บอกแล้วไม่ฟัง
Group Blog
 
All blogs
 

=> ความเครียดทำให้ตายได้

ระบบประสาทจากสมองคนนั้น มันเป็นของประหลาดที่ไปมีผลต่ออวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น อารมณ์โกรธมีผลต่อหัว กระเพาะ และเท้า


อารมณ์เครียด กดดัน ซึมเศร้ามากๆ มันจะมีผลต่อประสาทส่วนกลาง และจากนั้นก็ส่ง กระแสไฟฟ้าทางระบบประสาทไปยังกล้ามเนื้อหัวใจอย่างสม่ำเสมอ แรงบ้าง ค่อยบ้าง เหมือนเพลง ซิมโฟนี เบอร์ 5 ของ บีโธเฟ่น นั่นแหละ


จากนั้นจะกระตุ้นให้เกิดกล้ามเนื้อของหัวใจบีบตัวสั่นอย่างรุนแรง และตายได้ทันทีในคนไข้เป็นจำนวนมาก


ได้มีการศึกษากันมากที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และบอสตัน ถึงผลของอารมณ์ต่อประสาทและหัวใจวาย


คนอเมริกันนั้น เป็นโรคหัวใจวายตายมากกว่าบ้านเราปีหนึ่งๆ เขาตายจากโรคหัวใจกันเกือบครึ่งล้านคน25% ของคนเป็นโรคหัวใจวายนั้น ไม่น่าจะตายจากโรคของหลอดเลือดโคโรนารี่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะว่าส่วนมากที่ตายเพิ่งเริ่มเป็นโรคหัวใจกัน ซึ่งโรคขนาดนั้นไม่น่าจะทำให้เกิดหัวใจวายจาก VENTRICULAR FIBRILLATION คือ หัวใจห้องล่างที่สูบฉีดโลหิตแดงสั่นจนตายได้


สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือว่า คนไข้ซึ่งเป็นโรคหัวใจหยุดเต้นครั้งแรกจากการล้มเหลวของกระแสไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งเป็นโรคหลอดเลือดโคโรนารี่อยู่นั้น กว่า 60% ตายโดยไม่มีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจตายเลย




ปกติแล้ว คนหัวใจวายมักจะมีกล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นลักษณะที่เฉพาะตัวของโรคนี้


ในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดพบว่าคนไข้ 117 คน มีเพียง 25 คน (เท่ากับ 21%) ที่มีอาการของโรคหัวใจกำเริบอย่างรุนแรงให้เห็นชัดก่อนจะตายภายใน 24 ชั่วโมงว่า มีอาการของหัวใจเต้นผิดปกติอย่างรุนแรงจนคนไข้บอกได้ว่ามีอาการผิดปกติ อาการเหล่านี้ได้แก่อาการเจ็บหน้าอก และอาการใจเต้น ใจสั่น และหัวใจหยุดเต้นเป็นพักๆ


ความโกรธหรืออารมณ์ตึงเครียดจนกระทั่งทำให้เกิดโรคหัวใจวายตายนั้น อาจจะไม่ได้เกิดภายใน 24 ชั่วโมงก่อนคนไข้ตาย หรือพอพ่อตาโกรธลูกเขยมากๆ เหมือนในหนังไทย แล้วก็หัวใจวายตายคาที่ให้ลูกสาวดีใจ ที่ได้มรดกจำนวนมหาศาล แต่อาจจะโกรธ หรือตึงเครียดมากมาก่อนนานๆ ก็ได้


ในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดพบว่า 79% ของคนไข้ที่ตายนั้นไม่มีอารมณ์โกรธและว่าเคร่งเครียดภายใน 24 ชั่วโมง แต่มีเป็นเวลานานมาก่อนนั้น


ส่วนมากจะมีประวัติของความเครียด ความโกรธอย่างมากมาประมาณ 1 อาทิตย์ หรือ 6 เดือน ก่อนจะเกิดอาการของโรคหัวใจอย่างรุนแรง เช่น การสูญเสียญาติ ตกงาน ปัญหาของชีวิตสมรส ปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงของชีวิต ประวัติ เหล่านี้ มีความสำคัญและสัมพันธ์กับอาการของโรคหัวใจเกือบทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้น


พอจะสรุปในประเด็นได้ว่า คนที่เกิดอาการของอารมณ์ และประสาทตรึงเครียดอย่างเฉียบพลันทันทีมาก่อนอาจจะทำให้เกิดอาการของโรค หัวใจอย่างรุนแรงได้ และเกิดอาการหัวใจวายทันที


ในวงการแพทย์เขาก็สรุปเอาว่า ผลของความตึงเครียดทางจิตใจจะมีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งจะสะท้อนไปทางประสาท และกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางระบบไฟฟ้าของการทำงานของหัวใจอย่างแน่ นอน จนเกิดอาการหัวใจวาย และตายทันที ความจริงเรื่องนี้เป็นการทดลองในคนได้ยาก เพราะมันเกี่ยวกับความตายของคน


ส่วนของสมองที่ถูกกระทบกระเทือนมากที่สุด คือศูนย์กลางส่วนที่รับความรู้สึกนึกคิด และมีหน้าที่ไปควบคุมการปล่อยกระแสไฟฟ้าควบคุมการเต้นของหัวใจ


สังเกตง่ายๆ เวลาคนโกรธทันทีก็จะมีอาการหน้าแดง ใจเต้น ใจสั่น ความดันเลือดเพิ่มขึ้นสูง และในผู้ชายจะมีเลือดคั่งมากในอวัยวะเพศ ซึ่งจะมีการแข็งตัวด้วย


การป้องกัน คือ ปรับปรุงคุณภาพของชีวิตให้ดีขึ้น เลิกวิตกกังวลว่าบ้านจะถูกวางระเบิด ต้องทำใจให้ได้ว่า ไม่มีความทะเยอทะยานใฝ่สูงทางการเมือง เพราะเมื่อถึงเวลาราชรถจะมาเกยเอง อารมณ์ก็จะดี ไม่มีโอกาสเป็นโรคหัวใจวายตายเลย ถ้าไม่โดนระเบิดตายเสียก่อน



ที่มา บทความโดยน.พ.โอภาส ธรรมวานิช




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2553    
Last Update : 12 มิถุนายน 2553 19:28:58 น.
Counter : 624 Pageviews.  

=> วิธีการพกเงินก็บอกความเป็นตัวคุณ

ซ่อนเร้น

ถ้าคุณซ่อนเงินไว้ในเข็มขัด ในซอกลับของกระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าถือ แสดงว่าคุณเป็นคนระมัดระวังมากพิถีพิถันพิจารณา ตัดสินใจอะไรรอบคอบ ควบคุมตัวเองได้อย่างมีระเบียบวินัย เวลานัดกับใครไม่เคยล่าช้า หรือผิดเวลา


แยกกันเป็นระเบียบ

ถ้าคุณจัดธนบัตรแยกตามค่าเงินเป็นระเบียบเรียบร้อยใส่กระเป๋าสตางค์ และแยกเหรียญไว้อีกทางหนึ่งเพื่อใช้จ่ายย่อย คุณเป็นคนที่มีเหตุมีผล รู้จักความพอดี ไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเท่าไหร่ ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าเงินทอง




คลิกอ่านต่อที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2553    
Last Update : 13 มิถุนายน 2553 18:46:58 น.
Counter : 500 Pageviews.  

=> อยู่อย่างผู้สูงอายุ ที่มีความสุข

ชีวิตทุกคนผ่านวัยทารก วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยผู้ใหญ่และก็ถึงวัยสูงอายุ หลายคนได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ ได้อยู่ในครอบครัวที่มีความสุขความอบอุ่นร่วมกับพี่น้อง เจริญเติบโต ศึกษาเล่าเรียน มีอาชีพการงาน และหลักฐานมั่นคง มีครอบครัว มีลูกมีหลาน แล้วก็ก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ ชีวิตที่ผ่านมามีทั้งสุขทั้งทุกข์ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน


และเมื่อเป็นผู้สูงอายุประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า จะปฏิบัติตัวอย่างไรให้เป็นผู้สูงอายุที่ดี มีคุณค่า มีความสุขในบั้นปลายขีวิต และเพื่อความสุขของชีวิต เมื่อเป็นผู้สูงอายุมีหลักที่ควรประพฤติและปฏิบัติตัวดังนี้


เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ อายุ 60-70 ปี ขึ้นไปตามที่เรียกกันว่า ผู้สูงอายุ หรือ คนแก่ อย่าไปมัวแต่คิดถึงอายุที่ล่วงไปด้วยความหวาดวิตก อาลัยอาวรณ์ แต่จะคิดว่าเราจะเป็นคนหนึ่งที่ผ่านโลกผ่านชีวิตมามากพอ เฉลียวฉลาดจากการได้รับประสบการณ์ต่างๆ มามากแล้ว พอที่จะอำนวยคุณประโยชน์ให้พวกเด็กๆ และคนหนุ่มสาวได้ ในการให้คำปรึกษา แนะนำ ให้ข้อคิดจากความชำนาญในชีวิตมามาก และภาคภูมิใจในตัวเองว่ายังคงเป็นคนที่มีค่า มีประโยชน์ต่อสังคม แม้ร่างกายอาจเป็นไปได้ที่ไม่สามารถจะกระทำสิ่งใดๆ ได้ เหมือนกับครั้งยังหนุ่มสาว แต่ความคิดอ่าน สติปัญญา ความรอบรู้จะยังคงมีให้ใครๆ ได้เสมอ


ยังคงปรารถนาที่ให้ทุกคน เห็นว่าเราก็เป็นคนที่เหมือนคนทั้งหลาย ซึ่งมีความต้องการและไม่ต้องการ มีความพึงใจและไม่พึงใจ มีความรู้สึกนึกคิดเยี่ยงปุถุชนทั้งหลาย และจำทำตัวเป็นคนมีค่ามีประโยชน์ต่อสังคมเรื่อยไปเท่าที่จะสามารถทำได้ ไม่คอยแต่รบกวนใครๆ เขาจนเกินไป ไม่ต้องมาคอยให้ใครเป็นห่วง คอยกังวล สงสารเวทนา จนเขาไม่เป็นอันทำงาน ประกอบอาชีพ หรือศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องการรบกวนเวลาหรือขัดขวางความสุขของใครอื่น แต่ต้องคอยระวังดูแลตัวเอง ใช้สมอง และความคิดตัดสินปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง




ควรที่จะมีผู้ให้คำแนะนำ ปรึกษาหารือบ้างเมื่อมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับตัว อย่าอวดดื้อถือดีว่าตัวเองรู้อะไรดีไปหมดเสียทุกอย่าง และไม่ต้องการพึ่งใคร


สำนึกอยู่เสมอว่า ชีวิตกับงานเป็นของคู่กัน งานจะช่วยให้ความสุขใจได้ อย่านั่งๆ นอนๆ หรือนิ่งเฉย ควรหางานทำเพื่อช่วยคลายเหงา และช่วยให้เกิดความสุขทางใจ และควรเป็นงานี่สามารถทำได้ และเป็นงานที่เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อที่จะได้ภูมิใจว่าตัวเองยังมีค่ามีประโยชน์ต่อสังคม


ควรคิดเสมอว่า "อายุ" ไม่ใช่อุปสรรค ที่จะทำให้เลิกเคารพนับถือตนเองและผู้อื่น รู้จักตัวเอง รู้จักผู้อื่น และคิดหาทางช่วยผู้อื่นเสมอเมื่อเขาต้องการ อายุเป็นเพียงตัวเลข ที่บอกถึงเวลาที่ชีวิตล่วงเลยมาตามกาลเวลาเท่านั้น


ยึดมั่นต่อคำกล่าวที่ว่า "คนเราไม่แก่เกินเรียน" สิ่งที่ควรจะต้องทำอย่างต่อเนื่องก็คือ การศึกษาหาความรู้ อ่านเขียน และเรียนให้รู้ถึงเรื่องต่างๆ ที่ทำให้เกิดความรู้ความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ เสมอ แล้วจะหาทางเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้ด้วยต่อไป


หาเวลาพักผ่อนหย่อนใจบ้าง สร้างความสนุกสนานเบิกบานใจให้แก่ตัวเอง มีงานอดิเรกทำพอที่จะให้เพลิดเพลินใจ หาเวลาเดินทางท่องเที่ยว ไปงานเลี้ยงของญาติและเพื่อนๆ ไปมาหาสู่คนอื่นๆ จะได้พูดคุยสนทนากันวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องของโลก ได้คุยทบทวนถึงชีวิตแต่หนหลังที่เคยมีสุขมีทุกข์มา


และไม่ควรพูดคุยกับเด็กอยู่ตลอดเวลา ถึงความแตกต่างของสมัยนี้กับสมัยก่อน อย่าพยายามเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เพราะการพูดเปรียบเทียบอยู่ซ้ำๆ ซากๆ พวกเด็กๆ จะรำคาญ ไม่อยากฟัง


หากพูดผิดๆ หรือทำสิ่งใดผิดพลาดไปบ้าง ก็อย่าคิดว่าตัวเองอายุมากผ่านชีวิตมามาก เมื่อพูดหรือทำอะไรแล้วต้องถูกเสมอ พูดผิดทำผิดจะต้องได้คิดแก้ไข เด็กรุ่นใหม่อาจมีความรู้ ความฉลาดในเรื่องบางอย่างยิ่งกว่าเราก็ได้


หากแสดงอารมณ์หงุดหงิด เกรี้ยวกราดออกมา ควรใช้สติพิจารณาด้วยเหตุผลถึงการกระทำที่ผ่านมา เมื่ออารมณ์เหล่านั้นสิ้นไป และเตือนตัวเองเสมอว่าไม่บังควรเอาแต่อารมณ์ตัวเองอีกต่อไป


แหล่งข้อมูล : //www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสารเกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 89 พฤศจิกายน 2550


ผู้รวบรวมบทความ | มิถุนายน 2, 2010 at 01:18

| ป้ายกำกับ: สุขภาพจิตผู้สูงอายุ

| Categories: สุขภาพจิตผู้สูงอายุ

| URL: //wp.me/pTdYz-uA





 

Create Date : 03 มิถุนายน 2553    
Last Update : 12 มิถุนายน 2553 20:09:36 น.
Counter : 515 Pageviews.  

=> คนเรารักสุข แต่สร้างเหตุแห่งทุกข์

ทุกคนอยากจิตใจสงบ
แต่ก็ปล่อยใจคิดฟุ้งซ่าน
เมื่อปล่อยใจคิดฟุ้งซ่านจนพล่านเกินระงับ
จึงค่อยมาถามหาวิธีทำความสงบ
อยากมีสมาธิ อยากมีช่วงเว้นวรรคจากพายุความฟุ้งบ้าง

ทุกคนอยากมีกำลังใจดี
แต่ก็หาคนช่วยทางกายและเรียกร้องการเอาใจจากคนอื่น
ไม่ฝึกเป็นที่พึ่งให้ตนเอง เมื่ออ่อนแอปวกเปียกมากเข้า
จึงค่อยมาถามหาวิธีทำใจให้เข้มแข็ง
อยากลุกขึ้นได้ด้วยตนเอง อยากเป็นความอบอุ่นให้ตนเองได้

ทุกคนอยากมีร่างกายแข็งแรง
แต่ก็ขี้เกียจออกกำลังกาย
เมื่อร่างกายอ่อนแอ
จึงค่อยมาถามหาหยูกยาบำรุงร่างกาย
อยากกระดูกแข็ง อยากภูมิคุ้มกันโรคสูง

ทุกคนอยากมีสุขภาพสมบูรณ์
แต่ก็ไม่รู้จักกินนอนพักผ่อนและเว้นห่างสุรายาสูบ
เมื่อกายปรากฏเหมือนรังโรคที่สายเกินเยียวยา
จึงค่อยถามหาวิธีกินอยู่ให้เหมาะ
อยากหายใจปลอดโปร่ง อยากขับถ่ายสะดวกดี

ทุกคนอยากได้มิ่งมิตร
แต่ก็ไหลตามอารมณ์โกรธ เกลียด และอิจฉาริษยา
ยากจะมีแก่ใจให้อภัย ไม่ฝึกที่จะพลอยยินดีกับผู้อื่น
เมื่อจิตใจเร่าร้อนเกินทน จึงค่อยมาถามหาวิธีแผ่เมตตา
อยากมีความเยือกเย็น อยากเว้นวรรคจากการรบกับศัตรู

ทุกคนอยากได้ความปลอดภัย
แต่ก็สร้างความเจ็บใจให้ชาวบ้านเป็นนิสัย
เมื่อมองไปทางไหนมีแต่คนอยากทวงแค้นเอาคืน
จึงค่อยมาถามหาวิธีเจรจาหย่าศึก
อยากเลิกวิ่งเต้นคดีความ อยากไปไหนมาไหนไม่ต้องระวังตัวแจ

ทุกคนอยากได้เงินทอง
แต่ก็จับจ่ายใช้สอยสนุกมือ
โดยไม่รู้จักทำงานด้วยความขยันและหมั่นเก็บ
เมื่อตกที่นั่งลำบาก จึงต้องมาถามหาวิธีกู้หนี้ยืมเงิน
อยากชำระหนี้ให้หมด อยากมีเงินไหลมาเทมาไม่ขาดสาย


ทุกคนอยากได้ความมั่นคงในชีวิต
แต่ก็หมั่นสร้างความไม่แน่นอนต่างๆนานาให้ชีวิต
เดี๋ยวผัดวันประกันพรุ่ง เดี๋ยวเล่นไม่ซื่อกับใครต่อใคร
เมื่อชีวิตยุ่งเหยิงใกล้ล้มเหลวรำไร จึงค่อยมาถามหาวิธีสร้างตัว
อยากให้ชีวิตมั่นคง อยากเบาใจสบายตัว

ทุกคนอยากได้คู่ครองดีๆ
แต่ก็ตามใจตนเองในการเหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุดหย่อน
เมื่อเป็นคนหลายใจเพราะห้ามใจไม่ได้
จึงค่อยมาถามหาวิธีตัดใจเพื่อให้เหลือใจเดียว
อยากหยุดกระวนกระวาย อยากแก่ตายบนตักของคู่แท้

ทุกคนอยากได้ลูกที่มีความกตัญญูกตเวที
แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ความอบอุ่นแก่ลูกๆ
เมื่อลูกโตขึ้นกลายเป็นคนไม่รู้จักบุญคุณใคร
จึงค่อยมาถามหาวิธีสั่งสอนลูกให้รู้คุณตน
อยากฝากผีฝากไข้ อยากให้ลูกหันมาเหลียวแลบ้าง

ทุกคนอยากได้ชาติหน้าเป็นสุคติภูมิ
แต่ก็ไม่เคยเห็นค่าของการให้ทานรักษาศีล
เมื่อใกล้ขาดใจตายไปกับความทรงจำแย่ๆในชีวิต
จึงค่อยมาร้องหาพระอรหันต์คุ้มภัย
อยากเกาะผ้าเหลืองไปสวรรค์ อยากได้แสงสว่างสาดถึงจิต

ทุกคนอยากมีความสุข
แต่ก็ไม่รู้ตัวว่าทุกวันสั่งสมเหตุแห่งความทุกข์
เมื่อกายใจอึดอัด
จึงค่อยมาโอดครวญชวนเวทนา
อยากขอความเห็นใจ อยากให้วาสนาฟ้าดินปรานี

เมื่อรู้จักเหตุแห่งสุข
ว่าอยู่ที่วิธีคิดสละออก
อยู่ที่วิธีเลือกคำพูดอันไม่เป็นที่ระคายโสต
และอยู่ที่วิธีลงมือทำโลกนี้ให้ดีขึ้น
แม้ไม่อยากมีความสุขก็จะเป็นสุขสนุกนาน


แต่ถ้าไม่ละเหตุแห่งทุกข์
ซึ่งก็คือวิธีคิดเห็นแก่ตัว
คือวิธีพูดด้วยคำที่คนเกลียดชัง
และคือวิธีลงมือทำโลกนี้ให้แย่ลง
แม้อยากหายทุกข์ก็จะต้องทนทุกข์ร่ำไป



ที่มา fwd mail จากเพื่อน




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 9:55:50 น.
Counter : 358 Pageviews.  

=> กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง

สัมผัสพระพุทธเจ้า

ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต


อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา


ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ


อายุ ขียติ มจฺจานํ


กุนฺนทีนํ ว อุทกํ


วันคืนผ่านไป


ชีวิตวัยก็ร่นเข้ามา


อายุใกล้สุดสิ้น


ดุจชลสินธุ์ในกุนนที




วันเวลาล่วงไปตามลำดับ จากวินาทีเป็นนาที จากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือกาลเวลาดังพุทธวจนะตรัสไว้ว่า "กาลเวลาย่อมกลืนกินทุกสิ่งสรรพ์รวมทั้งตัวมันเองด้วย"


ชีวิตและอายุของสัตว์ทั้งหลายก็เสื่อมสิ้นไป ตั้งวินาทีแรกที่ถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา พรางตาให้คนหลงไปว่าเป็นการเจริญเติบโต แต่ผู้รู้เรียกอาการอย่างนี้ว่า "วัย" หมายความว่า เสื่อมสิ้นไป


ที่เข้าใจกันว่าเรากำลังเจริญวัยนั้น แท้ที่จริงเรากำลังเสื่อมเรากำลังก้าวเดินไปสู่ความตายทีละก้าวๆ ในที่สุดก็จะถึงจุดดับสลาย ประดุจสายน้ำน้อยนิดถูกแสงอาทิตย์แผดเผา ค่อยๆ เหือดแห้งไปในที่สุด


พระพุทธองค์ตรัสว่า ชีวิตนั้นสั้นนิด ทุกชีวิตเกิดมาแล้วต้องตาย หนุ่มก็ตาย แก่ก็ตาย โง่ก็ตาย ฉลาดก็ตาย รวยก็ตาย จนก็ตาย ทุกคนล้วนต้องตาย จะตายวันตายพรุ่งไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า



ที่มา : กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง ; นสพ. ข่าวสด ; 13 พค. 53




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2553 21:00:08 น.
Counter : 1157 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

amaridar
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add amaridar's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.