Me and you are friends.
You fight, I fight... You hurt, I hurt... You cry, I cry.
You jump off a bridge..........
I'm gonna miss you!
เป็นอัตตา หรือเป็นอนัตตา เถียงกันไปทำไม?
ผมเข้าใจว่าการจัดกลุ่มสิ่งต่างๆมีประโยชน์ในการช่วยเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้มากขึ้น เพราะเรามักจะมีความเข้าใจคร่าวๆอยู่แล้วว่าแต่ละกลุ่มมีลักษณะอย่างไรบ้าง เราจึงพอจะบอกได้คร่าวๆว่าสิ่งใหม่ที่ถูกจัดเข้าในกลุ่มเดียวกันน่าจะมีคุณสมบัติต่างๆเหมือนสิ่งอื่นในกลุ่มเดียวกัน แม้ว่าเรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่ามันมีคุณสมบัติที่ว่านั้นหรือไม่อย่างเช่น ถ้าเราเดินไปในห้างสรรพสินค้า แล้วมองเห็นวัตถุประหลาดอันหนึ่ง ดูยังไงเราก็ไม่รู้ว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไร แต่พอถามคนขายแล้วเขาตอบว่า มันเป็น 'นาฬิกา' เราก็คาดเดาได้ทันทีว่ามันน่าจะสามารถบอกเวลาเราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบว่ามันบอกเวลาได้อย่างไรการจัดกลุ่มจะไม่มีความหมายเลย ถ้าเราสามารถรู้จัก 'สิ่งนั้น' ได้ดีในทุกแง่ทุกมุมอยู่แล้วการพยายามบอกว่าอะไรเป็นอัตตา หรืออนัตตาก็ทำนองเดียวกันเราอาจยังไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ 'สิ่งนั้น' มากพอ หรือไม่เคยพบ 'สิ่งนั้น'มาก่อนแต่เราพอจะมีภาพคร่าวๆของสิ่งที่เป็น อัตตา หรือ อนัตตา การที่ 'สิ่งนั้น' เป็นอัตตาหรือเป็น ก็จะพอทำให้เราเข้าใจว่า 'สิ่งนั้น' เป็นอย่างไรได้ดีขึ้นครับ
ที่มาของความรู้
ผมเข้าใจว่าเราทุกคนย่อม 'รู้' อะไรบางอย่างทั้งจากประสบการณ์ ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหลายการคิดใคร่ครวญด้วยตนเองและการรับถ่ายทอดมาจากบุคคลอื่น ทั้งจากการอ่านและการฟังผมคิดว่าในช่วงชีวิตของเรา สิ่งที่เราแต่ละคนสามารถ 'รู้' ผ่านประสบการณ์โดยตรงและการคิดใคร่ควรญนั้นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความจริง เหมือนคนตาบอดที่คลำช้างกันคนละส่วนโอกาสเดียวที่เราจะเข้าถึง ความจริงทั้งหมด (ถ้ามันมีอยู่จริง)ก็คือการพูดคุย แลกเปลี่ยนสิ่งที่แต่ละคน 'รู้' ให้กันและกันครับผมเชื่อว่าเราทุกคนสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากความคิดความเห็นของผู้อื่นได้เสมอใครที่คิดว่าไม่เคยได้อะไรจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนหรือแม้แต่ถกเถียงกับคนอื่นๆเลย อาจเข้าถึงความจริงทั้งหมดแล้วก็เป็นได้แต่น่าจะลองถามตัวเองก่อนว่า เคย 'ฟัง' คนอื่นจริงๆบ้างไหม
'ผีร้าย' จากอดีต
ผมเข้าใจว่าหลายครั้งหลายคราวที่เรามีความทุกข์เพราะ 'อดีต' และบุคคลที่สัมพันธ์กับอดีตที่ไม่น่าจดจำเคยมีคนบอกว่าความหลังที่เลวร้ายมักจะหลอกหลอนเรา เหมือน 'ผี' ที่คอยวนเวียนอยู่รอบๆตัวเราและหลายครั้งมันก็ 'สิง' มากับบุคคลที่เราเคยรู้จักในช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมันไม่ต้องการอะไรอย่างอื่น นอกจาก 'การให้อภัย'ให้อภัยคนอื่น...และให้อภัยตัวเองแล้ว 'ผี' ร้ายนี้จะหายไป
เมื่อโลกหันหลังให้คุณ..
เมื่อโลกหันหลังให้คุณ..อกหัก ตกงาน เป็นหนี้ เพื่อนหักหลัง ไม่มีใครคบ ฯลฯผมไม่แน่ใจว่าถ้าต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นจริงผมจะเป็นยังไงแต่ในฐานะที่ผมยังไม่ได้เจอมัน ผมก็ขอพูดด้วยเหตุด้วยผลว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ เราก็แค่ใช้ชีวิตกับ 'ด้านหลัง' ของโลกไปพลางๆก่อน อย่างน้อยเราก็ได้รู้ 'ความจริง' ของการหลอกลวงเร็วกว่าคนอื่นๆค่อยๆหางาน หาเงินเพื่อดำรงชีวิตต่อไปให้ได้ 'ด้วยตนเอง' มีคนบอกว่า 'ชีวิตมาทางออก' เสมอ แต่ส่วนใหญ่เรา 'กลัว' ที่จะใช้ทางที่ไม่คุ้นเคย กลัวมากจนมองข้ามมันไปถ้าคุณคิดว่าชีวิตคุณ มันแย่มาก คุณไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่ๆ ลองมาพนันกับผมก็ได้ผมขอพนันว่ามันจะต้องดีขึ้น สิ่งต่างๆมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอกถ้าไม่เชื่อก็ลองเขียนความคิด ความรู้สึกตอนที่แย่มากๆไว้ แล้วกลับมาอ่านอีกรอบ หลังจากนี้ซักหนึ่งหรือสองปีผมเชื่อว่า คุณคนที่มาอ่านน่าจะงงว่าคุณคนที่เขียน มันคิดแบบที่เขียนไปได้ยังไง(วะ)ถ้าไม่เป็นอย่างที่ผมบอก ผมอนุญาตให้คุณกระทืบเลย...กระทืบพื้นโลกนะ โทษฐานที่มันหันหลังให้คุณไง อย่างไรก็ตามวันที่โลกมัน 'หันหน้า' กลับมาก็อย่าลืมเสียล่ะว่ามันยังมี 'ด้านหลัง' ด้วย
มนุษย์สามารถมีอิสรภาพอย่างแท้จริงได้หรือ?
ผมเข้าใจว่าอิสรภาพไม่เหมือนกันกับเสรีภาพเสรีภาพ คือการที่สามารถคิด พูดและกระทำสิ่งต่างๆได้ตามที่ต้องการโดยไม่มีอุปสรรคส่วนอิสรภาพ คือการที่ความคิด การพูดและการกระทำไม่ได้ถูกครอบงำจาก 'สิ่งใดๆเลย' ผมคิดว่ามนุษย์สามารถมีเสรีภาพ แต่ไม่อาจมีอิสรภาพเพราะความคิดและการตัดสินใจของมนุษย์ไม่อาจเกิดขึ้นมาลอยๆ หากแต่ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์และระบบความเชื่อแบบใดแบบหนึ่ง เหมือนคนที่ยืนอยู่บนโต๊ะไม่ว่าจะแข็งแรงเพียงใดก็ไม่สามารถยกโต๊ะตัวนั้นขึ้นได้ นอกจากว่าจะเปลี่ยนไปยืนบนโต๊ะอีกตัวหนึ่งผมคิดว่ามนุษย์สามารถเป็นอิสระจากอิทธิพลของสิ่งต่างๆหรือแนวความคิดบางอย่างได้ แต่ไม่อาจเป็นอิสระจาก 'ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง' ผมเชื่อว่ามนุษย์สามารถมีเสรีภาพเมื่อเขาเป็นอิสระจากการควบคุม หรือการครอบงำทางความคิดจากบุคคลอื่นแต่เขาไม่อาจได้รับอิสรภาพจากกรงขังของความคิดตนผู้ที่ประกาศ 'อิสรภาพทางความคิด' ก็เพียงแต่ก้าวข้ามไปยัง 'โต๊ะ' อีกตัวหนึ่ง แล้วหันกลับมายก 'โต๊ะ' ที่คนส่วนใหญ่ยืนอยู่เท่านั้น
-------------------------------