aLwaYs moodY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




.
.
.
.
The best things in life are often unseen
that's why we always close our eyes when
we kiss, pray and dream.
.
.
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add aLwaYs moodY's blog to your web]
Links
 

 

Autumn Tokyo(東京) -ทบทวนแผนเที่ยว Akihabara Electric Town (秋葉原電気街)/ขึ้นตึกรัฐสภา(東京都庁舎)ดูแสงสีโตเกียว


ไปเที่ยวกันต่อที่อาณาจักรเครื่องใช้ไฟฟ้า Electric Town の Akihabara ค่ะ

จาก Ueno เราสามารถใช้บริการได้ทั้ง JR Yamanote Line หรือ Metro Hibiya Line




ใช้เวลาเดินทาง 3 นาทีเท่ากัน (1.6km/1.5km) แต่ราคาตั๋ว Metro จะแพงกว่า 30 ¥

จากแผนที่แล้วดูเหมือน JR จะสะดวกกว่า ออกจากสถานีก้อจะถึง

Electric Town เลย แต่ถ้าใช้ Metro อาจจะต้องตั้งสติเพื่อหาทางกันนิดส์นึง




อากิฮาบาระหรือเรียกสั้นๆว่า อากิบะ (Akiba) เจ้าของบล็อกก้อไม่รู้จัก

ที่นี่มากกว่าเป็นย่านธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคส์

ตามอ่านรีวิวมาก้อเริ่มรู้จัก ว่าที่นี่เป็นที่รวมของเหล่า"โอตาคุ" กับ "Made Cafe"

จิงๆไอ้อันหลังเนี่ยได้ยินมาก่อน เห็นๆก้อมีแถวชินจูกุเหมือนกัน(แต่ที่นี่อาจจะเยอะกว่า)

อ่านรีวิวอันนึงบรรยาย profile ของผู้ชายโอตาคุซะด้วย แบบว่าตัวจิงต้องเป็นอย่างนี้นะ(เหอๆ)

ไม่รู้ว่าจะหาร้านขาย DVD การ์ตูนของจิบุลิ เจอรึป่าว(จิงๆ ไม่รู้ว่ามีขายที่นี่หรือป่าว)

อยากได้มาเก็บสะสมจิงๆ การ์ตูนเค้ามีมิติ ไม่ใช้แค่ความสนุกสนานอย่างเดียวแต่มีแง่คิด

เรื่องแรกที่ทำให้รู้จัก คือ Spirited Away และ My Neighbor Totoro

ยังมีอีกสองเรื่องคือ Laputa:Castle in the Sky และ Kiki's Delivery Service




-- ภาพโปสเตอร์หนังจาก Wikipedia --



จิบุลิมีพิพิธภัณฑ์อยู่นอกเมืองค่ะ เราต้องซื้อตั๋วจองล่วงหน้าที่ Lawsonนะคะ




คนที่เข้าชมจะได้ตั๋วเป็นฟิล์มหนังจิงๆ ซึ่งใครโชคดีก้อจะได้หนังที่ชอบซึ่งแต่ละชิ้นมีอันเดียวในโลก

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมคลิกลิ้งค์นี้ค่ะ > Ghibli Museum <


เดินเล่นช่วงเย็นจนถึงค่ำน่าจะได้เห็น เมดสาวๆและหนุ่มๆเยอะอยู่เพระเป็นช่วงหลังเลิกงาน

เสียดายว่าไม่ตรงกับวันหยุด เราเลยอาจจะไม่ได้เห็นโอตาคุหนุ่มสาวมาแต่งคอสเพล์กัน(หวังว่าจะมีเยอะๆที่ฮาราจูกุนะ




ร้านรวงคงทยอยกันปิดประมาณสองทุ่ม เราก้อคงหมดแรงเดินพอดี

นั่งพักขาในรถไฟแล้วกัน เราจะไปขึ้นตึกสูงเพื่อดูแสงสียามค่ำคืนของโตเกียวที่ชินจูกุกันค่ะ


จาก Akiba ไป Shinjuku สะดวกมากโดยใช้ JR Sobu Chuo Line เวลาเดินทางทั้งหมด 19 นาที ราคา 160 ¥




Tokyo Metropolitan Government Building (東京都庁舎 Tōkyō Tochōsha) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Tocho

จากสถานีชินจูกุ ใช้ทางออก West Exit ใช้เวลาเดินประมาณ 15 นาที

แผนที่ค่ะ




ตึกนี้สูง 243.4 m จุดชมวิวอยู่ระดับ 202 m มีสองส่วน คือทางทิศเหนือและทางทิศใต้

แต่ทางใต้จะปิดเร็วกว่า ส่วนทิศเหนือจะเปิดถึง 5ทุ่มครึ่ง แต่ต้องเข้าก่อน 4 ทุ่มครึ่งนะคะ

ข้างในมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และ Tourist Info Center


ถ้ายังมีแรงเราคงเดินเล่นโต้ลมหนาวแถวๆระหว่างเดินกลับไปยังสถานี

ใช้บริการ JR Yamanote Line กลับ รร ใช้เวลา 25 นาที ราคา 190¥

- จบแล้วหนึ่งวันในโตเกียว -

ปล1 Akihabara เพิ่งถูกจัดอยู่ในแผนโดยตัด Ameyokoo/Takeya bdg ออกไปโปะวันสุดท้าย

ปล2 แผนการอาจเปลี่ยนแปลงอีก ดังนั้นคุณอ่านวันนี้แล้วพรุ่งนี้มาอ่านต่ออ่านไม่ต่อเนื่อง (หุ หุ)





 

Create Date : 16 ตุลาคม 2553    
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 16:29:12 น.
Counter : 4880 Pageviews.  

Autumn Tokyo(東京) - ทบทวนแผนเที่ยว Asakusa area(浅草)


จาก Ueno เราจะใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินประมาณ 5 นาที

Metro Ginza Line ใช้ทางออก exit 1 ค่ะ

( หาข้อมูลมา: Asakusa Line ใช้ exit 4/5 แม้จะชื่อเดียวกันแต่สถานีจะแยกจากกัน เพราะคนละค่าย)




ออกจากสถานีถ้าไม่หลง โผล่ออกมาต้องเห็นตึกหน้าตาแบบนี้อยู่อีกฝั่ง

นึงของแม่น้ำซุมิดะ ตึกฟองเบียร์ Asahi Building





จากสถานีเดินไปจนถึงทางเข้าในแผนที่ C คือ ประตูสายฟ้า / Kaminarimon Gate/ 雷門

ทางเข้าวัด ที่ที่มีโคมแดงยักษ์นะแหละค่ะ ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเองคะ

B คือ วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple :金龍山浅草寺) ค่ะ

ลอดซุ้มเข้าไปก้อจะละลานตากับร้านค้าทั้งสองข้างทาง Namikase dori (ถนนนามิคาเซะ)

หน้าตาประมาณนี้อะค่ะ ท่าทางกระเป๋าจะเบาก่อนเดินถึงวัดแน่ๆ แหะๆ




มาดู Lay out เต็มๆของวัดเซนโซจิกันค่ะ




A : Kaminarimon Gate (雷門) B: Hozomon Gate (宝蔵門:Treasure-House Gate)

C : Main Hall - Kannondon ซึ่งอยู่ระหว่างการซ่อม(แย่จัง)

วัดเซนโซจิมีเวปไซด์ด้วยนะ สนใจประวัติวัดเป็นภาษาอังกฤษตามลิ้งค์นี้ค่ะ Sensoji Temple Guide


ส่วนภาษาไทยเชิญข้างล่างค่ะ ** คัดลอกมาบางส่วนจาก blog ของคุณ LuLi : //lady2go.wordpress.com **

ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ



วัดเซนโซจิ / Sensō-ji / 浅草寺 เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง เริ่มต้นมาจาก วันที่ 18 มีนาคม ปี 628 (ถึงขนาดรู้วันที่ -*-) ชาวประมง 2 คนได้ทอดแหจับปลาอยู่ที่แม่น้ำซุมิดะแล้วตอนที่ลากแหขึ้นมานั้น ก็ได้มีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดประมาณ 5 นิ้วติดแหขึ้นมาด้วยไม่ว่าจะทิ้งกลับลงน้ำซักกี่ครั้ง ทุกครั้งที่ทอดแห รูปปั้นก็จะติดขึ้นมาทุกครั้งหัวหน้าในหมู่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้านละมั๊ง = =’) ก็ได้ตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าแม่กวนอิมก็เลยดัดแปลงบ้านของตัวเองในอาซากุสะให้เป็นวัดเล็กๆ เพื่อให้รูปปั้นเจ้าแม่ได้ประดิษฐานหลังจากนั้นพอเรื่องราวโดนพูดต่อกันปากต่อปาก ทำให้ผู้คนพากันเดินทางมาสักการะกันจากทั่วทุกทิศ ต่อมาในปี 645 ก็ได้สร้างวัดจริงๆขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยล่ะค่ะ วัดเซนโซจิมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่นะคะ เหมือนเห็นแว๊บๆว่าใหญ่ติดอันดับเลยล่ะ




นอกเหนือจาก Main Hall ที่เป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมแล้วก็ยังมีศาลเจ้า/วิหารเล็กๆอยู่รอบๆอีกเยอะแยะเลยค่ะ ยังไงนมัสการเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ก็อย่าลืมเดิมชมรอบๆด้วยนะคะ ก่อนที่จะผ่าน Hozo-mon มา ทางซ้ายมือ คือ Nade botokesan buddaเป็นรูปปั้นที่คนจะมาขอพรเพื่อให้โชคดี แล้วก็ช่วยให้หายจากโรคร้ายทั้งหมดทั้งปวง ผ่าน Hoza-mon มา ทางซ้ายมือก็จะเห็นเจดีย์ 5 ชั้น (five-stories pegoda) ของเก่าพังเรียบไปแล้วเช่นกัน ที่เห็นอยู่นี่ก็เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ในปี 1973 ค่ะ แต่ถึงจะเป็นของใหม่ที่สร้างขึ้นไม่กี่สิบปีมานี้ แต่ก็ต้องบอกว่าคงลักษณะของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นไว้ทุกกระเบียดนิ้ว มองตรงไปข้างหน้าค่ะ จะเห็น Main Hall ที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิมแต่ว่าก่อนที่จะเข้าไปในวิหารนั่น ตามประเพณีคือจะต้องล้างหน้าบ้วนปากก่อนนะคะการล้างมือก่อนเข้าวัดหรือศาลเจ้าเป็นประเพณีของญี่ปุ่นค่ะหมายถึงการชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งกายและจิตใจก่อนที่จะเข้าวัดวิธีการก็คือใช้กระบวยที่เตรียมไว้ให้รองน้ำจากน้ำพุ/น้ำตกล้างมือซ้าย ล้างมือขวา แล้วก็รองน้ำใส่มือมาบ้วนปาก เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีชำระจิตใจเรียบร้อยแล้ว



ก่อนที่จะขึ้น Main hall ก็จะเจอกับกระถางกำยานขนาดใหญ่ตั้งขวางอยู่อันนี้ก็เป็นความเชื่อของชาวญี่ปุ่นเหมือนกัน เค้าเชื่อว่ากำยานจะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยได้ค่ะวิธีก็คือไปซื้อกำยานมาจากศาลาข้างๆกระจุกละ 500 เยนนะ ถ้าจำไม่ผิดกวักควันกำยานเข้าตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมกันด้านในค่ะแต่ด้านใน Main hall เค้าติดป้ายห้ามถ่ายรูป ลูลิก็เลยไม่ได้ถ่ายมานะคะข้างใน Mail hall ก็จะมีกระถางรับบริจาค ที่ฝาจะมีร่องๆค่ะ เราโยนเงินลงไปก็จะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งๆโยนเยอะโยนน้อยแค่ไหนรู้หมดเลยอ้ะเข้าไปด้านในแล้ว อย่ามัวแต่ขอพรจนลืมมองรอบๆตัวนะคะ บนฝ้าเพดานด้านใน จะมีรูปวาดนางฟ้ากับดอกบัวซึ่งเป็นงานของจิตกรชื่อดัง โดโมโตะ อินโช (Domoto Insho) ที่วาดเอาไว้ในศตวรรษที่ 20 ออกมาทางด้านข้าง (ด้านซ้าย) ของ Main hall ก็จะเจอสวนสวยๆขนาดย่อมซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็เป็นสวนที่เป็นทางเชื่อมระหว่างศาลเจ้า/วิหารเล็กๆอื่นๆค่ะที่หน้าศาลแต่ละที่ จะมีป้าย(เหมือนในเรื่องอิกคิวซัง)ปักเอาไว้อธิบายถึงความเป็นมาของศาลนั้นๆ







บริเวณวัดกว้างมากทีเดียว หันหน้าเข้าวัดถัดมาทางซ้ายมือจะมีสวนสนุกเก่าแก่ของญี่ปุ่นตั้งอยู่

ชื่อว่า Hanayashiki ซื่งเมื่อก่อนแรกเริ่มสร้างเป็นสวนดอกไม้ตั้งแต่ปี 1853 (มากกว่าร้อยปีอีกนะเนี่ย)

และเปลี่ยนเป็นสวนสนุกในปี 1949 ข้างในมีเครื่องเล่นมากกว่า 20 ชนิดแหนะ




ถึงจะเก่าแก่แต่ไม่ได้เข้าฟรีนะคะ ค่าเข้า 900 ¥ สำหรับผู้ใหญ่ เด็ก 400 ¥

เอามาฝากเผื่อมีใครสนใจ แต่เจ้าของบล็อกคงไม่ได้เข้าไปหรอกคะ

อย่างมากคงแต่ไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เหอๆ ก้อเสียตังค์นี่คะ

ไหว้พระขอพรให้เราเที่ยวกันอย่างไม่มีอุปสรรคสาหัส(ไม่ต้องหลงทุกๆสถานี)แล้ว เดินย้อนกลับมาชิลๆ

กันต่อริมแม่น้ำซุมิดา ถ้ามีตอนช่วงซากุระบานแถวนี้ก้อสวยเหมือนกัน

เตร็ดเตร่ได้จนถึง 3 โมงเราก้อจะกลับไป Check in ก่อนแล้วไปต่อกันที่ Akihabara ค่ะ






 

Create Date : 16 ตุลาคม 2553    
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 16:29:32 น.
Counter : 1674 Pageviews.  

Autumn Tokyo (東京) - นับถอยหลังแล้วมาทบทวนแผนกันหน่อย


ถึงเวลางัดเอาแผนที่เดินทางมาใส่รายละเอียดและเพื่อทบทวนแผนการเดินทางอีกครั้ง


เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง(หลังจากที่หยุดทำการบ้านไปนานพอสมควร)

จากวันนี้เราจะมารวบรวมรายละเอียดเพื่อทบทวนและสร้างความมั่นใจก่อนออกเดินทาง


มาดูกันหน่อย ประเทศญี่ปุ่น "The land of rising sun" (日本 , นิฮง , แปลว่า "ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์) อยู่ตรงไหนกันบนแผนที่โลก






แล้วโตเกียว (東京 นครโตเกียว) หละอยู่ตรงไหนของญี่ปุ่น






มาดูพิกัดการเดินทางของเราตลอดทริปกันค่ะ





พอจะเห็นภาพการเดินทางคร่าวกันแล้วนะค่ะ คราวนี้เรามาลงรายละเอียดกัน

จากสุวรรณภูมิแอร์พอร์ต check in ที่เคาร์เตอร์แถว L ดังนั้นประตู 5/6 จะใกล้ที่สุด

ตั้งใจว่าจะไปถึงก่อนเวลามากหน่อย จะได้ไปเดินเล่นที่ Duty Free เช็คราคาบ้างอะไรบ้างตามประสา




เครื่องออก เกือบเที่ยงคืน ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง ถ้าอากาศดี

ตื่นเช้ามาก่อนเครื่องลงเราคงได้เห็น ฟูจิซัง 富士山 กัน

สายการบิน ANA อยู่ที่ Terminal 1 ค่ะ (การบินไทยเราอยู่ Terminal 2)

มาดูสนามบินนาริตะกัน




Arrival Hall ของ Terminal จะอยู่ที่ชั้น 2F ค่ะ




หลังจากผ่านพิธีการและรับกระเป๋าแล้วก้อต้องลงไปที่ชั้น 1F

ซึ่งจะมีเคาเตอร์ของ Transport Service ทั้งหลายอยู่รวมทั้ง Keisei Line และ JR (ตำแหน่ง 1 3 และ 5 ค่ะ)


ส่วนชานชลารถไฟจะอยู่ถัดลงไปที่ชั้น B1F ซึ่งจะมีอยู่ทั้ง 2 Terminal

เรียกสถานีที่ Terminal 1 ว่า Narita Airport Station



จากนาริตะแอร์พอร์ตเราจะใช้บริการ Keisei Line กัน

รถไฟจะวิ่งจากTerminal 1 สนามบิน ไปสิ้นสุดที่ สถานีที่ Ueno ที่เราจอง รร ไว้ สะดวกดีจิงๆ

เส้นทางเดินรถไฟตามข้างล่างนะคะ(คงจะเห็นกันมาบ่อยๆอยู่แล้ว)




Skyliner เปิดให้บริการแล้ว เร็วมากๆ 36 นาทีถึง Ueno แต่ราคาก้อแพงกว่ารถแบบ Limited Express ถึงเท่าตัว

เที่ยวรถมีถึ่มากๆ ตารางเวลาตาม Link นี้ค่ะ Time Table For Narita Terminal 1

เรากำลังชั่งใจว่าจะเลือกเดินทางแบบไหนเพราะราคาของ Ordinary Train ถูกกว่า Skyliner มากมาย

แต่ก้อใช้เวลาเป็นสองเท่าตัวเช่นกัน Skyliner 36 mins/CityLiner 1 hrs+/Ordinary train(limited Express 1hr+)

ประหยัดเวลากะประหยัดตังค์ในกระเป๋าคุณจะรับแบบไหนค่ะ

จากเครื่องลง ผ่านพิธีการ จนถึง Ueno น่าจะใช้เวลาประมาณ4-5 ชั่วโมง

ดังนั้นเราน่าจะถึง Keisei Ueno Station ไม่เกิน 11 am. จากนั้นก้อลากกระเป๋าไปฝากไว้ รร


รร Mitsui Garden Hotel Ueno จากแผนที่แล้วดูจะสะดวกมากๆ

ใช้ทางเดินทางKeisei Ueno ผ่านออกไปทาง Metro Exit 1 ก้อจะเจอ รร ของเราแล้ว




ห้องพักเราเป็นแบบ Moderate Double Non Smooking ค่ะ

ขนาดห้อง 18 sqm ขนาดเตียง 1600x1960 mm

เราได้ early bird booking rate 3 คืน พัก 2 คน ไม่รวมอาหารเช้า ราคา 11,000 บาท


เราต้องฝากของไว้ที่ รร ก่อน เพราะเค้าจะให้ check in ได้หลังบ่ายสามค่ะ

จากนั้นเราก้อจะออกเที่ยวกันเลยค่ะ เพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยไปค่ะ เราไปไหว้พระที่วัดเซนโซจิกัน


จาก รร ใช้ Metro สายกินซ่าไปที่ Asakusa ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที(แต่คาดว่าจะเสียเวลากะการงงกะตั๋วและชานชลานานกว่านั้น เหอๆ)


ก่อนขึ้นรถเราจะต้องซื้อตั๋ว(อะ ก้อแน่สิ) เราจะใช้เจ้าบัตร Pasmo ในการเดินทาง

เพราะจากการแผนการเดินทางไม่มี discount ticket อันไหนใช้ได้ คือเราจะใช้รถไฟทั้ง JR /Metro ในการเดินทาง

เจ้าบัตรนี้ไม่ได้ช่วยประหยัดแต่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางค่ะ

เค้ามีคำแนะนำการใช้บัตรอย่างละเอียดทีเดียวค่ะ ตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ PASMO GUIDE

หน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเราจะต้องใส่ชื่อลงบนบัตรด้วยค่ะเวลาหายจะได้ออกบัตรใหม่ได้




ใช้เวป hyperdia.com ค้นหาเส้นทางนะคะสะดวกมากๆ เพียงคีย์สถานีต้นทาง

และปลายทาง จะได้เส้นทาง เวลาเดินทางและค่าตั๋วมาเลยค่ะ

เราจะไป Asakusa กันค่ะ ใช้ Metro Ginza Line (สีส้ม)

ระยะทาง 2.2 km ใช้เวลา 5 นาทีและราคาตั๋ว 160 ¥ค่ะ


จากแผนที่Asakusa อยู่ถัดไปจาก Ueno เพียงสถานี 3 สถานีค่ะหวังว่าเราคงจะไม่หลงนะ (หุหุ)

ดาว์นโหลดคู่มือ/แผนที่ Tokyo Metro ที่ลิงค์นี้ค่ะ Tokyo Metro guide
แนะนำการอ่านป้ายสถานีนิดนึงละกันค่ะ


สถานีนี้คือ Tokyo Metro Ueno : Ginza Line ค่ะ

สายนี้มีทั้งหมด 19 สถานี เริ่มจาก Shibuya(G-01) แน่นอนผ่าน Ginza(G-09) และไปสุดสายที่ Asakusa(G-19) ค่ะ


กดอ่านต่อที่นี่ เที่ยววัดเซนโซจิ ชิลๆริมแม่น้ำสุมิดะ ดูตึกเบียร์อาซาฮี






 

Create Date : 13 ตุลาคม 2553    
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 16:29:48 น.
Counter : 3774 Pageviews.  

Autumn Tokyo(東京) ตารางเที่ยว(แก้แล้วแก้อีก ..เฮ้อ !)


====


หายไปจากการอัพบล็อกครั้งก่อนหนึ่งเดือนเต็มเลยคะระหว่างนั้นก้อหาข้อมูลเรื่อยเปื่อย

(สลับกับการแก้ไขบล็อกตัวเองที่แต่งยังไงก้อยังไม่เสร็จ)ส่วนมากก้อแวะเวียนอยู่ในพันทิปห้องBlueplanet นี่ละค่ะ

ตามอ่านกระทู้ต่างๆของเพื่อนๆ และผลจากการทำการบ้าน เจ้าของบล็อกจึงได้รู้จักหนังสือทั้งสี่เล่มนี้(ตัดสินใจซื้ออย่างไม่ลังเล)



- ขอบคุณรูปจากgoogleค่ะ -



- เล่มแรก- ซื้อเองจากร้านหนังสือ

ชื่อ โตเกียว ทะบิจิ ร้อยพิพิธภัณฑ์ ล้านความคิดสร้างสรรค์เมือง เขียนโดย พลอย มัลลิกะมาส-

ความชอบ


(ชื่อยาวจังแฮะเพิ่งสังเกตุ)

เป็นหนังสือที่รวบรวมgallery ร้านหนังสือ ร้านกาแฟกิบเก๋ในโตเกียว

บอกรายละเอียดของร้านและมีแผนที่แบ่งเป็นโซนให้ด้วยเหมาะกะเป็นคู่มือการเดินชมงานศิลปะ

ช๊อปปิ๊งร้าน zakkaเก๋ๆเหนื่อยกะแวะร้านชากาแฟ อาหาร ตามที่คนเขียนแนะนำคิดแล้วท่าจะมีความสุขดีจัง

ถ้าอากาศเย็นๆ เราเดินชมงานศิลป์ทั่วเมือง เมื่อยก้อพักขาชิมกาแฟกลิ่นหอมกรุ่นกับเบเกอรี่รสเลิศ (ตื่น)



-เล่มที่สอง- เล่มนี่สั่งซื้อจากเวปไชค์ค่ะ

ชื่อ โตเกียว มิยาเงะ ของฝากจากโตเกียว เขียนโดยพลอย มัลลิกะมาส

ความชอบ



เพราะติดใจจากรูปแบบและความคิดของคุณพลอย พอรู้ว่ามีเล่มนี้ออกมาก่อนเราจึงเสริชหา

จากอินเตอร์เน็ทเพราะหนังสือออกมานานพอสมควรแล้วไปหาตามร้านคงยากเต็มที รออยู่เกือบสัปดาห์

หนังสือก้อส่งมาถึงบ้าน เล่มนี้ให้รายละเอียดทั่วไปของโตเกียวผ่านมุมมองของคุณพลอย ท้ายเล่มมีแนะนำสถานที่

เที่ยวเป็นโซนกิ๊บเก๋ที่วัยรุ่น คนทำงานญี่ปุ่นเค้าไปเที่ยวกันค่ะอาทิ Daikanyama Jiyugaoka Shimokitazawa



-เล่มที่สาม-นี่ซื้อหลังสุด รู้จักหลังจากหยิบอ่านหลายๆครั้งที่ร้านหนังสือ

ชื่อ Ok Go Tokyo เขียนโดยพยูณ วรชนะนันท์-ภาคภูมิ ลมูลพันธ์

เที่ยวโตเกียว มองโตเกียว แบบคนอยู่โตเกียว

ความชอบ


ขอบคุณรูปจากบล็อกของคุณ Foneko


ถ้าคุณเป็นคนชอบงานดีไซน์ งานศิลปะ ชอบของจุ๊กจิ๊ก ไม่ชอบของแพง(หรือชอบ

แต่อาจจะไม่ชอบซื้อ) ชอบเที่ยวแบบเดินไปเรื่อยๆ ไม่ชอบรถทัวร์ ชอบบังเอิญเจอของดี

ตามทางเปลี่ยวๆ ชอบเลี้ยวเข้าซอยลึกลับและหมดเงินไปโดยไม่รู้ตัวกับร้านขนมข้างทาง

ชอบดู(ตึก)ร้านแบรนด์แนม ชอบเห็นซุปเปอร์มาเก็ตเป็นมิวเซียมเพราะของอะไร

ในนั้นก็สวยไปซะหมด) คุณคือเป้าหมายของเรา (ลอกจากปกหลัง)


-เล่มที่สี่- รู้จักผ่านรีวิวของเพื่อนในห้องBlueplanet รูปเล่มน่ารักสมชื่อ

ชื่อ Tokyo GUGGIG SHOP โตเกียว กุ๊กกิ๊ก ช็อป เขียนโดย พนิดา เอี่ยมศิรินพกุล

ความชอบ




เป็นไกด์บุ๊คสำหรับสาวๆ ที่ชอบของกิ๊บเก๋ จิบชากาแฟ กินขนมร้านอร่อย ช๊อปปิ๊งของกิ๊บเก๋

รูปเล่มหนังสือน่ารักมาก จนอยากจะไปให้ได้ทุกที่ที่มีในหนังสือถ้ามีเวลา

สาวๆอ่านแล้วคงอยากไปเดินรอยตามหนังสือกันเป็นแถว ไม่เชื่อลองเปิดอ่านดูซิค่ะ



นั่นละค่ะ เพราะหนังสือสี่เล่มนี้ทำให้เจ้าของบล็อกรู้ว่า โตเกียวมี

อีกหลายที่ที่น่าสนใจ ทำไงดีหละคราวนี้ เวลาอันน้อยนิดของเราแผนเดิมก้อดูอัดแน่น

เอาการอยู่แล้ว ถึงเวลาต้องตัด(สิน)ใจอีกแล้ว และนี่คือแผนการใหม่ที่อาจจะยังไม่สุดท้าย

(ฮ่ะๆฮ่า) เพราะยังเหลือเวลาอีกเดือนเต็มๆยังเปลี่ยนได้อีกหลายรอบ ใครจะรู้



====



itinerary (2)

day # 1 ถึงนาริตะแอร์พอร์ท 7.30 am - ไหว้พระวัดเซนโซจิ/เดินเล่นริมแม่น้ำซะมิดะ

เดินตลาด Ameyoko ต่อด้วยตึก Takeya
ค่ำๆไปชินจูกุ ขึ้นไปดูโตเกียวตอนกลางคืนที่ตึก Tokyo Metropolitant



day # 2- เปลี่ยนแผน ยกเลิก Ginza&Odaiba-

ถ่ายรูป/เดินเล่นแถวสถานีรถไฟโตเกียว(ถ้ากลัวหลงในสถานีจะเดินไปพระราชวังอิมพีเรียล)

นั่ง JR ไป Kichijoji เดินเล่น Inokashira-Koen และร้านกิ๊บเก๋รอบๆสถานีรถไฟ

บ่ายแก่ๆกลับมาเดินต่อ Jiyukaoka และ ปิดท้ายถ่ายรูปที่ห้าแยกShibuya ช๊อปปิ๊งจนกว่าจะหมดแรง


day # 3 -- ไฮไลท์-- ไปAoyama ชมใบไม้แปะก๊วยสีเหลืองทั้งถนนที่Icho-Namiki

ถ่ายรูปจนพอใจแล้วไปต่อที่ซองอาลิเซ่ของโตเกียว Ometesando Hill

เดินเลยไปหน่อยก้อฮาราจูกุดูเด็กๆแต่งคลอสเพลส์กันที่สะพานJingubashi และช๊อปปิ้งที่ Takeshita Street

ค่ำๆ ไปชมแสงไฟของโตเกียว ที่ Tokyo Tower ถ่ายรูปเล่นแต่คงไม่ขึ้นไปหรอก(เสียตังค์อะค่ะ)

(- วันนี้พอตัด Shibuya ออกก้อดูสบายๆดีจัง -)


day # 4 วันสุดท้ายตื่นสายๆ เดินเล่นเก็บตกแถวที่พัก

Ueno park /check out เลทสุดได้ 11 am แล้วก้อตรงไปแอร์พอร์ทด้วยKeisei Skiliner

ถ้าเงินเหลือก้อจะได้ช๊อปปิ๊งก่อนเครื่องออก 5.30 pm


-- เจ้าของบล็อกก้อจะยังคงเก็บข้อมูลต่อไปและจะพยายามจัดสรรค์เวลาอันมีค่าให้ได้เที่ยวมากที่สุด--

แล้วจะมาอัฟเดทเป็นระยะนะคะ -- until next time --


Blog map




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2553    
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 16:30:02 น.
Counter : 1520 Pageviews.  

Autumn Tokyo(東京) - เตรียมตัวก่อนเดินทาง


- เกริ่นนำ -


เพราะตั้งใจไว้ว่าจะเที่ยวทริปใหญ่ปีละครั้งให้ได้

หลังจากที่แผนยุโรปอย่างที่ตั้งใจไว้เป็นอันต้องพับไว้ก่อน

ทริปญี่ปุ่น-ดูใบไม้แดงจึงผุดมาในหัว รวบรวมลูกทัวร์และหาข้อมูลอยู่หลายเดือนเลยอ่ะค่ะ

แต่ข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่นเองนี่เยอะมากๆเรยอ่ะ มีเพื่อนๆที่เคยไปมาแล้วมารีวิวไว้มากมายเลือกใช้ได้ตามความต้องการ

เวปไซด์ต่างๆที่เป็นประโยชน์สำหรับวางแผนเส้นทางก้อมีภาษาอังกฤษเข้าใจง่ายและสะดวกมาก

//www.hyperdia เป็นหนึ่งอันที่ใช้มากที่สุด


วางแผนเที่ยว

ทริปสั้นๆนี้เรากำหนดกันไว้ 4 วันรวมวันเดินทาง(ด้วยความจำกัดของวันลาของลูกทัวร์)

การเดินทางไกลระหว่างเมืองดูจะเสียเวลาสำหรับเรามาก ดังนั้นโตเกียวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ลูกทัวร์เห็นตรงกันว่าอยากไปพักผ่อน กิน เที่ยว ช๊อปปิ๊ง ชิวชิวละกัน จะได้อินไซด์โตเกียวกันจิงๆ

ยังไงก้อเหอะ ถึงจะไปโตเกียวอย่างเดียวก้อดูเหมือนจะยังไม่ทั่วแพลนของเรา( ต้องมีหลงบ้างหละ เหอๆ)

ก้อยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายต่อหลายรอบ พออ่านเจอโน้นก้ออยากไป นี่ก้ออยากไปไปหมด จนไม่รู้ว่าวันไปจิงๆจะทำได้หมดรึป่าว


กำหนดวันเดินทาง

ข้อมูลทั่วไปบอกว่าใบไม้แดงจะเริ่มตั้งแต่ปลายตุลาไล่จากทางเหนือลงมา

แถบคันโต(โตเกียว)แล้วไปคันไซ(เกียวโต)

เพราะฉะนั้นเราจะมีโอกาสดูใบไม้เหลืองแดงที่โตเกียวได้ประมาณกลาง พย ถึงต้น ธค

ดังนั้นเราจึงเริ่มเตรียมเอกสารเพื่อทำวีซ่ากันเรยตั้งแต่กลาง สค (วีซ่าอายุสามเดือนนะคะ)

วันเดินทางจะกำหนดเรยไม่ได้จนกว่าเราจะได้วีซ่าแล้วจึงจะจองตั๋วเครื่องบินอีกที

(ไม่เหมือนตอนเตรียมจะไปยุโรปเรย เพราะวีซ่าเชงเก้นต้องใช้ใบจองตั๋วเครื่องบินด้วย แต่วีซ่าญี่ปุ่นไม่ต้องใช้)



กำหนดเส้นทาง

itinerary

day # 0 ออกจากกรุงเทพ 11.55 pm.


day # 1 ถึงนาริตะแอร์พอร์ท 7.30 am - ไหว้พระวัดเซนโซจิ/เดินเล่นริมแม่น้ำซะมิดะ
เดินตลาด Ameyoko ต่อด้วยตึก Takeya
ค่ำๆไปชินจูกุ ขึ้นไปดูโตเกียวตอนกลางคืนที่ตึก Tokyo Metropolitant


day # 2 ถ่ายรูป/เดินเล่นแถวสถานีรถไฟโตเกียวต่อด้วยพระราชวังอิมพีเรียล

สายๆไปกินซ่า(วันเสาร์เค้าปิดถนนตั้งแต่บ่ายสองจนถึงห้าโมงเย็น)ย่านนี้เป็น high-end

ดังนี้เราจะไปวินโดว์ช๊อปปิงเท่านั้นค่ะ

ตกบ่ายเราจะนั่งรถไฟไม่มีคนขับไปโอไดบะ เดินเล่นริมทะเล ถ่ายรูปกับวีนัสและสะพานสีรุ้งตอนดึก


day # 3 วันนี้เป็นวันอาทิตย์และจะเป็นไฮไลท์ค่ะ เราะจะไปถนนที่มีต้นแป๊ะก๊วย Icho-Namiki

ถ้าเราโชคดีใบแปะก๊วยก้อจะเหลืองอร่อมทั้งถนนเลยหละค่ะ ถ่ายรูปจนพอใจแล้วไปต่อที่ฮาราจูกุดูเด็กๆ

แต่งคลอสเพลส์กัน แล้วแวะศาลเจ้าเมจิใกล้ๆสถานีชินจูกุก่อนย้อนกลับไปชิบุย่า

อันนี้ลูกทัวร์เรียกร้องมาว่าอยากไปถ่ายภาพคนเดินข้ามถนนที่ห้าแยกวุ่นวายของชิบุย่า อะนะจัดไป

ต่อด้วยเดินช๊อปปิ้งShibuya 109 แล้วค่ำๆก้อไปถ่ายรูปที่ Tokyo Tower


day # 4 วันสุดท้ายตื่นสายๆ เดินเล่นเก็บตกแถวที่พัก Ueno park check out เลทสุดได้ 11 am

แล้วก้อตรงไปแอร์พอร์ท เครื่องออก 5.30 pm




--ทั้งหมดนี่เป็นแพลนที่วางไว้เอาจิงๆไม่รู้จะสวยหรูอย่างนี้หรือป่าว

กลับมาแล้วจะมาเล่าให้ฟัง(อ่าน)กันนะฮ้า--





- พาสปอร์ต -


พอเริ่มจะจองตั๋ว ทำวีซ่าก้องานเข้าเพราะพาสปอร์ตเล่มเก่านับอายุแล้วไม่ครบ 6 เดือน

เราจึงต้องทำเล่มใหม่เสียก่อน ลางานหนึ่งวันเต็มแต่ใช้เวลาทำจริงๆไม่ถึงชั่วโมง

(ไม่นับรวมเวลาที่หลงก่อนถึงกรมการกงศุลนะ แฮะๆ) สะดวกมากๆ จ่ายค่าทำพาสปอร์ต 1000 บาท บวกกับ 35 บาท

เพื่อให้เค้าส่งถึงบ้านเราไม่ต้องมารับเอง อีกอาทิตย์ถัดมาพาสปอร์ตเล่มใหม่ก้อมาถึงมือ








========


-วีซ่า -


ตอนนี้สะดวกมากมายเพราะเราไม่ต้องไปยื่นที่สถานทูตแล้วเค้ามีตัวแทนรับเรื่องอยู่ที่สีลม แต่ละนะก้อแลกมากับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

ไปกันสี่คนก้อเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้นอีกสี่พันแหนะ เราไปถึงแต่เช้าคิวยังไม่เยอะ เอกสารเตรียมไปเกือบเรียบร้อย

(มีไปลนๆ กรอกๆๆเขียนๆๆ)หน้าเคาเตอร์นิดนึง)นับเวลารวมๆก้อชั่วโมงครึ่งได้

ถ้าเดินทางพร้อมกันหลายคนแนะนำให้ยื่นเรื่องพร้อมกันนะค่ะ เข้าใจว่าจะสะดวกกะเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ


========


ยื่นวีซ่าเสร็จเราก้อไป องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อขอข้อมูลท่องเที่ยวได้รับความช่วยเหลือ

จากเจ้าหน้าที่ดีมากขอบคุณอีกครั้งนะคะ) ที่นั่นมีแผนที่และเอกสารแนะนำการเดินทาง

และเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถาม(ช่วงเช้าก่อนเที่ยงเท่านั้นนะคะ แต่เอกสารรับหยิบเองได้จนปิดทำการ)


========

แวะพักสตาร์บัคสีลม อ่านๆๆๆ เอกสารที่เพิ่งได้มา





ต่อด้วย window shopping ที่ paragon

และ Siam Disc/ Siam Center

วันนั้นมีนิทรรศการอาร์ตๆด้วยเราเลยเข้าไปถ่ายรูปเล่นกัน





บ่ายมางานเข้าอีกครั้ง เจ้าหน้าที่สถานทูตโทรมาให้เราเข้าไปยื่นเอกสารเพิ่มเติม

คราวนี้ต้องไปที่สถานทูตเลยและแนะนำให้ยื่นให้เร็วที่สุด ส่วนวันนัดรับเล่มคืนก้อเลื่อนไปจนกว่าบริษัทตัวแทนจะแจ้งมาอีกที


วันถัดมาเราเข้าไปสถานทูตยื่นเอกสารเสร็จก้อยังรับคำตอบเดิมคือวันนัดเดิมยกเลิกและรอบริษัทตัวแทนติดต่อกลับ


ผ่านไปหลายวันก้อยังไม่มีใครติดต่อมา เราตัดสินใจไปที่บริษัทตัวแทนตามวันนัดเดิมเพราะคิดว่าเอาเองว่า ถ้าเลื่อนก้อต้องติดต่อเรามาแล้ว

ก้อจิงค่ะเราก้อได้เล่มคืนวันนั้น พร้อมกับวีซ่าครบคน เย้ ! ลุ้นแทบแย่




-ตั๋วเครื่องบิน -

โทรไปเอเจ้นท์ไหนๆตั๋วเดือนตุลาก้อเต็มๆๆๆๆหรือมีก้อไม่ตรงกับช่วงที่ต้องการ

ทริปเลยเลื่อนไป พ.ย โน้น นั่นเองหละ วีซ่าอายุ 3 เดือนของเราก้อเป็นตัวกำหนดวันเดินทางอีก

สุดท้ายลงตัวที่ ANA ราคา 21000 บ เวลาดีและตรงกับที่เราต้องการ

แพงไปหน่อยแต่ก้อเอาเหอะ จะไปละนะ



>


- ที่พัก -


จองผ่าน Agoda แต่ไก่โห่ รร เปิดใหม่นะ(วันที่จองเค้ายังไม่เปิดบริการเล้ย)

เลยได้ discount 40% early bird booking มา ห้องราคาเต็มหน้าเว็ปแพงมากมารู้ทีหลังว่าเป็น รร สี่ดาวเลยนะ

อ่อ ลืมบอกชื่อไป เราเลือก Mitsui Garden Hotel Ueno อยู่ใกล้กะ Metro/JR Ueno, Keisei Ueno

ดูจากแผนที่แล้วสะดวกมากๆ กลับมาแล้วจะมารีวิวให้ชมกันนะคะ






Blog map




 

Create Date : 19 กันยายน 2553    
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 16:30:16 น.
Counter : 1827 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.