|
ภูกระดึง ๒๕๔๘ (ตอนที่ ๑) ไปภูกันดีกว่า
.....ผลงานในบล็อกนี้ขออุทิศส่วนกุศลแด่เพื่อนร่วมทริปผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๙....อีกเพียง ๑๔ วันก็จะครบรอบ ๑ ปีที่ไปภูกระดึงและครบรอบวันเกิดของเขา ขอให้มีความสุขกับโลกที่อยู่นะเพื่อนรัก
.....แม่แป้นไปภูกระดึงครั้งแรกเมื่ออายุล่วงเลยเข้ากลางคน หลายๆ คนเขาได้ไปกันตั้งแต่สมัยมัธยม มหาวิทยาลัย ไปแล้วก็กระหนุงกระหนิงๆๆๆ สวีท หวานแหวว แต่บังเอิญแม่แป้นสมัยเรียนไม่เคยไปไหนกะเขาเลย ปิดเทอมก็ทำงานวิจัย ประกอบกับเบี้ยน้อยหอยเล็กผสมเข้าไปด้วย ก็เลยไม่อยากเปลืองตังค์ไปกับการเที่ยว และไม่เคยขอเงินเพิ่มจากทางบ้านด้วยเหตุผลแค่การเที่ยว แต่ภูกระดึงก็เป็นจุดหมายที่ใฝ่ฝันมานานแหละค่ะว่าขอไปสักทีให้หายโง่ว่าเป็นเช่นไร....
.....ความเป็นไปและเป็นมาว่าทำไมเลือกไปเอาเวลานี้ ก็คือ ประมาณวันรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๘ เพื่อนที่ PlantLovers เขาได้ไปมาหยกๆ ถ่ายรูปมาเสียเช้งกระเด๊ะ ทำให้กิเลสอาสวะของเรากำเริบเสิบสานมาก ไม่เชื่อลองดูสิคะภาพถ่ายตาคนนี้แหละทำอิฉันต่อมอยากแตกโผละ >>> คลิกชมภาพ
.....ไม่ช้าไม่นานเพื่อนคนที่ 2 จาก PlantLovers เหมือนกันมาบ่นๆ ให้เข้าหูว่า "ชวนเพื่อนไว้ 11 คน จะไปภูกระดึงกัน เอาเข้าจริงเหลือสองคน" อิฉันก็หูผึ่งดังดึ๋ง.....ถามว่า "ไปด้วยคนสิ" พ่อคนต้นคิดก็ตอบว่า "ไปสิป้า...กำลังหาเพื่อนร่วมทริปอยู่" ใจเต้นตึ๊กตั๊กๆๆๆๆๆ ดีใจเสียยิ่งแล้ว คาดคั้นถามเขาว่าจริงน้าๆๆๆๆ แล้วอิฉันยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย ที่หลับที่นอน อาหารการกิน พ่อเพื่อนแสนประเสริฐคนเดิมก็ตอบแบบไม่ยี่หระว่า "ฮู้ย...ป้า สมัยนี้เขามีพร้อมหมดแล้ว ไปแต่ตัวเหอะ ลากสังขารให้ไหวก็แล้วกัน"
.....ทำดีใจได้ไม่กี่น้ำ เพื่อนคนที่ว่าก็หายสาปสูญไร้ร่องรอย (ในระยะสัปดาห์-สองสัปดาห์นั้น) บ่งบอกให้รู้ว่ากินแห้วแน่นอน อิฉันเลยไปบ่นให้พ่อจาพนมเจ้าเก่า (เพื่อนสนิทที่สุดที่อิฉันรักเหมือนน้องชาย คนที่เคยไปอ่างขาง-สามเหลี่ยมทองคำด้วยด้วย แถมเอารถไปโดนชนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเป็นสามารถในบล็อกแรกสุดของ "เที่ยวไปกับแม่แป้น" นั่นแล) ชะรอยแกจะสงสารปานน้ำตากระเด็น เลยบอกมาว่า
"ไปสิ....ผมจะพาไป" ไม่ต้องให้บอกนะว่าอิฉันจะลิงโลดปานลิงได้กล้วยเพียงไร แพ็คข้าวของไปในบัดดล
เริ่มแล้วการเดินทาง
.....การเดินทางของแม่แป้นออกจะแปลกประหลาดกว่ามนุษย์มะนาเขาหน่อย คนอื่นเขาเดินทางกลางคืนไปสว่างที่ "ผานกเค้า" แต่ของแม่แป้นไปสว่างที่ "อุดรธานี" ค่ะ ก็ไปบ้านพ่อไกด์ก่อนนี่นา ไปบ้านไกด์เจ้าเก่าแล้วถึงออกเดินทางไป อ. ภูกระดึง จ. เลย
ภาพที่ PK01 ทุ่งศรีเมือง จ. อุดรธานี จุดเริ่มต้นการเดินทางของสองเกลอหัวแข็งอีกรอบ
....ใช้เวลาเดินทางจาก อุดรฯ ไป อ.ภูกระดึงค่อนข้างนานกว่าที่คาด ถึงเชิงภูฯ เกือบ 11 โมงเช้า เจ้าหน้าที่เขาใจดีมากๆ เร่งเราให้รีบขึ้นโดยด่วน เดี๋ยวจะมืดค่ำกลางทาง ขอแสดงความซาบซึ้งประทับใจในเจ้าหน้าที่/บุคลากร/ตลอดจนประชาชนหน่วยน้อยนิดที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นภู เขามีน้ำจิตน้ำใจต่อนักท่องเที่ยวและให้ข้อมูลดีมากๆ ขอบพระคุณเหลือเกินค่ะ เป็นเมืองท่องเที่ยวตัวอย่างแท้ๆ
ภาพ PK02 ป้ายหน้าปากทางเดินขึ้น เห็นแล้วระทึกตึกตันไงไม่รู้
.....ก่อนออกจากบ้านไป อิฉันศึกษาข้อมูลจากกระทู้ของน้องชายคนหนึ่งที่ BluePlanet ของพันทิปไป ใช้ได้ดีทีเดียวค่ะ เป็นประโยชน์ต่อการเตรียมการรับมือกับภูกระดึงในระยะเวลาสั้นดีมากเลย กับท่านผู้มีอุปการคุณอีกท่าน คุณปีกไม้หอม ที่แนะนำว่าวิธีการเตรียมรับมือกับการขึ้นดอย/ภู ก็คือให้เท้าเอว เขย่งปลายเท้าขึ้น แล้วนั่งย่อลงจนก้นแตะข้อเท้า นั่งลุกๆๆๆ ติดกันได้ให้ 30 หน นั่นแหละฟิต....แต่อิฉันทำได้สองวันเองก็เดินทางซะแล้ว เวลาน้อยมากๆ แต่ก็ได้ผลกว่าไม่ทำแหละค่ะ
....จอดรถเสร็จ ฉวยกระเป๋ามาจ่ายค่าเข้าอุทยานหัวละ 40 ค่าปักเต๊นท์หัวละ 30 ต่อวัน เอาสัมภาระไปชั่งน้ำหนัก (กก.ละ 15 บาท) สองคนก็นับสิบโลแหละค่ะ ขนเสื้อกันหนาวไปตั้งแยะ นึกว่าจะหนาว ถุงนอนคนละใบ....หนักมาก!!!! รับป้ายสัมภาระเสร็จแล้วก็ออกเดินได้
ภาพที่ PK03 บูทลงชื่อคณะผู้เข้าพิชิตยอดภูกระดึง...ซึ่งขากลับก็มาลงชื่อออกอีกที เขาคงกลัวคนหล่นหาย พี่ไกด์ของอิฉันกำลังลงชื่อในนามหัวหน้าคณะ (ที่มีกัน 2 คน) ยิกๆ
.....แล้วเราก็ออกเดินทางกันค่ะ ในใจอิฉันคิดว่า 'จะเอาแล้วเหรอ รอดไหมนี่ตู?' คือมันมีเวลาให้ทำใจน้อยจังเลย มาถึงยุ่งๆๆๆ กะระเบียบการ เสร็จปุ๊บเดินเลย....เอาก็เอา...สู้ยิบตา ไหนๆ ก็หอบสังขารมาตั้งไกล
......แล้วก็ไม่ให้ได้ตั้งตัวกันเลยค่ะ เบรคแรกก็ลงหวายกันเลย
.....ดูระยะทางที่ อช. เขาทำไว้ให้ระบุระยะทางระหว่างแต่ละจุดที่สำคัญ ให้พอเป็นกำลัง (หรือทอนกำลังก็ไม่แน่ใจ) ดังนี้ค่ะ
ที่ทำการ อช.--500m --->ปางกกค่า --200m--> ซำแฮก --700m--> ซำบอน --440m--> ซำกกกอก --200m--> ซำกอซาง --200m--> พร่านพรานแป --140m--> ซำกกหว้า --440m--> ซำกกไผ่ -400m---> ซำกกโดน --300m--> ซำแคร่ --450m--> หลังแป --3km--> ศูนย์วังกวาง
.....เบรคแรกของการเดินทางเป้าหมายคือ "ซำแฮก" ซึ่งกว่าจะถึงชันมากๆ ทั้งชันและยาวไม่มีที่พักหายใจเลย คณะลูกหาบและนักท่องเที่ยวข้างบนกำลังกลับบ้านก็เดินสวนลงมาไม่ขาดสาย คนเดินขึ้นก็หืดจับ แก้วหูลั่นเปรี๊ยะๆ เข้าใจแล้วค่ะ อ่านเอกสารล่วงหน้ามาเขาบอกว่าซำแฮกนี้วัดใจ ถ้าตรงนี้ไม่ไหวก็อย่าไปต่อไปเลย แถมบางคนบอกว่าเจอซำแฮกก็ถอดใจกลับบ้านเลย อิฉันว่าน่าเสียดายยิ่งนักที่คนเรายอมพ่ายแพ้แก่ธรรมชาติ ไม่ถึงคางเหลืองไม่ถอยสิน่ะ
ภาพที่ PK04 พ่อไกด์แบกน้ำหนักตัวน้อยกว่าอิฉันร่วม 10 โล เดินตัวปลิวเลยค่ะ อิจฉาคนตัวผอมๆ จังเลย ไม่ต้องแบกน้ำหนักแยะ เฮ้อ....
ภาพที่ PK05 ดูลูกหาบที่แบกของร่วมร้อยโลเดินลงมาซี ฮือๆๆๆ เขาไม่เหนื่อยเลย ทำไมเรา...แฮ่ก...หอบ....หอบ....โอ้ย...ตาลายคว้างๆ...
......ใครที่คิดจินตนาการไม่ออกว่าอาการในระยะ "ซำแฮก" เป็นเยี่ยงไร ลองเดินด้วยบันไดขึ้นตึก 10 ชั้นดูค่ะ ประมาณๆ นั้น ห้ามหยุดพักนะ เพราะมันไม่มีที่ให้ยืนพัก เห็นสวรรค์รำไรเลยค่ะ บรรดาลูกหาบก็ช่างแส๊นนนนน...ดี เดินออกจากที่ทำการมาได้แป๊บเดียวเอง เชียร์แล้ว "เกือบถึงแล้วค่ะๆๆๆ อีกนิดเดียว" และเชียร์กันแบบนี้ตลอดเส้นทาง เป็นน้ำใจที่คุณจะไม่ได้สัมผัสที่ไหนนอกจากที่นี่....คิดดูถ้านั่งกระเช้าขึ้นไปคนพวกนี้จะตกงาน และน้ำจิตน้ำใจแบบนี้ก็จะสูญหายไปไม่มีใครได้เห็นอีก
............หูดับ....หน้าซีด....และแล้วก็ถึงสวรรค์จริงๆ ถึงที่พักสถานีแรก "ซำแฮก" แล้วค่ะ บนนี้เป็นลานกว้าง วิวสวย ขายอาหารและของที่ระลึก ที่จริงเรายังไม่ได้ทานกลางวันกัน แต่ไม่ทานแล้ว กลัวจุก หาอะไรเบาๆ ทานดีกว่า แตงโมเลย ชิ้นละ 10 บาท (ยิ่งสูงยิ่งแพง) และแวะกินของหวานมันทุกซำไป ไม่ว่าจะน้ำแข็งใส ไอศครีม ลูกชิ้นปิ้ง ก้วยปิ้ง ฯลฯ จนถึงยอดแหละค่ะ บริการเขาดีจริงๆ ไม่อดอยากปากแห้ง
ภาพที่ PK06 สวรรค์บนดินของ "ซำแฮก" แทบไม่อยากเดินต่อเลยค่ะ ทั้งอาหารการกิน และวิวสวยๆ ที่ราบกว้างๆ ที่เดินทางชันมาจนเดินทางราบแทบไม่เป็น
.....หลังจากนั้นก็แบบที่เขาว่าเลยค่ะว่า "ซำแฮก" มันพิสูจน์ใจ ผ่านตรงนั้นมาแล้วก็ไม่มีอะไรยากอีกต่อไป ค่อยเดินแบบประณีตบรรจง ต้วมเตี้ยมๆๆๆๆ ขึ้นเรื่อยๆ มียากอีกทีตรง ซำกอซาง (ถ้าจำไม่ผิด) ที่เป็นทางคอนกรีตซิกแซกไปมา ก็ชันไม่น้อย และอีกทีก็เบรคสุดท้ายก่อนถึงทางราบบนภู ที่เรียกว่า "ซำแคร่" (....คงอาการหนักคางเหลืองจนต้องเรียกแคร่มาหามแหละค่ะ)
ภาพที่ PK07 แหงนคอตั้งบ่าดูทางไป "ซำแคร่" อิฉันต้องก้าวขึ้นทีละก้าว...ละก้าว...ตามก้อนหินนั่นเหมือนคนนับลูกประคำสวดมนต์แหละค่ะ
ภาพที่ PK08 ลูกหาบเดินสวนลงไปมองเขาเป็นกำลังใจ
ภาพที่ PK09 ที่สุดของที่สุดก็บันไดแบบนี้ก่อนจะหมดกันทีทางชัน เป็นทางราบๆ ในที่สุด เอ้า....ฮึบ...เฮือกสุดท้าย
.....ก้าวสุดท้ายจากขั้นบันไดที่เห็นในภาพบนมา ก็โล่งว่าง สุดสายตา...ถึงแล้ว "หลังแป" ที่คนเดินขาแป กว่าจะมาถึง....บรรยากาศโปร่งงาม สดใสเหมือนขึ้นสวรรค์ ผู้คนบนนี้ก็หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับนางฟ้าเทวดา ต่างจากข้างล่างนั่นที่หน้านิ่วคิ้วขมวด ปวดขา เป็นตะคริว นวดเฟ้นกันจ้าละหวั่น ความเหน็ดเหนื่อยหายไปราวปลิดทิ้งเลยค่ะ อากาศดีมากๆ
ภาพ PK10 ....ถึงแล้ว !!! "หลังแป" โอ้วิมานบนดิน (เมื่อเทียบกับนรก ตรงก่อนจะมาถึงนี่)
ภาพ PK11 ขอเป็น "มนุษย์ป้าย" กับเขาด้วยคนซีคะ น้ำพักน้ำแรงนี่เนาะ
ภาพ PK12 ลูกหาบที่เอากระเป๋ามาส่ง จัดลำเลียงหีบห่อใหม่ เพราะจากนี้ไปทางราบตลอด ใช้รถเข็นลำเลียงค่ะ เขากำลังจัดระเบียบสัมภาระกันขมีขมัน
....จากจุดนี้ไป 3-4 กม. ก็เป็นทางราบตลอด วิวทิวทัศน์งามตา เราอยู่บันหลังกระดึงแล้ว ที่ราบกว้างใหญ่แห่งนี้ งดงามเสียยิ่งนัก หายสงสัยแล้วทำไมคนเขาตะเกียกตะกายที่จะมากัน
ภาพ PK13 ขอถ่ายกัน "มุมมหาชน" หน่อย....ระหว่างทางมุ่งหน้าไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ที่คนเขาชอบถ่ายมากัน ไม่ได้....เราพลาดได้ไง
.....ระหว่างทางก็แวะลงดูต้นไม้นานา มีทั้งสนสามใบต้นเล็กๆ เฟินจำพวกกูดเกี๊ยะและโชน สามร้อยยอด...รวมไปถึงไม้ดอกจำพวก "จุกนารี" หรือ โคลงเคลงเรานี่เอง (ทำไมแถวนี้เรียกงั้นไม่ทราบ) อากาศแจ่มใสไม่มีเมฆ เย็นสบายไม่ถึงกับหนาว แต่ตะวันคล้อยลงมากๆ แล้ว ประมาณบ่ายสี่โมงครึ่งเราก็ถึงปลายทาง บรรยากาศสงบเงียบน่าประทับใจ เสียงประกาศเสียงตามสายขอต้อนรับนักท่องเที่ยว คละเคล้ากับเสียงเพลง "ภูกระดึง" ของสุนทราภรณ์ที่จะได้ฟังไปตลอดเวลาของการพักอาศัยที่นี่ค่ะ ใครไม่เคยฟังลองคลิกค่ะ เพลง "ภูกระดึง"
ภาพ PK14 ภูมิประเทศแห้งๆ ระหว่างสองข้างทางเดินสู่ศูนย์ฯ วังกวาง ข้างบนนี้โล่งกว้าง น่าเวิ้งว้างดีจริงๆ เลยค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าตะกี้บุกป่าขึ้นมา
ภาพ PK 15 ....ในที่สุดก็ถึงที่พัก "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง"
......รอดตายไปได้แล้ว 1 วันค่ะ
Create Date : 25 มกราคม 2550 |
Last Update : 30 มกราคม 2550 12:04:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1218 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]
|
"แม่แป้น" เป็นนิคเนมล่าสุดที่เพื่อนชาวเน็ทตั้งให้อันเป็นภาคย่อของ "พังแป้น" ชื่อตัวละครที่เป็นช้างของชัยพฤกษ์การ์ตูน (ถ้าจำไม่ผิด) สงสัยเพราะเขาได้แรงบันดาลใจจากรูปร่างสะโอดสะองของแม่แป้นเป็นแน่ ชื่ออื่นๆ ของแม่แป้นอาจจะพบได้ในที่อื่นคือป้าบี (be_bee_th หรือ pa_bee หาตัวได้ที่ yahoo.com) เพื่อนตัวเป็นๆ เรียก "อ." ...ที่บ้านเรียก "น." เพื่อนที่พันทิปเรียกจู๋น, จู๋นๆ, จานจู๋น (มาจากชื่อ ๐๒๖ น่ะเองค่ะ) บางทียกหูโทรศัพท์ขึ้นมาก็งงตัวเองว่า ควรจะรายงานตัวว่าใครกำลังพูด !!!
|
|
|
|
|
|
|
|