|
ปัจจัยที่ 5
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค คือปัจจัย 4 ที่เราทุกคนทราบดีว่า เป็นสิ่งที่ชีวิตของเราขาดไม่ได้ และอยู่ใน hierarchy of human needs ชั้นล่างสุดของ Abraham Maslow
แต่วันนี้ผมจะไม่พูดกันในเรื่องของ Maslow แต่จะลองคิดถึงปัจจัยที่ 5 ของชีวิตว่าน่าจะเป็นอะไร
คงไม่แปลกหากปัจจัยที่สำคัญของชีวิตจะเพิ่มขึ้น เพราะขนาดอาหารหลักของมนุษย์ ปัจจุบันก็ถูกยอมรับว่า ได้เพิ่มจาก 5 หมู่ เป็น 6 หมู่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมู่ที่ 6 ก็คือ Fiber หรือใยอาหาร ซึ่งเป็น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ และไม่สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ แต่กลับมีความสำคัญในกระบวนการขจัดของเสียและดูดซับสิ่งที่มีมากเกินไปในร่างกาย (ชักออกทะเลแล้วกลับมาเข้าเรื่องดีกว่า)
หากให้คนทุกคนมาลองบอกว่า ปัจจัยที่ 5 ของชีวิตคุณคืออะไร ผมก็เชื่อว่าคงได้คำตอบที่หลากหลาย พร้อมทั้งเหตุผลรองรับอย่างดีเยี่ยม และนี่เป็นคำตอบหนึ่งที่ผมได้รับและเห็นว่าเป็นคำตอบดีไม่เลวทีเดียวที่จะขยายความต่อ
คำตอบนั้นคือ ปัจจัยที่ 5 ของชีวิตคือ "ความสำเร็จ"
คำว่าความสำเร็จนั้นผมว่าเป็นคำที่หาคำนิยามยากมากคำหนึ่ง แต่คนที่บอกผมว่าความสำเร็จคือปัจจัยที่ 5 นั้นก็สามารถหาคำนิยามได้อย่างยอดเยี่ยม ลองอ่านดูนะครับ
"ความสำเร็จ คือการบรรลุผลของความพยายามอย่างรู้สึกพึงพอใจ"
จากความหมายนี้ การที่เราจะเรียกสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นความสำเร็จนั้น ต้องประกอบด้วย 2 คำ นั่นคือ ความพยายาม กับความพึงพอใจ และต้องมาพร้อมกันด้วย
หากสิ่งที่ทำนั้น ทำให้เกิดความพึงพอใจ ไม่ได้ใช้ความพยายาม หรือ ใช้ความพยายามทำจนเสร็จแต่ไม่เกิดความพึงพอใจ เราก็ไม่สามารถเรียกมันว่าความสำเร็จได้
เมื่อได้คำนิยามดังที่กล่าวมา เราลองกลับมามองย้อนในสิ่งที่เรากำลังทำ หรือกำลังจะทำในอนาคต ถ้าเรามาลองมองดูปลายทางของมัน แล้วลองจินตนาการดูว่า วันนึงเมื่อเราเดินทางไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ชีวิตของเราในวันนั้นมีความพึงพอใจหรือเปล่า
หลายคนแยกความสำเร็จในหน้าที่การงาน กับความสำเร็จในครอบครัว ออกจากกันและเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกิดความสมดุลใน 2 เรื่องนี้ แต่ความสำเร็จในชีวิต คือความสำเร็จที่มาพร้อมกันทั้ง 2 ด้าน ซึ่งผมคงจะเขียนเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อมีโอกาส
แล้วปัจจัยที่ 5 ของคุณคืออะไร
Create Date : 28 กรกฎาคม 2548 | | |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2548 12:03:44 น. |
Counter : 8766 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
The Goose and The Golder Egg
หลังจากแช่อิ่ม Blog ได้ที่ ก็ได้เวลามา Up สักที ก่อนที่จะลืมเรื่องนี้ วันนี้ขอเล่านิทานข้ามหัวข้อกันสักหน่อย ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยฟังนิทานเรื่อง ห่านกับไข่ทองคำมาบ้างแล้ว เนื้อเรื่องคราว ๆ ก็คือ
มีชาวนายากจนคนนึงก็ทำนา แล้วก็เลี้ยงสัตว์ไว้ในที่นาของตนเอง ในจำนวนสัตว์ที่มีก็เลี้ยงห่านไว้ตัวนึงด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป ห่านตัวนี้ก็เติบโตขึ้นและพร้อมที่จะวางไข่ เช้าวันนึงเมื่อชาวนาตื่นขึ้นก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อห่านตัวนั้นวางไข่เป็นไข่ทองคำ ด้วยความประหลาดใจ ชาวนาจึงรอดูในวันต่อ ๆ ไป
จากวันนั้น ในทุก ๆ วัน ห่านตัวนั้นจะวางไข่ออกมาเป็นไข่ทองคำวันละ 1 ฟองเสมอ ผ่านไป 1 อาทิตย์ชาวนาเริ่มมั่นใจว่า ในท้องของห่านตัวนี้ต้องมีทองคำอยู่มากมายแน่ ๆ ชาวนาจึงตัดสินใจ ผ่าท้องห่านตัวนั้น แล้วก็พบว่า ไม่มีอะไรแตกต่างจากห่านปกติเลย เรื่องนี้จบลงกับความสูญเสียของชาวนา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ในท้องห่านไม่มีอะไร"
ถ้าจบแบบนี้คงโดนประณามจากคนที่อ่านแน่นอน วันนี้ผมจะพูดถึงคำ 2 คำ นั่นคือ
Product หรือผลผลิต กับ Productive Capability หรือความสามารถในการผลิต
หากเรามองย้อนกลับไปที่นิทานด้านบน เราก็คงพอจะบอกได้ว่าอะไรคือ ผลผลิต อะไรคือ ความสามารถในการผลิต ชาวนาคนนี้ ให้ความสำคัญกับ ไข่ห่าน ซึ่งเป็นเพียงผลผลิต มากกว่า ตัวห่าน ซึ่งมีความสามารถในการผลิต ผลที่เค้าได้รับจึงเป็นอย่างในนิทานเรื่องนี้
ในบางครั้งความคิดของเราก็อาจเกิดการสับสนแบบชาวนาผู้นี้ได้เหมือนกัน เราลองมาดูชีวิตเรากันสักหน่อยดีกว่าว่า อะไรคือ ห่าน อะไรคือ ไข่ห่าน
หลายคนเคยประสบความสำเร็จมากมายในอดีต แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ไม่สามารถรักษาความสำเร็จนั้นไว้ได้ ทำให้สุดท้ายหลาย ๆ อย่างที่สร้างมาหายไป หากเรามาลองดูเหตุการณ์นี้ เราควรจะดีใจว่าถึงแม้ว่า ไข่ห่านจะหายไป แต่ตัวห่านยังอยู่ แถมยังเป็นห่านที่ฉลาดขึ้นด้วย ถ้าได้ลองเริ่มต้นอีกครั้ง ผลที่ได้คงไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ
ห่านในชีวิตของเราอาจเป็นอะไรก็ได้ ที่เรามีความต้องการผลผลิตจากสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของก็ตาม หากเราต้องการผลผลิตที่ดี เราก็ต้องดูแลห่านให้ดีเช่นกัน
วันนี้คุณดูแลห่านของคุณแล้วหรือยัง
Create Date : 24 พฤษภาคม 2548 | | |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2548 16:46:45 น. |
Counter : 1013 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
The Present ของขวัญแห่งปัจจุบันกาล
วันนี้เป็นการ Update เฉพาะกิจ เนื่องจากผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา เลยอยากสรุปความเข้าใจตัวเองจากการอ่าน รอบที่หนึ่ง (พูดเหมือนจะมีรอบที่สอง แต่หนังสือเล่มอื่นยังเข้าคิวอีกบาน)
ผมเองติดตามผลงานของ คุณหมอ Spencer Johnson มาระยะหนึ่งตั้งแต่ อาจารย์ผมได้แนะนำให้อ่าน Who Moved My Cheese? และเริ่มมีคนช่วยตั้งขอสังเกตว่า ชื่อคนเขียนกับชื่อหนังสือเนี้ยมันตัวโตเท่า ๆ กันเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แค่คุณเห็นชื่อคนเขียนคุณก็ซื้อได้แล้ว (ขนาดนั้น)
ผมชอบวิธีการนำเสนอของผู้เขียนท่านนี้ ที่ใช้เรื่องเล่าเหมือนนิทานในการถ่ายทอด ซึ่งทำให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการตามสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นอยู่ได้อย่างแนบเนียน และสามารถต่อยอดความคิดได้อย่างมากมาย แต่ปัญหาก็คือหลายครั้งเมื่อนิทานไม่สรุปว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... หลายคนจึงไม่ได้รับอะไรจากการอ่าน
เข้าเรื่องดีกว่า สิ่งที่ผมได้รับจากหนังสือเล่มนี้ เริ่มตั้งแต่ คำว่า Present โดยหนังสือเล่มนี้ได้ให้ความหมายไว้ 2 อย่างนั่นคือ ของขวัญ และ ปัจจุบัน ซึ่งเป็นความสวยงามทางภาษาอังกฤษ
ปัจจุบัน คือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ คือพลังที่จะขับเคลื่อนชีวิต และการทำงานเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด หลายคนไม่สามารถอยู่กับปัจจุบันได้ เช่นยึดติดกับความสำเร็จหรือความปวดร้าวที่เกิดขึ้นในอดีต รวมถึงการกังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น เคยไหมครับ กำลังทำงานอยู่ แต่คิดถึงเรื่อง เมื่อวานที่ไปดูหนังกับแฟน หรือคิดว่าเย็นนี้ต้องไปไหน นั่นแหละครับเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้โฟกัสในสิ่งที่ทำอยู่ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง
เมื่อเราอยู่กับปัจจุบันพลังและประสิทธิภาพเราจะมากขึ้น แต่เท่านั้นไม่อาจแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ เรายังต้องเรียนรู้จากอดีตด้วย มี 3 คำถามที่น่าสนใจ ผมพอจำได้ลาง ๆ คือ
1. เกิดอะไรขึ้นกับอดีตที่ผ่านมา 2. เราได้เรียนรู้อะไรจากมันบ้าง 3. เมื่อมันเกิดขึ้นอีก เราได้ทำอะไรแตกต่างจากเดิมหรือเปล่า
คำนี้ยังใช้ได้เสมอ อย่าคาดหวังผลลัพธ์ใหม่ ๆ จากการกระทำเดิม ๆ
เมื่อไหร่เราจึงควรเรียนรู้อดีต เป็นคำถามที่โดนใจผมมาก คำตอบคือ เมื่อเราอยากให้ ปัจจุบันดีกว่าอดีต
แล้วถ้าเราอยากให้ อนาคตดีกว่าปัจจุบันละ แน่นอนครับการวางแผนเพื่อสร้างอนาคตก็สำคัญเช่นกัน หากเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน การวางแผนงานจะง่ายขึ้น แล้วเราจะสามารถอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ เพราะเรารู้ว่าเรากำลังเดินทางไปสู่อนาคตที่เรากำหนดได้
ผมว่าเป้าหมายสำคัญที่สุด เพราะวันนี้ถ้าเราเต็มที่กับงานที่ไม่ได้ให้อนาคตที่เราต้องการ เราคงไม่ค่อยชอบกันเท่าไหร่
นี่เป็นบางส่วนที่ผมได้รับจากหนังสือเล่มนี้ ผมไม่ได้มีส่วนได้เสียกับหนังสือเล่มนี้ แต่อยากจะบอกว่า น่ามีไว้อ่านมาก ๆ ครับ
Create Date : 18 เมษายน 2548 | | |
Last Update : 19 เมษายน 2548 0:09:16 น. |
Counter : 2419 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ศรัทธา (Faith)
เรามาคุยกันเรื่องความเชื่อบ้างดีกว่า โดยก่อนจะเริ่มเรื่อง ผมขอเล่าเรื่อง ๆ นึงที่เคยได้ฟังมา
ในวันนึง ณ.ตึก World Trade Center (ที่นิวยอร์กนะครับไม่ใช่ที่ราชประสงค์ หลายคนรู้จักตึกนี้ก็ตอนมันโดนเครื่องบินชนนี่แหละ) ซึ่งเคยเป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก มีคนกลุ่มนึงได้ขึ้นไปอยู่บนยอดตึก และทำการขึงลวดสลิงเชื่อมระหว่างตึกเหนือกับตึกใต้ แล้วก็มีคนอีกกลุ่มนึงถือ โทรโข่ง พูดกับคนที่มามุงดูเหตุการณ์นี้ว่า
"คุณเชื่อไหมครับ ว่าเพื่อนผมที่อยู่ข้างบน สามารถเดินบนลวดสลิงจากตึกเหนือไปตึกใต้แล้วเดินกลับมาได้"
(ถึงตรงนี้ช่วยกันตอบในใจหน่อยนะครับว่าถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่ดูเหตุการณ์นี้อยู่คุณจะเชื่อหรือเปล่า)
"ok ครับ เพื่อนผมจะทำให้ทุกท่านดู"
จากนั้นชายคนนึงบนยอดตึกก็เดินข้ามตึกบนลวดสลิงไปกลับ โดยมีเพียงคานถ่วงน้ำหนักเป็นเครื่องมือช่วยทรงตัวเท่านั้น
หลังจากทำสำเร็จผู้คนต่างโหร้อง ปรบมือให้กับความสามารถของเขา
"ทีนี้คุณเชื่อหรือยังครับว่าเพื่อนผมทำได้"
(ผมเชื่อว่าทุกคนถ้าได้เห็นก็คงเชื่อจริง ๆ แหละว่าเค้าทำได้ ใช่มะ)
จากนั้นคนที่อยู่ด้านล่างก็พูดผ่านโทรโข่งอีกครั้งว่า
"คุณเชื่อไหมครับ ว่าเพื่อนผมสามารถเดินจากตึกเหนือไปตึกใต้แล้วเดินกลับมา โดยมีเพื่อนผมอีกคนขี่คออยู่ด้วย"
หลายคนในที่นั้นก็ซุบซิบกัน บางคนก็ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก บางคนก็ว่าตายทั้งคู่ (อย่าลืมนะครับ คุณกำลังอยู่ในเหตุการณ์ด้วยลองถามตัวเองดูว่าคุณเชื่อหรือเปล่า)
"ถ้างั้นเพื่อนผมจะแสดงให้ดู"
จากนั้นชาย 2 คนข้างบนก็ขี่คอกัน แล้วใช้คานถ่วงน้ำหนักอันเดิม เดินข้ามจากตึกเหนือไปตึกใต้และเดินย้อนกลับมา โดยในช่วงแรกก็สามารถเรียกความหวาดเสียวได้เนื่องจากต้องปรับสมดุลจึงมีการโยกเยกบ้าง
หลังจากทำสำเร็จผู้คนด้านล่างก็ปรบมือ พร้อมกับโห่ร้องดังยิ่งกว่ารอบแรก
"ทีนี้คุณเชื่อหรือยังครับว่าเพื่อนผมทำได้"
(เชื่อไหมครับ?)
จากนั้นคนที่อยู่ด้านล่างก็พูดผ่านโทรโข่งอีกครั้งว่า
"ในเมื่อทุกคนเชื่อว่าเพื่อนผมสามารถทำได้ ในที่นี้มีใครจะขึ้นไปขี่คอเพื่อนผมเพื่อเดินข้ามตึกไหมครับ"
(นี่เป็นคำถามสุดท้ายแล้ว คุณตอบว่าอะไร ขึ้นหรือไม่ขึ้น)
เรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่ผมรู้สึกว่า มันแสดงความแตกต่างของความเชื่อที่ส่งผลต่อการกระทำอย่างเห็นได้ชัด
หลายคนเชื่อว่าทำได้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะขึ้นไปขี่คอ หลายคนกล้าขึ้นไปขี่คอ แต่พอเดินออกมาช่วงแรกตอนปรับสมดุล ก็บอกให้ถอย คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปกลับได้สำเร็จ
ความสำเร็จในชีวิตก็คงเหมือนกัน คงต้องใช้ความเชื่อที่มากพอ ความเชื่อที่ว่าเราคือคนนึงซึ่งทำได้ ไม่ว่าจะพบอุปสรรค์ก็ยังคงเชื่อมั่นว่าจะผ่านมันไปได้
และความเชื่อที่มากพอนั่น ผมอยากจะเรียกมันว่า ความศรัทธา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น การทำงานที่ไม่เกิดดอกผลในระยะสั้น ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องและยาวนานมากพอ จึงจะเริ่มมองเห็นสิ่งที่ได้รับกลับมา ซึ่งผมเชื่อว่างานที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จล้วนต้องใช้เวลาทั้งสิ้น หากไม่มีความเชื่อคงเลิกล้มไปก่อน
ผมมีอีกหนึ่งตัวอย่างเกี่ยวกับความเชื่อที่เห็นภาพได้ชัดเจนว่ามีผลต่อการกระทำจริง ๆ
ทุกคนเชื่อไหมครับว่าการใส่บาตร เป็นสิ่งที่ดี ผมเชื่อว่าคนที่นับถือพุทธทุกคนเชื่อนะ แต่ลองไปถามคนที่ใส่บาตรเฉพาะในวันเกิดของตัวเอง กับคนที่ใส่บาตรทุกวัน คุณว่าใครมีความเชื่อเรื่องนี้มากกว่ากัน
ความเชื่อจึงเป็นตัวกำหนดการกระทำ เชื่อมากทำมาก เชื่อน้อยทำน้อย ไม่เชื่อก็ไม่ทำ
"ความศรัทธา คือความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และผลของความศรัทธาก็คือ คุณจะได้เห็นในสิ่งที่คุณเชื่อ"
Create Date : 29 มีนาคม 2548 | | |
Last Update : 29 มีนาคม 2548 15:14:03 น. |
Counter : 501 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ใกล้สวรรค์
หลายคนอ่านหัวข้อแล้วคงรู้สึกแปลก ๆ วันนี้เราจะลองคุยเรื่องเกี่ยวกับปัญหาหรืออุปสรรคดูบ้าง เคยรู้สึกไหมครับว่าพออยากจะทำอะไรสักอย่างก็มีแต่ปัญหา จนทำให้รู้สึกท้อแท้ ไม่อยากจะทำอะไรอีก อยากอยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ จะได้ไม่มีปัญหา
มีคนเคยบอกว่า ถ้าไม่อยากมีปัญหาในชีวิต มีที่ ๆ นึงถ้าเราไปอยู่แล้วจะไม่มีปัญหาอีกเลย ที่นั่นคือ สุสาน ปัญหาเป็นสิ่งนึงที่บ่งบอกถึงความมีชีวิตอยู่ (คล้าย ๆ กับสิวแหละครับ ถ้ายังเป็นสิวอยู่ก็ยังไม่ตาย แถมยังดูเด็กอีกต่างหาก เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ) เพราะฉะนั้นการที่เราไม่มีปัญหาก็ถือเป็นปัญหาอย่างนึง
ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าชีวิตต้องมีปัญหาอุปสรรคตลอดการเดินทาง เรามาลองทำความรู้จักเพื่อนร่วมทางสู่ความสำเร็จคนนี้ดีกว่า
ปัญหาและอุปสรรคนั้นมีข้อดีหลายอย่างนะครับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความสามารถว่าเราเหมาะสมที่จะได้รับความสำเร็จนั่น ๆ หรือไม่ ลองคิดดูนะครับว่า หนังสือที่ขายอยู่ตามร้านที่เป็นอัตชีวประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแต่ละเล่ม ปัจจัยนึงที่ทำให้หนังสือนั้นขายได้ คือคน ๆ นั้น ผ่านอุปสรรคที่หลาย ๆ คนผ่านไม่ได้ ความคิดหรือประวัติของเค้าจึงมีคุณค่ากับผู้คนมากมาย ถ้าวันนี้มีคน ๆ นึงเขียนหนังสือเกี่ยวกับความสำเร็จของเค้าว่าทำโน้นก็สำเร็จไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทำนี่ก็สำเร็จราบรื่น หนังสือเค้าคงหนา 2 หน้า ทำเป็นใบปลิวแจกดีกว่า ที่สำคัญคือคนก็จะคิดว่า จะมีกี่คนที่โชคดีอย่างเค้า เราทำไม่ได้หรอก
ปัญหาและอุปสรรคยังเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้เราเติบโตขึ้นทั้งด้านความคิดและอารมณ์ ความสำเร็จให้ได้แค่ความสุขใจและรอยยิ้ม แต่ข้อเสียของความสำเร็จก็คือ มันคือหลุมพรางที่คอยดักไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าเพราะมัวแต่ยืดติดกับความสำเร็จเก่า ๆ
ปัญหาและอุปสรรคยังเป็นเครื่องวัดความเป็นผู้นำอีกด้วย อย่างคำกล่าวที่ว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" เมื่อไรเกิดปัญหาขึ้น ก็จะเกิดการแยกคนที่เป็นผู้นำออกมาอย่างชัดเจน
หากจะให้แปลความหมายของคำว่า "อุปสรรค" ในความหมายของผมแล้ว "อุป แปลว่า ใกล้" ยกตัวอย่างเช่น อุปราช ก็คือคนที่อยู่ใกล้พระราชา ส่วน "สรรค ก็แปลว่า สวรรค์" รวมกันแปลว่า "ใกล้สวรรค์"
ถ้าคุณพบอุปสรรค แสดงว่า คุณมาถูกทางแล้ว
"แม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมทิศทางลมได้ แต่เราสามารถควบคุมทิศทางเรือได้"
Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2548 | | |
Last Update : 2 ธันวาคม 2548 13:48:06 น. |
Counter : 1108 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|