เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 4


บทที่ 4

เจ้าชายลำดับสามแห่งอาณาจักรเฮย์เดนนอกจากจะงามสง่าดุจเทวทูตจากสวรรค์แล้วยังมีความปรีชาในการรังสรรค์ศิลปะได้มิยิ่งหย่อนไปกว่าจิตรกรฝีมือดี เซเซียจึงใช้ข้อนี้ในการอ้างขอให้เขาช่วยเป็นที่ปรึกษาแนะนำผลงานแก่นาง

บ่อยครั้งที่ธิดาองค์รองของกษัตริย์เอลริโก้แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนยังคฤหาสน์รับรองของเฟร์นานโด ภายในห้องทรงงานจิตกรรมซึ่งเจ้าชายไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ เพราะต้องการความสงบเพื่อสร้างสมาธิในการรังสรรค์ผลงาน แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่ากิจกรรมที่ทั้งสองร่วมกระทำมิได้มีเพียงการนั่งจิบชาและปรึกษาเรื่องงานศิลป์

“น่าเสียดายเหลือเกิน ที่เหตุร้ายเมื่อคืนไม่อาจทำให้ใครบางคนหายไปจากสายตาข้า” เซเซียพูดพลางละสายตาจากผืนผ้าใบที่มีลายเส้นโครงร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาดซึ่งมีรูปร่างคล้ายผึ้งแต่ดวงตาและกรงเล็บใหญ่โตแลดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก ดวงหน้าหวานงดงามซึ่งเชิดขึ้นเล็กน้อยฉายรอยผิดหวังที่ตัวมารขวางคอไม่ยอมตายเสียที

“แบบนี้การคุ้มกันก็คงเข้มงวดขึ้น” เฟร์นานโดเอ่ยพร้อมกับโอบกอดร่างระหงจากด้านหลัง สูดกลิ่นหอมกรุ่นเจือจางจากเรือนเกศาแล้วไหวกายไปมาคล้ายกับเต้นรำโดยไม่มีเสียงเพลง 

“แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคนักไม่ใช่หรือ ในเมื่อเราไม่ได้ใช้งานแต่พวกโจรกระจอก” เขาเอ่ยกระซิบแผ่วข้างใบหู รอยยิ้มเหยียดบนมุมปาก ทว่ายังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล

“ต่อแต่นี้อาจมีก็ได้” ดวงเนตรกลมโตหรี่ลงเมื่อหันไปประสานสายตากับคู่หมั้นของพี่สาว “ได้ยินว่าคนที่ช่วยนางเป็นพ่อมดที่มีฝีมือเก่งฉกาจ และตอนนี้ก็รับหน้าที่คุ้มครองนางแล้ว”

“จริงหรือ” เฟร์นานโดกระตุกยิ้ม นัยน์ตาสีมรกตทอประกายวาววาม “อยากรู้เหมือนกันว่าจะสู้คนของข้าได้ไหม”

เจ้าชายละมือจากเอวบอบบางแล้วเอนตัวลงนั่งบนโซฟาบุนวมนุ่มสีน้ำตาลทองปักลวดลายเถาไม้ด้วยสีน้ำตาลเข้ม เจ้าหญิงนั่งตามลงด้านข้าง เสื้อลำลองสีขาวเนื้อบางปลดกระดุมเผยแผ่นอกหนาหนั่นเรียกดวงเนตรหวานให้มิอาจละสายตา

“ดูจะมั่นใจในคนของตัวเองเสียเหลือเกินนะ”

“แน่นอน ที่เจ้าชายอลันต้องเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เพราะฝีมือของเขา” เจ้าชายแห่งเฮย์เดนเว้นคำพูดครู่หนึ่งแล้วมองสีหน้าของเซเซีย “เจ้าคงไม่โกรธข้าใช่ไหม”

เฟร์นานโดเอื้อมมือไปแตะนวลปรางเปล่งปลั่งเบา ๆ ราวกับขอความเห็นใจ เซเซียกอบกุมมือนั้นไว้อย่างรักใคร่ก่อนขยับเข้าซบกับอกอุ่น

“ข้าไม่เคยโกรธท่าน ยอดรักของข้า” ดวงตาหวานทอดมองไปยังห้วงอากาศอันว่างเปล่าแล้วกล่าวเบา ๆ ราวรำพึงกับตนเอง

“ระหว่างพวกเขากับข้าไม่เคยมีความรู้สึกผูกพันใด ถ้าเพื่อท่านแล้วต่อให้สองคนนั่นต้องตายข้าก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก”

ถึงกระนั้นเสียงหวานที่เอื้อนเอ่ยก็ยังเจือไว้ด้วยความคับแค้น

เพียงเพราะนางเกิดจากครรภ์ของสนม จึงไม่เคยได้รับสิ่งใดอย่างเท่าเทียมกันกับบุตรและธิดาของราชินี แม้แต่ความรักจากแม่แท้ ๆ ซึ่งต้องการบุตรชายมากกว่าบุตรสาว

เพราะเหตุนี้นางจึงเข้าใจความรู้สึกของเฟร์นานโดซึ่งเกิดมาในฐานะเดียวกัน ต่างกันก็แค่นางไม่มีความทะเยอทะยานอยากครอบครองบัลลังก์เหมือนเขา ในใจมีเพียงความริษยาที่มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่สาวต่างมารดาและความอิจฉาที่บุรุษซึ่งตนหมายปองไม่ได้ถูกลิขิตให้เป็นของของนาง

เพราะเหตุนี้เซเซียจึงร่วมมือในแผนการของเฟร์นานโดเพื่อให้ได้ครอบครองเขาโดยไม่มีใครครหา นางต้องกำจัดคู่หมั้นคนปัจจุบันออกไปให้พ้นทางและเพื่อความฝันของเฟร์นานโดก็จำเป็นต้องกำจัดองค์รัชทายาทเสียด้วย

เจ้าหญิงองค์รองแห่งเรสทอเรียขยับขึ้นนั่งบนตักเจ้าชายเฟร์นานโดแล้วโอบแขนรอบลำคอของเขา หญิงสาวจ้องมองดวงพักตร์สง่างามด้วยความหลงใหล ไล่สายตาตั้งแต่เรียวคิ้วเข้มไปยังริมฝีปากหยักงามน่าสัมผัส บัดนี้เทพบุตรของนางมิได้อยู่สูงเกินเอื้อมอีกแล้ว นางมอบร่างกายและหัวใจแก่เจ้าชายหนุ่มจนไม่หลงเหลืออะไร หวังเพียงให้ตนเองเป็นหนึ่งเดียวในใจของเขา เป็นคนเดียวที่สามารถครอบครองเขาเอาไว้ได้ตลอดกาล

เฟร์นานโดเผยอปากรับสัมผัสหวานละมุนจากเรียวปากอวบอิ่ม ปล่อยหญิงสาวให้กระทำตามอำเภอใจอยู่บนร่างกายของเขาโดยไม่ขัดขืน ในห้วงดำริรู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย นางซึมซับประสบการณ์ที่ตนสอนไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

นับว่าได้ประโยชน์กว่าที่เคยคาดไว้ในคราแรกมากนัก

นานมาแล้วที่เจ้าชายลำดับสามแห่งเฮย์เดนถูกส่งมาอยู่ในดินแดนของคู่สัญญาอาณาจักร ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รู้ว่าเขาได้ถูกใช้แล้วในฐานะตัวหมากทางการเมือง ทั้งยังเป็นการจำกัดอำนาจทางทหารของเขามิให้ขยายเกินไปจนยากแก่การควบคุม

บางทีแผนการช่วงชิงบัลลังก์ในบ้านเกิดของตนคงถูกระแคะระคายเสียแล้ว เขาจึงได้ถูกริบกำลังทหารและเฉดหัวออกมาอยู่ในต่างแดนเช่นนี้

ถือเป็นความปรานีอย่างใหญ่หลวงที่สิทธิ์และศักดิ์ของเจ้าชายยังคงอยู่ แม้เฟร์นานโดจะไม่นึกซาบซึ้งใจแต่อย่างใดก็ตาม

การที่ได้รู้ว่าตนมีคู่หมั้นเป็นถึงเจ้าหญิงผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทลำดับสองของอาณาจักรคู่สัญญา จุดไฟแห่งความทะเยอทะยานของเฟร์นานโดขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่กำจัดรัชทายาทอันดับแรกและรอวันอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง เขาก็มิต้องเปลืองแรงอะไรมากแล้ว และเมื่อนั้นเขาจะดำเนินการล้างแค้นบ้านเกิดที่ไม่เห็นเจ้าชายผู้นี้อยู่ในสายตาเสียด้วย

เจ้าชายแห่งเฮย์เดนวาดฝันเอาไว้อย่างมากมาย แต่แล้วก็ต้องเกือบสะดุดหยุดฝันค้างเอาไว้กลางอากาศ ทั้งที่เขาได้เริ่มลงมือส่งคนไปจัดการกับเจ้าชายรัชทายาทแล้ว เมื่อรู้ว่าสการ์เล็ตไม่มีใจให้ตนและคิดล้มเลิกแผนการหมั้นหมายกับเขา หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่ลงมือกระทำไปก็ต้องสูญเปล่า ความปรารถนาที่หวังไว้ต้องล้มครืนไม่เป็นท่า เขาไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด

เมื่อนั้นเซเซียจึงก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในแผนการ เขารู้ได้จากสายตาที่มักทอดมองมาอยู่เสมอว่าสตรีผู้นี้หลงใหลในตัวเขาอย่างหมดหัวใจ และสายสัมพันธ์ระหว่างนางกับพี่น้องก็ดูว่าจะไม่แน่นแฟ้นเท่าไรนัก

ผู้หญิงคนนี้ใช้ประโยชน์ได้...

เฟร์นานโดถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ลมหายใจร้อนผ่าวหอบกระชั้น เจ้าชายเทพบุตรหัวเราะให้กับความเร่าร้อนของร่างระหงซึ่งกำลังเป็นฝ่ายครอบครองและควบคุมเขาอยู่ในขณะนี้

นี่นับเป็นผลพลอยได้ที่สร้างความสำราญใจให้ยิ่งนัก

เฟร์นานโดยังคงจดจำได้ดีถึงครั้งแรกของสัมผัสสิเน่หาระหว่างเขากับนาง

ร่างบอบบางสั่นสะท้านเมื่อรับสัมผัสจูบแรกจากเจ้าชายที่ใฝ่ฝัน หล่อนตกอยู่ในภวังค์หวานและเริ่มเรียนรู้ที่จะตอบสนองเขาอย่างไร้เดียงสา เซเซียไม่ปฏิเสธอารมณ์ปรารถนาของตัวเองแม้จะรู้ว่าที่กำลังทำอยู่มันเป็นสิ่งที่ผิดก็ตาม ผู้ชายที่กำลังกอดกับนางอยู่นี้มีเจ้าของ และผู้ครอบครองสิทธินั้นคือพี่สาวต่างมารดาของตน แต่นางก็ไม่อาจหยุดความปรารถนาอันรุ่มร้อนที่แผดเผาไหม้ในทรวงอก ได้แต่ปล่อยตัวและใจไปตามกระแสธารแห่งอารมณ์

“เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล อ้อมกอดแข็งแกร่งคลายออกเมื่อรู้สึกถึงแรงสะอื้น มือใหญ่หนาเชยคางมนขึ้นมองดวงตาที่มีน้ำใส ๆ ไหลริน

“ข้าทำผิดไปแล้ว...ทั้งที่รู้ว่าท่านไม่อาจเป็นคนของข้า ทั้งที่ข้าไม่ควรหวัง แต่ข้าก็ยัง...”

“เจ้ารักข้าหรือเปล่า” เฟร์นานโดกล่าวตัดบท เก็บซ่อนอารมณ์หน่ายไว้ในใจอย่างมิดชิด 

เขาจ้องดวงตางดงามราวกับจะเค้นความจริงที่อยู่ลึกในใจหญิงสาวออกมา

“รัก...ก็เพราะรักน่ะสิ” เซเซียตอบด้วยความจริงใจ น้ำใส ๆ พลันร่วงรินลงมาอีก

“แล้วถ้ามีทางที่จะทำให้เราสองได้อยู่ร่วมกันล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร”

เซเซียเบิกตาจ้องสบกับดวงเนตรสีมรกตอย่างมีความหวัง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นแผนการของทั้งสองคน

*/*/*/*/*


บรรยากาศยามเช้าในอาณาจักเรสทอเรียนั้นแสนสดชื่นปลอดโปร่งชวนผ่อนคลาย แต่ธิดาองค์โตในกษัตริย์ผู้ครองนครกลับขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่เดินออกจากห้องบรรทมส่วนในแล้วเห็นใครบางคนนั่งยิ้มแป้นอยู่ในห้องบรรทมส่วนนอก

“มาเร็วจริงนะ” สการ์เล็ตเอ่ยทักก่อนเยื้องกายไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ไกลจากพ่อมดที่สุด

“มันเป็นหน้าที่ซึ่งพึงกระทำน่ะครับ” คาอิลยิ้มตอบอย่างสดใส แต่ไม่ว่าสการ์เล็ตจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มยียวนกวนอารมณ์ยิ่งนัก ต่างกับสาวใช้สองนางที่ลอบชม้ายชายตามองรอยยิ้มอันแสนน่ารักของพ่อมดหนุ่มจ้าวเสน่ห์ด้วยอาการเหมือนสาวแรกรุ่นกำลังตกหลุมรัก

เจ้าสองคนถูกหลอกแล้ว...เจ้านั่นไม่ได้น่ารักอย่างที่แสดงให้เห็นภายนอกหรอกนะ

สการ์เล็ตถอนหายใจที่สาวใช้ของนางไม่ระแคะระคายต่อใบหน้าใสซื่อหลังกรอบแว่นนั่น พวกพ่อมดน่ะหรือจะมีสีหน้าแบบนี้จริง ๆ ได้

“ถอนหายใจแต่เช้าเดี๋ยวความโชคดีจะหนีเสียหมดนะครับ”

“ข้านึกว่ามันหมดไปแล้วตั้งแต่พบเจ้าเสียอีก”

ว่าแล้วยังมายิ้มอีก...ทำยังไงถึงจะให้หมอนี่มีสีหน้าลำบากใจได้บ้างนะ

“ไม่คิดว่าข้าอาจเป็นความโชคดีในความโชคร้ายของท่านบ้างหรือ เจ้าหญิง” คาอิลพูดพร้อมกับส่งสายตาคมกล้าเป็นประกายมาสบประสานกับดวงเนตรสีทับทิม “และอย่าลืมเรื่องคำทำนายของข้าเชียวล่ะ เพราะมันแม่นยำเสียจนข้าเองก็ยังนึกหวั่นว่าอาจจะเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้”

“ท่านพ่อมดทำนายดวงได้ด้วยหรือ เอาไว้ทำนายให้ข้าบ้างสิคะ” 

สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังจากยกน้ำชาร้อน ๆ หอมกรุ่นและอาหารเช้าเบา ๆ มาให้ตามรับสั่งของผู้เป็นนาย เพราะสการ์เล็ตอนุญาตให้พูดและปฏิบัติตัวอย่างเป็นกันเองภายในพื้นที่ส่วนพระองค์นางจึงกล้าพูดแทรกขึ้นมา

“ได้สิครับ เอาไว้ข้าจะทำนายให้” คาอิลพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มหวาน

“อย่าคิดค่าทำนายแพงนักก็แล้วกันนะคะ”

“ไม่แพงหรอกครับ ขอแค่ของอร่อย ๆ สักมื้อก็พอ แล้วก็กรุณาเรียกข้าว่าคาอิลเฉย ๆ เถอะนะ” พ่อมดหนุ่มกล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนฟังพลางรับถ้วยชาจากสาวใช้ นิ้วเรียวยาวแตะลงบนมือบอบบาง ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองอย่างอ่อนโยนทำเอาเหล่าสาวใช้แทบละลาย จะยกเว้นไว้ก็แต่สการ์เล็ตซึ่งกำลังรวบช้อนบนจานอาหารของตน

สายตาหวานเลี่ยนกับน้ำเสียงเมื่อครู่นั้นทำให้นางอิ่มขึ้นมากะทันหัน แถมยังรู้สึกแน่นในอกขึ้นมาอีกต่างหาก อยากคายของในกระเพาะขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้

สงสัยการหลอกสตรีจะเป็นงานถนัดของเจ้าพ่อมดนี่กระมัง

“อิ่มแล้วหรือครับเจ้าหญิง”

คาอิลหันมาส่งยิ้มให้นางบ้าง แต่สการ์เล็ตไม่แยแสจะมอง ถึงจะรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันแสนยั่วอารมณ์ แต่ลึก ๆ แล้วก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่ามันช่างน่ามองเหลือเกิน

“วันนี้ข้าตื่นสายมาก ยังมีงานอีกเยอะที่ต้องทำ ไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งสบายหรือคอยตามใครหรอกนะ”

เจ้าหญิงชายหางตามองพ่อมดและเห็นว่าคิ้วเรียวนั่นยกขึ้นเล็กน้อย

“แหม...ผิดกับข้าเลยนะครับ เพราะงานของข้าต้องคอยตามติดชนิดไม่ให้ห่างตัวเลยทีเดียว”

คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นเมื่อถูกยอกย้อน ดูเหมือนการกวนโทสะผู้อื่นจะเป็นงานอดิเรกของพ่อมดคนนี้ ดังนั้นนางจะต้องไม่ปล่อยอารมณ์ให้เป็นไปตามการยั่วของเขาอย่างเด็ดขาด

แต่การต้องทนเห็นหน้าตาอย่างนี้ทั้งวี่ทั้งวันก็เห็นทีจะยากยิ่ง...

เจ้าหญิงถอนหายใจแล้วหยิบสิ่งของจำเป็นก่อนเดินออกจากห้องเพื่อเริ่มต้นงานการทำราชกิจโดยมีพ่อมดเดินตามติดไม่ห่าง

“นั่นเป็นคำทำนายจริง ๆ น่ะรึ ข้านึกว่าเป็นคำขู่เสียอีก” สการ์เล็ตพูดพลางมองพ่อมดหนุ่มด้วยสายตาเหยียดระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินทางไปยังห้องทรงงานส่วนพระองค์

“เรียกว่าเป็นการเตือนดีกว่านะครับ” คาอิลหัวเราะในลำคอ เรียวปากหยักงามเผยยิ้มกว้างอวดฟันสวย มันเป็นรอยยิ้มที่สดใสชวนมองจนไม่น่าเชื่อว่าบุคคลผู้นี้คือพ่อมดที่แสนร้ายกาจและโหดเหี้ยมในคืนนั้น เพราะใบหน้าที่มักยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาทำให้สการ์เล็ตลืมตัวแสดงท่าทีต่อต้านเขา นางรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันทีที่คิดว่าหากทำให้คนผู้นี้โกรธขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง

“ท่านก็น่าจะเห็นแล้วว่ามันเป็นไปตามที่ข้ากล่าวไว้ และข้าก็อยากให้ท่านทำตามคำแนะนำนั้นเสียด้วย”

“นั่นสิ มันเป็นคำแนะนำที่ดีใช้ได้นะ ข้าควรจะระวังคนใกล้ตัวเอาไว้” สการ์เล็ตพูดแล้วหันไปมองพ่อมดเต็มตาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มพราย “โดยเฉพาะเจ้า ซึ่งตอนนี้ก็ถือเป็นคนใกล้ตัวข้าคนหนึ่ง”

พ่อมดหนุ่มเลิกคิ้วแล้วจ้องตอบเจ้าหญิงด้วยดวงตาวาววาม รอยยิ้มเหมือนจะลดลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่ออก

“ใช่แล้วล่ะ ข้าไม่ใช่คนที่ท่านควรไว้ใจเลยแม้แต่น้อย”

คาอิลเหลือบมองแผ่นป้ายโลหะสีทองซึ่งระบุชื่อห้องที่ด้านข้างของหญิงสาว เขาจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูให้สการ์เล็ต เป็นจังหวะเดียวกับที่นางเองก็กำลังผลักบานประตูทำให้ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของอีกฝ่าย ครั้นเห็นว่าเจ้าหญิงเกร็งตัวจนร่างแข็งทื่อคล้ายกับกำลังหวาดกลัว ร่างสูงโปร่งจึงถอยออกมา ให้หญิงสาวได้เข้าไปก่อนแล้วจึงเดินตามเข้าไปทีหลังอย่างเงียบงัน

ภายในห้องทรงงานของเจ้าหญิงลำดับแรกแห่งเรสทอเรียตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา เน้นความสว่างสดใสสบายตา ตู้หนังสือและเก้าอี้สำหรับรับรองแขกถูกจัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน ชั้นวางประดับด้วยแจกันดอกไม้สีสวยส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ เสริมสร้างความผ่อนคลาย

สการ์เล็ตนั่งลงที่โต๊ะทรงงานซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง นางส่งสายตาดุให้คาอิลซึ่งถือวิสาสะมาหยิบหนังสือเอกสารบนโต๊ะของนางไปอย่างลอยหน้าลอยตาแล้วก็ส่ายหน้า

พ่อมดหนุ่มเลือกนั่งที่เก้าอี้ไม่ห่างจากโต๊ะทรงงานของเจ้าหญิงนัก เขายกหนังสือขึ้นเปิดอ่าน แต่สายตากลับแลเลยหัวหนังสือไปยังคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างขะมักเขม้น

สงสัยจะหยอกเย้าหนักมือไปหน่อย... ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เกินเลยไปนัก แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับเผลอปล่อยให้อารมณ์พาไปเสียขนาดนี้ 

ช่วยไม่ได้...ก็นางช่างน่ากลั่นแกล้งเสียเหลือเกิน

ริมฝีปากก็นุ่มนวลกว่าที่เคยคิด...จนอยากครอบครองความหอมหวานนั้นเอาไว้อย่างไม่รู้คลาย เมื่อนึกถึงคืนวันก่อนที่ได้พบกับเจ้าหญิง... กระทำการอุกอาจไปถึงขนาดนั้นคงจะไม่มีใครคิดแน่...ว่านั่นก็เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเหมือนกัน

สาวใช้ซึ่งยกน้ำชาร้อนกรุ่นมาให้คาอิลมองใบหน้าที่ขึ้นสีเรื่อของเขาด้วยความแปลกใจ

“เป็นอะไรไปหรือคะ ท่านพ่อมด สีหน้าของท่านถึงได้...”

“ข้าไม่เป็นไร แค่รู้สึกร้อนไปหน่อยเท่านั้นน่ะครับ” คาอิลตอบพร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะหาเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่ช่วยให้สดชื่นมาให้นะคะ”

“เป็นความกรุณาอย่างยิ่ง ขอบคุณมากครับ”

คาอิลยิ้มหวาน หลังจากหญิงรับใช้ออกไปแล้วสการ์เล็ตจึงเงยหน้าขึ้นมองพ่อมดบ้าง

ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อยนี่นา สำออยอ้อนสาวเรอะ?

เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับวางมือประสานกันบนโต๊ะแล้วมองพ่อมดอย่างพิจารณา

“คาอิล เจ้าส่งหนังสือยืนยันสถานะพ่อมดแล้วหรือยัง”

สการ์เล็ตเอ่ยถามถึงระเบียบการซึ่งพ่อมดพึงกระทำเมื่อรับใช้อาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง แม้เป็นอิสระก็ยังต้องส่งจดหมายยืนยันสถานะของตนทุก ๆ หนึ่งปีเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบขององค์กรแห่งเวทมนตร์

“เรียบร้อยแล้วล่ะครับ”

สการ์เล็ตพยักหน้าน้อย ๆ พลางคิดว่าถ้าส่งใบร้องเรียนความประพฤตของพ่อมดไปที่กิลด์เมสทิคแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ราวกับความคิดนั้นจะถูกอ่านออก พ่อมดหนุ่มจึงเอ่ยดักคอ

“ถ้าจะส่งใบแสดงความประพฤตของข้าไปที่องค์กรล่ะก็...ขอความกรุณาช่วยเขียนดี ๆ หน่อยนะครับ เพราะมันเกี่ยวพันถึงอนาคตการงานของข้า”

คาอิลพูดอย่างยิ้มแย้ม แต่สการ์เล็ตเห็นว่าแววตาหลังกรอบแว่นนั่นมันกำลังข่มขู่กันชัด ๆ นางบดกรามแล้วจึงก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่คิดสนใจอะไรอีก

รายงานเอกสารสะสมจนกองโตเพราะรัชทายาทที่แท้จริงไม่อยู่ในสภาพที่จะสะสางงานได้ ราชกิจทั้งมวลเหล่านั้นจึงตกมาเป็นภาระของเจ้าหญิงผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทอันดับสองแต่ในนามโดยไม่คาดฝัน สการ์เล็ตคิดว่าอาจจะใช้เวลาจนถึงค่ำจึงจะสะสางงานจนเสร็จ

ทว่าเพราะความช่วยเหลืออย่างตั้งใจหรือเปล่าไม่ทราบได้ของใครบางคน ทำให้เจ้าหญิงปลดภาระได้ก่อนจะเย็นย่ำ 

สการ์เล็ตมองพ่อมดด้วยสายตาที่คาดไม่ถึง วันนี้ทั้งวันเขานั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ขยับเข้าใกล้หรือให้ความสนใจกับนาง แต่กลับเอ่ยประโยคลอย ๆ ซึ่งช่วยลดทอนความสับสนต่อการตัดสินใจในเอกสารที่นางกำลังทำอยู่ได้ราวกับมองเห็นและล่วงรู้อยู่ตลอดเวลาว่านางกำลังทำอะไร 

เจ้าหญิงแย้มยิ้มบางเมื่อนึกถึงเรื่องการตอบแทนที่คาอิลบอกกับสาวใช้เมื่อเช้า นางมองพ่อมดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย

“งานวันนี้เสร็จเร็วเหลือเกิน ไปหาของอร่อย ๆ ทานกันเถอะ”

“ไม่ไป” 

คาอิลตอบทันควัน น้ำเสียงติดห้วนจนสการ์เล็ตนึกแปลกใจ ทว่าเมื่อพ่อมดลดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลงแล้วเขาก็ยิ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนเคย “ตอนนี้คงไปไม่ได้แล้วล่ะครับ”

สิ้นคำกล่าวสาวใช้ก็เคาะประตูแล้วเข้ามาบอกว่าเจ้าชายคู่หมั้นมาขอพบ สการ์เล็ตหันไปมองพ่อมดราวกับจะถามว่า ’รู้ล่วงหน้าหรืออย่างไร’ ก่อนจะเดินออกไปพบแขกตามคำเชิญ

ภายในห้องรับรองแขกเหมือนถูกแปรสภาพไปเป็นสวนดอกไม้ชั่วคราว ช่อดอกลิลลี่ขาวและกุหลาบแดงตั้งเรียงรายส่งกลิ่นหอมฟุ้งกำจายตลบอบอวลไปทั่ว เจ้าชายเฟร์นานโดยิ้มอย่างยินดีที่พบคู่หมั้นสาว เขาก้าวปราดเข้าไปสวมกอดเจ้าหญิงโดยไม่สนสายตาของเหล่าสาวรับใช้หรือแม้แต่คนแปลกหน้าอย่างคาอิล

“ท่านเฟร์นานโด กรุณาปล่อยเถอะค่ะ” สการ์เล็ตเตือนเจ้าชายและถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวทันทีที่อ้อมแขนคลายออก นางเสมองทางอื่นและทันเห็นพ่อมดขยับแว่นแสร้งมองไม่เห็นภาพเมื่อครู่

“ขออภัย ข้าลืมตัวไปหน่อย” เฟร์นานโดพูดด้วยท่าทางเขินอายก่อนจะคว้าเรียวหัตถ์บอบบางไปกุมไว้ไม่ยอมปล่อย “แต่ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นว่าท่านปลอดภัยดีเช่นนี้”

“ขอบคุณค่ะ”

สการ์เล็ตยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนใจ ทำไมอยู่ดี ๆ นางถึงรู้สึกอย่างนี้ได้นะ ทั้งที่เมื่อก่อนยังแค่รู้สึกเฉย ๆ เท่านั้นเองแท้ ๆ

ดวงเนตรสีมรกตมองเลยไปยังบุรุษสวมแว่นซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของคู่หมั้นสาว เครื่องแต่งกายอันมีลักษณะเฉพาะพอจะทำให้เขาเดาได้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร

“เจ้าคงเป็นพ่อมดผู้ช่วยชีวิตคู่หมั้นของข้าสินะ ข้าได้ฟังเรื่องราวอันกล้าหาญของเจ้าแล้ว ต้องขอขอบใจมากจริง ๆ “ เฟร์นานโดกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความซาบซึ้งตรงข้ามกับม่านตาซึ่งเบิกกว้างและความจริงที่คิดอยู่ในใจ

...แกนี่เองที่เป็นตัวมารขัดขวางแผนการของเรา...

“มิใช่เรื่องที่เจ้าชายต้องใส่พระทัยเลยแม้แต่น้อย มันเป็นหน้าที่ซึ่งพึงกระทำของประชาชนที่เป็นพลเมืองดีอยู่แล้วล่ะครับ” 

คาอิลค้อมศีรษะอย่างสุภาพและเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน เรียกมุมปากของเจ้าหญิงให้กระตุก

ไอ้ตอนที่เจ้าช่วยข้าไม่ได้พูดอย่างนี้สักนิด

สายตาอาฆาตของสการ์เล็ตถูกดึงออกจากพ่อมดด้วยคำชวนของเจ้าชายแห่งเฮย์เดน นางถูกลากไปนั่งในสวนดอกไม้อย่างไม่เต็มใจและต้องฟังเรื่องสัพเพเหระของเขาอย่างเบื่อหน่ายโดยมีคาอิลเดินตามติดไม่ห่าง แม้เฟร์นานโดจะทั้งกระแอมกระไอและส่งสายตาเชิงไล่แต่พ่อมดหนุ่มแว่นก็ยังยืนยิ้มอยู่เป็นก้างอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

เรื่องเล่าที่สิบผ่านเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาโดยที่สการ์เล็ตแกล้งทำเป็นยิ้มและส่งเสียงอือออรับเป็นจังหวะแม้จะไม่เข้าใจในเนื้อหาของเรื่องที่คุย เพราะสมองของนางคิดถึงแต่เรื่องอื่น

องค์รัชทายาทป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายมานานกว่าปีแล้ว แม้นางไม่อยากสืบบัลลังก์แต่หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้เห็นทีจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วเจ้าชายผู้นี้น่ะหรือจะมาช่วยแบ่งเบาภาระของนาง

เฟร์นานโดอาจจะมีความสามารถทางด้านการทหารตามที่ได้รับฟังมา แต่นางไม่คิดว่าเจ้าชายผู้นี้จะมีความสามารถในการดูแลบริหารบ้านเมือง จากการที่สังเกตได้ว่าเขาไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของประชาชน ไม่รู้สึกถึงความสำคัญของเศรษฐกิจและการพัฒนาอาณาจักร

การเลือกคู่ครองของเหล่าเชื้อพระวงศ์ต้องมีสิ่งที่มากกว่าความรัก โดยเฉพาะกับการแต่งงานของนางซึ่งอาจมีผลต่อการปกครองบ้านเมือง

ถ้าเจ้าชายรัชทายาทไม่ได้ประชวรอยู่เช่นนี้ นางอาจยังมีอิสระที่จะเลือกครองสันโดษตลอดไป หากไม่พบใครสักคนที่พึงใจจนปรารถนาอยากจะอยู่เคียงกันชั่วชีวิต

ดวงเนตรสีทับทิมทอดมองบุคคลตรงหน้าแล้วก็ให้ทอดถอนหทัย หากต้องเลือกคู่ครองโดยระลึกถึงแต่ประโยชน์อันจะพึงเกิดแก่อาณาจักรแล้ว ให้นางเลือกคาอิลเสียยังจะได้ประโยชน์มากกว่าเลือกแต่งกับเจ้าชายจากเฮย์เดนผู้นี้เป็นแน่

พอนึกได้ว่าเผลอคิดอะไรที่น่ากลัวออกไป ใบหน้าขาวนวลก็ให้รู้สึกร้อนผ่าว ดวงเนตรคู่งามลอบแลไปยังพ่อมดแล้วก็ต้องรีบหลุบหลบในทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมา

สการ์เล็ตยกมือขึ้นทาบทรวงอกเบา ๆ ดวงใจที่น่าจะเฉยชาต่อบุรุษทุกนายไม่น่าจะรู้สึกหวั่นไหวได้อย่างนี้ หรือจะเป็นเพราะดวงตาสีน้ำเงินประหลาดที่นางไม่เคยคิดฝันว่าจะได้เห็นจากใครอื่น

ใช่แล้ว...ทั้งที่ก็เป็นแค่คนอื่นแท้ ๆ 








Create Date : 25 มีนาคม 2555
Last Update : 13 กันยายน 2557 10:08:13 น.
Counter : 476 Pageviews.

2 comment
เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 3



บทที่ 3 


กลางท้องพระโรงแห่งเรสทอเรียกำลังสับสนวุ่นวาย เนื่องจากการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกว่าค่อนคืนแล้วของเจ้าหญิงผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทลำดับสองของอาณาจักร กษัตริย์เอลริโก้ประกาศรับสั่งให้ค้นหาราชธิดาทั่วทุกซอกมุมของเมือง แต่ก็พบเพียงพลขับส่วนพระองค์ซึ่งอยู่ในสภาพถูกจับมัดยัดไว้ใต้กองฟางในโรงม้าของคฤหาสน์รับรองแขก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็มีสติเลอะเลือนไร้ความทรงจำให้สอบถามความใด กระทั่งยามใกล้รุ่งสางจึงได้ความจากมหาดเล็กว่าราชธิดาได้กลับมาถึงปราสาทแล้วด้วยสภาพไม่ดีนัก


“โอ...สการ์เล็ต แม่เป็นห่วงเหลือเกินแล้ว”


ราชินีแห่งเรสทอเรียโผเข้ากอดจูบลูบหลังธิดารักด้วยความห่วงใยทันทีที่ได้พบหน้า นางพิจารณาร่างบอบบางซึ่งอยู่ในสภาพสกปรกมอมแมมเสื้อผ้าขาดวิ่นแล้วจึงประคองดวงพักตร์งดงามขึ้นสบประสานสายตา


“เกิดอะไรขึ้น ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ”


กษัตริย์เอลริโก้กระแอมขัดความร้อนรนพระทัยของชายาก่อนจะเอ่ยบ้าง


“ข้าว่าให้ลูกไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเสียใหม่หาอะไรรองท้องก่อนจะดีกว่านะ” ผู้ครองอาณาจักรตรัสแล้วจึงปรายพระเนตรคมกริบไปยังบุรุษในชุดคลุมสีดำสวมแว่นกรอบหนาเทอะทะบดบังใบหน้าซึ่งยืนอยู่ด้านหลังบุตรี


“แล้วท่านนี้คือ...”


“เขาคือคนที่ช่วยชีวิตลูกค่ะ” สการ์เล็ตรีบตอบตามที่เตี๊ยมกันไว้กับพ่อมด


จะว่าแล้วก็ไม่ผิดไปจากที่พูดนัก เพราะอย่างไรเขาก็ได้ช่วยชีวิตนางไว้จริง ๆ เพียงแต่สิ่งที่ต้องตอบแทนนั้นนับว่าหนักหนาสำหรับนางเหลือเกิน


เจ้าหญิงได้แต่ทอดถอนใจภายในห้วงดำริก่อนกล่าวกับพระบิดา


“แล้วลูกจะเล่าให้ฟังค่ะ”



เวลาผ่านพ้นไปราวชั่วยามหนึ่ง ความในค่ำคืนก่อนจึงถูกเรียงร้อยเล่าจากปากของเจ้าหญิงลำดับแรกให้กษัตริย์และราชินีได้กระจ่างพระทัย


“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง...” ราชาเอลริโก้ตรัสพึมพำหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากบุตรสาว พระขนงเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน


“ใครที่มันบังอาจปองร้ายเจ้า ข้าจะสั่งคนสืบหานำตัวมาให้ได้ มันจะต้องได้รับโทษอย่างสาสม” กษัตริย์แห่งเรสทอเรียกล่าวด้วยสุรเสียงเยียบเย็น ดวงเนตรฉายประกายกร้าวด้วยความกรุ่นโกรธ


“พ่อก็เคยเตือนแล้วว่าเจ้าควรมีผู้ติดตามไว้คอยคุ้มกันให้มากกว่านี้ แม้ว่าจะเดินอยู่ในอาณาจักรของตนเองก็อย่าได้ชะล่าใจไป”


สการ์เล็ตนั่งฟังอย่างสำนึก แม้นางไม่ชอบที่มีผู้ติดตามจนดูเอิกเกริก แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้จะตอบโต้ประการใด


“ตั้งแต่วันนี้เพิ่มการคุ้มกันขึ้นเถอะนะ อย่าให้แม่ต้องกังวลนักเลย” ราชินีรูริเธียบีบมือบุตรสาวเบา ๆ และสการ์เล็ตก็กระชับมือนางตอบอย่างอ่อนโยน


“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ลูกได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้คนผู้นี้คอยคุ้มกันลูก...แค่คนเดียวก็พอ”


“เอ๋!! เขาน่ะหรือ” กษัตริย์และราชินีหันไปมองคนที่องค์ธิดาแนะนำว่าเป็นพ่อมดผู้ช่วยชีวิตแล้วอุทานออกมาพร้อม ๆ กัน


“อันที่จริงข้าซาบซึ้งใจมากที่เจ้าช่วยชีวิตลูกข้า แต่ว่าเจ้าเพียงคนเดียว...” เอลริโก้ละดำรัส เขาไม่อยากกล่าวดำใดที่จะเป็นการดูแคลนผู้มีบุญคุณต่อบุตรสาวเกินไปนัก แต่พ่อมดหนุ่มก็ยิ้มสุภาพและก้มศีรษะรับอย่างเข้าใจ


“แต่เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตลูกจากกลุ่มโจรซึ่งมีอยู่หลายคนโดยต่อสู้เพียงลำพังนะคะ” 


แน่นอนว่านางไม่ได้เล่าหรอก ว่านอกจากนั้นแล้วเจ้าพ่อมดโฉดนี่ฆ่าทุกคนอย่างโหดเหี้ยมเพียงไร


หญิงสาวชำเลืองมองคาอิลซึ่งกำลังส่งสายตาและรอยยิ้มหวานแฝงความนัยมาให้นางโดยเฉพาะ


บอกไม่ได้...จะบอกได้อย่างไรล่ะ


“ถึงเขาจะเป็นพ่อมด ไม่ใช่นักรบอย่างที่ควรก็ตาม แต่ลูกเชื่อว่าเขามีความสามารถพอจะปฏิบัติหน้าที่นี้ ได้โปรดเถิดค่ะ ท่านพ่อ”


เอลริโก้มองสีหน้าจริงจังและแววตาอันมุ่งมั่นของบุตรีที่รักอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ 


อนาคตอันใกล้ในภายหน้า สการ์เล็ตจำเป็นต้องช่วยดูแลบริหารบ้านเมืองกับพี่ชายของนาง เขาจึงให้สิทธิในการตัดสินใจแก่ลูกมาพักใหญ่แล้ว ตอนนี้นางก็แค่มาขอตามมารยาท และเขาก็ไม่ควรจะปฏิเสธ เมื่อตัดสินใจเช่นไรนางก็ควรรู้และรับผลของการตัดสินใจนั้นด้วยตนเอง แม้มันจะทำให้ผู้เป็นพ่อต้องห่วงกังวลก็ตาม


“ก็ได้ ถ้าลูกต้องการอย่างนั้น”


สการ์เล็ตเผยยิ้มออกมาเมื่อได้รับคำอนุญาต ถึงอยากจะบอกว่าแท้จริงแล้วนางไม่ได้ต้องการพ่อมดคนนี้มาเป็นผู้คุ้มกันเลย แต่มันเป็นสิ่งที่คาอิลแนะนำให้พูด 


หรือที่จริงต้องบอกว่า ‘บังคับ’ ให้พูดจะถูกกว่ามาก...


“หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้เราผิดหวัง” กษัตริย์แห่งเรสทอเรียหันไปมองว่าที่ผู้คุ้มครองบุตรสาวและตรัสกับเขาอย่างหนักแน่นเน้นคำ พ่อมดหนุ่มจึงย่อกายถวายคำสัตย์ต่อองค์ราชา


“ข้าสาบานว่าจะปกป้องเจ้าหญิงสการ์เล็ตด้วยชีวิต”


“เจ้าชื่อคาอิลสินะ ท่านพ่อมด ช่วยเงยหน้าให้เราดูหน่อยจะได้ไหม”


คาอิลเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับราชินีรูริเธียซึ่งย่างวรองค์มาอยู่ตรงหน้าเขา นางจ้องพ่อมดอย่างพิจารณา เส้นผมขาวโพลนกับดวงหน้าใสกระจ่างยิ่งส่งให้ดวงตาสีน้ำเงินทอประกายโดดเด่นแจ่มชัด แม้มันจะถูกกระจกแว่นหนาบดบังเอาไว้ก็ตาม 


เมื่อราชินีเห็นว่าดวงตาคู่นั้นทอประกายจริงจังแน่วแน่จึงเผยยิ้มออกมา


“ข้าเคยได้ยินว่าผู้คงอาคมมักจะมีลักษณะสูงวัย แต่เจ้ายังดูเยาว์เกินกว่าจะเป็นเช่นนั้น”


คาอิลกระตุกยิ้มเล็กน้อยพอให้ไม่มีใครสังเกต 


เขาเคยถูกดูแคลนมานักต่อนักแล้วเรื่องวัยที่ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อถือให้ใครได้ กับแค่เพิ่มราชินีแห่งเรสทอเรียเข้าไปเป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกสะเทือนอะไรหรอก เพราะสุดท้ายเขาก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าผู้มีเวทมนตร์แก่กล้าไม่ได้มีแต่พวกตาเฒ่าเสมอไป


แต่ราชินีรูริเธียหาได้เป็นอย่างที่พ่อมดหนุ่มคิดไม่ นางยิ้มและมองเขาด้วยแววตาเชื่อมั่นที่ไร้ซึ่งความเคลือบแคลง


“ขอฝากลูกสาวข้าด้วยนะ ท่านพ่อมดคาอิล ช่วยดูแลนางอย่าให้ต้องร่วงโรยไปก่อนเวลาอันควรเร็วนัก”


พ่อมดหนุ่มก้มศีรษะตอบรับ เขาขยับยิ้มและเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่าการกระซิบ


“แน่นอนที่สุดครับ ข้าจะดูแลเจ้าหญิงของท่านอย่างดี”


*/*/*/*/*



“เจ้าพูดผิดไปหน่อยหรือเปล่าที่ว่าจะปกป้องข้าด้วยชีวิตน่ะ”


สการ์เล็ตเอ่ยขึ้นมาอย่างประชดประชันเมื่ออยู่กับคาอิลเพียงลำพังสองคนบนทางเดินริมระเบียง พ่อมดหันมายิ้มอย่างอ่อนโยนให้นาง ทว่าแน่นอน...ตอนนี้เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียเรียนรู้แล้วว่ามันเป็นรอยยิ้มของปีศาจจิ้งจอก เป็นรอยยิ้มลวงหลอกให้ผู้อื่นตายใจซึ่งเขาสวมมันไว้ตลอดเวลา


“ข้าพูดจริงนะ” คาอิลตอบจริงจังแต่แววตาของเขากลับฉายแววเจ้าเล่ห์ให้เห็น “ข้าจะปล่อยให้คนอื่นมาทำลายของของข้าได้ยังไงกันล่ะ”


เจ้าหญิงโฉมงามกรอกตาไปมาพลางมีดำริว่า...ไม่น่าถามเลย...


“แล้วเจ้าจะเอายังไงเรื่องที่พัก” สการ์เล็ตถามอย่างหมดอารมณ์จะต่อปากต่อคำ เขาทำให้นางเริ่มหลุดมาดเจ้าหญิงผู้เรียบร้อยอ่อนหวานมากขึ้นทุกที


“พาข้าไปที่ห้องของท่าน”


“เจ้าจะพักที่ห้องข้าเหรอ! ” สการ์เล็ตร้องเสียงแหวพร้อมกับทำตาโต คราวนี้หลุดมาดเจ้าหญิงผู้เรียบร้อยอ่อนหวานจริง ๆ แล้ว


คาอิลพ่นลมหายใจออกมาพลางมองสตรีข้างกายอย่างขบขัน ยังผลให้แก้มนวลปลั่งของเจ้าหญิงขึ้นสีระเรื่อเพราะสำนึกได้ว่าทำอะไรบางอย่างพลาดไปเสียแล้ว


“ข้าแค่จะไปสำรวจพื้นที่ความเป็นอยู่เพื่อหาทางหนีทีไล่ให้คนที่ข้าต้องคอยคุ้มครองเท่านั้น แต่ถ้าท่านอยากให้ข้านอนด้วย ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอกนะครับ” บุรุษหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าพลางขยับแว่นมองหญิงสาวที่กำลังส่งค้อนให้เขาชัด ๆ


“ข้าไม่มีทางต้องการเช่นนั้นแน่! “ สการ์เล็ตกล่าวเน้นชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับแสดงท่าทางรังเกียจอย่างออกนอกหน้า ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกรู้สาอะไร


คาอิลหยุดเดินกะทันหันแล้วทอดสายตาออกไปภายนอกระเบียงชั้นสูง


“ตรงนั้นมีบ้านร้างหลังเล็ก ๆ อยู่หนึ่งหลัง ข้าจะอาศัยอยู่ที่นั่น มันห่างไกลผู้คนเหมาะกับผู้ใช้เวทมนตร์ที่ต้องการความสงบอย่างข้ามากกว่า”


สการ์เล็ตมองตามสายตาคาอิลไปยังนอกกำแพงหลังปราสาทซึ่งมีบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่น ๆ จนดูเหมือนมันถูกทิ้งร้างให้เงียบเหงาอยู่เพียงลำพัง


“นั่นมัน...”เสียงหวานพึมพำแผ่วเบาเมื่อระลึกได้ว่ามันเคยเป็นที่อยู่อาศัยของใคร


“ท่านมีความขัดข้องอันใดหรือเปล่า เจ้าหญิง”


คิ้วเรียวงามมุ่นขมวด ไม่อาจตอบคำถาม


นางไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น ยิ่งมันไม่ได้มีคนอยู่อาศัยแล้วจะไปขัดข้องทำไมกัน


“หากกังวลว่าถ้าข้าไปอยู่เสียห่างไกลขนาดนั้นแล้วจะมาคุ้มครองท่านไม่ทันก็ไม่ต้องกังวลหรอกนะ เพราะข้าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ หาใช่นักรบที่ใช้ได้แต่ขาวิ่งไปให้ถึงเป้าหมาย”


ดูเหมือนคาอิลจะแปลความลำบากใจของสการ์เล็ตผิดไป แต่ก็ดี...นางไม่ได้อยากให้เขามาล่วงรู้สิ่งใดในใจนักหรอก


“เจ้าจะบอกว่าเพราะเหตุนี้จึงตามข้าเข้าไปในป่าได้ใช่ไหม”


เจ้าหญิงพูดพลางส่งยิ้มเหยียดสู้กับรอยยิ้มปีศาจจิ้งจอกของพ่อมด เขาเลิกคิ้วยียวนส่งเพิ่มให้นางเป็นของแถม


“แล้วท่านคิดว่ายังไงล่ะครับ”


ยังเฉไฉได้เหมือนเดิม...


“ดูไปแล้วเจ้าน่าจะอายุน้อยกว่าข้าอยู่หลายปี ยังไม่นับว่าเป็นผู้ใหญ่เท่าที่ควร ทำไมจึงได้เป็นคนกะล่อนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนัก”


สการ์เล็ตบ่นพึมพำเสียงแผ่วขณะเดินนำเข้าไปในห้องบรรทมส่วนนอกของพระองค์ นางไม่คิดว่าคาอิลหูไวพอที่จะได้ยิน เขาก้าวเข้าไปด้านหลังเจ้าหญิง ก้มกระซิบเบา ๆ ข้างใบหูพอให้ลมหายใจอุ่นร้อนพัดผ่านนวลปราง


“ถึงข้าจะอายุน้อยกว่าท่านมาก แต่ก็โตพอจะทำอะไร...อะไร...ได้หลายอย่างแล้วน่ะนะ ท่านอยากพิสูจน์ไหมล่ะ...ว่าข้าทำอะไรได้บ้าง”


ราชนิกูลสาวถอยห่างพ่อมดด้วยความตระหนก นางกุมใบหูซึ่งขึ้นสีเข้มจนลามไปถึงดวงหน้า นิ้วสั่นระริกชี้ใส่คาอิลด้วยความโกรธ


“บังอาจนัก! เจ้าทำบ้าอะไร”


“ข้าน่ะหรือ...บังอาจ” คาอิลเอียงคอตีหน้าซื่อราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงถูกโกรธ


“ดูเหมือนท่านจะลืมสิทธิ์ของข้าและฐานะของตัวเองไปแล้วนะครับ เจ้าหญิง” เขาพูดพลางรั้งร่างระหงเข้ามาในอ้อมแขนและใช้ปลายนิ้วกดลงไประหว่างทรวงอกของสการ์เล็ตซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่มีดวงตราสัญญาประทับอยู่บนหัวใจ ใบหน้าขาวคมก้มลงใกล้จนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของกันและกัน ริมฝีปากคลอเคลียอยู่บริเวณแก้มนวลแดงก่ำขณะพูดช้า ๆ 


“สงสัยต้องเตือนความจำกันบ้างแล้วนะครับ”


คาอิลทาบริมปีปากลงช้า ๆ มือข้างหนึ่งโอบรัดร่างบางไม่ให้ขยับหนี แม้สการ์เล็ตจะพยายามเม้มเรียวปากเอาไว้ แต่เขาก็บีบคางจนนางต้องเผยอปากออก บางสิ่งที่อ่อนนุ่มแต่รุ่มร้อนแทรกผ่านเรียวลิ้นเข้าไป มันเคลื่อนไหวรุนแรง เรียกร้องและวาบหวานจนสติของสการ์เล็ตเตลิดเตลิง รู้สึกร่างกายไร้สิ้นเรี่ยวแรงต่อต้านจนอยากเหนี่ยวรั้งลำคออีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ร่างตนต้องทรุดลง


พ่อมดหนุ่มถอนจุมพิตออกก่อนที่ร่างบอบบางในอ้อมแขนจะตายเพราะขาดอากาศ แต่ยังคงคลอเคลียอ้อยอิ่งสูดความหอมกับกลีบกุหลาบแสนหวานจนกระทั่งอีกฝ่ายเลิกหอบหายใจ 


เจ้าหญิงผลักร่างคาอิลออกแล้วหยิบผ้ามาเช็ดถูริมฝีปากอย่างแรงด้วยท่าทางรังเกียจและเสียใจที่ดันรู้สึกอ่อนไหวไปกับรสจูบอันจาบจ้วงนั้น นางส่งสายตาอาฆาตให้เขาแล้วก็ได้รอยยิ้มยั่วเย้ากลับมา


“เจ้าคนต่ำช้าฉวยโอกาส” 


“ข้าก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีนี่ครับ”


หญิงสาวหลุบตาลงและเม้มปากแน่นอย่างสะกดกลั้น ต้องใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งกว่าจะดับไฟที่ลุกลามในใจ


“ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าแท้จริงแล้วเจ้าต้องการอะไร” สการ์เล็ตเค้นเสียงถามหลังจากระงับสติอารมณ์ลงได้แล้ว


นางมองตามร่างสูงโปร่งในชุดคลุมของผู้ใช้ศาสตร์เหนือธรรมชาติซึ่งกำลังเดินสำรวจรอบห้องจนกระทั่งไปหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ด้วยท่าทางสนใจ เขายังคงไม่ตอบสิ่งใด เจ้าหญิงจึงข่มใจใช้ความกล้าก้าวเข้าใกล้แล้วรั้งแขนคาอิลให้หันมาสบสายตากับนาง


“เจ้าน่าจะรู้แต่แรกว่าข้าเป็นใคร จึงใช้ประโยชน์จากข้าเข้ามาที่นี่ บอกมาสิว่าเจ้าต้องการอะไรจากข้า เจ้าหวังสิ่งใดจากอาณาจักรของข้าอยู่หรือเปล่า”


สการ์เล็ตถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น สายตาบ่งบอกชัดถึงความหวาดระแวง แต่ก็ยังได้เพียงร้อยยิ้มเป็นคำตอบกลับมาเช่นเคย


มันเป็นรอยยิ้มสบาย ๆ ที่ทำให้รู้สึกโมโหมากขึ้นทุกที


“ถ้ากังวลเรื่องนั้นมากท่านก็ไม่จำเป็นต้องห่วงไปนักหรอก ข้าไม่เคยหวังสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นยศศักดิ์ ทรัพย์สิน หรือสิทธิ์ในการครอบครองอาณาจักรของท่าน” คาอิลพูดพลางแกะมือหญิงสาวออกแล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับกระจกตามเดิม


“ข้าเพียงแค่รู้สึกเบื่อ ก็เลยคิดหาของเล่นฆ่าเวลาให้ตัวเองเท่านั้น และท่านก็ผ่านเข้ามาในช่วงเวลานั้นของข้าพอดี”


พ่อมดตอบเสียงเรียบทว่าบีบหัวใจเจ้าหญิงยิ่งนัก นางซึ่งเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์กลับมีค่าเพียงแค่ของเล่นของพ่อมดเท่านั้นเองหรือ


นิ้วเรียวของพ่อมดไล้ไปตามผิวเย็นเรียบลื่นของกระจกคล้ายกำลังเขียนอะไรบางอย่างลงไปบนนั้น สการ์เล็ตไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่ จึงได้เห็นว่าปลายนิ้วของเขาคล้ายมีละอองแสงเรืองรองออกมาก่อนที่จะสลายหายไปในกระจกเพียงเสี้ยววินาที 


นัยน์ตาของพ่อมดหนุ่มเบิกกว้างขึ้นมาแวบหนึ่ง ราวกับเขาเห็นอะไรผิดแปลกสะท้อนจากเงาของกระจก จึงละมือจากมันแล้วเดินผ่านหน้านางไปด้วยรอยยิ้มเรียบเรื่อย เขาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ยกมือขึ้นประกบกันพร้อมกับท่องคาถา สิ่งที่เหมือนกับคลื่นลำแสงแผ่กระจายออกไปโดยรอบก่อนที่ผนังทั่วทั้งห้องจะสว่างวาบขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วทุกสิ่งจึงกลับสู่ความสงบดังเดิม


“เจ้าทำอะไรน่ะ”


“กางอาณาเขต” คาอิลตอบขณะเดินไปหยุดอยู่หน้าแจกันดอกไม้ทรงสูง “อย่างน้อยถ้ามีอะไรผิดปรกติเกิดขึ้นที่นี่ ข้าก็จะสามารถรู้ได้ทันที เช่นแบบนี้ไงล่ะ” 


มือหนาลูบผ่านช่อดอกไม้พร้อมกับร่ายเวทมนตร์ ไม่นานก็ปรากฏละอองแสงสีเขียวลอยตัวออกมาก่อเป็นเงาร่างคล้ายผึ้งที่มีดวงตาและกรงเล็บใหญ่โตน่ากลัว เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคำรามแผ่วต่ำของสัตว์ร้ายดังเบา ๆ มาจากเจ้าตัวประหลาดนั้น คาอิลจับเงาร่างของภูตดอกไม้เอาไว้ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหานางแล้วบีบจนแตกสลายหายไปคามือ


“ดูเหมือนว่ารอบตัวท่านจะมีเรื่องน่าสนุกมาให้ข้าแก้หน่ายได้ไม่น้อยทีเดียวนะ” 


พ่อมดกล่าวอย่างสนุกสนานผิดกับสการ์เล็ตที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงจนไม่ได้สนใจฟัง


“นั่นมัน...อะไรน่ะ! ” 


“ภูตชั้นต่ำประเภทหนึ่ง” คาอิลตอบ “ถึงจะเป็นภูติที่อันตราย แต่ที่จริงแล้วพวกมันไม่ได้ชอบอาศัยอยู่ใกล้มนุษย์สักเท่าใด คงมีผู้ใช้อาคมซึ่งพอจะมีฝีมืออยู่บ้างบังคับมันให้มาอยู่ที่นี่ ยามที่ไร้แสงตะวันมันจึงจะปรากฏกายออกมา แต่มือครู่ข้าได้ใช้เวทมนตร์ที่ทำให้มันไม่อาจแฝงตัวอยู่ในดอกไม้ต่อไปได้”


“ทำไปเพื่ออะไรกัน” หญิงสาวคราง


พ่อมดหนุ่มมองใบหน้างดงามซึ่งบัดนี้ซีดขาวด้วยความวิตกแล้วยิ้ม


“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ให้ใครมาทำลายสิ่งของของข้า ถือว่าไม่เลวนักสำหรับท่านไม่ใช่หรือ ที่ได้ผู้คุ้มครองฝีมือดี”


หญิงสาวชักสีหน้าแล้วมองเขาอย่างดูแคลน


“เจ้านั่นแหละ ที่ร้ายกาจที่สุด”


พ่อมดผู้ร้ายกาจหัวเราะอย่างชอบใจกับคำต่อว่า คล้ายกับถือว่ามันเป็นการชม


“ข้าไปแล้วดีกว่า ขอเชิญท่านพักผ่อนให้สบายเถิดเจ้าหญิง” 


ชายหนุ่มค้อมกายอย่างนอบน้อมก่อนจะควักเหรียญเงินออกมาวางทิ้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง 


“สิ่งนี้ข้าขอคืนให้ท่านก็แล้วกัน เพราะข้าคงไม่ต้องลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายหรือที่พักอาศัยไปอีกนาน และไม่ต้องห่วงหรอกนะ ว่าท่านจะต้องอยู่ในฐานะของเล่นของข้าตลอดไป เอาไว้เมื่อใดที่เบื่อแล้วข้าจะเป็นฝ่ายไปเอง เชิญท่านอธิฐานให้มีเวลานั้นในเร็ววันเอาก็แล้วกันนะครับ” 


คาอิลส่งสายตาพราวอย่างเจ้าเล่ห์ให้เจ้าหญิงซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังกำมือแน่นอย่างเดือดแค้นก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป เมื่อคล้อยหลังนางจึงไม่อาจเห็นว่าแววที่สะท้อนอยู่ในดวงตาหลังกรอบแว่นนั้นแปรเปลี่ยนไปเช่นไร 


เขาพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบา ดังพอแค่ให้ตัวเองได้ยิน


“แต่ถ้าวันนั้นมาถึง ข้าสาบานว่าจะไม่มาปรากฏตัวให้ท่านต้องเห็นหน้าอีกตลอดกาล”








Create Date : 14 มีนาคม 2555
Last Update : 13 กันยายน 2557 10:05:25 น.
Counter : 870 Pageviews.

2 comment
เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 2


บทที่ 2

ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของเจ้าชายจากต่างเมือง งานเลี้ยงรื่นเริงยังคงดำเนินต่อไปแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปจนดึกดื่นมากแล้ว เสียงพูดคุยหัวเราะดังอยู่เป็นระยะด้วยความรู้สึกสนุกสนานของบรรดาแขกเหรื่อผู้มาร่วมงาน ทว่าใครคนหนึ่งกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นทั้งที่ยังคงมีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า

สการ์เล็ต เรสเทล เจ้าหญิงลำดับแรกผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทอันดับสองแห่งอาณาจักรเรสทอเรียลอบระบายลมหายใจออกมอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่มีความหมายใดมากไปกว่าการต้องให้เกรียติแก่แขกเมืองที่ทำให้นางจำยอมตอบรับคำเชิญงานเลี้ยงในคืนนี้ แม้ว่าผู้เชิญจะเป็นคู่หมั้นหมายของนางเองก็ตาม

ด้วยฐานะทางสังคมและความงดงามอันยากจะหาผู้ใดมาเทียบเคียงจึงทำให้เจ้าหญิงสการ์เล็ตเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะบุรุษหนุ่มผู้ต้องการความก้าวหน้าและชื่นชมหลงใหลในความงดงามแห่งอิสสตรี

ทั้งคหบดีและผู้มียศศักดิ์ต่างพากันแวะเวียนมาทักทายชวนสนทนากันได้ไม่หยุดหย่อน สร้างความเหนื่อยอ่อนให้หญิงสาวซึ่งต้องคอยปั้นสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ และยังผลให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจแก่เจ้าชายเฟร์นานโดซึ่งต้องการหาโอกาสใช้เวลากับเจ้าหญิงเพียงลำพังอยู่ไม่น้อย

เฟร์นานโด เฮย์เดน เจ้าชายลำดับที่สามแห่งอาณาจักรเฮย์เดนซึ่งอยู่ติดกับอาณาจักรเรสทอเรียทางด้านตะวันตก เขาผู้เป็นที่หมายปองจากหญิงสาวทั่วทั้งอาณาจักรด้วยรูปลักษณ์อันงดงามราวเทพบุตรจากสรวงสวรรค์ เรือนกายกำยำสูงโปร่งทรงสง่า เส้นเกศาดุจไหมสีทองยามต้องแสงตะวัน ดวงเนตรแวววาวราวมรกตเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่แทบละลายยามได้สบประสานสายตา

ทว่าไม่ใช่กับสการ์เล็ต

นางไม่เคยหลงใหลในเสน่ห์ของเขาและคงไม่คิดให้ความสนใจแม้แต่น้อยหากไม่ใช่เพราะพันธะหน้าที่ซึ่งบังคับให้ทั้งสองต้องผูกพันกัน

กลับเป็นเฟร์นานโดเสียอีกที่หลงใหลได้ปลื้มในรูปโฉมอันงดงามราวกับเทพธิดาของเจ้าหญิง ดวงหน้าขาวแก้มเนียนเปล่งปลั่งชวนลูบไล้ เรียวปากอวบอิ่มแดงระเรื่อ นัยน์ตาสีทับทิมรับกับเรือนผมสีน้ำตาลทองยาวหยักศกดูลุ่มลึกนุ่มนวลชวนฝัน มันสะกดเขาให้ชะงักงันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตา หลายครั้งคราที่เจ้าชายเทพบุตรลอบมองสำรวจเรือนร่างสมส่วนกลมกลึงน่าเคล้าคลึงสัมผัสจนยากนักที่จะอดใจมิให้ไขว่คว้าร่างนั้นมาเชยชม 

ดวงตาสีมรกตเชื่อมหวานยามจับจ้องเรือนร่างของเจ้าหญิงสการ์เล็ตจนมิได้รู้สึกถึงสัมผัสริษยาจากสตรีอีกนาง

“ท่านคงหลงใหลในความงามราวกับเทวีจุติของเจ้าหญิงมาก จึงได้จับจ้องอย่างไม่วางตาเช่นนี้”

เสียงหวานเอ่ยขึ้นข้างตัวเจ้าชาย เฟร์นานโดจับได้ถึงแววประชดประชันในน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้น ทว่ามันกลับทำให้เขาพึงพอใจ รู้ดีว่านางผู้นี้หลงใหลในตัวเขามากแค่ไหนจึงได้มีปฏิกิริยาหึงหวง

“ของสวย ๆ งาม ๆ ใครบ้างไม่อยากมอง”

เฟร์นานโดตอบพร้อมกับหันไปมองหญิงสาวในชุดราตรีสีหวาน เรียวปากบางกระตุกยิ้มเมื่อเห็นดวงตากลมโตของอีกฝ่ายลุกวาว

“ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครติดตรึงใจข้าได้มากไปกว่าเจ้าหรอก เซเซีย”

เจ้าชายหยอดคำหวานเพื่อมิให้เจ้าของนาม เซเซีย ต้องขุ่นเคืองใจมากเกินไปนัก

นางยังมีประโยชน์ควรค่าแก่การเอาใจอยู่บ้าง

“คำหวานเช่นนี้ ท่านคงโปรยให้สตรีไปทั่ว” ถึงปากว่าอย่างนั้นแต่เซเซียกลับพึงพอใจอยู่มิใช่น้อย

หญิงสาวรู้ดีว่าเจ้าชายผู้หล่อเหลาองค์นี้เป็นที่หมายปองของสตรีทั่วแดน ทั้งยังมีคู่หมั้นหมายเป็นตัวเป็นตน แต่บางสิ่งก็ทำให้นางถือสิทธิ์ในตัวเขา แม้ว่ามันยังเป็นสิ่งที่ต้องซ่อนเร้นต่อผู้คนก็ตาม

ทว่าอีกไม่นานนักหรอก...

“คุยอะไรกันอยู่หรือ ท่าทางน่าสนุก” เสียงเอ่ยถามจากเจ้าหญิงสการ์เล็ตทำให้ความสำราญภายในใจของเซเซียมลายหายไปทันที ทว่าด้วยมารยาทแล้วเซเซียจำต้องยิ้มตอบ แม้ว่าใจจริงอยากไล่นางออกไปให้พ้นก็ตาม

“คุยเรื่องทั่วไปน่ะค่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก”

สการ์เล็ตได้แต่ยิ้มกับคำตอบอย่างเสียมิได้ของสตรีตรงหน้า ช่างเป็นการยากนักกับการจะหาโอกาสคุยกับน้องสาวต่างมารดาผู้นี้สักครั้ง เจ้าหญิงทอดถอนใจภายในห้วงดำริก่อนหันไปกล่าวกับเฟร์นานโด

“นี่ก็ดึกมากแล้ว เห็นควรได้เวลากลับเสียที ข้าขอลาเจ้าชายตรงนี้เลยนะคะ”

“จะกลับแล้วหรือ เรายังไม่ได้คุยกันเท่าไหร่เลย” เฟร์นานโดถามอย่างนึกเสียดาย ทว่านางจะกลับหรือจะอยู่เขาก็ไม่ได้รู้สึกขัดข้องอะไรนัก เพราะยังมีอีกตัวเลือกสำหรับฆ่าเวลาอยู่ข้าง ๆ ทั้งคน

“ข้าเป็นห่วงท่านพี่ค่ะ วันนี้อาการของท่านไม่ดีนัก อย่างน้อยก็อยากกลับไปดูแลท่านสักหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าหญิงเห็นควรเถิด ข้าฝากความห่วงใยถึงเจ้าชายอลันด้วยก็แล้วกัน”

“ข้าขอขอบคุณแทนท่านพี่ค่ะ” สการ์เล็ตคำนับเจ้าชายคู่หมั้นแล้วหันไปถามเซเซีย “แล้วน้องจะกลับหรือยังจ๊ะ เราจะได้กลับพร้อมกัน”

“ข้าคิดว่าจะอยู่ต่ออีกสักพัก ท่านพี่กลับไปก่อนเถอะค่ะ” เซเซียกล่าวปฏิเสธ นางจะรีบร้อนกลับไปทำไม ในเมื่อความสำราญที่แท้จริงจะเริ่มต่อไปนับจากนี้ เพราะตัวขวางหูขวางตากำลังจะกลับไปแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะจ๊ะ”

“ขอให้ท่านพี่เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพค่ะ” เจ้าหญิงองค์รองอวยพรทั้งที่ใจจริงอยากให้มันเป็นในสิ่งตรงกันข้าม

หลังจากสการ์เล็ตลับหลังไปแล้ว เจ้าหญิงเจ้าชายทั้งสองต่างสบตากันก่อนจะลอบหลบผู้คนออกไปอยู่เพียงลำพังเพื่อสานสัมพันธ์ที่ยังมิอาจเปิดเผยต่อผู้ใด

*/*/*/*/*


ระหว่างรอรถม้าของตนอยู่ที่บันไดทางเข้าประตูหน้าคฤหาสน์ สการ์เล็ตขยับเสื้อคลุมขนสัตว์ให้กระชับขึ้นเมื่อสายลมเย็นยะเยือกพัดมากระทบผิวกาย นางเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดสลัวซึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่เพียงเบาบาง เพิ่งผ่านพ้นคืนเดือนเพ็ญไปแค่สองราตรีดวงจันทร์จึงยังส่องแสงสว่างกระจ่างนัก

“ท่านหญิงสนใจทำนายดวงชะตาบ้างหรือไม่”

เสียงทุ้มที่เอ่ยถามทำให้เจ้าหญิงสการ์เล็ตหันไปมองยังที่มาอย่างแปลกใจ บุคคลในชุดคลุมสีดำปกปิดมิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มีเพียงแว่นตารูปทรงเรียวรีกรอบหนากับใบหน้าขาวเผือดโผล่พ้นชายผ้าออกมาให้เห็น ความสูงที่มีมากกว่ามาตรฐานทั่วไปของหญิงสาวกับน้ำเสียงทุ้มต่ำทำให้สการ์เล็ตพอจำแนกได้ว่าเขาเป็นบุรุษที่ยังไม่น่าจะสูงวัยนัก

เจ้าหญิงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา

“ข้าไม่สนใจในโชคชะตา ข้าเชื่อว่าอนาคตย่อมเกิดจากผลของการกระทำของตัวเอง”

สการ์เล็ตปฏิเสธนักทำนายไปอย่างนั้น หากนางต้องการดูดวงจริง มีหรือนักพยากรณ์ประจำราชสำนักจะใช้การไม่ได้

“น่าเสียดาย...นึกว่าจะได้ลูกค้าอีกสักคน” นักทำนายพ่นลมหายใจพร้อมกับขยับแว่น “ไม่อย่างนั้นก็คงได้เงินพอสำหรับค่าที่พักในคืนนี้”

“ถ้าเรื่องนั้นข้าพอช่วยได้” สการ์เล็ตแย้มยิ้มบางเมื่อได้ยินดังนั้น นางหยิบเหรียญเงินสกุลการ์ตออกมาจำนวนหนึ่งแล้วส่งให้กับนักทำนาย “จงรับเอาไว้ หากเจ้าจำเป็นต้องใช้มันจริง ๆ “

“ยังใจดีต่อคนแปลกหน้ามิเคยเปลี่ยน...” นักทำนายเอ่ยพึมพำแผ่วเบา เจ้าหญิงจึงมิอาจได้ยินและไม่ทันเห็นรอยยิ้มบางที่ผุดขึ้นบนเรียวปากเพียงวูบหนึ่งของเขา

บุรุษในชุดคลุมสีดำยื่นมือออกไปรับเหรียญเงินเอาไว้แล้วค้อมกายลงต่ำ กล่าวถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความซาบซึ้ง

“ท่านช่างมีจิตเมตตาต่อข้านัก แต่ข้ามิปรารถนารับสิ่งของจากผู้ใดโดยมิได้ตอบแทน ดังนั้นจึงใคร่ขอทำนายให้ท่านเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับเหรียญเงินจำนวนนี้ด้วยเถิด”

“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้อยากรู้” สการ์เล็ตมุ่นคิ้วต่อความรั้นของบุรุษตรงหน้า แต่แล้วนางก็ต้องชะงักคำปฏิเสธ เมื่อจู่ ๆ นักทำนายก็เงยหน้าขึ้นมาสบประสานสายตากับนาง ดวงตาสีน้ำเงินทอประกายแสงสีม่วงประหลาดหลังกรอบแว่นหนาที่ลดลงต่ำ ดวงตาสีเดียวกันกับใครบางคนในความทรงจำอันเนิ่นนานซึ่งไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นจากใครอื่น

ดวงตาคู่นั้นมันเบิกกว้างเสียจนสะกดเจ้าหญิงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่

“ลางร้าย...“

“เอ๊ะ!? “ เจ้าหญิงอุทานพลางมุ่นคิ้วอย่างประหลาดใจต่อคำทำนายที่มิได้ตั้งใจจะฟัง

“เป็นเภทภัยที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิต...” 

นักทำนายเว้นช่วงคำพูดไปครู่หนึ่งก่อนหลุบตาลงแล้วค่อย ๆ ถอยห่างออกไป 

“จงรักษาสัญญาและอย่าไว้วางใจคนใกล้ตัว แล้วเคราะห์ร้ายของท่านจะบรรเทา”

“หมายความว่าอย่างไร” สการ์เล็ตเอ่ยถาม คิ้วโก่งเรียวงามเริ่มจะขมวดเป็นปม ขณะกำลังจะก้าวเท้าตามนักทำนาย รถม้าของนางก็มาถึงเสียก่อน

“เจ้าหญิงสการ์เล็ต รถม้าพร้อมแล้ว เชิญเสด็จเถิดขอรับ”

สการ์เล็ตหันไปมองรถม้าก่อนหันไปมองหน้าคนคุมบังเหียนวูบหนึ่งแล้วจึงหันกลับไปยังนักทำนายอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาได้หายตัวไปเสียแล้ว

เจ้าหญิงมองไปรอบบริเวณแต่ก็ไม่พบวี่แววของใคร แม้จะแปลกใจแต่ก็ไม่คิดใส่ใจในตัวบุรุษลึกลับผู้นั้นอีก ซึ่งรวมไปถึงคำทำนายที่นางมิเคยใคร่จะรู้นั่นด้วย

ถึงอย่างไรหากจะมีอะไรเกิดขึ้นมามันก็ต้องเกิด เมื่อถึงเวลานั้นก็ได้แต่เดินหน้าต่อไปและหาหนทางแก้ไขเอาก็เท่านั้น หากมั่วนึกหวั่นกับแค่คำทำนายคงมิต้องทำอะไรกันพอดี

ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้า สการ์เล็ตสังเกตว่าพลขับไม่ใช่พนักงานซึ่งทำหน้าที่ประจำจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“เขามีอาการอาหารเป็นพิษกะทันหันจึงได้ให้ข้าเปลี่ยนมาทำหน้าที่แทนขอรับ”

แม้จะรู้สึกแคลงใจอยู่บ้างแต่สการ์เล็ตต้องการรีบกลับโดยเร็วจึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดต่อ นางพยักหน้าว่าเข้าใจเพียงครั้งเดียวก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะกำมะหยี่บุนวมนุ่มภายในรถซึ่งตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราด้วยโทนสีทองกับสีแดงเลือดหมู

หลังจากรถม้าเคลื่อนตัวออกห่างจากคฤหาสน์เจ้าหญิงก็ปล่อยใจให้เข้าสู่ภวังค์ นึกถึงใบหน้านวลใสของสตรีนางหนึ่งซึ่งเป็นน้องสาวของตน

เซเซียเป็นน้องสาวต่างมารดา สการ์เล็ตไม่เคยคิดดูถูกนางที่เกิดจากครรภ์ของนางสนมเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังนึกสงสารที่เด็กสาวต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ไปแต่วัยเยาว์ นางเคยใคร่อยากร่วมสนทนาสานสัมพันธ์สร้างความสนิทสนมอยู่หลายครา แต่โอกาสและเวลาก็ไม่เคยเอื้ออำนวย

เจ้าหญิงลำดับแรกแห่งเรสทอเรียรู้ดีว่าน้องสาวต่างมารดานั้นหมายปองเจ้าชายแห่งเฮย์เดนซึ่งเป็นคู่หมั้นของตน และรู้ด้วยว่าสายตาของเจ้าชายเฟร์นานโดที่จ้องมองเซเซียก็มีความพึงพอใจอยู่มิใช่น้อย สการ์เล็ตจึงคิดไตร่ตรองถึงการหมั้นหมาย อย่างไรนางก็ไม่ได้นึกใคร่ในตัวเจ้าชายผู้นั้นอยู่แล้ว หากจะต้องมีการแต่งงานก็ให้คนที่เขามีใจได้สมหมายในรักเสียจะดีกว่า และหลังจากปรึกษาพระบิดาผู้เป็นกษัตริย์แล้วก็ได้ความว่าไม่มีเหตุขัดข้องอันใด การหมั้นหมายระหว่างแคว้นในอนาคตจึงอาจมีกำหนดการว่าจะเปลี่ยนแปลง

แรงสั่นสะเทือนของรถม้าทำให้สการ์เล็ตต้องออกจากห้วงดำริ นางแง้มบานหน้าต่างเปิดดูถนนภายนอกว่าเหตุใดเส้นทางภายในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งควรจะเรียบสม่ำเสมอจึงทำให้เกิดความสั่นสะเทือนได้ ราวกับว่ารถม้ากำลังวิ่งอยู่บนถนนอันขรุขระทุรกันดาร

พลันคิ้วโก่งเรียวงามของเจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียก็ต้องขมวดมุ่น เมื่อพบว่าทิวทัศน์ภายนอกมีแต่ป่ามืดทึบไร้ซึ่งวี่แววของที่อยู่อาศัยหรือสิ่งก่อสร้างใดที่จะมีมนุษย์อาศัยอยู่ ครั้นก้มลงมองไปด้านล่างก็พบว่าล้อรถกำลังบดอยู่บนถนนขรุขระซึ่งเต็มไปด้วยกรวดหิน

สการ์เล็ตขยับตัวไปเปิดช่องเล็ก ๆ ด้านหลังพลขับแล้วเอ่ยถาม

“เจ้าพาข้ามาที่ใด นี่ไม่ใช่ทางกลับปราสาท”

ผู้คุมบังเหียนหันมายิ้มแสยะพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

ฉับพลันประตูห้องโดยสารก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายคนหนึ่งซึ่งโหนร่างเข้ามาจากทางด้านหลังรถโดยสาร เขาจ่อคมดาบมาที่เจ้าหญิงจนนางต้องผงะถอยด้วยความตกใจ

“หากเจ้าหญิงจะกรุณา...โปรดทรงอยู่เฉย ๆ เงียบ ๆ จะเป็นพระคุณอย่างสูง ข้ายังไม่อยากสร้างบาดแผลบนใบหน้าสวย ๆ ของท่าน”

สการ์เล็ตจ้องคมดาบตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่นหากยังคงรักษากิริยาเอาไว้ ทั้งสองต่างจ้องมองเชิงกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่รถม้าจะชะลอลงจนกระทั่งจอดสนิท ชายฉกรรจ์ผายมือเชิญให้เจ้าหญิงก้าวออกไปนอกรถแล้วตนจึงค่อยตามออกไป

เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียกวาดตามองกลุ่มชายฉกรรจ์ราวห้าคนด้วยความหวาดวิตกพลางคิดหาทางหนีทีไล่ หนึ่งในกลุ่มคนร้ายซึ่งไว้หนวดเคราก้าวออกมาด้านหน้า บุคลิกท่าทางของเขาน่าเกรงขามและเยือกเย็นกว่าผู้ใด บ่งบอกให้รู้ว่านี่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มคนร้ายอย่างแน่นอน

“เจ้าเป็นใคร ต้องการสิ่งใดจากข้า” สการ์เล็ตรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว

หัวหน้าโจรยิ้มให้ต่อการแสดงความกล้าหาญของหญิงสาวก่อนตอบ

“นามข้ามิอาจเอื้อมให้เจ้าหญิงรับฟัง หรือถ้าจะให้บอกตามตรง...คนที่กำลังจะตายอย่างท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”

ธิดาองค์แรกแห่งเรสทอเรียเบิกตากว้างอย่างตระหนกหากยังข่มใจให้รักษากิริยา นางสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยถาม

“เพราะเหตุใด ใครที่ต้องการชีวิตข้า”

“ถ้าไม่รู้ว่าถูกใครปองร้ายก็คงตายตาไม่หลับสินะ” โจรร้ายหัวเราะในลำคอแล้วจึงตอบคำถามของเจ้าหญิง “ข้าบอกได้เพียงว่าเป็นคนใกล้ตัวที่ท่านคงไม่เคยคาดถึง ส่วนเหตุผล...ท่านลองไปไตร่ตรองเอาในโลกหน้าเสียก็แล้วกัน”

เพียงสดับคำนั้นสการ์เล็ตก็ถอยกรูดจนหลังติดท้ายรถโดยสาร เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียจ้องมองเหล่าคนร้ายซึ่งแต่ละคนมีอาวุธครบอยู่ในมือกำลังย่างเท้าเข้าใกล้นางด้วยสายตาหวาดระวัง 

แต่แล้วนางก็รู้สึกถึงสิ่งที่มือแปะป่ายไปสัมผัสเข้าโดยบังเอิญ หญิงสาวรีบคลำมันจนแน่ใจว่าคืออะไร แล้วจึงหยิบแส้ม้าสำรองซึ่งเก็บซ่อนเอาไว้ในกล่องใต้ท้ายรถโดยสารสะบัดฟาดใส่กลุ่มโจรเต็มแรง เหล่าคนชั่วต่างผงะถอยกันไปคนละครึ่งก้าว สการ์เล็ตฉวยโอกาสนั้นวิ่งหลบไปยังอีกฝั่งของรถซึ่งไม่มีใครยืนขวางอยู่ 

“ผู้หญิงคนเดียวในป่ามืดทึบเช่นนี้จะไปได้กี่น้ำ” หัวหน้าโจรส่งเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะออกคำสั่งกับพลพรรคของตน 

“ตามไป! อย่าให้แม่กระต่ายน้อยนั่นหนีไปได้”

รองเท้ายกส้นสูงกับความมืดทำให้สการ์เล็ตวิ่งไปในป่าได้อย่างยากลำบาก นางสะดุดล้มหลายครั้งจนกระทั่งแส้และรองเท้าหลุดหายไปทั้งสองข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ หญิงสาวกัดฟันวิ่งต่อไปอย่างไม่คิดชีวิตแม้จะถูกหนามหินทิ่มตำจนเจ็บระบม ขืนรั้งรอมองบาดแผลคงไม่ใช่แค่รองเท้าที่ต้องเสียไปให้กลุ่มคนร้ายซึ่งกำลังเดินอย่างย่ามใจไล่หลังมา

ทว่าราวกลับสวรรค์กำลังกลั่นแกล้ง เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อพื้นที่เหยียบย่างทรุดฮวบร่วงลงไปด้านล่าง เพราะความมืดและความรีบร้อนทำให้ไม่ทันสังเกตว่าข้างหน้านั้นเป็นหุบเหว โชคดีนักที่นางรีบคว้าเถาวัลย์เส้นหนาเอาไว้ได้ทัน สการ์เล็ตชำเลืองมองลงไปใต้ฝ่าเท้าซึ่งเป็นก้นเหวมืดทึบลึกสุดหยั่งด้วยความหวาดกลัว

นางต้องมาตายอยู่ในที่แบบนี้จริง ๆ หรือนี่...ไม่เอานะ!

“ว้าว! ดูสิว่าข้าเจออะไร”

เสียงบุรุษคุ้นหูทำให้สการ์เล็ตรีบเงยหน้าขึ้นมอง นางแทบไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นเงาร่างเจ้าของเสียง 

“เจ้า! นักทำนายเมื่อครู่“

“อ้อ! ท่านหญิงที่ข้าเพิ่งทำนายชะตาให้สินะ” คิ้วเรียวหลังกรอบแว่นหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย “แล้วท่านมาทำอะไรอยู่ในที่แบบนี้กันล่ะ”

“ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม” เจ้าหญิงตอบเสียงดัง อดโมโหขึ้นมาไม่ได้ที่ชายหนุ่มข้างบนยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่เห็นสถานการณ์ตอนนี้หรืออย่างไร รีบช่วยข้าสิ”

นักทำนายขยับแว่นพลางฉีกยิ้มหวานให้หญิงสาวซึ่งกำลังเกาะเถาวัลย์ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องล่าง

“ต้องขออภัยท่านหญิง ข้าไม่มีนโยบายในการช่วยเหลือใครโดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทน”

สการ์เล็ตอ้าปากค้าง นึกอยากกระโดดขึ้นไปเองแล้วเข้าไปบีบคอตอบแทนความไร้น้ำใจของฝ่ายตรงข้าม แต่ช่างน่าเสียดายที่นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะทำได้อย่างใจคิด

“เจ้าคนไร้น้ำใจ! “ เจ้าหญิงสบถแล้วร้องอย่างตระหนกเมื่อเถาวัลย์ที่เกาะเกี่ยวอยู่กำลังครูดลงเพราะน้ำหนักและการขยับดิ้นรนของนางเอง 

สการ์เล็ตชำเลืองมองก้นเหวลึกด้านล่างพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจเงยหน้าจ้องสบตากับนักทำนาย

“ก็ได้ ข้าจะตอบแทนทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ หากเจ้ายอมช่วยเหลือข้า”

“ค่อยเป็นข้อเสนอที่น่าสนหน่อยนะ” 

นักทำนายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาทำปากขมุบขมิบพลางโบกมือครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเส้นเถาวัลย์ที่สการ์เล็ตเกาะอยู่ก็ค่อย ๆ ดึงนางขึ้นไปด้านบน นักทำนายรับร่างหญิงสาวจากเถาวัลย์แล้วบรรจงให้เท้านางแตะถึงพื้นอย่างนุ่มนวล

“ขอบคุณ” สการ์เล็ตกล่าวอย่างโล่งใจ ครั้นรู้สึกได้ถึงความมั่นคงของผืนดินที่เหยียบอยู่ นางก็ลืมความโกรธเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

“ข้าจะตอบแทนเจ้าตามที่สัญญาไว้อย่างแน่นอน...นักทำนาย แต่คงต้องหลังจากรอดพ้นคนพวกนี้ไปให้ได้ก่อนนะ”

นักทำนายหันมองตามสายตาที่หญิงสาวจ้องไป กลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือกำลังกระจายตัวตีวงล้อมทั้งคู่เอาไว้

“เจ้าหนุ่ม ส่งตัวหญิงสาวผู้นั้นมาแล้วพวกข้าจะปล่อยเจ้าให้รอดชีวิตไป” โจรไว้เครากล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่

“คงทำตามที่ขอไม่ได้ เพราะนางยังมีสัญญาที่ต้องจ่ายให้ข้าอยู่” นักทำนายตอบพลางหันไปประจันหน้ากับกลุ่มคนร้ายอย่างไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจ “ข้าไม่ชอบทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน”

“งั้นพวกเราจะช่วยส่งเจ้าตามไปรับค่าจ้างจากผู้หญิงคนนั้นในโลกหน้าก็แล้วกัน” เหล่าโจรร้ายแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับเงื้อง้างอาวุธขึ้นก่อนจะพากันกรูเข้าหานักทำนายกับเจ้าหญิง

“ถ้าทำได้ก็ตามสบาย แต่ระวังเถาวัลย์กันหน่อยจะดีกว่านะ”

นักทำนายขยับยิ้มกว้างพลางขยิบตา ทันใดนั้นเถาวัลย์มากมายจากทุกสารทิศก็ตวัดรัดกายเหล่าโจรชั่ว ดึงรั้งจนร่างของแต่ละคนลอยขึ้นเหนือพื้น

“นี่แกทำอะไร! แกเป็นใครกันแน่!”

กลุ่มคนร้ายตวาดถามพร้อมกับพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเถาวัลย์อย่างลนลาน แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เถาวัลย์ก็ยิ่งม้วนรัดพันตัวแน่นหนาขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก นักทำนายเลิกคิ้วแล้วหันไปทางหญิงสาวด้านหลัง

“อ้อ! จริงสิ...ข้าไม่ใช่นักทำนายหรอกนะท่านหญิง” เขากล่าวแล้วหันกลับไปยังเหล่าโจรร้ายที่ถูกเถาวัลย์พันธนาการอยู่กลางอากาศ แววตาและรอยยิ้มพรายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอย่างฉับพลัน

“อาชีพของข้าคือพ่อมดต่างหาก แค่นักทำนายน่ะ...คงทำไม่ได้ขนาดนี้หรอก”

กล่าวจบโจรร้ายทั้งห้าต่างก็ถูกเถาวัลย์ฉีกกระชากร่างจนขาดออกเป็นชิ้น ไม่ทันแม้จะอ้าปากส่งเสียงร้องใดออกมา หยดเลือดสาดกระเซ็นย้อมต้นไม้และใบหญ้าจนเป็นสีแดงฉานท่ามกลางสายตาเย็นชาของพ่อมด เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่บังเอิญมีโลหิตกระเด็นใส่ ส่วนสการ์เล็ตได้แต่กรีดร้องพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้าให้พ้นจากภาพอันน่าสยดสยอง นางตระหนกตกใจกลัวจนเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้น

“ให้ท่านหญิงเห็นภาพไม่น่ามองเสียแล้วสิ”

พ่อมดเอ่ยแล้วช้อนร่างเจ้าหญิงอุ้มเดินฝ่าเข้าไปในความมืดแห่งพงไพร ทิ้งซากศพเกลื่อนกระจายอย่างน่าสยดสยองเอาไว้เพียงเบื้องหลัง 

หากเขายังอยู่รั้งรอสักนิดคงได้เห็นว่ามีใครบางคนโผล่ร่างออกมาจากมวลอากาศที่บิดเกลียวม้วนตัวราวกับน้ำวน รองเท้าหนาหนักเหยียบย่ำลงบนพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยหยาดโลหิตอย่างเฉยชาราวกับมันเป็นเพียงแอ่งน้ำธรรมดา

“กลิ่นของเป้าหมาย...เพิ่งไปจากที่นี่”

สายตาเย็นเยียบกวาดมองเศษเนื้อซึ่งกระจายเกลื่อนอยู่ตามพื้นก่อนจะสะบัดมือเรียกสายลมให้พัดมาวูบหนึ่ง พลันเศษเนื้อและกองเลือดก็มลายหายไปเหลือเพียงตุ๊กตากระดาษขาดวิ่นกระจายเกลื่อนกลาด เขาเก็บเศษกระดาษซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดขึ้นมา พิจารณาวงเวทและลายมือเจ้าของอาคมพลางแค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะเก็บมันไว้ในอกเสื้อ 

ร่างนั้นกวาดมองรอบบริเวณอีกครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในมวลอากาศอันบิดเบี้ยวนั้นก่อนที่มันจะสลายหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ที่สการ์เล็ตปิดหน้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพ่อมดบอกให้ลืมตา

“ถึงรถม้าของท่านแล้ว เดินไหวหรือเปล่า”

หญิงสาวอยากจะตอบว่าไหว แต่ร่างกายยังสั่นเทาไม่หาย แม้แต่เสียงก็ไม่มีจะเปล่งออกมา พ่อมดจึงอุ้มนางเข้าไปวางบริเวณโค่นต้นไม้โล่งเพื่อให้รับลมเย็น เขานั่งรอจนใบหน้าที่ซีดเผือดของเจ้าหญิงมีสีเลือดขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านคงไม่มีพลขับ ข้าจะพากลับปราสาทให้เอง”

สการ์เล็ตจ้องตาพ่อมดหนุ่มทันใด เขารู้ได้อย่างไรว่าต้องพานางกลับไปส่งที่ไหน และทั้งที่ก่อนออกเดินทางนางยังพบเขาอยู่ในเมืองแล้วทำไมคนผู้นี้จึงมาอยู่กับนางที่นี่ได้ 

คิดอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจสักนิด

“แต่ก่อนที่จะไปส่งท่าน ข้าอยากให้เราตกลงกันเรื่องค่าตอบแทนเสียก่อน”

เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียมองตาพ่อมดซึ่งถูกกระจกแว่นบดบังเอาไว้อย่างแน่วนิ่งก่อนจะพยักหน้า

“ได้สิ ข้าเอ่ยวาจาแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใดก็ว่ามา”

“ข้าช่วยชีวิตท่านให้รอดพ้นจากความตาย ค่าตอบแทนของชีวิตก็คือชีวิตเช่นกัน” พ่อมดกล่าวช้าชัด

คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นขณะฟังความต้องการของฝ่ายตรงข้าม สการ์เล็ตยังไม่อาจเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ทันใดนางก็ต้องกรีดร้องอย่างตระหนก เมื่อจู่ ๆ พ่อมดหนุ่มก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วดึงคอเสื้อลูกไม้ผืนบางของนางลงจนเผยให้เห็นเนินอกเนียนขาว

“เจ้าจะทำอะไร! “

เจ้าหญิงตวาดเสียงดังพร้อมกับเงื้อฝ่ามือขึ้นแล้วตบออกไปตามสัญชาติญาณ ทว่าอีกฝ่ายกลับรับฝ่ามือนั้นเอาไว้ได้ เขายึดข้อมือนางอย่างแน่นหนาราวกับคีมเหล็ก

“ประทับตราสัญญา” 

พ่อมดตอบเสียงพร่าระหว่างยื้อยุดฉุดข้อมือกับหญิงสาว 

เจ้าหญิงพยามยามผลักไสเขาให้ถอยห่างอย่างสุดกำลัง ทว่าราวกับนางกำลังผลักหินผา กายกำยำหนาของบุรุษหนุ่มจึงไม่รู้สึกสะเทือน

“ช่วยอยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ หน่อยได้ไหม” 

จอมเวทหนุ่มขมวดคิ้ว เขารวบข้อมือที่กำลังทุบตีตนเองแล้วบังคับให้สการ์เล็ตนอนราบลงบนพื้นหญ้า


นัยน์เนตรสีน้ำเงินซึ่งมีริ้วรอบขอบม่านตาเป็นสีม่วงอย่างประหลาดโผล่พ้นกรอบแว่นออกมาจ้องมองหญิงสาวด้วยประกายวาววับจนนางถึงกับชะงักงัน จากนั้นเขาก็มอบจุมพิตอันหนักหน่วงกดดันกระทั่งนางไร้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรง 

ในสมองของหญิงสาวขาวโพลนว่างเปล่า ราวกับถูกปลายชิวหาอุ่นร้อนที่แทรกซึมเข้ามากระชากวิญญาณไป

เมื่อบุรุษหนุ่มเห็นอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์แล้วจึงยอมถอนริมฝีปากออกมา

“อยู่นิ่ง ๆ แต่แรกก็สิ้นเรื่อง”

น้ำใส ๆ ร่วงรินจากดวงตาสีทับทิมคู่งาม ร่างนางสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้ เรียวปากสีกุหลาบเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงขณะที่พ่อมดเลื่อนใบหน้าลงไปยังทรวงอก เขาประทับริมฝีปากลงไปบนเนินเนื้อเนียนขาวตำแหน่งเดียวกับหัวใจ พลันสการ์เล็ตก็รู้สึกร้อนราวถูกหินไฟนาบผิวหนังจนสะท้านเฮือก 

ตรงบริเวณที่ถูกพ่อมดประทับรอยมีลำแสงสีแดงเรื่อเรืองออกมา มันส่องประกายเพียงชั่วครู่ก็หายไปเหลือเพียงรอยปานรูปดาวหกแฉกซ้อนวงเวทสีแดงเข้มราวกับรอยเลือดเอาไว้บนเนินอก

พ่อมดหนุ่มมองสัญลักษณ์ขนาดเท่าเหรียญเงินที่ตัวเองสร้างบนผิวขาวนวลอย่างพอใจแล้วจึงปล่อยสการ์เล็ตให้เป็นอิสระ เขาถอยออกไปยืนกอดอกมองหญิงสาวยันตัวลุกขึ้นแล้วดึงคอเสื้อกลับที่เดิมอย่างรวดเร็ว

“เจ้าทำอะไรกับข้า! ” เจ้าหญิงถามเสียงสั่น ร่างกายสะท้านไหวด้วยความโกรธจนควบคุมไม่ได้

“ประทับตราสัญญา…ว่าท่านได้กลายเป็นของของข้าแล้วทั้งร่างกายและวิญญาณอย่างไรล่ะ เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรีย”

สการ์เล็ตเบิกตาโพลงพลางเค้นเสียงถามอย่างเจ็บใจ “เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”

พ่อมดหาได้คิดตอบคำใด เขายิ้มอย่างผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า นัยน์ตาสีประหลาดทอประกายกร้าวขณะจ้องมองหญิงสาวผู้หลวมตัวมาอยู่ในกำมือผ่านกระจกแว่น

“อย่าได้คิดผิดสัญญา เพราะท่านลั่นวาจาเองว่าจะตอบแทนทุกสิ่งที่ข้าต้องการ และอย่าได้คิดหลีกหนีไปจากข้าไม่ว่าทางเป็นหรือทางตาย ไม่อย่างนั้นท่านจะได้รู้ว่าข้า...คาอิล มิลตัน ร้ายกาจได้มากกว่าที่ท่านเห็นเพียงใด”








Create Date : 07 มีนาคม 2555
Last Update : 13 กันยายน 2557 10:00:11 น.
Counter : 462 Pageviews.

2 comment
เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 1

เมื่อวงเวทแห่งมนตราประทับลงบนกายาของเจ้าหญิง


โชคชะตาจึงถูกพันผูกไว้กับปีศาจในคราบพ่อมด



หากไม่อาจรู้ได้ว่าดวงจิตที่หวั่นไหวนั้นถูกสะกดด้วยคำสาปหรือความปรารถนาแห่งใจตนกันแน่



*/*/*/*/*


            บทที่ 1

นานมาแล้ว ณ ดินแดนซึ่งยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นไอของเวทมนตร์และคาถาดินแดนที่พ่อมดและแม่มดหาใช่สิ่งที่ถูกตีตราว่าชั่วร้ายหากแต่เป็นบุคคลที่ประชาชนทั่วไปให้ความนับถือในฐานะของจอมเวทพวกเขารวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรแห่งเวทมนตร์ที่มีชื่อว่ากิลด์เมสทิค เพื่อคอยควบคุมเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์และรับบริการจากข้อร้องขอของผู้คนโดยแลกเปลี่ยนกับค่าตอบแทนมิได้ใช้เวทมนตร์เพียงเพื่อตัวเองอีกต่อไป

เมื่อเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์สอบผ่านหลักสูตรจะได้รับใบประกาศและการบรรจุเข้าสู่สถานะของพ่อมดและแม่มดอย่างแท้จริงหลังจากนั้นจะกระจายกันไปยังดินแดนต่าง ๆ ตามแต่ใครจะปรารถนาบางส่วนเข้าทำงานกับกิลด์เมสทิค แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะขึ้นตรงต่อตนเอง

หากภายในน้ำใสก็ใช่ว่าจะสะอาดบริสุทธิ์เสมอไปจะอย่างไรในหมู่ผู้ใช้เวทมนตร์นั้นก็ไม่ได้มีแต่คนที่จะทำตามกฎบทบัญญัติแห่งกิลด์เมสทิคอย่างสัตย์ซื่อจึงได้มีการแต่งตั้งผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคขึ้นมาเพื่อคอยแฝงตัวตรวจหาผู้กระทำผิดแล้วนำตัวมาลงโทษทั้งยังเป็นการกำราบมิให้ใครใช้เวทมนตร์ในทางที่ผิดอีกด้วย

ถึงกระนั้น...ความหอมหวนอันชั่วร้ายก็ยังไม่วายล่อลวงให้มนุษย์ผู้หลงผิดต้องเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืดมน

*/*/*/*/*

สตรีนางหนึ่งแต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีน้ำตาลเข้ม สวมทับด้วยผ้าคลุมสีทึบนั่งกระสับกระส่ายอยู่ภายในร้านค้าเวทมนตร์ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากภายในเมืองไปไม่ไกลนัก

ทั้งที่เป็นยามวิกาล อากาศนั้นค่อนข้างเย็น ทว่าไม่ทำให้ความร้อนรุ่มภายในใจบรรเทาเบาบางลงได้เลยนางขยับกระชับผ้าคลุมศีรษะอยู่ตลอดเวลาราวกับกลัวว่าใครจะเห็นหน้าแล้วจดจำได้ถึงฐานะของตน

อากัปกิริยาทั้งหมดนั้นเรียกรอยยิ้มหยันให้ปรากฏยังมุมปากของบุรุษผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“วันนี้ข้าไม่มีลูกค้าอื่นใดนอกไปจากท่าน ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้ามาเห็นหรอกท่านหญิงเอลิเซีย” พ่อมดผู้เป็นเจ้าของร้านค้าเวทมนตร์กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

เพื่อเป็นการประกันชื่อเสียงของลูกค้า ในหนึ่งวันเขาจะรับเรื่องร้องขอจากลูกค้าเพียงรายเดียวและแขวนป้ายปิดบริการพร้อมกับลงอาคมมิให้ใครลอบเข้ามาก้าวก่ายในงานของตนได้ ซึ่งนั่นก็เพื่อประกันความปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน

ท่านหญิงเอลิเซียลดผ้าคลุมศีรษะลงอย่างกลัวๆ กล้า ๆ ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองผสมผสานกับความโกรธแค้นและมีริ้วรอยของความกังวลก้มลงต่ำนางยังไม่แน่ใจในความคิดของตนนัก ว่าดีแล้วหรือที่นำพาตัวเองเข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ทว่าเมื่อนึกถึงความเจ็บแค้นในใจ นางก็ไม่คิดจะถอยหลังกลับไปเป็นอันขาด

“ข้าอ่านคำขอของท่านแล้วอยากให้สังหารสตรีผู้นี้สินะ” พ่อมดวางจดหมายของเอลิเซียลงตรงกลางโต๊ะในซองจดหมายนั้นมีเพียงกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กที่เขียนคำขอกับชื่อของบุคคลผู้หนึ่ง

“ท่านไปจ้างมือสังหารจะไม่ดีกว่าหรือ”

“ข้าอยากให้นางเพื่อนแพศยานั่นตายอย่างทรมานน่าอับอายและน่าสมเพชเวทนาอย่างที่สุด”สายตายามเอ่ยคำขอนั้นทอประกายกร้าวน่ากลัว หากเมื่อกล่าวประโยคต่อมาน้ำเสียงกลับสั่นเครือจนเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกขณะ“และ... และข้า... อยากให้เขาคนนั้นกลับมาหาข้าข้าอยากได้เขาคืนมา ท่านพ่อมด... ข้าได้ยินมาว่าท่านสามารถทำได้ท่านจะทำให้ข้าใช่ไหม”

ท่านหญิงโผเข้าเกาะแขนทั้งสองข้างของพ่อมดหนุ่มเอาไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการจะให้เขากล่าวคำปฏิเสธออกมา

ผู้ค้าเวทมนตร์หรี่ตามองหญิงสาว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังคงไม่หายไปจากมุมปากเขาโน้มใบหน้าลงจนใกล้นางและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“คำสาปสังหารกับเวทชักจูงใจท่านรู้ไหมว่ามันผิดต่อกฎของผู้ใช้เวทมนตร์ทั้งสองข้อ”

“ข้ารู้... ”เอลิเซียตอบ “และท่านก็รับทำตามข้อร้องขอนี้มาแล้วมิใช่หรือ”

“เช่นนั้นท่านก็คงรู้ใช่ไหมว่าค่าตอบแทนต่อข้อร้องขอนี้ราคาสูงและข้าไม่ได้รับแต่เงินเท่านั้น”

ท่านหญิงเอลิเซียเม้มเรียวปากอวบอิ่มสีแดงสดจนแทบจะเป็นเส้นตรงก่อนพยักหน้า

“รู้แล้วอย่างนี้ก็ดี“

พ่อมดหนุ่มยิ้มร่าแล้วจึงกล่าวเชิญนางเข้าไปยังห้องทำพิธีกรรม

ผ้าม่านสีทึบซึ่งผูกกั้นบานประตูเอาไว้ถูกปลดลงทันทีที่เอลิเซียก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องสว่างไสวด้วยแสงจากเปลวเทียนหกเล่มซึ่งตั้งไว้ในแต่ละจุดของวงเวทที่เขียนเป็นลวดลายอ่อนช้อยซ้อนทับสลับกันไว้บนพื้น

หญิงสาวเหลือบมองพ่อมดซึ่งเดินเลี่ยงไปยังชั้นวางของเตรียมพิธีแล้วจึงกวาดมองไปรอบห้องพร้อมกับถอนหายใจ

หากเลือกได้...นางก็ไม่อยากทำนักหรอก

คนหนึ่งนั้นเป็นอดีตเพื่อนรัก ส่วนอีกคนก็เป็นดั่งดวงใจหากทั้งสองไม่ได้ทรยศนาง ก็คงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้

เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าอยากอภัยและขอให้ทั้งสองมีความสุข ทว่าตัวนางที่กำลังหลงวนเวียนอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวังความเศร้าและความโกรธแค้นกลับไม่เห็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์นอกจากจะทำให้คนสารเลวทั้งสองนั้นได้พบกับความพินาศย่อยยับไปต่อหน้าต่อตา

ทั้งที่เคยอดทนต่อความทุกข์ยากสาหัสมาได้โดยตลอด ทว่านางอดทนต่อความเจ็บแค้นในใจไม่ได้วันนี้ท่านหญิงเอลิเซียจึงไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว

“ท่านมีสิ่งของส่วนตัวของสองคนนั่นไหม” พ่อมดถามโดยไม่ละสายตาจากหม้อดินเผาขนาดย่อมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมุมหนึ่งของห้องอันมืดสลัวเขากำลังเทส่วนผสมอะไรบางอย่างลงไปในนั้นและทั้งที่หม้อไม่ได้ตั้งอยู่บนเตาไฟกลับมีควันและกลิ่นหอมประหลาดลอยกรุ่นออกมา

“มีค่ะ” เอลิเซียซึ่งเพิ่งถูกดึงออกจากห้วงภวังค์ละล่ำละลักบอกนางหยิบสิ่งของออกจากกระเป๋าถือด้วยท่าทางลนลานและนำไปมอบให้ถึงมือของพ่อมด

มันเป็นผ้าเช็ดหน้ากับหวีสับที่ประดิษฐ์อย่างประณีตงดงามหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นเคยลืมทิ้งเอาไว้ที่บ้านของนางตอนที่ไปร่วมดื่มน้ำชายามบ่ายอันสดใสไม่นึกเลยว่าหลังจากนั้นจะมีแต่วันที่เลวร้ายสำหรับนาง

พ่อมดใช้ไม้พายคนของเหลวภายในหม้อดินเผาแล้วร่ายมนตร์ด้วยท่วงทำนองสม่ำเสมอโดยไม่รู้สึกถึงบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นส่วนเกินที่รุกล้ำอาณาเขตเข้ามาเมื่อเวทมนตร์ร่ายมาจนถึงบทสุดท้ายเขาจึงหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งเตรียมหย่อนลงไปในหม้อซึ่งใช้สำหรับสร้างคำสาปชั่วจังหวะนั้นเองที่หางตาพ่อมดพลันเห็นประกายแสงวูบหนึ่งกำลังพุ่งตรงเข้ามาเขากระโดดถอยหลังหลบในทันที

ประกายแสงนั้นพุ่งปะทะหม้อดินจนแตกกระจาย ของเหลวเหนียวข้นสีคล้ำสาดกระเซ็นไปโดยรอบส่วนหนึ่งกระเซ็นไปโดนเอลิเซียซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันและไม่ทันรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นจึงไม่ได้หลบนางกรีดร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อรู้สึกเหมือนโดนน้ำร้อนสาด หญิงสาวเบิกตากว้างมองแขนตัวเองที่ถูกของเหลวสีคล้ำกัดจนเปื่อยยุ่ยกลายเป็นแผลเหวอะหวะน่าเกลียดน่ากลัวและสร้างความทรมานจนน้ำตาไหลพราก

“นี่ข้าคงมาขัดจังหวะอะไรไปแล้วสินะ”

น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นเกือบเรียบสนิท หากก็ทำให้พ่อมดเบิกตาโพลงมองไปยังอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญซึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างระแวดระวังประตูทางเข้าทุกด้านนั้นลั่นดาลและลงคาถาเอาไว้แล้วจึงไม่น่าที่จะมีใครผ่านเข้ามาได้

“เจ้าเป็นใคร เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” พ่อมดถามเสียงเครียด นัยน์ตาของเขาจ้องอีกฝ่ายจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า

บุรุษนิรนามในชุดคลุมสีดำเพียงแย้มยิ้มอย่างเบาบางพลางปรายตาไปยังหญิงสาวซึ่งล้มลงนอนดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานแล้วจึงหันกลับไปยังพ่อมดอีกครั้งรอยยิ้มบางค่อย ๆ จางไปจากใบหน้า

“สิ่งนี้คงพอจะบอกสถานะของข้าได้กระมัง” เขาพูดพร้อมกับหยิบเหรียญโลหะขนาดครึ่งฝ่ามือสลักลวดลายอ่อนช้อยเกี่ยวกระหวัดซ้อนทับกันจนเป็นวงเวทออกมาชูให้อีกฝ่ายดู

“เจ้าคือผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิค! “

จอมเวทผู้มีชนักปักร่างเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพร้อมกับถอยหลังไปครึ่งก้าวคิดไม่ถึงว่าเรื่องของตนจะส่งกลิ่นไปถึงองค์กรแห่งเวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็วนัก

“เจ้าใช้เวทมนตร์ในเรื่องที่ไม่สมควรหลอกลวงผู้อื่นด้วยเวทชักจูงใจ กลับไปรับโทษที่องค์กรเสียดี ๆ เถอะ”

“เรื่องอะไรข้าจะยอมถูกจับง่าย ๆ “ พ่อมดซึ่งแปรสถานะไปเป็นผู้ต้องหาอย่างกะทันหันเอ่ยลอดไรฟันเขายกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมร่ายคาถา หากยังช้าเกินไป

ลำแสงสีแดงทอดเป็นเส้นยาวพุ่งตรงเข้าหาผู้กระทำความผิดก่อนม้วนรัดพันร่างของเขาพ่อมดขยับขลุกขลักพยายามดิ้นรนให้ตนหลุดพ้นจากพันธนาการ ทว่าก็ไร้ผล

“ยังอ่อนหัดไปนัก”ผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคกล่าวอย่างทอดถอนใจพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอา “เจ้าคิดว่าข้าต้องรับมือผู้กระทำผิดกฎมาแล้วเท่าไหร่กัน”

ผู้คุมกฎโบกมือขึ้นครั้งหนึ่งพร้อมกับพึมพำร่ายคาถาสั้น ๆควันสีขาวพลันพวยพุ่งขึ้นห่อหุ้มร่างของพ่อมดผู้ค้าเวทมนตร์ผิดกฎ เพียงชั่วอึดใจกลุ่มควันนั้นก็ค่อยๆ หดตัวลงราวกับถูกดูดเข้าสู่ใจกลางกลุ่มก้อนควันขาวจนกระทั่งสุดท้ายเหลือเพียงหนูขาวตัวจิ๋วเข้ามายืนอยู่แทนในตำแหน่งเดียวกับที่พ่อมดเคยยืนอยู่ผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคจับเจ้าหนูตัวนั้นใส่เข้าไปในกรงโลหะรูปโดมซึ่งเขาเสกมันขึ้นมาเมื่อครู่

ดวงเนตรคมสีน้ำเงินส่องประกายวาวสีม่วงแปลกตาตวัดหันไปจ้องหญิงสาวที่ยังนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

ถึงจะรู้สึกทรมานจนแทบสิ้นสติ แต่ท่านหญิงก็ยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเขาย่างเท้าเข้ามาใกล้

“น่าเสียดายนะอุตส่าห์ลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว แต่ความหวังของท่านจะไม่มีวันเป็นจริงหรอก” ผู้คุมกฎพูดพร้อมกับใช้ปลายนิ้วแตะแผ่วบนใบหน้านางรอยยิ้มเบาบางบนเรียวปากฉาบไปด้วยความเวทนา เขาร่ายคาถาสั้น ๆ บทหนึ่งลำแสงสีน้ำเงินพลันอาบไปทั่วร่างเอลิเซียแล้วความเจ็บปวดทั้งปวงก็บรรเทาเบาลง

“ข้ารักษาบาดแผลและพิษที่ไหลเวียนอยู่ในตัวท่านไม่ได้ทำได้แค่ช่วยระงับความเจ็บปวดเพียงชั่วคราวเท่านั้น”

เอลิเซียลุกขึ้นนั่งมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดของตนด้วยกายสั่นระริกนางอยากจะอ้าปากบอกขอบคุณเขา แต่เมื่อเห็นแววตาเย็นชาของอีกฝ่ายก็ต้องหุบปากลงทันที

“ท่านว่าจ้างพ่อมดให้ใช้เวทมนตร์บังคับชักจูงใจและสร้างคำสาปร้ายเพื่อสังหารผู้อื่นแม้ว่าเขาจะทำตามคำร้องขอของท่านไม่สำเร็จ แต่นั่นก็นับมีความผิดแล้วท่านจึงต้องไปรับโทษที่กิลด์เมสทิคเช่นกัน”กล่าวจบแล้วผู้คุมกฎก็ร่ายคาถาเกิดเป็นควันขาวขึ้นมาเช่นเดียวกับพ่อมดก่อนหน้านี้ท่านหญิงเอลิเซียซึ่งกลายเป็นหนูขาวถูกจับใส่กรงใบเดียวกันกับพ่อมด เขามองหนูขาวทั้งสองในกรงแล้วเอ่ยเบาๆ “อย่างน้อยถึงจะต้องได้รับโทษ แต่อยู่ที่องค์กรเวทมนตร์แล้วพวกเขาก็คงจะรักษาบาดแผลให้ท่านได้ล่ะนะ”

จบงานแล้วผู้คุมกฎก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เขาเดินไปที่ประตูทางเข้าร้านแล้วส่งกรงให้ชายอีกคนซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกพร้อมกับกล่าว“ฝากที่เหลือด้วยนะ”

“เรียบร้อยแล้วสินะครับ ท่านเรมิเรส คิสเซ่” เขาเอ่ยพร้อมกับรับกรงบรรจุหนูขาวทั้งสองตัวมาไว้ในมือทว่าไม่ได้รีบลาจากไปเหมือนทุกครั้ง

“ได้ยินว่าท่านลาพัก จะไปไหนหรือครับ” ผู้คุมนักโทษชะงักเล็กน้อยแล้วกล่าว “ขออภัย...ข้าไม่ควรถาม”

ผู้คุมกฎยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนตอบ

“ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าสักหน่อยน่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัยและหวังว่าเราจะได้กลับมาร่วมงานกันอีกในเร็ววัน”

เรมิเรส คิสเซ่ หนึ่งในผู้ดำรงตำแหน่งผู้คุมกฎแห่งกิลด์เมสทิคยิ้มพร้อมกับค้อมศีรษะลงก่อนที่คนส่งตัวนักโทษจะจากไปเขาพึมพำคำหนึ่งออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไปไกลมากแล้ว

“ข้าก็หวังว่าจะมีวันที่ได้กลับมาทำงานในตำแหน่งนี้อีกเช่นกัน”





Create Date : 07 มีนาคม 2555
Last Update : 7 กันยายน 2557 9:11:00 น.
Counter : 524 Pageviews.

3 comment
1  2  

พิณนภา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
MY VIP Friend