Basic Sketch 333 STUDIO KENNY KENG Blog
Kenny Keng
ART ARTICLE : "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 6(สุดท้าย): โบนัสพิเศษกับงานศิลปะ "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 5 : วิธีการวาดภาพให้ได้ (เอาจริงซะที 2) "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 4 : วิธีการวาดภาพให้ได้ (เอาจริงซะที 1) "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 3 : ตามหามุมบันทึก(วาดเส้น) "เที่ยวไปกับถ่าน"ตอนที่ 2 : ทำไมต้องเป็นถ่าน? "เที่ยวไปกับถ่าน" ตอนที่ 1: เด็กน้อยกับฝาบ้าน**ภาพสเก็ตซ์สีชอล์กน้ำมัน **เทคนิคประสม...ใคร ?? ศิลป์(ป่ะ) ต้องเป็นตัวของตัวเองดิ๊ ...ภาพวาดที่ฉีก: ผมยืนมองภาพพร้อมกับฟังเสียงหล่น..ANATTA: วันที่ความหดหู่ หดเหี่ยว หรือเหี่ยวจนหด...Sketch crawl ร่วม Sketch กับเพื่อนๆทั่วโลก
ALPHA FOCUS หนังสือพิชัย เมืองเล็กฯ เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหน้าด่านของสยามประเทศในอดีต..... โอกาสที่ท่านมุ้ยมอบให้ สิ่งที่ผมเฝ้าศึกษาและสังเกตุ จะมีเรื่องราวและข้อมูลไปพ้องกับใครบางท่านเข้าอย่างจัง...
ขอมอบรางวัลที่ทุกท่านสนับสนุนมาครับ Thailand blog Awards 2010
ขอขอบคุณทุกแรงโหวต แรงเชียร์ Thailand blog awards 2010
โอกาสใหญ่ๆ กับคนตัวเล็กๆ ที่ท่านมุ้ยมอบให้
เมื่อสองปีที่ผ่านมา ผมพยายามที่จะเก็บและรวบรวมข้อมูลในสถานที่แห่งหนึ่งของประเทศที่ในอดีต เต็มไปด้วยความสำคัญกับประเทศไทยแห่งนี้เสมอมาทั้งการตั้งทัพ การเดินทัพ จนถึงการระแวดระวังภัยจากข้าศึกต่างเมืองผมกำลังกล่าวถึงพิชัยครับ อำเภอเล็กๆ ที่ไม่ธรรมดาเลยในอดีตกระทั่งได้เขียนและวาดภาพประกอบจากจินตนาการตามข้อมูลที่อ้างอิงมาหลายแห่งประกอบกันจนจัดพิมพ์ออกมาเป็มรูปเล่มเมื่อปลายปี 2552 นี่เองผ่านมาหลากหลายอุปสรรคปัญหา ซึ่งคงได้บันทึกเป็นเรื่องราวในที่แห่งนี้ในโอกาสต่อไปหกเดือนต่อจากนั้นผมเองก็ไม่คาดคิดหรอกครับว่าสิ่งที่ผมเฝ้าศึกษาและสังเกตุ จะมีเรื่องราวและข้อมูลไปพ้องกับใครบางท่านเข้าอย่างจังเช้าวันที่ 11 มิ.ย. 2553 วันนี้เป็นวันพระพอดีตอนเช้าได้มีโอกาสไปทำบุญตักบาตร เป็นการรักษาศีลกลับมาจากวัดก็ตั้งใจจะวาดรูปที่ค้างคาไว้ กำลังตั้งท่าทีเดียวครับเล็งไปมา หันซ้าย ขวา ก็มีเสียงเรียกให้ออกไปพบกับใครบางท่านเข้ามจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ้ย ได้เดินทางมาเก็บข้อมูล ที่บริเวณวัดข้างบ้านผมพอดีเลยครับผมรีบหยิบหนังสือที่ผมเขียน เข้าไปแนะนำกับท่านทันทีพร้อมกับเสียงแตกฮือ ของกลุ่มอาจารย์ที่ตามท่านอยู่"นี่ไงๆ ! คนเขียนหนังสือเล่มนั้น"เมื่อท่านพลิกดู คร่าวๆท่านก็ได้ให้เลขาของท่านบันทึกชื่อ เบอร์โทรผมไว้พร้อมกับถามผมว่าพอมีเวลาพาท่านไปดูสถานที่ในรูปถ่ายของท่านหรือเปล่าช่วงที่ผมกำลังสับสนแถมมึนๆงงๆ กับเหตุกาณ์นี้อยู่ บรรดานักข่าวที่ตามท่านพร้อมกับนักศึกษาด้านประวัติศาสตร์ ที่ม.นเรศวร และ ม.ศิลปากร ก็รุมสอบถามผมกับหนังสือเล่มนี้กันใหญ่ อาจารย์บางท่านก็ซื้อไปเก็บไว้นานแล้วความมึนเข้ากลบสมองผมเข้าอีกรอบ ช่างภาพบางคนก็กำลังถ่ายภาพร้านกับภาพวาดผมอย่างเมามันส์ทั้งๆที่ไม่ค่อยมีอะไรจะให้ได้ดูกันเท่าไหร่ผมบอกกับท่านว่า ขออนุญาติไปเตรียมตัวก่อนนะครับพอเข้าไปในห้องทำงาน ผมกลับไม่รู้ว่าผมจะเอาอะไรไปบ้างยืนงง อยู่ซักพัก ก็ได้แต่หยิบกล้องถ่ายรูปมาตัวเดียวทั้งๆที่ผมมีเป้เดินทางพร้อมกับสมุดและอุปกรณ์ต่างๆไว้เตรียมพร้อมตลอดอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้หยิบมันไป.....เรียกว่า มึนครบเซ็ท จะมีก็แต่สิ่งที่พอรู้บ้าง อัดแน่นอยู่เต็มสมองน้อยๆก้อนนี้เมื่อออกมาก็ขึ้นรถตู้ไปพร้อมกับท่านเพื่อตามเก็บข้อมูลตามบันทึกการเดินทัพปราบฮ้อในอดีตสมัยรัชกาลที่ห้าบางแห่งต้องลุยทั้งหมาที่ดุเอาการ หรือลุยกับป่า กลางทุ่ง กลางแดด กับวัยหกสิบกว่าปีของท่าน ดูเหมือนอ่อนล้าบ้างแต่วิญานแห่งการทำงานของท่านนั้นเต็มเปี่ยม หัวใจของท่านนั้นเกินร้อยผมเองก็พยายามที่ทั้งเก็บข้อมูลและหาข้อมูล บวกให้ข้อมูลไปด้วยในเวลาเดียวกันโดยไม่ทราบเลยจริงๆว่า ผมเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนใหญ่เข้าให้แล้วจนกระทั่งถึงบริเวณต่างๆ ตามเส้นทางเดินทัพในสมัยนั้นสอบถามจากทางผู้ใหญ่บ้านและครูเก่าแก่บริเวณนั้นพบว่าทุกบริเวณไม่เหลือสภาพเดิมอยู่เลยไม่ว่าจะเป็นหนองไผ่ขวาง ที่ผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนจะมีไผ่ขวางอยู่เต็มบริเวณไปหมดและการเดินทัพต้องผ่านบริเวณแห่งนี้หลังจากนั้นก็เดินทางมาถึงบริเวณ หนองตับ ที่ตามบันทึกเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่แต่ปัจจุบันคงเหลือแต่พื้นดินและความแห้งแล้งผมนำท่านเดินลัดทุ่งนาไปยังหนองที่แห้ง ตามคำบอกเล่าของชาวบ้านพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านคุณลุงผู้ใหญ่บ้านบอกว่า บริเวณนี้สมัยนั้นใครที่เดินทางต้องผ่านตรงนี้ จะอ้อมไปที่อื่นไม่ได้เพราะจะติดเขา เมื่อมีการปล้นวัวควายเมื่อก่อนมาดักบริเวณนี้ก็จะเจอแน่นอนบริเวณหนองที่แห้งแห่งนี้ ท่านได้นั่งพักผ่อนเพื่อคลายร้อนใต้ห้างนาพร้อมกับรับสั่งถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์ของเมืองหน้าด่านแห่งนี้ท่านรับสั่งถึงบันทึกประวัติศาสตร์บางหน้าจะเปลี่ยนไปและบรรดาคอประวัติศาสตร์ทั้งหลายต้องพบกับเรื่องราวใหม่ที่เข้าใจกันผิดมานาน ณ พิชัยแห่งนี้บางเรื่องท่านไปรับสั่งว่า อย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในตอนนี้ ถ้าไม่อยากโดนนักประวัติศาสตร์ด่าว่าเมืองพิชัย คือ เมืองชัยนาทในอดีต ที่ได้ลงบันทึกไว้ในพงศาวดารหลายๆเล่มหรือกับประวัติศาสตร์หลายๆหน้า(บอกไปแล้วอ่ะครับ ยอมโดนด่า )จากนั้นท่านก็รับสั่งต่อถึงความสำคัญของเมืองพิชัยแห่งนี้"เมืองพิชัยสำคัญมากนะในอดีต แต่ไม่มีใครกล่าวถึงหรือสนใจ โดยเฉพาะ คนพิชัย ที่ต้องคอยให้คนอื่นมาเล่าถึงความสำคัญของบ้านตัวเองให้ฟัง"ผมตอบท่านกลับไปว่า"ผมทำหนังสือขึ้นมาแล้วครับ แต่ผมแค่ธุรีเล็กๆ ไม่มีใครฟังผมเลย"" เธอต้องกล้าเถียง เขาถึงจะฟังเธอ "" ครับท่าน....... เมืองพิชัยสำคัญจริงๆครับ""อ้าวจริงซิ! ไม่งั้นฉันจะมาทำแบบนี้เหรอ" ท่านรับสั่งกลับมาอย่างทันควันตลอดการเดินทางและร่วมงานกับท่าน ท่านเป็นคนที่สนุกสนานอยู่ตลอดเวลาคอยกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจพร้อมแรงบันดาลใจใหม่ๆอยู่เสมอนี่แหละครับที่ผมเองไม่อยากเแม้จะขยับตัวเพื่อกดชัดเตอร์กับมุมสวยๆบริเวณนี้หรือจัดแจงเตรียมตัวเตรียมข้อมูลอะไรตอนนี้ นอกจากฟังอย่างเดียวฟังและจำทุกคำพูดทุกท่าทาง ทุกการกระทำของท่านท่านเองก็ตบบ่าให้กำลังใจผมอยู่หลายครั้งเหมือนกันนี่ละมั๊งครับ กำลังใจชั้นดีที่ผมจะเขียนหนังสือเล่มต่อไปเมื่อคุยเสร็จหายเหนื่อยเราก็เดินทางต่อไปยังอีกจุดหนึ่งที่มีการบันทึกไว้คือเส้นทางเดินทางทางน้ำของการเดินทัพและการแวะพักจนกระทั่งไปบริเวณน้ำอ่างซึ่งเป็นเส้นทางน้ำทางเดียวที่มาจากเมืองตอนบนที่ติดลานช้างเพื่อติดต่อกับเมืองหน้าด่านแห่งนี้เพื่อจะติดต่อเข้ามายังแม่น้ำสายหลัก(แม่น้ำน่าน)ได้มื้อกลางวันท่านทานง่ายๆด้วยแซนวิสที่เตรียมมา สำหรับทีมงานกับรรดาอาจารย์ และผม ทานด้วยก๋วยเตี๋ยวกับข้าวราดแกงพวกเราทั้งหมดนั่งอยู่ใกล้ๆกัน ไม่มีการแบ่งชั้นว่าใครเป็นใครก่อนที่จะเดินทางเก็บข้อมูลกันต่อจนถึงเย็นดูการตีเหล็กน้ำพี้และสอบถามถึงข่าวขบวนทัพจากผู้สูงวัยที่บ่อเหล็กน้ำพี้แห่งนี้ก่อนกลับผมถ่ายรูปคู่กับท่าน พร้อมกับพูดกับท่านอีกสักพัก ส่งจนรถท่านออกเดินทางไปต่อเป็นความภาคภูมิใจใหญ่ๆกับคนตัวเล็กๆที่มีความรู้ติดตัวมาเล็กน้อยอย่างผมที่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับมืออาชีพระดับโลกอย่างท่านได้แค่นี้...ผมก็รู้สึกดีมากๆ กับสิ่งที่ผมทำในอดีตเมื่อสองปีที่แล้ว และส่งผลดีกับผมเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันผมขอขอบคุณท่านมากๆครับที่ให้โอกาสกับคนตัวเล็กๆอย่างผมแม้จะเพียงแค่วันเดียว แต่ก็เป็นวันเดียวที่ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิตทีเดียวครับยังมีอีกหลายเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ ที่ผมยังบอกกล่าวไม่หมดถึงการให้ความร่วมมือตลอดจนการไว้วางใจผมเป็นอย่างมากในการทำโครงการนี้จากผู้ใหญ่หลายๆท่าน ทั้งคุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ(ศิริวัฒน์แซนวิช) ที่เจอกันได้เพราะแนวคิดนี้ รวมถึงคุณสาธิต ชัยมะโน คุณเตี่ยทองเทพ ภมรกุล และอีกหลายท่านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าศึกษา น่าสนใจ ที่จะนำมาแบ่งปันซึ่งผมจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไปครับมาอีกวันก็ได้รับกำลังใจชิ้นใหญ่ไม่แพ้กันจากบรรดาคอประวัติศาสตร์ที่อายุเกือบแปดสิบแล้วมาพูดถึงหนังสือและความน่ารักในตัวอักษร ที่ไม่เป็นยาขมจนเกินไปอีกวันกับนักอ่านวัยสิบเจ็ดที่เข้ามาแจกคอมเม้นต์ถึงที่ทำงานพร้อมกับบอกว่าจะรอหนังสือเล่มใหม่ เร็วๆนะนี่ยังไม่รวมถึงนักอ่านหลายๆท่านที่ให้กำลังใจมาอย่างล้นหลามทั้งโทรศัพท์ ในบล๊อก ในไฮไฟว์ ตัวต่อตัวทั้งร้านหนังสือ ที่บ้าน ที่ทำงาน และทุกที่ที่เจอพร้อมกับลืมข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆในหนังสือเล่มนี้ กับคำผิด ที่มีตกหล่นบ้างต้องขอขอบคุณและขอกราบงามๆเลยครับ กับทุกๆท่านที่เป็นกำลังใจให้กับผมมาตลอดผมจะไม่มีวันลืมเลยครับ เพราะตั้งแต่ หนังสือออกมาในช่วงหกเดือนนี้ถึงแม้ยอดขายจะไม่ถล่มถลายเหมือนหนังสือทำนายทายทัก หรือแก้กรรมต่างๆแต่ผลที่ได้ กับคอประวัติศาสตร์ทั้งคนรุ่นเก่า ถึงรุ่นใหม่ จนถึงเด็กๆที่ตามอ่านกันอยู่ผมละซึ้งใจจริงๆครับ มีนักอ่านตั้งแต่เด็กนักเรียนชั้นป.4 จนถึงผู้แกร่งกล้าประสบการณ์อายุ 80 ปีที่ให้โอกาสผมที่จะเขียนหนังสือเล่มต่อไปผมคงไม่สามารถนำภาพมาลงได้หมด แต่ก็ขอขอบคุณมากๆเลยครับผมจะทำกับสิ่งที่ทุกท่านให้โอกาสผมมาอย่างเต็มที่เลยครับ
ภาพวาดที่ฉีกขาด
ภาพนี้เป็นภาพที่ผมวาดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 แล้วละครับผมตั้งใจวาดและเก็บไว้อย่างดี(...หรือเปล่าหนอ?) .................จนอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันนี้เอง (ค.ศ.2010)สายโซ่คล้องรูปนี้ก็ขาด ทำให้รูปหล่นขมำทับกับพนักพิงเก้าอี้จนภาพฉีกผมยืนมองภาพพร้อมกับฟังเสียงหล่นที่ไม่รู้ว่าดังขนาดไหนแต่มันก้องกังวานในหัวผมมาก จนไม่แน่ใจว่าจะสะท้อนไปถึงแห่งหนตำบลใดสอบถามเพื่อนๆในห้องศิลป์แล้วบางคนก็บอกให้ซ่อม บางคนก็บอกให้เก็บไว้แบบนี้แหละ เอาไว้เป็นความทรงจำเพราะถ้าซ่อมยังไงก็มีรอยตำหนิ อารมณ์ของรูปจะไม่เหมือนเดิม ทำใหม่ดีกว่าพี่ๆเพื่อนๆบอกว่า " กระบี่อยู่ที่ใจ " กลัวอะไรผมจึงได้ข้อสรุปตามนั้นว่า........ทำใหม่ดีกว่าภาพนี้เป็นภาพสีน้ำมันครับ ไม่ใช่สีน้ำของมันหรือใครที่ไหน (สีเราทั้งน้านนนน...)เป็นภาพที่ผมกำลังตื่นเต้นและสนุกกับการเขียนสีน้ำมัน(ของเรา)สีที่ผมกว่าจะทำความรู้จักและเรียนรู้ได้ต้องใช้ความพยายามควบคู่กับความอดทนเป็นอย่างมากสีน้ำมันเป็นสีที่ผมต้องเสียน้ำตากับมันมาหลายครั้งหลายคราในตอนที่กำลังฝึกฝนมาวันนี้ผมได้สนิทชิดเชื้อกับสีเหล่านี้ได้ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม....แต่ก็ดีกว่าตอนเริ่มต้นเยอะ
ผมวาดภาพนี้ผมไม่ได้ใช้สีๆเดียวนะครับผมไม่ได้ใช้สีขาว สีเขียว สีแดง สีเหลือง หรือสีน้ำเงิน เพียงแค่สีใดสีหนึ่งแต่ผมต้องใช้สีที่มีอยู่หลากหลาย มาผสมผสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นงานศิลปะขึ้นมาเพราะโลกใบนี้มีสีสันที่หลากหลาย ถึงแม้จะแตกต่างโทนสี ต่างประเภทก็ตามสีที่ผสมกันจะก่อให้เกิดสีสันใหม่ๆขึ้นมาตลอดเวลาและทุกสีเมื่อรวมกันอย่างเหมาะสมแล้ว ก็จะกลายเป็นภาพศิลป์ที่งดงามเสมองดงามเสมอ..........แม้แต่งานของคนที่ไม่เคยเรียนด้านทักษะงานศิลป์เลยก็ตามไม่ว่าจะงานเด็ก งานผู้ใหญ่ วาดเป็นหรือไม่เป็นงานในฟาร์มช้างที่ใช้งวงฉวัดเฉวียนจับพู่กันปาดสีจนเวียนหัว หรือลิงที่ปีนป่ายไปมาพร้อมกับการตวัดปลายพู่กันจิ้มสีลงบนผืนผ้าใบล้วนแล้วแต่ มีสีสันที่หลากหลายมารวมกันในภาพๆเดียวทั้งสิ้นนี่แหละครับโลกแห่งสีสัน กับผลงานที่ขาดหวิ่นการทำภาพใหม่ ผสมสีชุดใหม่ กับประสบการณ์ใหม่ๆย่อมทำให้ภาพนี้สดใส งดงามขึ้นกว่าเดิม ตามประสบการณ์และการฝึกฝนภาพเก่าๆกับร่องรอยแห่งอดีต ยังทำให้เรายังฉีกยิ้มได้ทุกครั้งที่เห็นไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายขาว ดำ สมัยยังเด็กจนถึงรูปถ่ายสีที่ซีดๆเหลืองๆแดงๆในวัยเอ๊าะๆ ที่อึ๋มๆไม่ว่าเหตุการณ์ไหนก็ตาม ยิ่งนานวันกลับยิ่งมีคุณค่า สำหรับเราผู้ที่อยู่ในเรื่องราวนั้นๆย้อนกลับมาภาพนี้....เราอาจไม่ได้มองเห็นแค่ภาพที่ฉาบอยู่บนผืนผ้าใบด้านหน้าเท่านั้นภาพที่ผมเห็น กับหลายๆท่านเห็นย่อมแตกต่างกันภาพที่ผมเห็นเป็นภาพแห่งความทรงจำ ความมุ่งมั่นบากบั่น ที่มีค่าเป็นภาพที่เป็นเสมือนครูที่คอยชี้นำ ย้ำเตือน และสอนใจเพื่อทำให้ดีขึ้นอีกด้านก็ต้องระมัดระวังคอยตรวจสอบดูแล กับสมบัติชิ้นเก่าให้ดีเก็บไว้เป็นประสบการณ์ เพื่อไม่ให้ต้องเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเช่นนี้อีก ..............กับภาพอันฉีกขาด ที่ไม่รอวันซ่อม ภาพนี้
บ้านเราจะเหมือนเดิมครับ