|
|||||
เที่ยวไปกับรถไฟสายน้ำตก @ กาญจนบุรี ไหน ๆ ก็ไปกาญฯแล้วเนอะ ก็ขออีกทริปที่นี่ที่ดองไว้เกือบครึ่งปีค่ะ ปีก่อนนี่เป็นปีที่เราเครียดมากมายจริง ๆ ไปเดินเล่นญี่ปุ่นก็แล้ว ไปเลี้ยงช้างก็แล้ว ดีขึ้นได้แปีบนึง อ้ะ... เรื่องเข้ามาอีกละ เลยหาเรื่องทำอะไรซักอย่าง นึกขึ้นได้ว่าเราไม่ได้เดินทางด้วยรถไฟเท่าไหร่นัก ในชีวิตใช้อยู่ 2-3 ครั้งมั้ง และครั้งสุดท้ายก็เกือบยี่สิบปีละ นึกขึ้นได้อีกว่ามีรถไฟนำเที่ยว เลยไปจองตั๋วที่หัวลำโพง (จริง ๆ ซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่สถานนีไหนก็ได้ที่ออกตั๋วได้นะคะ แต่เราสะดวกที่หัวลำโพง) เรามุ่งมั่นมาก ขอชั้น 3 ค่ะ แบบมีหน้าต่างเปิดน่ะ แล้วไปเสาร์นี้เลยค่ะ จนท ดีมาก คงรู้ว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ขำนิด ๆ แล้วก็ชี้แจงรายละเอียดต่าง ๆ ดีมาก น่ารักมาก แล้วจบด้วยเสาร์นี้เต็ม แต่เสาร์หน้าว่าง เดี๋ยวจะเลือกที่นั่งให้นะคะ เราก็ค่ะๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเลือกที่นั่งนี่สำคัญ ตั๋วราคา 120 บาท เราได้ที่นั่งติดหน้าต่างด้านซ้าย หันหน้าไปทางหัวรถจักรในตอนขาไป ซึ่งเราว่ามันดีมาก ขอบคุณ จนท ท่านนั้นมาก ๆ เลยที่ไม่รำคาญเรา ออกเดินทางเลยเถอะ รถไฟจะออกจากหัวลำโพง 6.30 น. เราสะดวกขึ้นที่นี่ค่ะ แต่จริง ๆ ขึ้นได้ตามสถานีที่จอดเลยนะคะ รถไฟออก 6.30 น. ไม่เลท คนเยอะเหมือนกันค่ะ มากันเป็นกลุ่มซะส่วนมาก มี จนท ของการรถไฟทำหน้าที่เป็นผู้ให้ข้อมูลของที่ต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ พี่ จนท บอกว่าเส้นทางรถไฟเส้นทางนี้นี่ 400 กว่ากิโล ซึ่งเราก็จำไม่ได้แน่ แต่ระยะที่ใช้ได้จะมีเหลือ 300 กว่ากิโล ที่เหลือร้อยกิโลพี่เค้าบอกว่าให้ไปหาเอาเองว่าทำไมถึงเหลือแค่นี้ ประมาณแปดโมงกว่าถึงสถานีนครปฐม จอดที่นี่ครึ่งชั่วโมงให้หาอะไรทาน ฝนเริ่มตกค่ะ ของขายเยอะ แต่คนก็เยอะเช่นกัน เราเลยเดินเล่นเฉย ๆ เพราะมีเสบียงมาแล้ว ฝนตกหนักอยู่พักนึง พอเริ่มออกไปนอกเมืองก็เริ่มหยุด อากาศดีเลยค่ะ เราก็นั่งชมวิวไปเรื่อย ๆ เห็นหมอกปกคลุมยอดเขาสวยดี ประมาณสิบโมง เราก็มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว สร้างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นะ... ประวัติก็แบบที่รู้กัน สะพานนี้เป็นเส้นทางรถไฟสายมรณะ คนเยอะดีจริง ๆ เพราะมีรถไฟอีกขบวนนึงก็มาหยุดที่นี่เช่นกัน ขบวนนี้แหละค่ะที่นั่งมา ออกจากสะพานข้ามแม่น้ำแควก็ชมวิวข้างทางไปเรื่อย ๆ จนมาถึงที่แห่งนี้.... ถ้ำกระแซ พอมาถึงตรงนี้ มันมีสองฝั่งใช่มั้ยคะ ฝั่งนึงเป็นฝั่งแม่น้ำแควน้อย อีกฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งหน้าผา หน้าผาแห่งนี้ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะอย่างที่ทราบค่ะ ทางรถไฟสายนี้ญี่ปุ่นเกณฑ์เชลยศึกมาสร้าง ไม้หมอนตรงนี้ก็เป็นอันดั้งเดิม มีเชลยศึกที่เสียชีวิตไปจำนวนมากจากการเจ็บป่วยและการขาดอาหาร เชลยศึกที่ล้มตายมีหลายศาสนา พอหลังสงครามก็มีการทำพิธีทางศาสนาทุกศาสนาเลยทีเดียว ที่ตรงนี้จะขลังมากจากการทำพิธีนี่แหละ เค้าบอกว่าถ้าอธิษฐาน ให้เอามือแตะหน้าผาแล้วเอามาแตะหน้าผากเรา ก็จะเป็นไปตามคำอธิษฐาน แต่เราก็ไม่ได้ลองหรอกนะคะ และเมื่อมาถึงที่แห่งนี้ เราและ ผดส ที่นั่งทางฝังซ้ายถึงกับร้องว่้าว... มันเป็นภาพธรรมชาติของโค้งแม่น้ำแควน้อยที่สวยงามไม่พอ แต่ด้วยความที่ทางรถไฟก็โค้ง มันเลยเป็นภาพที่ perfect มาก แต่เราถ่ายรูปไม่สวย ภาพที่เห็นตรงหน้ามันสวยมากจริง ๆ ค่ะ เอาจริง ๆ 120 บาทกับทริปนี้ แค่นี้เราฟินมากแล้ว จนท อธิบายอะไรทุกคนไม่สนใจแล้ว ผดส ทางฝั่งขวาก็พุ่งมาถ่ายรูปฝั่งซ้ายกันหมด พวกเราฝั่งซ้ายก็หลบให้ทางฝั่งขวาได้มาถ่ายรูปบ้าง นี่เป็นอีกหนึ่งในการเดินทางที่เราชอบนะ น้ำใจจากเพื่อนร่วมทางซึ่งไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย รถไฟวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ เรารู้สึกดีมากกับธรรมชาติข้างทาง จนท นำเที่ยวบอกว่ามองไปนู้นเป็นเทือกเขาตะนาวศรีกั้นไทยกับพม่า เราก็มองใหญ่เลย ไหนคือตะนาวศรี ชะเง้อคอสุดชีวิต เอาเถอะ... บางอย่างเราไม่จำเป็นต้องรู้มากก็ได้เนอะ ภาพที่เห็นตรงหน้าภาพนี้เป็นอีกภาพหนึ่งที่เราชอบมาก (หมายถึงทิวทัศน์นะคะ) ทางรถไฟตัดผ่านสองข้างทางที่เป็นต้นไม้พุ่มไม้ มันใช่เลย นี่คือเสน่ห์ของการเดินทางโดยรถไฟสินะ ทางพิเศษเฉพาะรถไฟที่คุณจะไม่มีสิทธิ์ได้เห็นถ้าขับรถมาเอง ประมาณสิบเอ็ดโมงกว่ารถไฟก็มาถึงสถานีน้ำตก ซึ่งเป็นจุดหมายของทริปนี้ จนท บอกว่าเราจะมีเวลาถึงบ่ายสองครึ่ง ก็ประมาณสามชั่วโมงให้ขึ้นไปน้ำตกไทรโยคน้อยได้ เราก็ อือๆ... ฟังๆ แต่จริง ๆ เราไม่ใช่สายน้ำตกง่ะ ผดส คนอื่น ๆ รีบเรียกรถขึ้นไปน้ำตกกันใหญ่ เหมือนว่าจะคนละ 20 บาทหรือไงนี่แหละ เราเลยนึกภาพว่าคนต้องเยอะแน่ ๆ ไม่อยากขึ้นไปเท่าไหร่เลย แต่เดี๋ยวก่อน... นี่ไม่ใช่เวลามานั่งนึกอะไร เราควรรีบทานข้าวก่อนที่คนจะเยอะไปกว่านี้ เลยสั่งอาหารง่ายสุด กระเพราไก่ไข่ดาว ง่ายดีไหม ทานเสร็จอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันนึกอะไร น้องที่ร้านอาหารก็เรียกรถสองแถวที่กำลังจะออกรถให้ด้วยความหวังดี "พี่ ๆ น้ำตกนี่อีกคน" เรางง ฮะ?? พี่ต้องไปน้ำตกเหรอ?? พี่ไปที่อื่นได้มั้ย?? น้องตอบด้วยความหวังดี "ไปน้ำตกแหละพี่ แถวนี้ไม่มีอะไรหรอก รถรอแล้วน่ะ" เราวิ่งขึ้นรถอย่างง ๆ มีที่ว่างเหลือด้านหน้า เราก็มุดตัวเข้าไป เง้อ... ทรมาน ไม่โอเค ไม่อยากไป แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ แต่มันทำให้เราได้เจอป้ายที่รถเค้าห้อยไว้หลังเบาะด้านหน้า เป็นสถานที่ต่าง ๆ พร้อมราคา เราไล่ดูชื่อสถานที่ เอ๊ะ... ช่องเขาขาด รีบถามเลย ป้ายนี้คืออะไรคะ เหมารถเที่ยวเหรอคะ ช่องเขาขาดสองชั่วโมงกว่านี่กลับมาทันมั้ย ไปเลยค่ะ คนในรถงง พี่คนขับก็งง แต่เราจะไป ไปคนเดียวนี่แหละ เหมารถไป 800 บาทค่ะ ที่นี่ด้านหน้าเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เรายังไม่แวะ เดินไปด้านหลังก่อนค่ะ จะเป็นทางลงไปช่องเขาขาด โห มองทาง ทำไมมันดูไม่มีอะไรนอกจากทางเดินและต้นไม้ พอดีมีคนเดินกลับมา เลยถามว่าไกลมั้ย เค้าบอกไม่ไกล (เรามอง ไม่ไกล แต่ดูน้องหอบนะ ) เห็นป้าย เลยมาดู อ๋อ... มิน่า พี่คนขับถึงถามว่าจะให้รอรับที่นี่หรือที่ไหน เพราะเค้ามี walking trail ไปถึงตรงเครื่องอัดอากาศซึ่งจะมีความยาว 4 กิโลเมตรกันเลย ไม่ไหวแน่ ๆ เลยคิดว่าไปได้แค่ไหนก็แค่นั้นละกัน เวลามีน้อย หมดบันไดเริ่มเป็นทางดินเพื่อไปช่องเขาขาด ไม่มีคนเลย เราควรเดินต่อไหม ทำไมทางแคบจัง แต่มาถึงนี่แล้ว ก็เดินต่อดีกว่า อย่าตัดสินใจนาน ไม่มีเวลา ก็ตัดสินใจเดินนะ ก็เดินมาจนถึงป้ายนี้ (ระยะทางจากพิพิธภัณฑ์มาถึงนี่ก็ 380 เมตรค่ะ) แต่มันไม่มีคนเลยอ้า... นี่คืออุปสรรคอย่างเดียวจริง ๆ เพราะพอนึกถึงในอดีตว่าแถวนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างมันก็กลัวอยู่นะ แต่อยากรู้ก็เลยเดินต่อไป เอาสั้น ๆ เนาะ ช่องเขาขาด มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hellfire Pass ชื่อดูน่ากลัว สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นเร่งสร้างทางรถไฟเพื่อไปพม่า งานต้องเร่งทางเชลยศึกก็ถูกเร่งให้ทำงาน ทางบางช่วงเป็นภูเขาซึ่งต้องเจาะ เค้าก็ต้องเจาะกันด้วยมือเลยนะ ทำงานกันทั้งวันทั้งคืน เจาะภูเขาทั้งลูกด้วยมือเพื่อสร้างทางรถไฟ คิดว่าจะรอดกันมั้ยอ้ะ แล้วยังอุตส่าห์มีเศษซากไม้หมอนให้เห็นอีกนะ พอผ่านช่องเขาขาด เราอัดคลิปไง เสียงก็ก้องเชียว มีไว้อาลัยให้กับเชลยศึกที่อุทิศชีวิตไว้ที่นี่ เศร้าน่ะ รีบ ๆ เดินดีกว่า เราเดินมาถึงตรงนี้ เราคิดว่าเราจะไม่เดินต่อละ เพราะกว่าจะมาถึงนี่ได้ก็หลายนาทีอยู่ เราเดินไปถ่ายรูปไปด้วยน่ะค่ะ ดื่มด่ำกับธรรมชาติด้วย (มันน่าดื่มด่ำตรงไหน?? ) ตรงนี้มีลำธาร พอยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวมันเงียบจนได้ยินเสียงน้ำไหลชัดเจน มันไม่ดูวังเวงนะ แต่กลับได้รู้สึกถึงเสียงของธรรมชาติ มันผ่อนคลายค่ะ เรายืนผ่อนคลายอยู่แป๊บนึงก็เดินกลับ เห็นคนเดินสวนมาพร้อมกับคำถามว่า "อีกไกลมั้ยคะ" เรายิ้ม มันคงเป็นคำถามเบสิคของที่นี่เลยสินะ พอถึงตอนนี้แล้วก็อยากลองเดินให้ถึงเครื่องอัดอากาศเหมือนกันนะคะ เราลองคิดดู นี่เรามาเดินชิล เรายังรู้สึกเหนื่อย ถ้าโดนบังคับเดินแล้วยิ่งร้างกายล้า มันคงไม่สนุกนัก เราไม่ได้เข้าไปดูพิพิธภัณฑ์นะคะ เกรงใจพี่คนขับรถ พี่เค้าบอกไปเถอะ ยังมีเวลาอีกเยอะ เราบอกไม่เป็นไร ไว้มีเวลามากกว่านี้ดีกว่า ขากลับ รภไฟแค่ย้ายหัวจักร วิวข้างทางของเราก็เลยเป็นวิวแม่น้ำเหมือนเดิน แต่เป็นการนั่งหันหลัง ที่จริงตามกำหนดเราต้องแวะสุสานสัมพันธมิตรด้วย แต่ไม่มีเวลา ขบวนรถของเราจอดเป็นบางสถานีก็จริง แต่มีขบวนข้างหน้าเราซึ่งใช้รางเดียวกันจอดทุกสถานี ก็เลยอดไป แต่แค่นี้เราคุ้มแล้วค่ะ มาก ๆ ด้วย เราพอใจกับทริปนำเที่ยวของการรถไฟครั้งนี้มากนะ แล้วไว้เราจะหาเวลามาเที่ยวแถวนี้เองแบบไม่ต้องรีบ เรากลับมานั่งหาข้อมูลเพราะมีเรื่องอยากรู้ ทางรถไฟเส้นนี้เชื่อมต่อกับพม่าที่เมืองตันบูชายัด เราก็อยากเห็นอีกฝั่งหนึ่งเหมือนกันนะว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง เรารู้สึกว่าเราเริ่มหลงใหลการเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 แล้ว การนั่งชมธรรมชาติไปเรื่อย ๆ ได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติสวยงามข้างทาง มันเป็นการผ่อนคลายและหลบออกจากเมืองใหญ่ได้ดีจริง ๆ ค่ะ เราชอบจัง แก้ไข (21.3.18) : พิมพ์ผิดเยอะมาก และเพิ่มสถานที่ที่หัวข้อบล็อกค่ะ
อยากนั่งรถไฟไปเที่ยวแบบนี้บ้างจังเลยค่ะ
อยากไปชมสะพานข้ามแม่น้ำแคว ทิวทัศน์แถวนั้นสวยมากเลยนะคะ อยากไปชมช่องเขาขาดด้วยค่ะ เคยได้ยินแต่ชื่อ โดย: mambymam วันที่: 20 มีนาคม 2561 เวลา:17:17:27 น.
สวัสดียามเช้าค่ะ
มาชมทัศนียภาพสวยๆริมแม่้ำแควอีกรอบ ต้นไม้เขียวขจี สวยจับใจเลย ชอบมากกกกค่ะ ไว้จะหาโอกาสไปนั่งรถไฟชมให้ได้เลย ขอบคุณที่แวะเยี่ยมนะคะ โดย: mambymam วันที่: 21 มีนาคม 2561 เวลา:8:28:36 น.
|
melody_bangkok
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่บางครั้งก็มีโลกส่วนตัวสูงมากมาย แต่ในบางครั้งก็พยายามจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในโลกส่วนตัวของคนอื่น... :P ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ... ^^ All Blog
| ||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
วลีลักษณา Literature Blog ดู Blog
ดาวริมทะเล Diarist ดู Blog
melody_bangkok Travel Blog ดู Blog
ดีค่ะป้าเองก็ชอบว่างๆก็ไปเที่ยวซะที