'ประเพณี' ลอยกระทงอาจจะสูญหายไปตั้งนานแล้ว แต่พวกเราไม่ทันรู้ตัวเพราะเรามี' เทศกาล' ลอยกระทงเข้ามาแทน
คนนอกกรอบ
ผมคิดว่าว่าคนที่คิดและทำอยู่แต่ในกรอบ กับคนที่พยายามแหกกรอบหรือคิดนอกกรอบต่างก็ 'ติดกรอบ' ด้วยกันทั้งคู่เพียงแต่คนนึงติดอยู่ข้างในส่วนอีกคนติดอยู่ข้างนอกสิ่งต่างๆในกรอบมันอาจจะดูไม่ดี ไม่ถูกใจแต่มันก็ไม่ได้แปลว่าอะไรก็ตามที่อยู่นอกกรอบจะดีเสมอไปถ้ามีคนพยายามเอากรอบมาครอบเราเราก็น่าจะพยายามทำลายกรอบนั้นทิ้งไป ไม่ใช่พอใจแค่การที่เราสามารถตะเกียกตะกายดิ้นรนปีนออกมาอยู่นอกกรอบได้สำเร็จมิใช่หรือ?
สังคมในอุดมคติ
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ศรัทธารูปแบบของสังคมในอุดมคติเลยไม่ว่าจะของค่ายไหน สำนักใดเพราะผมคิดว่ารูปแบบสังคมในอุดมคติเป็นเพียงด้านตรงกันข้ามของสิ่งที่เราไม่ชอบในอดีตหรือในปัจจุบัน ของสิ่งที่เราคิดว่าทำให้เราไม่มีความสุขเอาเข้าจริงๆแล้วผมเชื่อเหลือเกินว่าหากรูปแบบสังคมในอุดมคติเป็นจริงขึ้นมา ไม่ว่าจะแบบไหน มนุษย์ก็จะยังคงไม่มีความสุขอยู่เช่นเดิมไม่ต่างอะไรกับ 'กบเลือกนาย'เหตุผลเดียวที่สังคมในอุดมคติ ยังคงเป็นสังคมในอุดมคติอยู่ได้ ก็คือมันยังไม่เคยเป็นจริงเป็น 'เจ้านาย' ที่ยังไม่ได้ถูกส่งมาให้ 'กบ' อย่างพวกเราผมเชื่อว่าเราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตบนโลกเบี้ยวๆและเอียงๆใบนี้อย่างมีความสุขผมเชื่อว่าสังคมที่ดี ไม่ใช่มาจากการออกแบบกะเกณฑ์ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แต่มาจากการที่แต่ละคนในสังคมเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขผมเชื่อว่าถ้าเราอยากได้สังคมที่ดี ต้องเริ่มที่ 'ตัวเรา' เริ่มที่การ 'เรียนรู้' ที่จะมีความสุขครับ
เสรีภาพของมนุษย์
ผมคิดว่ามนุษย์ไม่อาจที่จะ 'ไม่มีเสรีภาพ'ตราบใดที่ยังมีชีวิต มนุษย์มีเสรีภาพเสมอ เสรีภาพเป็นเหมือนสมอง ไม่ใช่แขนขาคนที่คิดว่าตัวเอง 'ไม่มีเสรีภาพ' คือคนที่ 'ไม่ใช้เสรีภาพ' ที่มีอยู่ต่างหากคล้ายๆกับคำว่า 'ไม่มีสมอง' นั่นแหละ คือไม่มีใครที่ไม่มีสมองหรอก เพียงแต่บางคนไม่ค่อยยอม 'ใช้' มันผมเชื่อว่าเสรีภาพ ไม่ได้หมายความถึงการที่สามารถกระทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการเพราะมนุษย์มีข้อจำกัดทั้งข้อจำกัดทางชีววิทยาของร่างกายมนุษย์ และข้อจำกัดทางสิ่งแวดล้อมเช่น การที่มนุษย์ในปัจจุบันไม่อาจบินได้ด้วยตัวเองเหมือนนก หรือในคืนที่มีเมฆมากมนุษย์บนโลกย่อมไม่อาจมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนอย่างไรก็ตาม ภายใต้เงื่อนไขต่างๆนานา ผมยังเชื่อว่ามนุษย์มีทางเลือกเสมอเราสามารถเลือกที่จะหาวิธีเดินทางในอากาศได้โดยอาศัยเครื่องยนต์กลไก หรือจะเลิกสนใจการเดินทางในอากาศเราสามารถเลือกว่าเราจะดูดาวต่อไปแม้ว่าคืนนั้นจะมีเมฆมาก หรือว่าจะเอาไว้ดูใหม่ในวันหลังที่ท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆรัฐที่กดขี่ การทำสัญญาขายตัวเป็นทาส หรือแม้แต่การติดคุก เป็นเพียงเงื่อนไขทางสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมเท่านั้นส่วนยาเสพติด ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทางชีววิทยาสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เสรีภาพของมนุษย์หายไปไหน เงื่อนไขต่างๆอาจจะแปรเปลี่ยนและบีบคั้น แต่เสรีภาพยังคงอยู่อย่างเดิม ผมคิดว่าปัญหาของมนุษย์ไม่ใช่การไม่มีเสรีภาพแต่เป็นการไม่รับรู้ถึงเสรีภาพและการไม่ใช้เสรีภาพที่ตนมีอยู่ต่างหาก
-------------------------------