Group Blog
All Blog
|
◄ Chapter 12 : คนไทย.....ใจร้าย
![]() Chapter 12 : คนไทย.....ใจร้าย สวัสดีค่า วันนี้มีเวลาแว๊บนึงก่อนออกจะออกไปทำงานในไม่ช้า ต่อจากบล็อกที่แล้วที่ nakoze เกริ่นเอาไว้ว่าได้บ้าน..... แต่แล้วก็เกิดเหตุการไม่คาดฝันขึ้น !!!!!!!! ย้อนเหตุการณ์กลับไป กลางเดือน เม.ย หลังจากที่ Nakoze อยู่บ้านทรายทองได้จนครบ 30 วัน Nakoze ก็ได้ไปดูประกาศบ้านเช่าจากร้านน้ำตาล พร้อมกับพี่ๆอีกสองคนที่เจอกันในบ้านทรายทอง ..... ระหว่างที่ Nakoze ถ่ายรูปประกาศอยู่นั่นเอง พี่ๆทั้งสองก็ยืนคุยอยู่กับผู้ชายคนนึง อยู่หน้าร้านน้ำตาลอย่างถูกคอ พอดูประกาศเสร็จ เราก็วางแผนจะไปกินข้าวที่ร้านจีนใกล้ๆต่อ แต่ว่าไอ้ผู้ชายคนที่พี่ทั้่งสองเจอหน้าร้านขอตามไปด้วย เพราะเหมือนแบบคุยถูกคอกับพี่สองคน ขอเรียกไอ้ผู้ชายคนนี้ว่า..... เอิ่ม.. เรียกว่า..อะไรดีน้า ... เรียกว่า "เก้ง" แล้วกัน ![]() พอกินข้าวเสร็จ ไอ้เก้งก็ชวนไปนั่งร้านกาแฟต่อ แต่ปรากฏว่าร้านกาแฟในระแวกนั้นมันเต็มหมด เราก็เลยจะแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่แล้ว nakoze ก็นึกได้ว่า มีบ้านเช่าหลังนึงที่ติดประกาศไว้อยู่แถวๆนี้นี่นา nakoze ก็เลยบอกพี่สองคนว่า เออเดี๋ยวเลยไปดูบ้านเช่าด้วยได้มั๊ยมันอยู่แถวนี้พอดี พวกเราก็เลยตกลงจะไปดูบ้านเช่าของ nakoze .... โดยมีไอ้เก้งตามไปด้วย พอถึงบ้านเช่า ก็ได้คุยกับ landlord ชื่อว่า "พี่ขนุน" [รู้ใช่ไหมว่านามสมมุติ ] พี่ขนุนก็พาเข้าไปดูบ้านที่ ณ ตอนนั้น ว่างอยู่ 2 ห้องนอน จาก 3 ห้องนอน บ้านที่ว่างเพิ่งจะ renovate ใหม่ ซึ่ง Nakoze พอใจมากกกกก แต่ว่าราคาก็หืดขึ้นเหมือนกัน ก็คือ $570 ต่อเดือน nakoze ก็บอกพี่ขนุนไปว่า เดี๋ยวติดต่อมาอีกทีขอกลับไปคิดดูอีกรอบ เวลาผ่านไปจนถึงกลางคืนของคืนนั้น nakoze ก็นั่งคิด นอนคิด หลายตลบ ปรึกษาแม่ก็แล้ว แม่ก็ว่าถึงมันแพงแต่เราพอใจก็เอาไปเถอะ สุดท้าย nakoze ก็เลยเลือกที่จะมัดจำบ้านพี่ขนุน ก็โทรไปหาพี่ขนุนวันเช้าวันรุ่งขึ้น ว่าจะไปมัดจำบ้านนะ พี่ขนุนแกก็พูดว่า ปกติไม่อยากให้จอง เพราะว่าเคยโดนคนไทยจองแล้วเบี้ยว ไม่มาจ่ายเงิน เค้าก็เสียโอกาสฟรี แต่ nakoze ก็ยืนยัน นั่งยัน ว่าจะไปจ่ายเงินแน่ๆ เพราะตอนนี้ก็ไม่มีที่อยู่แล้ว แต่ว่าเดี๋ยวจะต้องออกไปทำงาน เลยไปจ่ายวันนี้ไม่ได้ จะไปได้พรุ่งนี้หลังเลิกงานทันทีเลย พี่ขนุนแกก็บอกว่า ถ้าไม่งั้น โอนเงินไปให้พี่แก $200 ก่อน แต่คุณขา นึกออกมั๊ย ว่าเราไม่อยากยุ่งกับธุรกรรมการเงินใดๆทั้งสิ้น ที่ต้องดำเนินเรื่องผ่านธนาคาร อีกทั้งอยู่ดีๆโอนเงินไปให้คนที่เพิ่งเคยเจอ $200 นะ เงินไม่น้อยเลยจะไว้ใจได้ยังไง เกิดพี่ขนุนมาตุกติก nakoze ก็ซวยสองเด้งสิ ของแบบนี้ต้องไปเซ็นสัญญากันตัวต่อตัว ว่าแแล้ว nakoze ก็บอกพี่ขนุนไปว่า ถ้างั้นพรุ่งนี้จะยอมลางานไปจ่ายเงินก็ได้ พี่ขนุนแกก็บอก โอ้ยไม่เป็นไรค่ะน้อง ไม่ต้องลา ไม่เป็นไร เลิกงานค่อยมาจ่าย ท้ายที่สุด nakoze กับพี่ขนุนก็ตกลงกันได้ว่า nakoze จะขอไปจ่ายพรุ่งนี้ วันนั้น nakoze ก็แบบ มีความสุขสุดๆ ได้บ้านซักที โทรไปบอกแม่เรียบร้อย เริ่มเก็บของเข้ากระเป๋า เตรียมตัวย้ายเข้าบ้านใหม่ พอตกเย็น ก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ขนุนอีกครั้งนึง พี่ขนุน : น้อง Nakoze คะจะเอาบ้านพี่แน่ๆใช่มั๊ย Nakoze : เอาแค่พี่ พรุ่งนี้บ่ายโมง หนูไปจ่ายแน่ๆค่ะ พี่ขนุน : ค่ะๆโอเค เดี๋ยวเย็นนี้จะมีคนมาดูบ้านพี่ พี่จะได้ปิดห้องที่น้อง Nakoze จะเอาไม่ให้เค้าดูนะคะ Nakoze : ค่ะๆ ขอบคุณมากค่ะพี่ขนุน พี่ขนุน : จ้าโอเค งั้นพี่ไม่ให้เค้าดูห้องน้องนะ โอเค เจอกันจ้า แล้วเค้าก็วางหูไป Nakoze ผู้ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ก็ยังทำตัวลันล๊าอย่างมีความสุข โดยหารู้ไม่ว่าหายนะมาจ่ออยู่ปลายจมูกแล้ว ถึงวันมัดจำบ้าน Nakoze ก็นั่งเม้าท์อยู่กับพี่รัตน์ และพี่อีกสองคนที่โต๊ะกินข้าว nakoze ก็บอกว่า เออเดี๋ยววันนี้ไปมัดจำ โทรไปบอกเค้าก่อน ว่ากินข้าวอยู่เดี๋ยวเสร็จแล้วจะรีบออกไป Nakoze : สวัสดีค่า พี่ขนุน Nakoze ทานข้าวอยู่ เสร็จแล้วจะออกไปมัดจำแล้วค่ะ พี่ขนุน : ห้องไม่ว่างแล้วค่ะน้อง Nakoze : เอ๊า ห้องหนูนะคะพี่ ที่เมื่อวานพี่บอกว่าปิดห้องแล้วไม่ให้ใครดู พี่ขนุน : ค่ะ มีคนมามัดจำเมื่อวานเย็น Nakoze : พี่ขนุน ทำอย่างงี้ได้ไงคะ ก็ไหนตกลงกันแล้ว พี่ขนุน : ก็พี่ไม่รู้ไงว่าน้องจะเอาแน่หรือเปล่า แล้วคนนั้นเค้าก็พร้อมจะมัดจำเลย ... น้องคนที่มาพร้อมน้องวันนั้นอ่ะ ... น้องเก้ง !!!!! Nakoze : วางหูทันที สงบสติอารมณ์ ประติดประต่อเรื่องราว .....ก่อนที่บ่อน้ำตาจะแตกออกมาดัง โพล๊ะ ![]() จำได้ว่าตอนนั้นรีบวิ่งขึ้นไปโทรศัพท์บนห้องนอน โทรไปหาแม่ตอนตีหนึ่ง ร้องไห้ให้แม่ฟัง ว่าไอ้วรนุช..เก้ง แย่งบ้านไปซะอย่างนั้น ทั้งๆที่เราเป็นคนจะไปดูบ้าน ทั้งๆที่มันก็รู้ว่าเราไม่มีบ้าน แต่ไอ้ฟายเก้ง ก็มาทำแบบนี้ (ไอ้เก่งนี่แม่เค้าทำธุรกิจร้านอาหารไทย อยู่มาจนได้ใบเขียว แล้วก็เลยขอให้ลูกชายด้วย) (ไอ้เก้งก็เลยเข้าอเมริกามาเพื่อรักษาสิทธิใบเขียวโดยมันก็อาศัยอยู่บ้านเพื่อนมัน) พอคุยกับแม่เสร็จ แม่ก็บอกให้โทรไปหา อีขนุน [Nakoze เปลี่ยนสรรพนามอย่างรวดเร็ว] ให้โทรหามันว่าทำอย่างงี้ได้ไง บลาๆ Nakoze ที่กำลังร้องไห้ ก็โทรไปหาอีขนุน อีขนุน : น้องใจเย็นๆ อย่าร้องไห้ Nakoze : พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง พี่ใจร้ายมากอ่ะ อีขนุน : นี่น้องเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ นี่ไม่ใช่ความผิดพี่ Nakoze : พี่เม่งทำงี้ได้ไง โคดใจร้ายอ่ะ ตกลงกันอย่างดิบดีว่าจะจองให้ อีขนุน : พี่ไม่ผิดนะ พี่ไม่ผิด Nakoze : ก็พี่สัญญาแล้วไม่ใช่หรือไง ไอ้เหี้ย...[ด่าในใจ ]อีขนุน : เอ่าก็น้องเก้ง เค้านัดมาดูบ้าน เสร็จแล้วพี่ก็บอกน้องเค้าแล้ว ว่าน้อง Nakoze จะเอา แต่น้องเก้ง ก็บอกพี่ว่า เค้าจะมัดจำตอนนี้เลย แล้วเค้าก็จะเอาสองห้องเลยด้วย พี่ก็ให้เค้าไป พี่ไม่ผิดนะ Nakoze : ใจร้ายมากอ่ะ คุยกันไว้แล้วแท้ๆ ใจร้าย .... อีขนุน : ... อย่าร้องไห้ๆ เดี๋ยวพี่ให้นอนบ้านพี่ดีมั๊ย พี่คิดราคาถูกๆ Nakoze : พอ พอเลย พี่ไม่ต้องมาพูด พอละ มากเกินไปแล้วกับสิ่งที่พี่ทำ แล้ว Nakoze ก็วางหูพร้อมกับปฏิเสธความช่วยเหลือจากอีขนุน ซักพักต่อมาอีเก้งตัวดีก็โทรมา .... อีเก้ง : Nakoze หรอ คือเราก็ไม่ได้จะแย่งบ้าน หรือตัดหน้าอะไรหรอกนะ แต่เราชอบอ่ะ ห้องมันกว้างดี นี่เราก็เพิ่งซื้อฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านนะ หมดไป $3,000 แล้ว Nakoze : หรอ .. อีเก้ง : อืม แต่ว่าถ้า Nakoze ไม่มีที่อยู่ เราให้ Nakoze มาอยู่ในห้องนั้นไปก่อนก็ได้นะ เราให้อยู่ฟรี ไม่คิดเงิน ... Nakoze : ไม่ต้อง ... ขอบใจ พอเรื่องทุกอย่างจบลงจากหน้ามือ เป็นหลังส้นตรีนแบบนี้ nakoze ก็แบบ ไม่อยากไปทำงานเลย จำได้ว่ามันมึนๆ งงๆ เหมือนแบบถูกหวย 10 ล้าน แต่วันรุ่งขึ้นจะเอาไปขึ้นเงิน แต่กองสลากบอกว่าเป็นของปลอม ขึ้นเงินไม่ได้ อาการนั้นเลย แบบจะเรียกร้องก็ไม่ได้ ได้แต่นั่งฟูมฟาย เว้าวอน ด่าคนโน้นที ด่าคนนี้ที ด่าอีขนุน ด่าอีเก้ง สลับกันไป เอาเถอะ ทั้งเก้ง และ พี่ขนุน จ๊ะ Nakoze จะบอกว่า วันนี้ไม่ได้โกรธแล้ว ให้อภัย พร้อมกับจะขอบคุณ ที่พี่ทั้งสองช่วยสอนให้ Nakoze เข้าใจ และรู้ความหมายของภาษิตไทยว่า "ฝนตกขี้หมูไหล คนจังไรมาพบกัน"..... เป็นอย่างนี้นี่เอง .... เตรียมตัวไปทำงานแล้วจ้า บล็อกหน้า Nakoze ได้บ้านจริงๆแล้วนะเออ!! คลิกเพื่ออ่านต่อ Chapter 13 : บ้านหลังใหม่ คลิกเพื่อย้อนกลับไป Chapter 11 : หรือเราจะ....กลายเป็น homeless ◄ Chapter 11 : หรือเราจะ....กลายเป็น homeless
![]() Chapter 11 : หรือเราจะ....กลายเป็น homeless หลังจากลงเครื่องเจอกับพี่รัตน์ผู้แสนดีแล้ว [ พี่รัตน์ ณ คุณลุงชาลี นั่นเอง] พี่รัตน์ก็พา nakoze กับ บักกล้ามโตเข้าบ้านที่พี่รัตน์ชอบเรียกว่าบ้านทรายทอง ณ บ้านทรายทองหลังนี้ มีสมาชิกอยู่แล้วหลายคน ก็พจมาน .. ชายกลาง .. ชายน้อย และหญิงแม่ ป๊าด ไม่ช๊ายยย บ้านพี่รัตน์มีทั้งหมด 4 ห้องนอน สามห้องนอนถูกจับจองไปเต็มหมดแล้ว สมาชิกในบ้านต่างก็มาพักชั่วคราว พอใครได้บ้านใหม่ ก็ค่อยๆย้ายออกไปทีละคน คนใหม่ก็ย้ายเข้ามาแทน เป็นวัฏจักร ในบ้านเจอเด็ก WAT ที่มาทำงาน Jamba Juice เค้าเล่าว่า ตอนแรกโดนไล่ออกเพราะว่าแมเนเจอร์บอกว่าภาษาไม่ดี แต่แล้วองค์กรก็คุยไปคุยมา เค้าก็อนุญาตให้ทำงานต่อได้ แต่ให้ไปล้างจานหลังร้าน ตอนแรก Nakoze จองห้องไว้แค่ 1-2 คืน เพราะคิดว่าเมืองใหญ่บ้านเช่ามันคงหาไม่ยาก แต่จนแล้วจนรอดอาทิตย์แรกผ่านไป ..... nakoze ก็ยังอยู่บ้านทรายทอง สองอาทิตย์่ผ่านไป .....ก็ยังสิงสถิตย์อยู่ที่นี่ คนเก่าก็เริ่มออกไปทีละคนสองคน รวมถึงบักกล้ามโตที่เค้าหาแชร์ห้องกับพี่ผู้ชายได้แล้ว ในบ้านก็จะเหลือแค่ nakoze และพี่อีกสองสามคน งานอดิเรกของเราคือการมานั่งกินข้าว แล้วจับกลุ่มเล่าเรื่องผี โดยมีหัวกะโหลก เป็นสิ่งวัดเรทติ้ง อยู่บ้านพี่รัตน์มีความสุขมากกกกก มีเพื่อนที่ได้คุยกันทุกวัน แต่ก็รู้ว่าอยู่นานไม่ได้ เพราะค่าเช่า $25 ต่อคืนนี่แหละ มันทำเอาโลหิตจาง รวมถึงแขกท่านอื่นๆของพี่รัตน์ก็มีการจองห้อง จองหับไว้ล่วงหน้า รวมถึงที่ทำงาน nakoze อยู่ Upper East Side ในแมนฮัตตัน เลยกลายเป็นว่า บ้านกับทีทำงานมันไกลมาก บางทีทำงานกะดึก เริ่มงาน 5 โมงเย็นถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนเป็นต้นไป ทำให้เดินทางกลับบ้านไม่สะดวก เพราะว่าจาก Subway เดินไปบ้านพี่รัตน์ มันเงียบ + มืด + หลอน + หนาว อิอิ ว่าง่ายๆว่ากลัว กลัวทั้งผี กลัวทั้งคน ทำให้พี่รัตน์และคุณลุงชาลีต้องคอยมารับทุกคืน เกรงใจเขาก็เกรงใจ ในที่สุดเดือนกว่าๆผ่านพ้นไป nakoze ก็ยังอาศัยอยู่ที่บ้านพี่รัตน์เหมือนเดิม พี่อีกสองคนที่อยู่ในบ้านที่เคยได้คุยกันเล่นกันทุกวันเค้าก็หาบ้านได้แล้ว ทำให้ Nakoze ต้องอยู่คนเดียวในบ้านทรายทอง ควบทุกตำแหน่งตั้งแต่คุณหญิงแม่จนถึงชายน้อย แต่ไม่นานก็มีคนใหม่ย้ายเข้ามาพี่คนนี้จองบ้านไว้ 1 เดือน แต่ใช้เวลาแค่ 3 วันก็หาบ้านได้ แต่ทำไม๊ ดูตัวเราหนอ จองไว้แค่ 1-2 วัน ตอนนี้ผ่านมา 1 เดือนแล้ว กรี๊ดดด ![]() ถ้าใครมาบอกคุณว่าอยู่ NYC หาบ้านเช่าง่าย ดิฉันเถียงขาดใจตายเลยค่ะ คือจริงๆแล้วหาง่ายจริง ถ้าเงินคุณถึง ครั้งนี้ nakoze มาในฐานะเด็กเวิร์ค ซึ่งตอนที่โทรศัพท์ไปคุยเรื่องเช่าบ้านเนี่ย เราก็คุยกับเค้าว่าเอออยู่ได้แค่ 3 เดือนนะ เดี๋ยวต้องกลับไปเรียนต่อที่ไทย ปรากฏว่า 90% ของคนที่เค้าติดประกาศเค้าปฏิเสธหมดเลย เค้าต้องการคนที่อยู่ได้ยาว อีกอย่างนึงคือ nakoze อยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนหาร ทีนี้ค่าห้องมันก็เลยจะราคาสูงมากๆ จนบางทีเรารู้สึกว่าอยากหาที่มันถูกกว่านี้ (บ้านที่หาได้นี่ราคาประมาณ $550 ต่อเดือนรวมน้ำ ไฟ เน็ต) อันที่อยู่นี้คือมันเป็นห้องรับแขกเก่าแล้วเค้าก็เอาคล้ายๆฝ้ามากั้นทำห้อง มันก็จะบางและไม่เก็บเสียงเวลาเดินผ่านไปผ่านมาก็จะได้ยินหมด เด็กเวิร์คส่วนมากชอบคิดว่าเตรียมงบสำหรับบ้านมาแค่ $450 ต่อเดือนพอ แต่คุณขาคิดหรอว่ามันจะแค่นั้นจริงๆ ? คือตั้งแต่เดินดูบ้านมาเดือนกว่าเนี่ย เจอบ้านที่ราคา $450 มาหลังเดียว และหลังนั้นเป็น basement ไม่มีหน้าต่างซักบาน อับมาาก ดังนั้นแล้วก่อนจะตัดสินใจมานิวยอร์ค ต้องเตรียมใจนะว่าเรื่องบ้านไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ หรือ..nakoze ดวงซวยเองก็ไม่รู้สิ .... :) คลิกเพื่ออ่านต่อ Chapter 12 : คนไทย ..... ใจร้าย คลิกเพื่อย้อนกลับไป Chapter 10 : Welcome to USA◄ Chapter 10 : Welcome to USA
![]() Chapter 10 : Welcome to USA ![]() สวัสดีค่ะ จากบล็อกที่แล้ว ที่ Nakoze อยู่เที่ยวเกาหลีไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวที่ nakoze จะต้องกลับเหยียบแผ่นดินอเมริกาอีกครั้งแล้วค่ะ nakoze และบักกล้ามโตกับแฟนของเขา ก็เหมารถ Taxi จากหน้าเมียงดง มาส่งที่สนามบิน ด้วยราคาเพียง 40,000 วอน ถูกมากกกก ทำให้เราสามคนมาถึงสนามบินก่อนเวลาที่กำหนดอย่างแรง คราวนี้ก็ต้องนั่งเต็ดเตร่ กินข้าวกินปลาก็แล้ว นั่งรอจนถึงสิบเอ็ดโมงก็ได้บิน ตอนเช็คอิน พนักงานให้กรอกที่อยู่ที่ USA แต่....nakoze ยังไม่มีที่อยู่น่ะสิ ทำไงดีหนอ ก็เลยถามพนักงานไปว่า ขอกรอกที่อยู่ที่ทำงานได้มั๊ย พนักงานก็ทำหน้างงๆแบบว่า เอ๊ะนี่เมิงไม่มีที่อยู่เร๊อะ สุดท้าย Nakoze ก็กรอกที่ทำงานลงไป บินรอบนี้ 14 ชั่วโมง เลือกที่นั่งหลังสุดตามเคย แล้วก็มารู้ตัวเองทีหลังตอนเค้าเสิร์ฟอาหารว่าคิดผิดจริง จริ๊งงงง ก็ตอนเสิร์ฟอาหาร อาหารมันหมด!! nakoze เลยจำใจต้องกินอย่างเลือกไม่ได้ ![]() อันนี้เป็น Seafood แต่รสชาติแบบว่า ห่วยมากกกกกกกกก มีเครื่องเคียงเป็นเต้าหู้สดกับน้ำซอสที่รสชาติห่วยไม่แพ้กัน ![]() กล้ำกลืนฝืนทนกินไปได้แค่ไม่กี่คำ [กินแต่กุ้งกับข้าว] ก็ต้องยกธงขาวยอมแพ้ กลืนต่อไปไม่ไหว อดทนหิวไปกินต่อมื้อหน้าเอา เวลาก็ผ่านไป Nakoze ก็ได้กินอาหารมื้อที่สอง ซึ่งก็อีกแล้ว ไม่มีตัวเลือก พี่แอร์ถามว่ารับเป็นอีอันนี้ได้มั๊ย จะตอบว่าไงล่ะ ก็ต้องว่าได้อยู่แล้วสิคะ ![]() ออกมามันจะคล้ายๆเส้นขนมจีน แต่มันคงเป็นก๋วยเตี๋ยวอะไรซักอย่าง คลุกกินกับโกจูจัง รสชาติ .... อื้ม .... โฮก .... แหวะ ๆ ห่วยได้อีก สรุปแล้ว อาหารทั้งสองมื้อ ห่วยสูสีกัน Nakoze ผู้ตะกละตะกลาม ยังกินไม่ไหว คิดดูสิว่าห่วยขนาดไหน เอาไปเลย 20 กะโหลก เวลาผ่านไปไม่มีอะไรจะทำก็นั่งมองท้องฟ้าเล่น ![]() นั่งดูหนังไปเรื่อยๆเพลินๆ Korean airline นี่แบบ inflight entertainment ดีเวอร์ หนังใหม่มากกกกกกกกกกกกกกกก ![]() แต่ที่ห่วยมากคือเรื่องของอาหาร นอกจากจะเสิร์ฟแค่ 2 มื้อแล้ว [Asiana ไฟลท์สั้นกว่าแต่เสิร์ฟ 3] รสชาติยังแบบว่าเอิ่ม ... ![]() แต่เพื่อนที่มาคนละไฟลท์กัน บอกว่ามันได้กิน 3 มื้อ เอ๊ะยังไงวะ ชัวร์มากว่าไม่ได้พลาดอาหารซักมื้อ เพราะไม่ได้หลับ nakoe นั่งแหกตาดูหนังมาตลอด 14 ชั่วโมง เวลาผ่านไป กับตันก็ประกาศลดระดับเพื่อลงจอดเมื่อเข้าสู่เขตอเมริกามาได้ซักพักใหญ่ เปิดหน้าต่างออกมาดู โอ้โห บินข้าม atlantic city,NJ เมืองเค้าเป็นบล็อกดีจริงๆ ว่าแล้วเครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบิน JFK อย่างปลอดภัย nakoze ไปเข้าแถวรอเข้า ตม. นานมากกกกกกกกกกกกก เป็นผลพวงอันเนื่องมาจากอยู่ท้ายลำ เลยได้ออกคนสุดท้่าย รอเข้า ตม. เกือบชั่วโมงครึ่ง หิวก็หิว ก็ต้องทนยืนขาแข็งอยู่ร่วมกับอาตี๋ อาหมวยเกาหลี พอถึงเวลาเดินเข้าหา ตม. คราวนี้ซ้อมมาทุกเพลง คราวที่แล้ว ตม. ให้ท่องชื่อเต็มของกรุงเทพให้ฟัง คราวนี้ Nakoze มั่นใจ ผ่านฉลุย ก็ซ้อมมาไล่ตั้งแต่ เพลงสามัคคีชุมนุม จนถึงสรรเสริญพระบารมีกันเลยทีเดียว ปรากฏว่า he ไม่ถามอะไรเลย ให้ปั้มนิ้ว จบ ! ![]() พอหมดห่วงเรื่องผ่านด่าน ตม. nakoze ก็มาลุ้นกับสภาพกระเป๋าต่อ ก็เพราะคราวที่แล้วโหลดออกมาจากท้องเครื่อง จาก 2 ล้อ มันเหลือแค่ล้อเดียว เมื่อสำรวจกระเป๋าแล้วก็พบว่า คราวนี้มีบุญอยู่มาก ที่กระเป๋ามีรอยขูดยาวพร้อมกับแค่ตรายี่ห้อกับซิบหลุด แค่นั้นเอ๊งงงง ![]() พวกนี้มันจะยกกันดีๆไม่ได้รึไงฟะ พอได้รับกระเป๋า nakoze ก็ไปรอพบกับพี่รัตน์ผู้หญิงไทยใจดีที่มีอยู่จริงในโลก เพื่อจะไปเข้าที่บ้านพี่รัตน์ต่อ ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะได้ออกไปตะลุย New York City !! คลิกเพื่ออ่านต่อ Chapter 11 : หรือเราจะ....กลายเป็น homeless คลิกเพื่อย้อนกลับไป Chapter 9 : ออกเดินทางจากประเทศไทย◄ Chapter 9 : ออกเดินทางจากประเทศไทย
![]() Chapter 9 : ออกเดินทางจากประเทศไทย ![]() WAT ปีนี้ ไม่ได้ต่างจากปีที่แล้วเลย nakoze ยังคงเลือกที่จะบินหลังสอบเสร็จเพียง 1 วัน บินตอน 5 ทุ่มกว่าๆ แต่ตอนเช้า ยังวิ่งไปนู่นมานี่ซื้อข้าวของไม่เสร็จไม่สิ้น จัดกระเป๋า แลกเงินให้วุ่นไปหมด ![]() สามทุ่มกว่า nakoze ก็ออกจากบ้าน มาถึงสุวรรณภูมิ พอสี่ทุ่มครึ่ง nakoze ก็เข้าเกทไปนั่งรอ เตรียมตัวเตรียมใจกับการผจญภัยครั้งใหม่ เวลาประมาณห้าทุ่มครึ่งก็ได้เวลาเหินฟ้ากับสายการบิน Korean air เที่ยวบิน KE081 ![]() นั่งๆ นอนๆไปได้ซักพักใหญ่ ๆ แง้มหน้าต่างดูก็เห็นพระอาทิตย์ขึ้นพอดี พอใกล้เข้าเขตเกาหลีใต้ ทางสายการบินก็เริ่มเสิร์ฟอาหารเช้า อาหารเช้าครั้งนี้มี 2 ตัวเลือก เป็นออมเลทกับข้าวต้ม ซึ่งตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือ ออมเลท รสชาดมาตรฐาน (จืดชืดพอกันทุกสายการบิน) ![]() ไม่นานนัก เครื่องก็ landing ที่ Incheon ประเทศเกาหลีใต้ มาคราวนี้ต่างจากปีที่แล้วตรงที่ไม่มีหิมะมาต้อนรับ แต่อากาศยังหนาวเหมือนเดิม หนาวแห้งๆ ลมแรงๆ บาดใจจริงๆ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็เดินเข้า ตม. คราวนี้ก็เอาอีกแล้วกรอกข้อมูลไม่ครบ ลืมกรอกที่อยู่ ได้ยืนกรอกต่อหน้าคุณตม.อีกแล้ว ![]() โชคดีจังคราวนี้ออกมากลุ่มแรกๆ ไม่ต้องรอคิวนาน คุณ ตม.ก็ประทับตรา ปึ๊ก!!อย่างไม่สงสัยอะไร nakoze ก็ออกมานั่งรอบัสเข้าเมืองหน้าสนามบิน หนาวมากเสื้อตัวที่ใส่มาก็ช่างไม่อุ่นเลย แต่คราวนี้ ไม่ได้ลากแตะแล้วนะจ๊ะ ![]() แต่ยังคงเปิดส้นเหมือนเดิม คราวนี้ nakoze เลือกที่จะมา stop over 4-5 วัน ก่อนไปอเมริกา เดินทางไปถึงโรงแรมตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ มีกระเป๋าภาระ 2 ใบควายๆ (นาทีนี้มันเป็นภาระมากกว่าสัมภาระแล้วค่า )โคดหนาว กระเป๋าก็หนัก เวลาลากเสียงจะดังมากก อับอายประชาชนเหลือเกิน พอไปเช็คอิน ปรากฏว่าเค้าให้เริ่มเช็คอินบ่ายสอง ....ห่า ตอนถามในเมล์เค้าบอกว่าเที่ยง nakoze เลยต้องฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนลงไปหาอะไรกินที่เมียงดง ![]() ![]() สนนราคาจานนี้พร้อมเครื่องเคียง แท่น แทน แท๊น .... 16,000 วอน ![]() เริ่มปาดเหงื่อ นี่แค่มื้อแรกเบาะๆ nakozeแลกเงินวอนมาแค่หมื่นเดียว ก็แลกได้ไม่กี่แสนวอน แย่แล้วกรูต้องรีบรัดเข็มขัดด่วน ว่าแล้ว nakoze ก็ซื้อมาม่ามาไว้กินตอนเช้าดังนี้ ![]() ![]() รุ่งขึ้น nakoze ก็สนุกต่อด้วยการไป Everland ด้วยความที่เกลียดอะไรยุ่งยากๆ nakoze บักกล้ามโตแล้วก็แฟนของเขาจึงตัดปัญหาเรื่องการเดินทาง โดยการเหมาแท็กซี่ไปกันค่ะท่านผู้ช๊มมมม ![]() ค่าแท็กซี่ทั้งหมด 55,000 วอนถ้วน ส่งตรงถึงหน้า Everland ![]() ![]() เริ่มแรกก็ไปตะลุยโซนสวนสัตว์ โซนหมู่บ้านลิง น่าสงสารมาก ภาพยังติดตา ถึงทุกวันนี้ คือเค้ามีอาหารลิง ให้เราหยอดเหรียญ แล้วก็จะได้มากล่องนึง Nakoze ก็ไปถูกชะตากะลูกลิงน้อย น่าตาหน้าชัง ก็พยายามยื่นไปใกล้ๆให้มันได้กินปรากฏว่ามีอีลิงใจทรามตัวนึง มันใช้มือจิกหัวลิงน้อยของ Nakoze แล้วเหวี่ยงลงน้ำ โอ้ !!!! ไอ้ลิงใจทรามมมมมมมมม ![]() เท่านั้นแหละหมดอารมณ์สนุกเลย แบบสงสารมาก ไม่รู้สวนสัตว์เค้าดูแลหรือเปล่า แต่ว่าลิงมันท่าทางหิวมากๆ คือให้อาหารที มารุมกันเป็นฝูง จะให้มากกว่านี้ก็ไม่ได้ คนจะอดตายเอา กล่องนึงตั้งพันวอน นี่ถ้าอยู่ไทยถุงละห้าบาท จะซื้อยกโหลฉีกเทให้ตัวละสิบซองเลย ![]() ว่าแล้วก็มาโซนสวนสนุก....ที่ไม่สนุก เข้าใจอารมณ์ป่ะ คือแบบเพื่อนพาแฟนมาด้วย แล้วกลายเป็นว่าเรากลายเป็นก้างอ่ะ ณ จุดๆนั้น มันรู้สึกแย่จริงๆเหอะ คำพูดอะไรอีกหลายๆอย่างที่เราแบบ โอเคแยกกันดีกว่า สุดท้ายก็จบลงที่ Nakoze ต้องเที่ยวคนเดียว[อีกแล้ว] ว่าแล้วก็ไปนัมแดมุน ไปเดินเล่นยามบ่ายที่คลองชองเกชอน โคตรหนาว....มาก ![]() อ่ะถ่ายก้นหอยสัญลักษณ์คลองชองกเยชอนอีกซักรูป ![]() ว่าจะไปเคียงบกกุงต่อ แต่ว่า ...หาไม่เจอ ว่าแล้ววันที่สาม ก็จบลงด้วยประการฉะนี้แล .... วันที่่ 4 Nakoze ไปศูนย์หนังสือ Kyobo นั่งแท็กซี่ไป [อีกแล้ว] พอเข้าไปในอาคารปรากฏว่าหาไม่เจอ เลยได้ถามคุณพี่ยาม คุณพี่ยามก็ดีใจหาย พาเข้าลิฟท์มาส่งที่ชั้น B1 โอโห ประชาชนชาวเกาหลีนับแสน แทบจะเหยียบกันตายในนั้น คนเยอะมากๆ เดินไป เดินมา ดูโน่นดูนี่ ว่าแล้วก็ซื้อแผนที่เกาหลีซะเลย เอาไว้ทำไมหรอ ? ไม่รู้เหมือนกัน ![]() ว่าแล้วก็ไปต่อที่ พระราชวังเคียงบก ที่เมื่อวานโดนผีบังตา เดินมาจะถึงแล้ว แต่ดั๊นนน หาไม่เจอซะงั้น เข้าไปสำรวจภายในพระราชวังกันดีกว่า ![]() ![]() ![]() ชอบมุมนี้จริงๆ ![]() ![]() เดินอยู่เกือบสองชั่วโมงก็เริ่มเหนื่อย เดินออกจากพระราชวังเลาะเลียบทางเดินไปเรื่อยๆ ไปแวะกินแผงอาหารข้างทาง ขายตัวไหมต้ม รสชาดก็มันๆเค็มๆดีค่ะ ![]() ว่าจะไป Namsan Tower ต่อ แต่ปรากฏว่าไม่มีแผนที่ ไม่รู้ทิศ ไม่รู้การเดินทาง...ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้า คือทริปนี้เรียกได้ว่านอกจากทางไปโรงแรมแล้ว nakoze ไม่รู้อะไรจริงๆ ![]() ว่าแล้วก็ยื่นมือไปโบกแท็กซี่ อีกแล้วววคับท่าน ตอนแรกแท็กซี่ไม่ยอมไป ก็โอเค ไม่ไปก็ไม่ไปวะ เดี๋ยวไว้ขากล้บจาก WAT กรูค่อยมาอีกรอบก็ได้ ก็เลยบอกให้แท็กซี่ไปส่งที่โรงแรมแทน ไปๆมาๆกลางทาง คุณลุงคงสงสาร ถามว่าเป็น Japanese หรือ American ก็บอกไปว่า American (ตอนนั้นไม่เข้าใจว่ามีแค่สองตัวเลือกหรือไง ไม่มีไทยแลนด์หรอวะ !!) คุณลุงก็ต่อสายให้คุยกับใครซักคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ เหมือนเป็นคนช่วยแปลภาษาหล่ะมั๊ง เค้าก็บอกว่า คุณลุงจะชาร์จ 2,000 วอนนะ โอเคมั๊ยค่าขึ้นเขา เราก็บอกว่าโอเคสบายมาก ไปโลด และแล้ว Nakoze ก็ได้มา Namsan ตอนพระอาทิตย์จะตกดิน มาถึงหิวก็หิว หนาวก็หนาว ก็เลยยืนโซ้ยอาหารข้างทางก่อนเดินขึ้นเนินนรก !! ![]() อีเนินก็แบบว่า จะชันไปไหน Nakoze เดินไม่ไหวต้องค่อยๆเดินเกาะราวข้างทางกระเถิบไปทีละนิดๆ แต่ปรากฏสาวเกาหลีทั้งหลายแหล่ she ใส่ส้นสูงลูบูแตง เดินกระแทกส้นเข็มขึ้นเนินแบบสบายๆ แต่สาวไทยนางนี้ แทบตายกว่าจะขึ้นมาถึง พอมาถึงก็แบบว่า โอ้ !!! พลาด !!!!!!!!! เสือกมาอนุสรสถานแห่งความรัก ในวัน White Day ![]() ไม่ต้องคิดเลยค่ะท่านผู้ช๊มมมมม ประชาชนหัวดำหัวขาวอีกหวิดพันชีวิต ได้กอดคอกันขึ้นไปคล้องกุญแจคู่รัก ![]() ที่เขาว่าถ้ายิ่งมาคล้องกันหลายชั้น ความรักก็จะแน่นแฟ้นยืนยาวยิ่งขึ้น บลาๆๆ ตอนนั้นคือแบบอะไรเอ่ย ...เป็นแกะดำ คำตอบคือ !!! Nakoze !!!! ![]() ก็ดั๊นสะเหร่อไปคนเดียว คนอื่นเขามาจูงมือกันมาเป็นคู่ แหมม มันช่างตาร้อน ![]() Nakoze ก็ได้อยู่ดูพระอาทิตย์ตกดิน ฉลองวัน White Day [คนเดียว]ท่ามกลางคู่รักอีกแสนล้านคู่ ขากลับนี่ลำบากสุด ไม่รู้ว่าบัสคันไหนไปไหนบ้าง ยืนรอแท็กซี่อยู่ครึ่งชั่วโมง บังเอิ๊ญ มีคุณป้าโบกแท็กซี่ขึ้นมาที่นี่ ไอ้เราได้ทีเลยเสียบทันที Nakoze ก็เลยรอดชีวิตมาได้ด้วยประการฉะนี้ ก่อนกลับโรงแรม ก็เดินไปกินอาหารเต๊นท์ข้างทางเจ้าเดิม คือก่อนนอนทุกคืน nakoze ต้องเดินลงมากินเจ้านี้ ตอนแรกคิดว่ารสชาติห่วยมาก พอตอนหลัง..อื้ม ลงมากินทุกวัน เป็น the must ของเกาหลี ไม่ว่าไปกี่ทีๆ nakoze ก็ต้องลงไปนั่งกิน บางทีดึกดื่นขนาดเกือบๆตีหนึ่งนางก็ลงมานั่งไหว้ห้างรับประทานอย่างสบายอารมณ์ ![]() หน้าตามันก็คือ .... แท่นแทนแท๊นน .... ![]() พอแวะเกาหลีได้พักนึงจนพอใจแล้ว วันรุ่งขึ้น nakoze ก็ต้องออกเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อผจญภัยกับชีวิตปิดเทอม สไตล์ Work and Travel แล้วเจอกันที่นั่น ... อเมริกา คลิกเพื่ออ่านต่อ Chapter 10 : Welcome to USA คลิกเพื่อย้อนกลับไป 8 : ตัดสินใจขอวีซ่า Canada ◄ Chapter 8 : ตัดสินใจขอวีซ่า Canada
** 21 กรกฏาคม 2556 บล็อกหน้านี้จะไม่มีการแก้ไขข้อมูลรวมถึงรูปภาพแล้วนะคะ เนื่องจากล้างคอมพิวเตอร์และไฟล์ทั้งหมดถูกลบไปหมดแล้วค่ะ ดังนั้นท่านที่กำลังจะขอวีซ่าแคนาดาก็ขอให้อัพเดทข้อมูล รวมถึงแบบฟอร์มตัวใหม่เองนะคะ ขอบคุณค่ะ *** แก้ไขไฟล์รูป ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2555 ค่ะ ไฟล์รูปตัวใหม่นี้ละเอียดและเข้าใจง่ายกว่าเดิมค่ะ แต่ว่าเป็นแค่การอัพเดทไฟล์รูปนะคะ nakozeไม่ได้ดูเรื่องว่าเค้าอัพเดทฟอร์มใหม่แล้วหรือยัง ***** ก่อนอื่นต้องเรียนว่าไกด์ไลน์นี้เป็นการขอเพื่อสำหรับน้องๆโครงการ Work and travel ซึ่งสถานภาพและข้อมูลต่างๆจะค่อนข้างไม่ซับซ้อน แต่หากว่าท่านอื่นๆที่สนใจเข้ามาเก็บข้อมูลและฝากคำถามเอาไว้ nakoze ต้องขอเรียนตามตรงว่า "ดิฉันไม่มีประสบการณ์ในการขอวีซ่าแคนาดา มากไปกว่าที่เล่ามาในบล็อกนี้" ดังนั้นไม่สามารถตอบให้ได้ทุกคำถามค่ะ หากท่านมีปัญหาสงสัย nakoze ขอแนะนำให้โทรไปสอบถามกับสถานฑูตแคนาดาโดยตรงจะดีกว่าค่ะ สวัสดีค่า ตอนนี้เพื่อนๆเด็กเวิร์คทุกคน คงมาถึงอเมริกาเรียบร้อยแล้ว สบายดีกันทุกคนเน้ออ เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากได้วีซ่าอเมริกา nakoze ตัดสินใจขอวีซ่า Canada เพิ่ม ในเืมื่อได้มา New York ก็อยากเลยไป Canada ด้วย งานนี้หัวหมุนเรื่องกรอก เอกสารพอสมควร ก็ยังไม่เคยขอวีซ่าเองเลยนี่นา สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่อยากบ้าง ไปลากเก้าอี้มานั่งดูไปด้วยกันเลยค่ะ ► Step 1 : เริ่มแรกนะคะ มาเช็คเอกสารกันก่อน เอกสารที่ nakoze ใช้ในการขอนะคะ ก็เป็นเอกสารจากที่สถานฑูตอเมริกาเค้าคืนมาให้ ไม่ได้ไปขอใหม่แต่อย่างใด เอกสารก็ได้แก่ 1. Transcrip [สถานฑูตอเมริกาคืนมาให้] 2. ใบรับรองสถานภาพนักศึกษา [สถานฑูตอเมริกาก็คืนให้อีก] 3. ใบรับรองการทำงานผู้ปกครอง [อันนี้สถานฑูตอเมริกาคัดออกตอนตรวจเอกสาร] 4. Statement [อันนี้เค้าก็คัดออกคืนให้] 5. รูปถ่ายพื้นหลังสีขาว 2 รูป ไปบอกร้านถ่ายว่า ถ่ายรูปติดวีซ่าแคนาดา มันขนาดไม่เท่าวีซ่า อเมริกานะจ๊ะ ดูดีๆ ย้ำเค้าว่าแคนาดา ุ6. พาสปอร์ต 7. แคชเชียร์เช็ค สั่งจ่ายในนามสถานฑูตแคนาดา แบบSingle entryจะราคา 2,400 บาท [ข้อมูล ณ เดือน กุมภาพันธ์ 54] สรุปคือเอกสารตัวเดิมหมด ไม่ได้ใช้อะไรเพิ่มเลย ► Step 2 : เข้าไปที่ //www.cic.gc.ca/english/information/applications/visa.asp แล้วโหลดเอกสารมา 2 ตัว คือ IMM 5257 และ IMM 5645 ค่ะ ![]() ► Step 3 : กรอกเอกสารทั้งสองตัวที่โหลดมาค่ะ **** กรอกในคอมพิวเตอร์เท่านั้น "ห้าม print ออกมาแล้วกรอกด้วยปากกา" มาเริ่มกันที่ IMM5257 เวลากรอกให้กรอกเป็นภาษาอังกฤษนะคะ จะกรอกพิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็กก็ได้ค่ะ [แต่เราพิมพ์ใหญ่] อันนี้เป็นตัวอย่างการกรอก IMM 5257 นะจ๊ะ ย้ำอีกครั้งค่ะว่าต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษ พิมพ์ใหญ่หรือพิมพ์เล็กก็ได้ (อันนี้ไฟล์รูปตัวใหม่ค่ะ) ขออธิบายก่อนหน่อยนะคะ จากรูปเนี่ยตัวหนังสือสีฟ้าคือข้อมูลที่ nakoze ใส่ลงไป โดยสมมุติชื่อว่า นางสาวสบายใจ นามสกุลจริงจริง สำหรับเด็กเวิร์ค กรอกข้อมูลแค่เท่าที่ nakoze กรอกก็เพียงพอแล้วค่ะ แต่สำหรับท่านอื่นๆ ลองดูไกด์ไลน์ตัวหนังสือสีแดงไปทีละช่องค่ะ จุดสำคัญที่ทำให้หลายๆคนพลาดต้องไปปริ้นท์ IMM5257 ใหม่คือลืมกด Validate ดังนั้น nakoze มีวิธีเช็คความเรียบร้อยของเอกสารก่อนปริ้นท์นะคะ มี 3 ขั้นตอนด้วยกันค่ะ ![]() ![]() ![]() ส่วนอันนี้ IMM 5645 เอกสารตัวนี้ปวดหัวมาก คือกรอกยาก ให้ช่องมานิดนึง กรอกเป็นภาษาอังกฤษนะคะ ยกเว้น ชื่อนามสกุลที่ต้องเป็นภาษาอังกฤษและไทย บรรทัดบนอังกฤษ บรรทัดล่างภาษาไทยค่ะ ![]() เวลากรอกตัวนี้ต้องดูนะคะ IMM 5645 นี้ เวลากรอก มันมักให้กรอกสองบรรทัดเสมอ กรอกให้ครบนะคะ ตามที่เราทำไว้เลยค่ะ ส่วนด้านขวามือสุด ที่เป็น will accompany you to Canada ? คลิกที่ Yes ในกล่องสี่เหลี่ยม ถ้า บุคคลด้านหน้ากล่องสี่เหลี่ยมจะตามเราไปด้วย หรือ No ถ้าเค้าไม่ได้ไปแคนาดากับเรา คลิกให้ครบทุกคนค่ะ ไล่มาตั้งแต่ คู่สมรส แม่ พ่อ ลูกๆ พี่น้อง IMM 5645 ช่องไหนที่เราไม่มี สามารถเว้นว่างไว้ได้ค่ะ กรอกเสร็จ ตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ก็ print ออกมาเซ็นชื่อให้ครบ ตามที่วงสีแดงไว้นะจ๊ะ เมื่อเราเสร็จ 3 Step เรื่องเอกสารอันน่าปวดหัวแล้ว ตาม nakoze ไปสถานฑูตกันเลยค่ะ ![]() ที่อยู่ของสถานฑูตแคนาดาก็ที่นี่เล๊ยยยยย อาคารอับดุลราฮิม อยู่แถวๆ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ สามารถเดินทางได้โดยรถไฟใต้ดิน ลงสถานีอะไรจำไม่ได้ บอกเค้าตอนซื้อตั๋วอ่ะค่ะ ว่าไปโรงแรมดุสิตธานี ทางออกก็ดูป้าย ออกฝั่งโรงแรมดุสิตธานี ไม่แน่ใจว่าสถานีลุมพินีหรือเปล่านะคะ อาคารอับดุลราฮิม ตัวตึกไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่นะคะ เหมือนจะมีทางเข้าไปนิดนึง สังเกตได้ง่ายๆว่าต้นไม้จะเยอะมากๆ แล้วก็มีม้านั่งใต้ต้นไม้ อาคารอับดุลราฮิม จะอยู่ระหว่าง โรงแรมดุสิตธานีกับอาคารอื้อจือเหลียง สังเกตอาคารอื้อจือเหลียงได้ว่า จะเป็นตึกใหญ่ๆ ด้านล่างตึกมีร้าน Fuji เสร็จแล้วพอหาอาคารอับดุลราฮิมเจอ เราก็เดินเข้าไปใต้ตึก ตอนนี้ถ้าใครยังไม่ได้ซื้อแคชเชียร์เช็ค สามารถซื้อได้ที่ธนาคารกรุงเทพด้านล่างตึกค่ะ ถ้าเราเข้าไปแบบงงๆ งกๆ เงิ่นๆ ก็จะมีพี่ยามมาอำนวยความสะดวก ก็บอกเค้าไปว่า ซื้อแคชเีชียร์เช็ค สั่งจ่ายสถานฑูตแคนาดา เค้าก็จะถามว่าวีซ่าอะไร ก็บอกไปว่า ท่องเที่ยวแบบ single ก็จะให้กรอกอะไรนิดนึง เสร็จแล้วเราก็กดบัตรคิว รอเรียก พอถึงคิวเราก็จ่ายเงินไป 2,400 บาท [ณ วันที่ 20 กพ 2011] ตรงนี้ถ้าเกิดว่าเราเข้าจากทางอเมริกา single entry จะเข้าได้หลายรอบ แต่ถ้าเราซื้อแบบ multiple ไปแล้ว ก็เอาเช็คไปทำเรื่อง refund เงินคืน แต่เราต้องมีบัญชีของธนาคารกรุงเทพนะคะ เสร็จแล้วก็เดินไปรับบัตรเพื่อที่จะขึ้นตึก ตรงเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ จะมีพี่สาวสวย 3 คนให้บริการอยู่ บอกเค้าไปว่า มาสถานฑูตแคนาดา แล้วก็ถามเค้าไปว่าสถานฑูตต้องไปชั้นไหนคะ เค้าก็จะบอกมา พร้อมกับขอบัตรประชาชน แล้วก็จะให้บัตรเข้าตึกมา ตรงทางประตูเข้าลิฟท์จะไฮโซมาก คือเหมือนตอนขึ้น BTS หล่ะค่ะ เอาบัตรแตะ แล้วประตูจะเปิดให้ สถานฑูตแคนาดา ใช้ิลิฟท์ตัวแรกนะคะ คือ ติดกับเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ของพี่สามสาวเลย ก็ขึ้นไปตามชั้นที่เค้าบอก [จำไม่ได้ว่าชั้นไหนค่ะ ช่วงนี้เลอะเลือน ]เสร็จปุ๊ป พอประตูหน้าลิฟท์เปิดเราก็จะเห็นเคาเตอร์ฝากของ + สแกนกระเป๋า ก็ปิดโทรศัพท์ กล้องและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เรียบร้อย แล้วก็ยื่นฝากเค้าไว้ที่เคาเตอร์ แล้วเอากระเป๋าไปเข้าเครื่องสแกน แล้วลองถามยามต่อค่ะ ว่ามาทำวีซ่าท่องเที่ยวต้องทำยังไงบ้าง เค้าก็จะให้บัตรคิวมา พร้อมให้เราไปนั่งรอ ของ nakoze รอ 17 คิว ใช้เวลาไปร่วม 2 ชั่วโมง คือนานมาก .... นั่งจนเหงือกแห้ง ระหว่างรอก็เจอหลายๆคน ที่มีปัญหาการกรอกเอกสาร คือบางคนกรอกด้วยลายมือ ซึ่งผิดค่ะ เอกสารทั้งสองตัวด้านบน ต้องกรอกในคอมพิวเตอร์แล้ว print มาเซ็นต์เท่านั้น และอีกแบบก็คือไม่ได้กด Validate ทำให้ไม่มีบาร์โค้ด ก็ต้องไปกรอกใหม่ ดังนั้น ถ้าไม่อยากเสียเวลา กรุณาทำตามที่ nakoze แนะนำอย่างละเอียดนะคะ ระหว่างรอ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ควรหาอะไรไปทำ ไม่งั้นเบื่อมากกกกก นั่งจนง่วง พอใกล้ถึงคิว nakoze ปุ๊ป ก็เจอนิสิตมหาวิทลัยรัฐบาลแถวรังสิตแห่งหนึ่ง ที่มีวิทยาเขตอยู่ท่าพระจันทร์ด้วย [ใบ้ซะไม่รู้เชียว] หล่อนกรอกพลาด คือใช้ปากกากรอกแทนที่จะพิมพ์จากคอมพิวเตอร์ ทำให้หล่อน ซึ่งอยู่คิวก่อนหน้า nakoze ต้องลงไปกรอกมาใหม่ พอหล่อนกรอกเสร็จ หล่อนก็กลายเป็นว่ามายืนแทรก ตอนแรก เจ้าหน้าที่บอกให้ไปต่อหลัง หล่อนก็ดึงดันว่าแค่คนเดียวเอง .... อีเห็ดสด ทำผิดแล้วยังมาทำแบบนี้อีก แถมยังมีคนคอยเสริม เอาเลยน้อง รีบยื่นเลย คอยดูแทรกไว้... เสื่อมจัง คืออยากด่าซ้ำมาก เพราะว่าตอนกรอก เค้ามี Guide ให้แล้ว ว่ากรอกยังไง แต่หล่อนไม่อ่าน แล้วพอหล่อนทำผิด มารอแซงคิวแบบนี้ เอิ่ม..เสื่อมจริงๆ อยากจะบอกว่า ไม่ใช่แค่ nakoze ที่ไม่พอใจ แต่คิวหลังๆ พอหล่อนเดินไป เค้าก็นั่งด่าหล่อนกันเป็นแถบนี่แหละค่ะ ใครรู้ตัวว่าคือคนนั้น ช่วยปรับปรุงนิสัย ตัวเองหน่อยนะจ๊ะ อย่ามามักง่ายแบบนี้ บ่นซะยาว กลับมาสาระของเราต่อดีกว่า พอถึงคิวเราปั๊ป ก็เข้าไปเตรียมเอกสารทั้งหมด ยื่นให้เค้าไป อันไหนไม่เอาเค้าก้จะืคืนมาให้ พี่ที่รับเอกสารเป็นคนไทยจ๊ะ สบายๆท่าทางใจดี พี่เค้าก็ถาม ไปเที่ยวหรอ บลาๆ แบบถามเ่ล่นๆ ไม่ได้มีการกรอกข้อมูลใดๆ เสร็จแล้วก็จะได้รับใบเหลืองมา ซึ่งคือใบนัดรับพาสปอร์ตคืน เมื่อก่อนนี้วีซ่าแคนาดา ทำวันสองวันก็ได้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนกฏใหม่ ืคือทำวันจันทร์นี้ จันทร์หน้าถึงจะได้ กล่าวคือใช้เวลาพิจารณา 1 อาทิตย์เต็มๆ มันต่างกับวีซ่าอเมริกามาก คืออย่างอเมริกา เราทราบผลวันนั้นเลย แค่ยังไม่ได้พาสปอร์ตคืน แต่แคนาดาเราต้องทนทรมานถึง 1 อาทิตย์ พอนัดวันเวลาเสร็จสรรพ เราก็รอไป 1 สัปดาห์ ซึ่งผ่านไปอย่างเนิ่นนาน และแล้ว วันนั้นก็มาถึง .... nakoze ก็มุ่งหน้าไปสถานฑูตแคนาดาี ตามเวลาที่เค้านัด [ช่วงบ่าย] ขั้นตอนเข้าตึกก็เหมือนเดิมค่ะ ฝากบัตรประชาชน สแกนกระเ๋ป๋า ฝากมือถือ เรียบร้อยแล้ว เราก็มาที่ห้องเดิม แต่คราวนี้ไม่ต้องรอ แค่เดินไปยื่นใบสีเหลืองที่เค้าให้มา เค้าก็จะคืนพาสปอร์ตมาให้ พร้ัอมเสียงสวรรค์ "เที่ยวให้สนุกนะครับ "กรี๊ด เป็นอันว่าตูผ่านแล้วใช่มั๊ย พร้อมกันนี้ก็คืน Statement มาด้วย สรุปว่าไม่มีสถานฑูตไหนต้องการ Statement เลยหรอนี่ แล้วnakoze ก็มาเปิดนั่งดูพาสปอร์ตตัวเอง ที่ประทับวีซ่าแคนาดาอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ก่อนจะกลับบ้านอย่างลันล๊าา ~ เจอกันที่นั่น .... แคนาดา....... ![]() คลิกเพื่ออ่านต่อ Chapter 9 : บ๊ายบาย .... ไทยแลนด์ คลิกเพื่อย้อนกลับไป Chapter 7 : i was .... cheated |
nakoze
ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]![]()
Link |



]
















































]
"

ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [