สวนดอกไม้ของเรา ผมชอบคำนี้จริงๆ ดอกไม้ที่เบ่งบานเพื่อเผยโฉมแห่งความงดงาม
การนั่งชมดอกไม้แห่งมิตรภาพที่เบ่งบานไปพร้อมๆกัน
เป็นความงดงามอีกชนิดหนึ่งของโลกใบนี้ที่เราหาซื้อไม่ได้ด้วยเงินตรา
ไม่สามารถบังคับให้ใครก็ตามมาสร้างรอยยิ้มและความหรรษาทางจิตใจให้กับเราได้
กรกฎาคม 2552 บทความแรกของผมได้ออกมาทักทายกับหลายๆคน
จนกระทั่งได้ศึกษาเรียนรู้ ร่วมกันแบ่งปัน ความสนุก ทักษะ และความชำนาญที่พอมีอยู่
มิตรภาพที่ล้นหลามหลากหลายและมากมายก่อเกิดขึ้น
อย่างที่คนตัวเล็กๆอย่างผมไม่เคยคาดที่จะคิดฝันมาก่อนว่าจะมีโอกาสได้รับสิ่งเหล่านี้
สิงหาคม 2553 เป็นวันที่บล๊อกเล็กแห่งนี้ได้รับรางวัล
Thailand blogawardsจากการที่พี่ๆเพื่อนๆร่วมกันโหวต จนติดอันดับที่ 13 หมวดการศึกษา
และคณะกรรมการก็ตัดสินให้ได้อันดับ 3 ไป
ดอกไม้แห่งมิตรภาพของเราเริ่มเบ่งบานมากขึ้นเรื่อยๆในวันนี้
เราได้มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันเป็นครั้งแรก
จนกระทั่งความคิดถึงและอยากร่วมกันพรวนดิน รดน้ำสวนดอกไม้แปลงนี้ของพวกเราก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ในเดือน พฤศจิกยน 2553
จะว่าไปพวกเราต่างก็มีแปลงดอกไม้ใหญ่ร่วมฝันอย่าง บล๊อกลายปากกา เฟอร์ไรท์เตอร์เป็นที่ส่งเสริม รดน้ำให้ปุ๋ยและดูแลความงามแห่งมิตรภาพนี้ด้วยดีเสมอมา
ทั้งนักเขียน นักวาด นักอ่าน นักผ่าน นักแวะ ดีเจ(กันเอง) ที่พบเจอกันทางตัวอักษรมาเนิ่นนาน
17 พ.ย. 2553 ในที่สุดพวกเราก็ได้มาเจอกัน
มิตรภาพที่แสนงามผลัดกันเบ่งบาน(รวมทั้งใบหน้าผมด้วย) กันอย่างไม่หมดกำลังกันไปง่ายๆ
หลายๆคนมาจากต่างจังหวัด(ผมด้วย)ทั้งรถไฟ รถทัวร์ รถส่วนตัว รถไฟฟ้า รถใต้ดิน
และอีกหลากหลายการเดินทางเพื่อมาพบเจอกัน แลกเปลี่ยนมิตรภาพซึ่งกันและกัน
อบอุ่นมากๆครับ อบอุ่นมากจริงๆ
ก่อนหน้าที่จะมีวันนี้สักสัปดาห์ ผมเองก็คิดหาของฝากว่าจะเป็นอะไรดี
จะเป็นการแจกรูปพร้อมลายเซนต์รึก็จะเกินไป (คงไม่มีใครเอา)
จะแจกนามบัตรหรือก็รู้ๆกันอยู่แล้ว
จะทำขนมมาแจก ก็คงจะกินกันไม่ได้ หรือไม่ก้ต้องหามส่ง รพ.กันแหงๆ
จะซื้อทองแจก ก็ไม่อยากแบกปี๊ปมาแถวสีลม(ทองม้วน)
จะแจกเงิน หรือก็ไม่มี แหะๆๆ
จะแจกตุ๊กตา ฮืมมม ..ก็ไม่ใช่ซานตาคอส
สุดท้ายคงเหลือแต่ภาพเขียน ว่าจะมีเวลาหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ฮืมมมม.....
สารภาพละครับว่าที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องของเวลา
แต่คือเรื่องของการก้าวข้าม ข้ามกับการที่จะเขียนรูป แต่ละใบหน้าให้เร็ว ง่าย และเกิดจินตนาการให้มากที่สุด
คงต้องเหมือนด้วยแหละ..นี่แหละคือปัญหาใหญ่
ว่าจะเหมือนแบบไหน
เหมือนแบบกายหยาบๆหรือเหมือนแบบภายในจิตของคนๆนั้น โดยไม่ทิ้งกายเดิมไป
นั่นแหละครับ หลากอาการก็เกิดขึ้นกับผม ทั้งการปอดที่เกิดประจำอยู่แล้ว
กลัว (นี่ก็ประจำ) ไม่กล้า(ถ้ากลัวแล้วจะกล้ามั้ยล่ะ)
อาการข้างเคียงก็เริ่มเกิด ตั้งแต่การงอแงที่จะไม่วาด(แหะๆ)
ปวดตา ปวดตัว เกร็ง สารพัด
สารพัดความคิดรุมเล่นงานผมมาอย่างเงียบๆเป็นเวลานาน
แต่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ย่อมมีการเริ่มต้น
การก้าวข้ามสะพานแห่งความกลัวนี้ ต้องผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเองถ้าวาดไม่ดี ก็ฝึกมากๆแก้ตัวใหม่ในครั้งถัดไป
ถ้าวาดไม่ได้ก็สารภาพไปซะตรงๆ แล้วกลับไปฝึกมาใหม่
การเดินสายคุย และกินของกลุ่มเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่ชั้นใต้ดิน ยันชั้น 5 ตั้งแต่ 11.00
15.30 พี่ปูกับพี่รุจขอตัวกลับ แบบอาลัยๆ
คงเหลือแต่พวกเราอีก 6 คน ระหว่างที่ทั้งกิน (ที่ไม่ค่อยจะไหว)
และพุดคุยกันไป จิตผมยังตะโกนบอกอยู่เลยว่า
"เอาไว้วันหลังค่อยวาดดีกว่า" อีกใจก็แย้งมาว่า
"แล้วเมื่อไหร่จะผ่านความกล้าอันนี้"สิ่งสำคัญคือการตัดสินใจเดินไปข้างหน้า และก้าวข้ามความกลัวออกไปในที่สุดผู้กล้าในวันนั้นคนแรก ก็คือพี่คอป
ไม่ใช่ผมไม่เคยวาดนะ แต่ผมไม่เคยปาดกันแบบสดๆโดยไม่ต้องร่างต่างหาก
การร่างยังมีพลาดได้ ลบได้ แต่งได้
แต่นี่ไม่ได้ ไม่มีซ้อม ปาดแล้วปาดเลย
ต้องใจกล้า หน้าทน พร้อมเผชิญ
ผ่านไปประมาณ 5 นาที รูปพี่คอปก็เสร็จ
ในที่สุดผมก็ก้าวข้ามผ่านความรู้สึกกลัวได้
ทุกคนประทับใจกับภาพที่ผมวาด(ผมคิดว่างั้นนะ)
ผมวาดจากความรู้สึก สิ่งหนึ่งขณะที่จรดแท่งเกรยองอยู่
เสียงอาจารย์ก็ดังขึ้นมาว่า
"การวาดภาพ อย่าดูถูกคนมองภาพ
เขาดูงานศิลปะเป็น และเราไม่จำเป็นจะต้องไปคิดแทนเขาจนหมดทั้งภาพ
ความสวยงามของภาพ อยู่ที่การที่ผู้ชมสามารถจินตนาการต่อไปเองได้"จากนั้นก็ได้ใจ ปาดๆๆ กับทุกคน ช้าบ้าง เร็วบ้าง ตั้งแต่ 5-10 นาที
วาดไป 9 คน กับเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
(อีก 3 คน เอามาจากในอคมพิวเตอร์)อาจมากกว่านั้นก็ได้ ไม่แน่ใจ...เวลาไม่รู้ว่ามันสั้นหรือยาว
รู้แต่ว่าเหมือนกับทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว กับช่วงที่ทั้งสนุกและมีความสุขจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ทางศูนย์อาหารปิดไฟเก็บโต๊ะไล่ในเวลา 18.00 น. พอดี
เราจึงแยกย้ายกันกลับ
...กลับไปพร้อมกับความหอม หวานของมิตรภาพที่อบอวลไปทั่ว
และกลิ่นอายแห่งมิตรภาพนั้น ยังคงติดภาพเขียนทุกภาพไป
ฝังนาโนแห่งความทรงจำไว้อย่างมิรู้ลืม ...(ถึงแม้รถไฟฟ้าจะมาเจ๊งตอนที่ผมกำลังจะถึงช่องทางเข้าก็ตาม T T)
ขอบคุณทุกคนมากๆครับ ทั้ง....
พี่อ้อ ที่นัดคุยกันเรื่องงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้งเก่าและใหม่
พี่ปูที่มีของขวัญมาให้ตั้งแต่ครั้งแรกคราวที่แล้วก็ไวน์ แถมวันนี้ก้ออกตังค์ค่าข้าวกลางวันอีก
พี่รุจ ก็ลางานที่สำคัญมางานนี้โดยเฉพาะ ออกตังค์ค่าข้าวอีกต่างหาก คราวที่แล้วเป็นน้ำดอกอัญชัน
พี่สม ที่มาจากแม่กลองลางานมาพบเจอให้กำลังใจกันพร้อมกับพระให้ไว้คุ้มครอง
คุณจุ๋ม ที่มาจากขอนแก่นแถมด้วยขนมที่ทำมาเองแบบกล่องใหญ่ๆ อาร่อยยย
คุณหมู ที่เอาสีจากญี่ปุ่นมาให้(ขอบคุณก่อน จริงๆให้วันที่ 18 แหะๆๆ.. เดี๋ยวขอบคุณอีกที)
พี่คอป ที่มาพร้อมกับความน่ารักและลดดีกรีความงอนลงจากคร้งแรกที่ไม่ได้เจอกัน ^^" แถมเซฟรูปให้ด้วย
คุณมะระ ที่มาแบบรวดเร็ว เรียบง่ายและสบายๆตามสไตล์ แถมซื้อคูปองไว้ให้เลือกอาหารกันเองอีก
คุณนิด ที่แทบจะล๊อคคอเจ้าหน้าที่ที่ทำให้ล่าช้า แต่ก็มาทันแห่งสุดท้ายบนศูนย์อาหารพอดี พร้อมกับหนังสือ"กลับบ้านที่แท้จริง"ของติช นัท ฮันท์
ขอบคุณทุกคนที่มาไม่ได้แต่ก็ยังให้กำลังใจส่งผ่านกันมา
ครั้งหน้าคงไม่พลาดที่จะเจอกันนะครับ
ขอบคุณโดยเฉพาะก็ ....
คุณศิริวัฒน์ ที่เอาหนังสือไปตั้ง 300 เล่ม ถือเป็นการปิดโครงการหนังสือ "พิชัยฯ" พอดี ตั้งแต่วันที่ 16ก่อนหน้านี้
พี่ตู่ ที่ให้ทั้งอาหาร ที่พัก ของฝากที่มากมาย ขนม และช่วยเหลือคนห่วยๆอย่างผมให้ทำงานสำเร็จได้บ้าง
พี่ฟี แห่งwww.forwriter.com
ที่มอบพื้นที่ ความรู้ ความรักและมิตรภาพที่แสนดีให้เราได้มาเจอกัน
และ
คุณพีทคุง แห่ง penline หรือนิตยสารออนไลน์ ลายปากกา
ที่เสียสละเพื่อพวกเราอย่างใหญ่หลวงในการทำสิ่งต่างๆ ด้วยใจอย่างแท้จริง
(นี่ถ้าเหาะจากออสเตเรียมาได้คงมาแล้ว)
ขอบคุณทุกๆท่านอย่างมากมายครับเป็นอันสิ้นสุดวันที่แสนชื่นใจในวันนี้ไปอีกวัน
...ก่อนที่จะถึงวันที่ตื่นเต้นของพรุ่งนี้อีกครั้ง
18 พ.ย. 2553 ตอนเช้ามีนัดกับเพื่อนในห้องศิลปะและเฟสบุ๊ค
ซึ่งงานนี้หมูหรือคุณลำดวนดอยขอนำทริปการเดินทางเอง......
.....(ต่อ)
วันที่ดอกไม้บานในสวนของเรา 2
แวะมาชมดอกไม้มิตรภาพที่เบ่งบานค่ะ
อิอิ