All Blog
◄ Chapter 14 : ทิ้งชีวิตคุณหนูที่เมืองไทย เริ่มต้นใหม่กับร้านแฮมเบอร์เกอร์

Chapter 14 : ทิ้งชีวิตคุณหนูที่เมืองไทย เริ่มต้นใหม่กับร้านแฮมเบอร์เกอร์



ก่อนเข้าร่วมโครงการ W&T ปี 2010 Nakoze ก็แบบว่าประกาศตนอย่างแรงกล้า

ว่ากรูจะไม่ทำงาน ร้าน Fast food ใดๆเป็นอันขาด หัวเด็ดตีนขาดตูก็ไม่ทำ

ทำไมน่ะหรอ ... ก็เพราะได้ยินมาจากเขาว่างานมันหนักอย่างโน้นอย่างนี้

และแล้วสวรรค์ก็เล่นตลก จับ Nakoze ยัดใส่บั้งไฟ ยิงส่งไปไกลถึงร้าน McDonalds ที่อเมริกา

ครั้นครั้งนั้นก็ทำงานอย่างแบบว่าโคดเหนื่อย ด้วยค่าแรงเพียง $7.25 ซึ่งมัน

ไม่พออยู่และไม่พอกิน ไอ้ครั้นจะลาออกก็เกรงว่าจะโดน terminate visa เข้าให้

ก็เลยต้องทำงานไปตลอดจนจบโครงการ



พอมาปี 2011 นี้ ก็ประกาศกร้าวอีกรอบนึง ว่ายังไงๆ Work and Travel ปีนี้

กรูจะมาเพียงแค่รัฐเดียว คือ New York เท่านั้น [โว้ยยยยย]

หากท่านติดตามมาตั้งแต่บล็อกแรกๆ จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมากมายกว่าที่ Nakoze

จะได้งานที่ New York ครั้นจะสละสิทธิ์ไปทำงานที่อื่นก็ใช่เรื่อง

คราวนี้ก็เลยต้องจำใจมาทำ Fast food อีกเหมือนเดิม

แต่คราวนี้โหดกว่าเดิม แค่อ่านใบสมัครตอนแรก ตูยังรู้เลยว่ามันต้องโหด

มีข้อนึงระบุไว้ว่า " Ability to stand for extended periods of time, walk back and forth to work stations, use kitchen equipment & tools, climb, balance, stoop, kneel, crouch or crawl "

แม่เจ้า!! จะเอาตูไปรบกับเกาหลีเหนือเรอะ Smiley

แต่หลังจากชั่งใจดูแล้ว Nakoze ก็คิดได้ว่า เอาก็เอาวะมาถึงนี่แล้ว

ตูจะต้องมาลูบต้นขาเทพีเสรีภาพให้จงได้ ว่าแล้วก็ละทิ้งชีวิตอันแสนสบาย

ไว้ที่บ้าน ก่อนหอบกระเป๋าข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นแรงงานให้พี่ๆชาวมะกันเขากันล่ะ




หลังจากถึงอเมริกาได้ 3 วัน พร้อมทั้งตอนนั้นยังหาบ้านไม่ได้

นายจ้างสุดหล่อ ก็เรียก Nakoze เข้าไปเทรนงานในวันที่ 4 นั้นเอง

งานของ Nakoze เป็นร้านฟาสฟู้ด brand new แต่ว่าดังมากกกกกกกกกกกกที่นิวยอร์ค

ตอนแรกมีแค่ 3 สาขาในแมนฮัตตัน แต่ตอนนี้ขยายเพิ่มเป็น 5-6 แล้ว

ร้านที่ว่านี้ก็คืออออ แท่น แทน แท๊นนนนนน



ร้าน Shake Shack สาขา Upper East Side นั่นเอง

แหมให้มันได้อย่างนี้สิมา NYC ทั้งที มันต้องมาแหล่ง Gossip girl



หลังจากฟังบรรยายชีวประวัติของผู้ก่อตั้ง shake shack แล้ว

Nakoze ผู้ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมกูต้องฟัง ก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น สะลึม สะลือ

ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างสลับกันไปอย่างสนุกสนาน

ก็ได้ยินแมเนเจอร์บอกว่า โอเค เอาตารางงานไปแล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ

ว่าแล้ว Nakoze ก็รับตารางมาพลิกซ้ายพลิกขวาดู ก่อนตาจะเหลือก เถลือกถลน

ตารางงาน อาทิตย์ละ 4 วัน หยุด พุธและเสาร์ อาทิตย์

ในตารางงานบางวันด้านหลังมันเขียนว่า CL

nakoze ก็เดินทางกลับไปนอนตีพุงนอนต่อที่บ้านทรายทองของพี่รัตน์

โดยไม่สงสัยเลยว่าไอ้ตัว CL มันคืออะไร [ตอนแรกเข้าใจว่า Call later]

กร๊ากๆ คิดได้ไงวะ นึกว่าจะแบบถ้าจะให้กลับบ้านจะบอกเอง

และแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนเช้า Nakoze ก็ตื่นเต้นมากกกกกกก

กับการทำงานวันแรก ก่อนจะเข้าร้านก็รวบรวมกำลังใจ จะก้าวขวา หรือก้าวซ้ายก่อนดีวะ คิดไม่ตก

พอพ้นประตูร้านเข้ามา ก็ไปรับชุด uniform

เป็นเสื้อสีเขียวเข้มกับกางเกงสีกากี  [ มันไปเรียนแฟชั่นสถาบันไหนมาวะ มีคนบอกไหมว่ามันไม่เข้ากัน ]

ก่อนจะตรงดิ่งไปที่หลังร้าน พอเปิดประตูไปเท่านั้นแหละ

แม่เจ้าทุกสายตาของพี่มืดทั้งหลาย จ้องมองมาที่ Nakoze ผู้เป็นเอเชียคนเดียวในร้าน

จากเดิมที่ตื่นเต้นอยู่แล้ว คราวนี้เม่งหน้าหดเหลือ 3 เซ็นต์ แขนขามันเกะกะไปหมด

ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน ยืนหน้าหดอยู่ได้พักใหญ่ๆ แมเนเจอร์ shift นั้น

ก็มาเช็คชื่อ พร้อมประชุมก่อนเข้างาน

แมเนเจอร์วันนี้ชื่อ Jill เป็นผู้หญิงฝรั่งที่ สวยมากน่ารักสุดๆ

จมูก ตา คิ้ว ปาก ทุกอย่างแบบว่า ลงตัวกันมาก ไม่มีขาดไม่มีเกิน

เชื่อว่าอยู่ไทย เธอได้เป็นดาราแน่นอน ว่าแล้ว Jill ก็ให้แนะนำตัวรอบวง

พร้อมกับบอกด้วยว่ามาจากไหน ปรากฏเพื่อนร่วมงาน 98% เป็นคนผิวสีหมดเลย

หน้าตาแต่ละท่านก็แบบโหดมาก ตอนแรกๆกลัวสุดๆ

ยิ่งฟังเรื่องพวกนี้มาเยอะเรียกได้ว่า หัวหด จะเหมาะสมกว่า Smiley

พอแนะนำตัวเสร็จ แมเนเจอร์ก็จะมาบอกว่า วันนี้ไฮศกรีมร้านเราเป็นอะไร

คือปกติจะมีไอศกรีมอยู่ 3 รส คือ วานิลา , ช็อกโกแลต และ special



ซึ่งไอ้ special นี่ก็จะเปลี่ยนไปทุกวัน แล้วแต่ละรส ขอบอกว่าอร่อยมากกกก

พอแนะนำไอศกรีมจบ ก็จะต่อด้วยว่าวันนี้เรามีเบียร์ มีไวน์อะไรพิเศษ

อย่างที่ร้านจะทำอะไรเวอร์มาก คือร้านมีแบรนด์เบียร์เป็นของตัวเอง



ตามรูปเลย อันสีเขียวๆขาวๆ เราจะเรียกมันว่า Shackmiester ส่วนเรื่องรสชาด

อย่าได้ถามเพราะไม่เคยกินแอลกอฮอล์ เด็กดี๊ เด็กดีเนอะ Smiley

แล้วก็จะมีเบียร์อีกแบบเรียกว่า seasonal draft อันนี้ก็จะเวียนไปตามวาระโอกาส

และแล้วพอแนะนำทุกอย่างจบ เราก็จะปิดท้ายการประชุม

ด้วยการ quiz ประจำวัน ถาม-ตอบ โดยแต่ละวันหัวข้อก็จะสลับกันไป

แล้วแต่ว่าเค้าจะยกคำถามจาก station ตรงไหน

อย่างเช่น ถ้า station ทำฮอทดอก ก็จะถามว่า ไส้กรอกของเรามีกี่แบบ

เป็นเนื้อหรือเป็นหมู ผลิตจากที่ไหน มีต่างกันยังไง ขนมปังผลิตจากแป้งอะไร

ยี่ห้อไหน จากบริษัทไหน โอ้ย!!แม่มึงเอ้ยยยย ถามอะไรขนาดนั้น

แต่ถามเยอะแบบนี้จริงๆ พอทุกคนไม่มีข้อสงสัย เค้าก็จะเรียกชื่อ

แล้วบอกว่าจะให้ไปทำ station ไหน




วันแรกของ Nakoze ไม่ได้ต่างจาก McDonald เลย คือไปหย่อนขนมปัง

ออกจะสบายกว่าด้วยซ้ำ ก็ขนมปังที่ร้านน่ะ มีแค่ชนิดเดียวแต่ไอ้ที่ลำบาก

คือการที่มันไม่มีจอให้ดู ว่าเราควรจะทำขนมปังกี่อัน ไอ้เราก็ป้ำๆเป๋อๆ

ใส่มากเกินมั่งใส่น้อยไปมั่ง ก็ต้องค่อยๆปรับ ส่วนไอ้ที่ยากอีกอันนึง

ก็คือเวลาปิ้งขนมปังมันต้องทาเนยก่อน เวลาอุ่นเนย เค้าจะเอาใส่ภาชนะสแตนเลส

แล้วเอาไปวางบนเตาทอดเนื้อ ซึ่งร้อนมากกกกกกกก

แล้วด้วยความไปวันแรก ก็ใช้มือไปจับขอบภาชนะโดยตรง

แม่เจ้า ปล่อยแทบไม่ทัน มือพองเลย

แล้วด้วยความที่ ร้านยุ่งมากกก ยุ่งขนาดไหนถ้าคิดไม่ออก

ขอให้คิดไปที่ร้าน Krispy Kreme สาขา Siam paragon คนต่อคิวแบบนั้นแหละ

มันจะกินอะไรกันนักหนาววะ [บ่นในใจ]

มันทำให้ Nakoze ต้องทำงานด้วยความรวดเร็วและมีจังหวะ

มีจังหวะยังไง ก็ตอนที่เติมเนยเสร็จ ก็ต้องแกะเนยใหม่แล้วเอาไปหลอมที่เตา

อีเนยนี่มันก็ดันใส่ไว้ในตู้เย็น ที่มีคนยืนอยู่ตลอดเวลาจะหยิบก็ยาก

หยิบมาเยอะเกินก็ไม่ได้ ยิ่งตอนวางเนยกลับไปที่เตามันจะต้องผ่านคนทอดเนื้อ

ซึ่งมันจะยุ่งมากๆ Nakoze ก็ต้องอาศัยจังวะ โฉบเข้าไปวาง ก่อนจะรีบเด้งตัวออกมา

ว่าแล้วก็ทำงานแค่นี้จนถึงร้านปิดตอนห้าทุ่ม ไอ้เราก็ไชโยโห่ฮี๊ววว เลิกงานแล้ว

กำลังจะไปเปลี่ยนชุดเลย แมเนเจอร์เดินมาบอกว่า เดี๋ยววันนี้จะให้เทรนปิดร้าน

Nakoze ก็เลยได้ถึงบางอ้อว่าไอ้ CL มันมาจาก CLOSE โว้ยย ไม่ใช่ call later




และแล้วก็ได้คุณพี่มืดนางหนึ่งมาสอนเก็บ วันแรกนี้ได้เก็บ station bun

ก็คือไอ้ขนมปังนี่แหละ โอ้โห่การเก็บก็ต้องชำแหละเครื่องปิ้งออกมา

เอาไปวางไว้ใครครัวให้เขาล้าง แต่มันไม่ง่ายค่ะคู๊ณ ไอ้ตัวที่ต้องถอด

มันหนักมากๆ แล้วมันไม่สามารถยกด้วยมือได้ เพราะว่า

1.มันร้อนมากกกกก

2.มันเป็นเหมือนเป็นสายพานที่เลื่อนไปมาได้ [ไม่เห็นภาพล่ะสิ]

3.มือมันยัดเข้าไปไม่ได้

แล้วทำไงหล่ะตู มือยกไม่ได้ มีอะไรเล็กกว่ามือมั๊ยวะ

ถูกแล้วค่ะท่านผู้ชม Nakoze ต้องใช้นิ้วเกี่ยวยกมันขึ้นมา

คาดว่าน้ำหนักมันไม่ต่ำกว่า 7 กิโลอย่างแน่นอน

คิดดูต้องทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ปิดร้าน ตอนนี้ Nakoze ได้เป็นดัชนีนางอย่างแท้จริงแล้ว

นิ้วเดียวก็ล้มหมีควายได้ค่ะ รับประกันเด้อออ Smiley

ยังไม่หมดเวรหมดกรรมกับอีเครื่องปิ้งนี่ พอถอดเขาออกก็ต้องใส่เขาเข้าไปใหม่

ยังดีที่ขากลับนี้มันไม่ร้อน เลยใช้มือช่วยประคองได้ แต่เวลาใส่ก็ต้องใช้นิ้วอยู่ดี

พอทำความสะอาดเครื่องปิ้งเวร เครื่องปิ้งกรรมนี่เสร็จ

ก็ต้องไปเช็ดตู้เย็น เอาพลาสติกคลุมผักเหลือๆ ต้องไปเอาใบมีดโกน

มาขูดเศษชีส ที่มันติดอยู่ใน plate พักแฮมเบอร์เกอร์

เช็ด station ของเราให้สะอาดพร้อมใช้งานในว้ันต่อไป

พอNakoze มั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย เตรียมพร้อมกลับบ้าน

ก็ปรากฏว่า แมเนเจอร์ก็เดินมาเช็คความเรียบร้อยของทุก station

เริ่มด้วยการรับน้องใหม่อย่าง Nakoze แมเนเจอร์[ขอเรียกว่าพี่หล่อ]

พี่หล่อก็เอามือลูบบนโต๊ะ เสร็จรูปโต๊ะไม่พอเอามือไป "รูด" ตามขอบ+ขาโต๊ะ

แล้วบอกว่า ตรงนี้ไม่สะอาด แม่ง!!!! ขอบกะขาโต๊ะ เอากับเค้าสิ Smiley

ไอ้เราก็ก้มไปเช็ดๆ ถูๆใหม่ พี่หล่อก็เปิดตู้เย็นสำรวจ

เอามือเข้าไปล้วงตรงพลาสติก ระหว่างตู้กับฝาตู้ ที่มันจะยืดหดได้

แล้วบอกว่า ตรงนี้ต้องล้วงเข้าไปเช็ดออกให้หมด กรี๊ดด!!! พอเถอะ !!!Smiley

แล้วยังไม่พอ พอพี่หล่อปิดตู้เย็นเท่านั้นแหละ เอิ่ม Nakoze เดี๋ยวเช็ดตรงนี้ด้วยนะ

มันมีรอยมือติดเต็มเลย อ๊ากกกกกก อย่าฆ่าคนหน้าตาดี Smiley

นี่เมิงกะจะเช็ดแบบไม่ให้มีรอยนิ้วมือใช่มั๊ย

คือสรุปแล้ว ทุก station ต้องสะอาดมาก - สะอาดเวอร์ๆ

ปิดร้านแต่ละวัน เหมือนพรุ่งนี้จะไม่เปิดขาย เมิงจะสะอาดไปไหน Smiley

ว่าแล้ววันแรกของการปิดร้าน Nakoze ก็ได้ clock out ตอน ... ตีหนึ่งครึ่ง

ออกมาจากร้านก็โคดโหวงเหวง มีคนเดินอยู่ 2-3 คนบนถนน

Nakoze ก็เข้า subway ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ก็ถึงบ้านทรายทอง

น้ำก็ไม่อาบ ชุดก็ไม่เปลี่ยน สลบเหมือดคาหมอน





ได้ทำงาน ปิ้งขนมปังอยู่ 3 วันเต็มๆ ก็ได้เลื่อนตำแหน่ง

ไปทำสิ่งที่เขาเรียกกันว่า Shake ชื่อฟังดูอร่อย แต่คนทำเนี่ยน่ะสิง่อยแดรกเลย

ไอ้หน้าที่ๆว่า มันเป็น station ที่เรียกว่า คัสตาร์ด station

หน้าที่ก็คือ ตักไอศกรีม หรือที่ร้านจะเรียกว่าคัสตาร์ด

ตักใส่แก้วสแตนเลสอันใหญ่ๆ แล้วเค้าก็จะมีรสให้เลือก

ว่าแบบ สตอเบอร์รี่ ช็อกโกแลต peanut better , caramel บลาๆ

แล้วหน้าที่ของ Nakoze คือการใส่นมสดลงไปในไอ้แก้วนั้น แล้วปั่นมันให้เข้ากัน

ฟังดูเหมือนง่าย แต่ไอ้ความลำบาก มันอยู่ตรงที่ แก้วมันเป็นสแตนเลส

แล้วไอ้ที่อยู่ข้างในน่ะมันเย็น เวลาเอาเข้าเครื่องปั่น มันไม่ใช่เครื่องปั่น

แบบปั่นน้ำผลไม้ ที่แค่ใส่ลงไปแล้วรอ

แต่อันนี้คือมือเราต้องจับแก้วไว้ตลอด พร้อมกับคอยเขย่าๆ บิดไปบิดมา

เพื่อให้มันเข้ากัน ทีนี้น่ะคุณขา โอ้ยโคดเย็นมือเลย

ทำได้แค่วันแรก โบกมือลาขอกลับไปยืนปิ้งขนมปังเหมือนเดิมดีกว่า

วันๆนึง ไม่ได้ทำแค่ 10-20 แก้ว แต่พ่อคุณแม่คุณชาวอเมริกัน

จะกินอะไรกันขนาดนั้น เบ็ดเสร็จรวมแล้ว วันๆนึง Nakoze ต้องทำ shake นี้

ไม่ต่ำกว่า 500 แก้ว แม้ว่าขณะนั้นอากาศจะยังหนาวอยู่ก็ตาม



ทำ shake ได้วันนึงเต็ม ย้ำว่าเต็มจริงๆ ก็ถึงคราวได้เปลี่ยนตำแหน่งอีกรอบนึง

คราวนี้ไปทำตรงที่เขาเรียกว่า beverage station ตรงนี้ง๊าย ง่าย แค่ยืนกดน้ำ

มันก็จะมีหน้าจอให้ดูแบบในรูป



หน้าที่ของเราก็แค่ดูว่า สั่งน้ำ size ไหน หยิบแก้วให้ถูก

แล้วก็กดน้ำให้ถูก พอน้ำเต็มแก้ว ก็ไปวางบนชั้นให้ถูกตำแหน่ง เวลาน้ำแข็งหมดก็ไปตักมาเพิ่ม

แล้วก็ต้องรู้ว่าเบียร์มียี่ห้อไหน ไวน์ยี่ห้ออะไรเก็บไว้ตรงไหน

แลดูเป็น station ที่ง่ายที่สุด แต่ปัญหามันจะมาก็ตรงที่ เวลาลูกค้าสั่งไวน์

เราจะต้องเปิดจุกไวน์ ซึ่งตอนแรกๆไม่รู้วิธี ดึงมันอยู่นั่นแหละ

จนหลังๆค่อยๆเรียนรู้ ตอนนี้เปิดคล่องที่สุดในร้านละ

แล้วมีอยู่เหตุการณ์นึง วันนั้น Nakoze ก็เปิดจุกเบียร์ปกติ

แต่แมเนเจอร์สาว นางก็เดินมาบอกว่า Nakoze ชั้นไม่รู้หรอกนะว่าที่ประเทศเธอ

เค้ามีกฏหมายยังไง แต่ในนิวยอร์คเธอไม่สามารถให้ค๊อกไวน์กับใครได้

แม้ว่าลูกค้าจะขอก็ตาม มันผิดกฏหมาย

บร๊ะ!! อะไรวะ มันจะเอาจุกไวน์ไปยิงกันตายหรือไง นี่ยังงงถึงตอนนี้

แต่ตั้งแต่นั้นก็รอบคอบมากขึ้น เช็คก่อนทุกครั้งพยายามมีสติ [ปกติไร้สติ ]




และแล้ว Nakoze ก็ทำงานอยู่ station นี้มานานมาก เรียกได้ว่าคล่องสุดๆ

แต่แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดเหตุการณ์ว่า ใช้ข้อมือมากเกินไปแบบว่ามันปวด

คือนึกออกมั๊ยว่าตักน้ำแข็งตลอดทั้งวัน แล้วเวลาน้ำแข็งหมดก็ต้องไปเติม

ด้วยการใช้ที่ตักอลูมิเนียมอันใหญ่ๆ ตักจนกว่าจะเต็มถัง แล้วก็ต้องยกมันมาเท

nakoze ก็นั่งภาวนาขอให้ได้เปลี่ยนที่ซักที

จนวันนึงคำภาวนาสัมฤทธิ์ผล เมื่อพี่หล่อให้ย้ายไปทำอีก station นึง

ตรงนี้งานสบายมากกกก แค่ยืนเอาสลิปมาเรียงให้ถูก ว่าใครมาก่อนมาหลัง

แล้วก็ดูว่าเค้าสั่ง to stay หรือ to go ถ้า to stay ก็จะวางใส่ถาดที่มีแผ่นรอง

ถ้า to go ก็ต้องไปพับถุงแล้วใช้แม็กเย็บสลิปติดถุงกระดาษไว้

เหมือนจะง่าย แต่ว่างานนี้ต้องใช้สติจริงๆ คือว่าเวลาสลิปออกมาจากเครื่องปริ้น

เราต้องดูว่า อันไหนมาก่อนมาหลัง ซึ่งจริงๆแล้ว มันมีเวลาบอก ว่าสั่งเข้ามากี่โมง

แต่ทีนี้ด้วยความที่บางวันมีแคชเชียร์ถึง 4 คน ทำให้ลูกค้าไหลเร็วกว่าปกติ

20 คน อาจจะเป็นเวลาเดียวกันก็ได้ ทีนี้แหละคุณเอ๋ยสติหลุดเมื่อไรซวยแน่

จะถึงคราวซวยอีกทีนึง ก็ตอนที่เค้าเปิดแคชเชียร์ 4 เครื่อง

ลูกค้าก็ออเดอร์ได้ไว สลิปก็ออกไว ไอ้เราก็ต้องรีบดึงสลิปมาเรียง

เรียงสลิปไปด้วย สลับกับแยกออเดอร์ to stay กับ to go

ทำไปซักพัก ถาดเม่งเจือกหมด ตูต้องวิ่งไปเอาจากหลังร้าน แบบเปียกๆ

เปียกๆก็ใส่ให้ลูกค้าไม่ได้ ก็ต้องเช็ดอีก คือมันเร่งมากๆ

เรียกว่าไม่ได้หายใจหายคอ เพราะพอเราติด มันจะทำให้อาหารออกไม่ทัน

พอไม่มีสลิป คนหยิบอาหารเค้าก็หยิบไม่ได้ แล้วอีพวกที่ทำตรงหยิบอาหาร

มักจะเป็นพวกแมเนเจอร์ หรือว่าพวกคนใจร้อน เพราะมันจะต้องทำไว เดินไว

[มือไวด้วย] ทีนี้ Nakoze ก็จะค่อนข้างเกร็งมากๆ แรกๆ กลัวทำผิด

แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไร จนกระทั่งวันนึง มีเพื่อนร่วมงานเด็กเวิร์คคนใหม่จากจาไมก้า

นางมาทำตำแหน่งนั้นพอดี ประจวบเหมาะกับวันนั้นเป็นวันที่คนเยอะมาก

ด้วยความวุ่นวาย นางจึงดึงสลิปผิด และขณะที่นางพยายามแก้ไข

ก็ปรากฏว่า นางคงมือไม้สั่นด้วยความลนลาน นางทำสลิปทั้งหมดในมือร่วงลงสู่พื้น

นาทีนี้เหมือนโลกหยุดหมุน ทุกคนหันไปมองที่นางตาเดียว

แมเนเจอร์เลยบอกให้ Nakoze ไปตามแมเนเจอร์ในห้องที่เหลือออกมาให้หมด

แล้วแมเนเจอร์ทั้งหมด ก็พากันระดมสมอง นั่งเรียงสลิปขณะที่ตอนนั้นงานชะงัก

งานไปต่อไม่ได้ ลูกค้าก็มาเร่งว่าไม่ได้อาหาร จำได้ว่าแมเนเจอร์อันเป็นที่รักสองคน

เถียงกันเสียงดังโวยวายใหญ่โต

จากเหตุการณ์นั้น มันทำให้ Nakoze ยิ่งต้องรอบคอบกว่าเดิม

นอกจากจะรอบคอบแล้ว ต้องทำให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

เพื่อที่ว่าสลิปจะได้ไม่มากองกันเยอะจนทำไม่ทันแล้วเกิดความลนลาน




หลังจาก Nakoze ต้องทำตำแหน่งฝึกสมองประลองปัญญานั่นแล้ว

พี่หล่อ ก็โยกย้าย Nakoze มาทอดเฟรนช์ฟราย

ซึ่งไม่มีอะไรยากเลย แต่ว่า... ร้อนมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

มันไม่ใช่แค่อากาศร้อน แต่พอทอดเสร็จ เราต้องเอาเฟรนช์ฟรายมาวางในเครื่อง

เครื่องอะไรซักอย่างที่มันจะแผ่รังสีความร้อนออกมาตลอดเวลา เพื่อทำให้เฟรนช์ฟราย ร้อนตลอดเวลา

คิดดูสิคุณๆขา เฟรนช์ฟรายมันยังร้อนตลอดเวลา แล้วอิชั้น คนที่เอามือไปจับเฟรนช์ฟราย มันจะร้อนแค่ไหน

ทำตำแหน่งนี้ไม่ค่อยบ่อย เพราะว่ากะไม่ค่อยถูกของเลยออกไม่ค่อยทัน

คือมันไม่มีหน้าจอให้ดู ว่าตอนนี้นะ เอาเฟรนช์ฟรายกี่อัน

แต่เราต้องกะเอาเอง จากจำนวนลูกค้าที่ยืนอยู่หน้าร้าน

แล้วบางที คนที่รับสลิปมันปลวก มันไม่ยอมตะโกนบอกเวลาออเดอร์ใหญ่ๆมา

มีครั้งนึง ออเดอร์เดียว สั่งเฟรนช์ฟราย 15 อัน

เขาก็ไม่บอก Nakoze ไอ้เราก็ไม่รู้ทอดเรื่อยเปื่อยไปตามประสา

ปรากฏว่าเฟรนช์ฟรายส์ทอดไม่ทัน อีคนหยิบของส่งแขกก็มาเร่งๆๆๆๆ

อยากจะตะโกนบอกว่า " เมิงเร่งตูก็ไม่ทำให้มันสุกเร็วหรอกโว้ย

ถ้าอยากให้สุกเร็วๆ เมิงมาเร่งไฟนี่ ไม่ใช่เร่งตู "

หลังจากรู้ว่า Nakoze สถิตอยู่ station นี้นานไม่ได้แน่ๆ

พี่หล่อแกก็เลยส่ง Nakoze ไปทำฮอทดอก ซึ่งมันกลายเป็น station โปรดไปแล้ว

เพราะว่าพี่หล่อเค้าว่า Nakoze ทำฮอทดอกสวยมากน่ากิน Smiley

น๊าน ลอยเลย แต่ก็มีเรื่องบางเรื่องของฮอทดอกซึ่งหลังจากคุณๆฟัง Nakoze เล่าแล้ว

คงจะระแวงไปพักใหญ่ ก็มีอยู่วันนึงไอ้เราก็เผลอทิ้งฮอทดอกไว้บนเตา

ปรากฏว่าหันมาอีกที แม่เจ้าโว้ย ฮอทดอกตูดำปิ๊ดปี๋เลย ไอ้เราก็ไม่กล้าทิ้ง

หันไปถามเพื่อนร่วมงาน ยูๆ ไอทำมันไหม้อ่ะ ทิ้งเลยมั๊ย

เพื่อนสาวชาวมะกันก็ตอบว่า ไม่ๆ อย่าทิ้งนะ แบบนั้นแหละ perfect !!!

ยูแค่บีบซอสทับลงไปแล้วปรุงตามปกติได้เลย

โว้ย ดำๆแบบนี้นะ เค้าเรียกว่า perfect โอ๊ะ โอ่ มันชอบกินมะเร็งกันจัง

ปกติ Nakoze จะไม่ให้มันดำตามสไตล์คนไทย แต่ที่โน่นค้าจะเรียกว่ายังไม่สุก

ถ้าสุก perfect มันต้องดำๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ป๊าดดดดด มะเร็งจงเจริญ



ว่าแล้วก็มาถึงหน้าที่สุดท้ายที่ Nakoze จะได้ทำ

ก็คือมาแก้แค้นทุกๆตำแหน่ง เป็นคนหยิบอาหารส่งแขก

แรกๆก็เกร็งมาก กลัวหยิบผิด เพราะอย่างที่คุณๆรู้ คนอเมริกันขี้วีน

แต่เค้าวีนก็เพราะเค้ารู้จักรักษาสิทธิ์ตัวเอง อะไรผิดนิดผิดหน่อย

นางๆทั้งหลาย จะเดินมาเปลี่ยนด้วยหน้าตามู่ทู่

หรือบางที มันผิดตั้งแต่แคชเชียร์ อีคนรับหน้าก็ Nakoze นี่แหละ

ก็จะอาศัยวิธี ยิ้มสยาม โดนด่าก็ยิ้มไว้ก่อน ยิ้มมมมม แล้วขอโทษ

ผิดไม่ผิดไม่รู้ ตูขอโทษแหลก

แขกบางคนตอนเดินมาเปลี่ยนนี่หน้าตาเอาเรื่องมากกกก

แบบว่า หล่อนยะ!!ทำไมมะเขือเทศชิ้นนี้มันเป็นแกน ร้านเธอทำอย่างนี้ได้ไง

นี่มันแกนมะเขือเทศชัดๆ ชั้นเป็นลูกค้านะยะ ให้มาแบบนี้ได้หรอ

หน้าที่ Nakoze ก็คือ ยิ้มสยาม แล้วพยายามไกล่เกลี่ยแบบว่า

Oh .... i'm so sorry about that madam , let me get you a new one

ว่าแล้วก็ทิ้งเบอร์เกอร์นั่นไปทั้งชิ้น ก่อนจะสั่งให้เค้าทำอันใหม่ให้

แล้วก็เดินมา i'm really sorry บลาๆๆๆ ขอโทษจนอีคนเดินมาเปลี่ยนรู้สึกผิด

คือหล่อนก็ว่า ไม่ต้องเปลี่ยนให้ทั้งอันหรอก แค่อยากได้มะเขือเทศชิ้นใหม่

[แหม่ ตอนเมิงเดินมานี่วีนตูมากเลย]

หล่อนไม่ถือโทษโกรธใดๆ อีกทั้ง happy มากและจะกลับมากินใหม่อีกแน่นอน

น่านเห็นมั๊ย ยิ้มสยามชนะเลิศทุกรายการค่ะท่านผู้ช๊มมมมมม.......



ด้านบนนี่เป็นอุปกรณ์ทำมาหากินของที่ร้านค่ะ

แบบว่าพอสั่งออเดอร์เสร็จแล้วแคชเชียร์ก็จะหยิบอันนี้ให้

แล้วพออาหารที่สั่งพร้อมเสิร์ฟแล้ว nakoze จะเป็นคนกดหมายเลขเพื่อเรียกลูกค้าค่ะ




จริงๆหน้าที่ยังไม่จบแค่นี้ยังมีอีกหลายหน้าที่ แต่กลัวท่านๆจะเบื่อซะก่อน



เอาไว้มีคนสงสัยจะมาเล่าต่อแล้วกันนะ

วันนี้ลาไปก่อน บล็อกหน้าจะเข้มข้นมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

จะเกิดอะไรขึ้นกับ Nakoze ! เพื่อนร่วมงานจะดีร้ายแค่ไหน !!

เอ๊ะ แล้วทำไมบักกล้ามโตถึง...ถูกไล่ออก !!!!!

พบกันใหม่ตอนหน้า วันนี้ลาไปก่อน ราตรีสวัสดิ์พีน้องชาวไทย





Smiley คลิกเพื่ออ่านต่อ Chapter 15 : ทำงานที่นี่คุณต้องทน ถ้าคุณไม่ทนเราก็ไม่มีงานให้คุณทำ ... คุณถูกไล่ออก

Smiley คลิกเพื่อย้อนกลับไป Chapter 13 : บ้านหลังใหม่



Create Date : 26 มิถุนายน 2554
Last Update : 30 ตุลาคม 2555 1:03:28 น.
Counter : 4422 Pageviews.

20 comments
  
I like your story, fight for it.
โดย: preaw waan วันที่: 27 มิถุนายน 2554 เวลา:0:20:33 น.
  
beside working, enjoy your life in NY :)
โดย: kanim IP: 75.102.128.8 วันที่: 27 มิถุนายน 2554 เวลา:5:04:28 น.
  
ทำงานเหมือนจะสนุกนะคะ แต่ดูเหนื่อยมากๆเลย ไม่รู้ว่า ถ้าหนูไปจะทำได้หรือเปล่า เปลี่ยนหน้าที่บ่อยด้วย บางที ป้ำเป๋อ เหม่อกว่าพี่อีก เป็นกำลังใจให้นะคะ จะติดตามอ่านเรื่อยๆค่ะ
โดย: NokJbz วันที่: 27 มิถุนายน 2554 เวลา:16:56:04 น.
  
สนุกมากครับ ถ้าให้ผมไปทำไม่รู้จะไปรอดหรือเปล่าไม่รู้
โดย: Khunshine วันที่: 28 มิถุนายน 2554 เวลา:12:22:29 น.
  
อ่านสนุกจังคะ เก่งจังเลยถ้าเป็นเรานี่คงไม่รอด
โดย: sjt วันที่: 28 มิถุนายน 2554 เวลา:20:31:24 น.
  
คำถามเดียว... ที่ไหนโหดกว่ากันค่ะ ระหว่าง แมคโดนัลด์ กับ งานใหม่ที่นี่ ???
โดย: Flowerfun วันที่: 1 กรกฎาคม 2554 เวลา:2:57:17 น.
  
ตอนไปเวิคก็ไปทำร้านฟาส์ทฟู้ดเหมือนกันค่ะ มันสนุกดีนะ ไม่รู้สิ อิ๊บชอบเป็นการส่วนตัว ได้ฟรีมีลด้วย ฮ่าาา เขรยนเรื่องอ่านสนุกดีค่ะ
โดย: army_wifey วันที่: 1 กรกฎาคม 2554 เวลา:13:37:30 น.
  
@Flowerfun ที่นี่โหดกว่าเยอะค่ะ

@ คุณอิ๊บ อันนี้ไม่ฟรีอ่ะจิคะ ลด60% แต่เบอร์เกอร์ที่นี่เิริ่มที่ 4.5 เหรียญมั๊งคะ ลดยังไงก็แพ๊งแพง
โดย: nakoze วันที่: 1 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:28:21 น.
  
เรื่องน่าติดตามดี อดทน เหนื่อยมาก เก่งนะ
หนูคงเจอกลับเรา ครอบครัวที่ไปพักบ้านคุณรัตน์ที่แสนใจดีทุกๆอย่าง 20เมย.54 ขอให้โชคดี ปลอดภัย
โดย: ronch IP: 58.11.52.124 วันที่: 1 กรกฎาคม 2554 เวลา:22:11:10 น.
  
อิอิ ใช่แน่ๆเลยค่ะ 20 เมย. เป็นวันสุดท้ายที่อยู่บ้านพี่รัตน์พอดี

จำครอบครัวคุณได้ค่ะ ขอบพระคุณอีกครั้งที่มาช่วยยกกระเป๋าขึ้นรถนะคะ
โดย: nakoze IP: 124.120.82.89 วันที่: 2 กรกฎาคม 2554 เวลา:1:30:20 น.
  
ใช่หนูแน่ที่เจอกับเรา 22เมย.ยังไป Shake Shack Columbus Ave.ลูกแพร์บอกนี่ที่หนูทำงานอยู่ แต่คนมากๆๆหิวรอไม่ไหว
ทำงานเหนื่อยมากนะ ได้ไปแคนนาดา?
ขอให้โชคดี ปลอดภัย
โดย: ronch IP: 61.90.112.59 วันที่: 2 กรกฎาคม 2554 เวลา:10:26:48 น.
  
ใช่เลยค่ะ แต่หนูไม่ได้ทำสาขานั้น สาขาหนูคนน้อยกว่าที่นั่นหน่อยนึง

ไม่ได้ไปแคนาดาค่ะ เกิดเหตุฉุกเฉินก่อนบินกลับ อดเที่ยวเลยค่ะ

ขอให้คุณลุง คุณป้าและครอบครัว โชคดีมีความสุขเช่นกันค่ะ
โดย: nakoze วันที่: 7 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:07:02 น.
  
อ่านแล้วสนุกมากๆคะ อยากทำงานที่นี่บ้าง พออ่านแล้ว รับรู้ถึงความลำบาก แต่พี่สาวก็อดทนและผ่านมันมาได้ เยี่ยมจริงๆ ^^
โดย: ealecchologist วันที่: 17 กรกฎาคม 2554 เวลา:14:00:38 น.
  
สนุกดี ปีนี้ผมก้อจะไปทำ shake shack เหมือนคุณ ขอ e-mail ถามเจ้าของบล็อกได้มั้ยครับ
โดย: First IP: 115.87.42.175 วันที่: 2 ตุลาคม 2555 เวลา:0:46:08 น.
  
@First : claz_zic@hotmail.com กรุณาเขียนหัวเรื่องมาด้วยนะคะ
โดย: nakoze วันที่: 6 ตุลาคม 2555 เวลา:19:43:53 น.
  
คือ ตอนนี้กำลังเลือกงานอะคะ พอดีเพื่อนที่ไปด้วยมันอยากไปนิวยอร์คมากก เเต่เรากลัวค่าครองชีพมันสุงจนไม่เหลือเงินทำอะไรเลย ขอคำปรึกษาหน่อยนะคะ พลีสส yaimai.yaimee@gmail.com
โดย: Yaimai IP: 113.53.18.59 วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:22:34:26 น.
  
@ คุณ Yaimai : ส่งเมล์มาคุยที่ claz_zic@hotmail.com กรุณาเขียนหัวเรื่องมาด้วยค่ะ
โดย: nakoze วันที่: 22 ตุลาคม 2555 เวลา:19:31:28 น.
  
:)
โดย: ppetch IP: 118.173.10.1 วันที่: 31 ตุลาคม 2555 เวลา:1:49:55 น.
  
อ่านเพลิน อ่านสนุกทุกตอน เขียนเก่งจริงๆ แต่ว่าอ่านแล้วคิดหนักเลยที่ลูกจะไปwat ปีนี้น่ะค่ะ
โดย: Kanokorn IP: 113.53.15.126 วันที่: 9 ตุลาคม 2556 เวลา:11:37:47 น.
  
หลงเข้ามอาอ่าน สนุกมากค่าาาา
โดย: kung IP: 58.9.251.48 วันที่: 5 มีนาคม 2557 เวลา:22:27:59 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nakoze
Location :
  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]



New Comments