ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
Henry Guisan ก็ต้องเล่าซะหน่อยนะเดี๋ยว แฟนๆจะสงสัยเอาว่า ฮิตเล่อร์เหลือสวิตเซอร์แลนด์เอาไว้ทำพระแสงอะไร ความจริง..ใครว่าไม่อยากได้ ฮิตเล่อร์นี่แหละตัวดี เขากล่าวไว้ว่า ถ้ายุโรปเปรียบได้ปานประหนึ่งใบหน้าของหญิงสาวสวย สวิตเซอร์แลนด์ก็เปรียบเหมือนกับสิวเม็ดเป้ง ที่ต้องขจัดออกไป !! ข้อความนี้เป็นที่รู้กันไปทั่ว.. จนวันที่ 25 กรกฎาคม 1940 หลังจากที่ประเทศอื่นๆได้ถูกกลืนกินไปจนสิ้นแล้ว รวมทั้งฝรั่งเศสที่เคยยิ่งยง อังกฤษที่ต้องแจวหนีทะเลไปอย่างหัวซุกหัวซุน แถมทิ้งอาวุธมากมายไว้ให้ดูต่างหน้าซะอีกนี่ซิ สวิตฯเริ่มมองเห็นอนาคตแล้ว..ว่า..มันมาแน่ วันนั้น นายพล Henry Guisan (อองรี กีซัง) ผู้บัญชาการทหารบกได้นำนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดกว่า 600 นาย ไปยัง ยอดเขาใกล้ทะเลสาบลูเซิน..พวกเขาได้ไปยืนอยู่ที่จุดๆหนึ่ง ที่เรียกว่า Rutli Meadow อันเป็นพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์ของการนองเลือดเพื่อเอกราชของชาวสวิสในครั้งกาลก่อน นายพลกีซัง ได้ ประกาศต่อนายทหารทั้งหลายว่า "วันนี้ กระผมขอพูดกับพวกท่านแบบลูกผู้ชายชาติทหาร ว่า เราอยู่ท่ามกลางศึกเหนือ(เยอรมัน)เสือใต้(อิตาลี) ซึ่งพวกมันพร้อมที่จะเข้าขย้ำเราในทุกเมื่อ นับว่า..ครั้งนี้ คือการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ที่เราจะต้องสู้เพื่อเอกราชของเรา และ หมายถึงว่า..เราจะสู้จนตายไปข้างหนึ่ง เรื่องที่จะยอมแพ้นั้น..ไม่มีวัน " ทุกคนขานรับแบบไชโยโห่ฮิ้ว.. เพราะ ที่ตรงนั้น Rutli Meadow เมื่อ 650 ปีก่อน..ได้มีประวัติศาตร์จารึกอันเป็นที่เล่าขานไปทั่วโลกถึง วีรบุรุษ William Tell ในยุคนั้น นักรบชาวสวิสถือได้ว่า เป็นชนชาตินักรบที่ดุร้ายที่สุดในยุโรป ไม่ยอมก้มหัวให้แก่ใครเป็นอันขาด.. ออสเตรีย ได้เข้ามาบุกรุก และ ส่งเสนาบดี Gessler เข้ามาควบคุมดูแล..วิลเลียม เทล ปฎิเสธที่จะก้มหัวแสดงความเคารพ จึงถูกอาญา โดยให้เลือกเอาว่า จะถูกฆ่าตายพร้อมกับ ลูกชายวัยหกขวบ หรือจะแสดงความสามารถโดยการยิงธนูให้ไปเสียบบนลูกแอปเปิล ที่ตั้งอยู่บนศรีษะของลูกชาย..ในระยะ 120 ก้าว ถ้าแม่น...จึงจะไว้ชีวิต เหลือเพียงโทษแค่จองจำ.. (และจะเล่าเรื่องกองทัพสกีแม่นปืนของสวิตฯ กับเรื่องฟินแลนด์ให้ฟังที่หลัง ตอนที่จะถึงการบุกรัสเซียในนามปฏิบัติการบารารอสซ่า เพราะมันคาบเกี่ยวกัน..) วิลเลี่ยม เทล..ยอมรับที่จะแสดงฝีมือของการฉมังธนู เขาส่งลูกศรไปเสียบบนแอปเปิลลูกนั้นอย่างตรงเป้า..ท่านเสนาบดีข้องใจเดินมาดูที่กระบอกคันธนู แล้วถามว่า "ทำไมถึงเหลือไว้อีกดอกนึงเล่า เพราะให้ยิงแค่ดอกเดียวเท่านั้น" เขาตอบว่า... "ถ้ากรูยิงพลาดไปโดนลูก..ลูกศรที่เหลือดอกนี้ คือไม่พลาดหัวใจเมิงแน่ๆ" ต่อมาเขาก็ถูกจับเป็นนักโทษ..แต่สามารถหลบหนีในช่วงการเปลี่ยนที่คุมขังได้กลางทาง..และได้รวบรวมผู้คนต่อต้านขับไล่ออสเตรียนออกจากประเทศได้เป็นผลสำเร็จ.. และลูกศรที่เหลือดอกนั้น..เขาได้ส่งมันเข้าไปเสียบในหัวใจของ Gessler ได้ในที่สุด จากนั้นมา..ไม่ว่าใครที่คิดจะเข้าไปบุกรุกใน สวิตฯ ก็ถูกตีกระเจิงกลับมาทั้งสิ้น ราวกับว่าเทือกเขา Alpine นั้น ช่างมีความศักสิทธิ์ให้ความคุ้มครองป้องกันประชาชนได้อย่างเหลือเชื่อ.. จนกระทั่งถึงยุคของนโปเลียน ที่สามารถเข้าครอบครองได้อย่างเป็นผลสำเร็จ..แต่ก็เกิดการนองเลือดระหว่าง เยอรมันสวิส และ ฝรั่งเศสสวิส อย่างไม่มีวันเลิกรา กว่าจะไล่ฝรั่งเศสออกไปได้ ก็บอบช้ำพอสมควร จากนั้นมา ชาวสวิสจึงสาบานตนกันว่า จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามายึดครองประเทศได้อีก.. ประชาชนได้รับการฝึกหัดภาคสนามและการทหารอย่างเอาจริงเอาจัง ผู้ชาย..ถ้ายังยิงปืนไม่แม่น..ห้ามแต่งงาน.. จนมาในสมัยของไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ หนึ่ง และ เสนาบดีคู่ใจบิสมาร์ค ได้ยกทัพขอผ่านเขตแดนจะไปจับศึกกะอิตาลี ซึ่งแน่นอนว่า อย่าหวัง.. จนไกเซอร์ได้ไปเยี่ยนเยียน และขอเยี่ยมชมกิจการทหาร..พอเห็นว่า กองทัพสวิตฯมีกำลังเพียง สองแสนห้าหมื่นคน.. ในขณะที่ เยอรมันมีถึง ห้าแสนคน ไกเซอร์จึงถามว่า ถ้าเยอรมันบุกต่อตีเข้าจริงๆ ทหารสวิสจะทำยังไง.. คำตอบคือ.." then everyone of us will have to shoot twice!" (จำไว้นะ ประโยคนี้ คือประโยคเด็ดที่พวกทหารเอามาคุยกันสนุกๆเสมอ) K31 Rifle ในเดือนกันยายน ปี 1933 แผนการฮุบสวิตฯได้ถูกพิมพ์ออกแจกจ่าย ก็เหมือนกับการคัดลอกออกมาจาก Mein Kampf ของท่านฮิตเล่อร์เขานั่นแหละ ที่เขียนไว้ว่า เลือดของชาวไรค์ จะต้องมาไหลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หมายถึงว่า ในอดีตกาล ดินแดนส่วนของสวิตเซอร์แลนด์เคยได้รวมเป็นทองแผ่นเดียวกับ ออสเตรีย เยอรมัน (ในยุคกลาง สมัยพระเจ้าชารล์มาญที่เล่าให้ฟังแล้ว ที่เรียกว่า Holy Roman Empire) และเป็นที่น่าประหลาดใจ..ทันทีที่แผนนี้ได้ล่วงรู้ถึงหูชาวสวิส อันชนชาติจริงๆแล้วกอร์ปไปด้วยรวมมิตรเช่น.. เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน ต่างพากันตื่นตัวต่อต้านนาซีกันสุดฤทธิ์ ชาวประชาพากันไปซ้อมยิงปืนกันเป็นที่เอิกเกริก ในปี 1935 ปืนยาว K31 คาร์ไบน์ ได้ออกมาใช้สำหรับในประเทศ ว่ากันว่า เป็นปืนยาวที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก ซึ่ง สามแสนห้าหมื่นกระบอกนั้น อยู่ในความครอบครองของชาวสวิส ซึ่งหมายถึงมีใช้ในทุกครัวเรือน นอกจากนั้น ภายในปี 1938 สวิตฯได้สร้างเสริมกำลังอาวุธในกองทัพอย่างแน่นหนา รวมไปถึงการสร้างเครื่องกีดขวาง อุโมงค์ต่อเชื่อมกับประเทศเจ้าปัญหา สามารถทำลายปิดกั้นลงได้ในทุกเวลา ทุกคนเตรียมพร้อมอย่างไม่กลัวเกรงเลยสักนิดว่า ฮิตเล่อร์ที่มีประชากรรวมแล้ว 120 ล้านคน(หมายถึงประเทศอื่นๆที่ไปยึดเขามาด้วย) แต่..สวิตเซอร์แลนด์ มีประชากรเพียงแค่ 4 ล้านคน(เป็นทหารซะเจ็ดแสน) หลังจากที่ฝรั่งเศสล่มอยู่ในอำนาจนาซีได้ไม่นาน ฮิตเล่อร์กับมุสโสลินี ต่างเริ่มแผนการว่าจะแบ่งเค้กในส่วนนี้กันยังไง ภายใต้แผนชื่อว่า von Menges สรุปได้ว่า ฮิตเล่อร์จะเอาดินแดนจากส่วนเหนือลงไปสองในสาม มุสโสลินี รับเอาส่วนที่เหลือ ฮิตเล่อร์สัญญาด้วยความมั่นใจว่า "ต้องไปสั่งสอนไอ้พวกเลี้ยงวัว กะไอ้พวกทำชีสซะหน่อย..ให้พวกมันรู้สำนึก" และอย่างที่เล่ามาแล้วว่า นายพล อองรี กีซัง และเหล่าทหารหาญได้ประกาศสู้ตายเช่นกัน..กองทัพสวิสเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพขึ้นไปบนภูเขา ถ้าคับขันขึ้นมา พวกเขาพร้อมที่จะสละ พื้นที่ 75% ของประเทศ กองทัพอากาศเล็กๆของสวิตฯ ได้สอยเครื่องของลุฟท์วัฟฟ์ ที่บังอาจบินกระแดะเข้ามาในน่านฟ้าถึง 11 ลำ อีกทั้ง.. ถ้าจับได้ว่า ทหารคนไหน pro-Nazi ละก้อ ให้ยึดหลักว่า จับได้ตรงไหน ยิงทิ้งตรงนั้น (โดนไปกว่า 17 ศพ) และที่ตลกที่สุดคือ..เครื่องบินที่สอยลุฟท์วัฟฟ์ร่วงไปหลายลำนั้น คือ ME-109 ที่ซื้อไปจากเยอรมันนั่นแหละ.. รวมไปถึงกองทัพสกีแม่นปืนที่คุมภูมิประเทศแถบเทือกเขาอัลไพน์อีกเล่า.. แม้ว่าฮิตเล่อร์จะต้องการเส้นทางลัดตัดผ่าน สวิตฯเพื่อลำเลียงอาวุธไปช่วยอิตาลีในปีย่ำแย่ของสงคราม (43-44) แค่ไหน ก็ยังไม่สามารถฝ่าแรงต่อต้านของพวกเลี้ยงวัว และพวกทำชีสทหารของกองทัพสวิสไปได้ ตลอด 12 ปี ของยุคนาซี สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศใข่ดาวประเทศเดียว ที่ รอดพ้นจากเงื้อมมือไปได้อย่างสง่างาม สมกับเป็นเชื้อสายของ วีรบุีรุษ William Tell !! เรื่อง"เกลียดยิว" ของฮิตเล่อร์มีคนถามหลายคน ตามกระทู้ต่างๆ แต่จะเข้าไปอธิบายไม่ได้ เพราะ คนที่ถามตั้งใจจะรู้ด้วยเพียงการสรุปให้สองสามประโยค ซึ่งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ คนที่อยากรู้จริงๆ ต้องเข้าใจพื้นฐานการเป็นไปในประวัติศาสตร์ยุโรปเสียก่อน.. โดยเฉพาะ เรื่องของเศรษฐกิจที่อยู่ในมือของคนเพียงกลุ่มเดียว..กลุ่มนี้แหละ คือ The Rothschild Family หรือ The House of Rothschild เทียบได้สมัยนี้เท่ากับ โซรอส นั่นแหละ.. ต้นตระกูลของเขาคือ นาย Mayer Amschel Rothschild เห็นชื่อต้นว่า Mayer** ก็ไม่ต้องเดานะ เพราะว่า นี่คือ"ยิว"แท้ๆ แต่เขาเกิดในแฟรงค์เฟิร์ต เยอรมัน (1743-1812) พอโตขึ้น เขาก็เข้าทำงานที่ Hanover Bank ที่เจ้าของคือตระกูล Oppenheimers อันเป็นจ๊อบแรก จากนั้นก็ลาออกไปบริหารธุรกิจของครอบครัว เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้บิดา (**Mayer สืบเนื่องต่อจากกระทู้ที่แล้ว..ถึงที่มาของชื่อนี้ที่ได้กลายมาเป็นอัปมงคลสำหรับชาวเยอรมันในยุคต่อต้านยิว..ตามที่เกอริงได้ประกาศเอาไว้..) ในช่วงที่เขาได้ทำงานธนาคารนั้น เขาได้เก็บเกี่ยวความรู้ในเรื่องเงินสกุลต่างๆรวมทั้งสะสมเหรียญกษาปณ์ที่หายาก ซึ่งทำรายได้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนให้เขาอย่างมากมาย จนในปี 1769 เขาได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจจากพระราชวงค์ต่างๆทั่วยุโรป รวมทั้งพระเจ้า George ที่สองของอังกฤษ ให้เป็นตัวแทนในการดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยน ซึ่งในที่สุดต่อมาเขาได้ขยายกิจการไปยังสาขาอื่นๆ เช่น ลงทุนซื้อไร่ไวน์ชั้นเลิศในฝรั่งเศส, การนำเข้า-ออกของสินค้าจากอังกฤษ และจากนั้นไม่นาน รอธส์ไชลด์ ก็เริ่มรู้ว่าเดินมาถูกทางในการที่ก้าวขึ้นไปสู่ บัลลังค์เงินตรา โดยการนำเงินกู้ให้กับกษัตริย์ในประเทศต่างๆ เช่นเจ้าชาย วิลเฮล์ม แห่ง เฮสส์ (เยอรมัน) ในปี 1804 (ให้กู้ในนามของรัฐบาล) เพื่อนำมาหมุนเวียนภายในประเทศ ในปี 1806 นโปเลียนยาตราทัพเข้าตีเยอรมัน เจ้าชายวิลเฮล์มต้องหนีไปอยู่ที่เดนมาร์คอย่างกระทันหัน ทิ้งทรัพย์สินเงินทองให้อยู่ในความดูแลของ Mayer Rothschild ซึ่งไม่ต่างอะไรกับอ้อยเข้าปากช้าง เพราะ หลักฐานรายการทรัพย์สินต่างๆได้ถูกทำลายทิ้งไป แต่ที่รู้ๆก็มีว่านาย Buderus von Carlhausen รัฐมนตรีคลังของเยอรมัน และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ต้องจ่ายเงินจำนวน หกแสนปอนด์ให้กับนโปเลียนเพื่อไม่ให้มายุ่งกับเงินในส่วนอื่นๆของประเทศ และนาย คาลเฮาซัน รีบส่งตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศให้กับนาย ร็อธส์ไชลด์ ทันที นโปเลียนได้ออกคำสั่งว่า รายได้อันจะพึงมีจากเงินกู้กรือดอกเบี้ยใดๆก็จากในบัญชีของเจ้าชายวิลเฮล์ม ต้องส่งเข้าคลังของฝรั่งเศส และ..ถ้าในตามเก็บหนี้ที่สูญไปมาได้ จะให้ค่านายหน้า 25% (เห็นแม๊ะ..นโปเลียนก็เล่นเป็น) แต่..นายร็อธไชลด์ ได้แต่คิดในใจว่า..ฝันไปเหอะ นโปเลียนเอ๋ย..!! จังหวะแรกของการร่ำซ้ำรวยซ้อนของร็อธส์ไชลด์ ได้แก่การฉวยโอกาสที่สงคราม วอเตอร์ลู ซึ่งในครั้งแรก นโปเลียนมีชัยชนะ..ใครๆก็เชื่อว่าอย่างนั้น แต่ Sir Nathan Rothschild (ลูกชายนาย Mayer) นายธนาคารใหญ่แห่งประเทศอังกฤษ อุตส่าห์ส่งคน (นาย Rothworth)ไปเฝ้าสังเกตการศึกครั้งนี้ด้วยตัวเอง พอเริ่มเห็นว่า นโปเลียนพ่ายทัพครั้งนี้จริงๆซะแล้ว..จึงรีบขี่ม้าไปยังกรุงบรัสเซลส์ และ ออสเทนด์ ยอมจ่ายค่าเรือข้ามช่องแคบมายังอังกฤษแบบเร่งด่วนด้วยราคา 2000 ฟรังค์ เพื่อมาบอกข่าวแก่เจ้านาย เซอร์ นาธาน รับทราบข่าวในวันที่ 20 มิถุนายน เขาได้พยายามบอกแก่ใครต่อใครว่า นโปเลียนพ่ายทัพ แต่ไม่มีใครเชื่อ ต่างพากันหัวเราะเยาะเฮฮา ซึ่งเข้าทางของนายนาธาน เขาเอาสต๊อคของเขาออกมาเทขายทิ้งแบบไม่มีราคาค่างวด ใครต่อใครจึงเทขายตาม.. และ..คงไม่ต้องเดานะ ว่า เขาได้สั่งให้พรรคพวกไปแอบช้อนซื้อมาเก็บไว้ทั้งหมด..ในราคาที่ถูกแสนถูก Sir Nathan Rothschild และในวันที่ 21 มิถุนายน..ท่านผู้บัญชาการ Henry Percy ได้กลับมาจากทัพ เข้าสู่กลาโหมเพื่อที่จะประกาศว่า สงครามครั้งนี้ นโปเลียนได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูป เพียงเท่านั้นเอง..นายนาธาน ร็อธส์ไชลด์ ก็ได้คุมเศรษฐกิจของอังกฤษไว้ทั้งหมด เขาสามารถสั่งให้รัฐบาลทำใบอนุญาตการธนาคารให้แก่เขาในนามว่า Bank of England ซึ่งอำนาจทั้งหมดในการบริหารขึ้นอยู่กับเขาแต่ผู้เดียว เป็นอันว่า..การพ่ายทัพของนโปเลียน ได้สร้างความมั่งคั่งอันดับหนึ่งในยุโรปให้กับตระกูลยิวร็อธส์ไชลด์ เพียงชั่วข้ามคืน !! ในปี 1817 ฝรั่งเศสเริ่มกู้เศรษฐกิจของประเทศกลับคืนมาได้ พวกร็อธส์ไชลด์เห็นเป็นโอกาสอันดี จึงถล่มซื้อพันธบัตรฝรั่งเศสด้วยจำนวนมหาศาลในปี 1818 เพื่อเป็นการเก็งกำไร เพียงปีเดียว พวกเขาก็ได้ครอบครองเศรษฐกิจของฝรั่งเศสอย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่อังกฤษและฝรั่งเศสที่กล่าวมาแค่นั้น..มันกระจายไปทั่วยุโรป ดังนี้ Nathan Rothschild และ ลูกชาย คุม การธนาคาร ใน อังกฤษ เยอรมัน เขาคนนี้เคยพูดไว้ว่า.. "ใครจะมานั่งบัลลังค์อังกฤษนี่ ไม่สำคัญสำหรับผมหรอก คนที่คุมคลังเท่านั้น คือผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริง" ลูกชาย Salomon Rothschild ได้ยกให้เป็น ท่านบารอน ในอาณาจักรแห่งออสเตรีย และคุมการคลังในออสเตรีย เขาคนนี้เป็นคนที่ประกาศเช่นกันว่า "ใครจะร่างกฏหมายอย่างไรก็ช่างมัน ขอแต่ให้ข้าคุมถุงเงินก็พอ" นอกนั้นยังมีคนในตะกูลอื่นๆอีก ที่เข้ามาควบคุมตำแหน่งสำคัญทางการเงินในเมืองสำคัญๆแทบทั้งหมด เช่น Karl Mayer Rothschild คุมธนาคารที่เนเปิล อิตาลี James Mayer Rothschild คุมธนาคารที่ปารีส ฝรั่งเศส ตระกูลร็อธส์ไชลด์ ได้มีทรัพย์สินในยามนั้น ประมาณกว่า สามร้อยล้าน ดอลล่าร์ เมื่อมีเงินมาขนาดนั้น พวกเขาก็คิดทำงานใหญ่ นั่นคือ ออกเงินกู้ให้อังกฤษซื้อสัมปทานคลองซูเอซ,สร้างทางรถไฟ, สนับสนุนอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก สนับสนุนโครงการเจาะน้ำมันในรัสเซียและในทะเลทรายซาฮาร่า, ทำเหมืองเพชร, ให้ทุนฝรั่งเศสในการเข้าไปบุกรุกยึดครองอาฟริกา, สนับสนุนโครงการสัมปทานน้ำมันให้กับตระกูล Rockyfeller(ยิวอเมริกัน), ให้เงินกู้สถานะสภาพคล่องให้กับสำนักวาติกัน, และ ให้เงินกู้กับราชวงค์ฮัฟบวร์ก ดังนั้น..ในยุคของ 1820 เป็นต้นมา..คือยุคทองของ Rothschild อย่างแท้จริง..จนมีคำกล่าวว่า.. "only one power in Europe, and that is Rothschild." ในปี 1913 ทรัพย์สินของพวกเขามีถึงกว่าสองพันล้านดอลล่าร์ ต่อมาความจริงจากสายสืบของอเมริกาและอังกฤษก็ได้หลักฐานว่า....สงครามที่รบๆกันอยู่ในอเมริกาก็ดี ทั้ง James Madison, Thomas Jefferson, และ James Monroe ล้วนแต่ได้รับทุนสนับสนุนจากร็อธส์ไชล์ด ทั้งนั้น ยิ่งค้นยิ่งเจอ นั่นคือ แม้กระทั่งนโปเลียนเอง ก็ได้รับการสนับสนุนจากร็อธส์ไชลด์ สาขาฝรั่งเศส ส่วน..อังกฤษ ก็ได้รับทุนจากสาขาร็อธส์ไชลด์ สายอังกฤษเช่นกัน เอาเป็นว่า ไม่ว่าใครรบกันที่ไหน กู้เงินจากยิวตระกูลนี้ทั้งนั้น ในอังกฤษ..ที่ทำการของร็อธส์ไชล์ดนั้น ตั้งอยู่ในกลางใจกรุงลอนดอน อันเป็นที่เรียกกันว่า "The City" หรือ "Square Mile" อันเป็นที่ตั้งของธนาคารและบริษัทยักษ์ใหญ่สารพัด เนื้อที่ประมาณว่า 677 เอเคอร์ อันนับว่าเป็นพื้นที่ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก อีกทั้ง..ได้รับสิทธิพิเศษในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของตัวเองได้ทุกปี (ตั้งแต่ปี 1215 โดยพระเจ้า จอห์น) และยึดถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ ในเนื้อที่ของ The City นี้..เป็นเอกเทศจริงๆ เพราะได้รับเอกสิทธิจากการเป็นที่ดินส่วนตัว และจากการให้เงินค้ำจุนประเทศ จึงไม่ต้องขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดิน หรือสภาอังกฤษ..พวกเขาปกครองกันเอง โดยคณะกรรมาธิการ 12-14 คน ขึ้นตรงกับ ลอร์ดแมย์ แต่ผู้เดียว อันเป็นที่มาของการคุมเศรษฐกิจค่อนโลกของคนเพียงตระกูลเดียว.. ตอนนี้เข้าใจหรือยัง..ว่า สงครามในครั้งต่อๆมา รวมไปถึงสงครามกลางเมืองในเยอรมันตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น ใครอยู่เบื้องหลัง.. และ..ยุยงสนับสนุนกำลังทรัพย์ในทุกๆด้าน.. ที่เขียนมาเล่านี่แบบข้ามๆนะ เพราะมันจะยาวมาก แต่..ฮิตเล่อร์นั้น เกิดทันได้เห็นข้อมูลที่เล่ามาต่างๆเหล่านี้คาตา..สะสมความแค้นทีละเล็กละน้อยในใจ จนมันตกผลึก กลายมาเป็น ความเกลียดชังอย่างที่เห็นๆนี่แหละ !! พูดถึงเรื่องสวิตเซอร์แลนด์แล้วเนี่ยนะ ในยุคนั้นจัดว่าเป็นศูนย์กลางของเหล่าสายลับจากนานาประเทศเลยเชียว อีกทั้งเป็นศูนย์รวมการอพยพหนีตายของชาวยิว.. ต้องเล่าเก็บไปทีละเรื่อง แต่ที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ ในยุคแรกๆที่ฮิตเล่อร์เริ่มมาแรงในเรื่องของการกีดกัน"ยิว" ก็ให้เผอิญว่า มี"ยิว"ครอบครัวหนึ่ง เริ่มรู้สึกตัวว่าอยู่ในเยอรมันไม่ได้แน่ๆ ลางร้ายเริ่มส่อเค้ามาแต่ไกล..ครอบครัวนั้นก็คือ นาย Hermann และ นาง Pauline Einstein ที่มีลูกเล็กสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ลูกชาย คือ Albert ลูกสาว คือ Maria หรือ Maja ตัว Albert (เกิด 14 มีนาคม 1879) นั้น น่าเป็นห่วงเพราะ ว่า ค่อนข้างปัญญาทึบ จนอายุห้าขวบแล้วยังพูดจาไม่ได้เรื่องได้ราว พ่อแม่จึงส่งให้เป็นเรียนดนตรีซะ(ไวโอลิน) ตั้งแต่ตอนอายุได้ หกขวบ.. เพื่อจะได้หวังพึ่งพาเอาดีทางนี้ในอนาคต. เรื่องการเรียนในระยะแรกๆนั้น เขาเริ่มกระเตื้องขึ้นมาตอนอายุได้ 9 ขวบ แต่ให้มีเหตุการณ์ต้องย้ายออกนอกประเทศตามธุรกิจของครอบครัว เมื่ออายุได้ 15 ปี ไปยังเมือง ปาเวีย ประเทศ อิตาลี แต่เนื่องจาก ครอบครัวนี้จัดอยู่ในฐานะที่ค่อนข้างมีอันจะกิน และ ถือเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ (เช่นชาวยิวทั่วไป) อัลเบิร์ต จึงถูกส่งไปศึกษาต่อยังเมือง ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทางด้านวิทยาศาสตร์ เขาได้จบการศึกษาจากสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุโรป นั่นก็คือ Swiss Federal Institute of Technology ซึ่งที่นี่เขาได้พบและตกร่องปล่องชิ้นกับเพื่อนหญิงนักศึกษา จนมาแต่งงานกันในที่สุด เธอชื่อว่า Meliva (หย่าในปี 1914 ไอน์สไตน์แต่งงานใหม่กับญาติสาว ในปี 1919) อัลเบิร์ตก็เหมือนนักศึกษาระดับกลางทั่วๆไปที่ชอบโดดเรียน ยืมงานของเพื่อนมาลอก และ ยามว่างเขาชอบใช้เวลาในห้องสมุดเพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับวิชาวิทยาศาสตร์และฟิสิคส์ มาอ่านเพิ่มพูนความรู้ จนอาจารย์ผู้ปกครอง นาย Heinrich F. Weber เริ่มอิดหนาระอาใจกับท่าทีไม่เอาไหนของศิษย์คนนี้อย่างเหลือเกิน จึงเมินเฉยต่อการช่วยเหลือใดๆในการที่จะช่วยส่งให้ไปฝึกงานเพื่อเสริมทักษะ หากแต่ เขาก็สามารถดิ้นรนผสมกับแรงผลักดันของเพื่อนรัก จึงได้เข้าไปทำงานในตำแหน่งเสมียน ของสถาบัน.. Swiss Federal Institute of Technology และ เขาได้ รับการโอนสัญชาติให้เป็นชาวสวิส ในปี 1901 ในช่วงปีแห่งการค้นคว้า 1902-1909 นั้นเขาได้ค้นพบทฤษฏีแห่งพลังงาน จนเขียนออกเป็นตำราเป็นที่ฮือฮา (The photoelectric effect 1905) และได้เดินสายสอนในหลายๆที่ จนมาปักหลักสอนเป็นเรืื่องเป็นราวที่เยอรมัน..และ ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิคส์ด้วยสูตรที่มีสำคัญที่สุดในโลกในปี 1921 (E=mc2 คงเรียนมากันแล้วนะจ๊ะ นักเรียนจ๋า) ต่อมาสถานการณ์ในเยอรมันชักไม่ค่อยดี การรังเกิยจยิวเริ่มรุนแรงขึ้น..เขาจึงเดินทางออกไปบรรยายรอบโลก ที่อเมริกา เขาบรรบายเพื่อเป็นการระดมหาทุนให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนครเยรูซาเล็ม (อย่างไม่แคร์เลยว่า...ข้าเป็นยิว) แต่ในช่วงนั้น การวิจัยในสถาบันพลังงานกับทีมของเยอรมันนั้นได้ก้าวหน้ามาก จนกระแสกดดันเกี่ยวกับยิวได้ทวีมากขึ้น เขาจึงเดินทางไปตั้งต้นที่อเมริกาในปี 1933 ที่มหาวิทยาลัย Princeton อันเป็นปีที่นาซีได้เข้าครอบครองไปทั่วทุกแห่งในเยอรมัน และ นาซีได้นำตำราของไอน์สไตน์และยิวปัญญาชนคนอื่นๆมาเผาทิ้งอย่างหมดสิ้น (อย่างนี้ เขาเรียกว่าโง่มั๊ยเนี่ยย..ไม่งั้นสงครามคราวนี้มันชนะแน่) จนไอน์สไตน์ ต้องส่งจดหมายไปเตือนประธานาธิบดี รูสเวลต์ ใจความดังนี้.. //www.dannen.com/ae-fdr.html ดูซิว่าท่านน่ารักขนาดไหน อุตส่าห์บอกหมดถึงแหล่งแร่ พร้อมคุณภาพ แถมไม่เกรงใจเลยที่จะบอกว่า แร่ของอเมริกานั้นคุณภาพต่ำ.. แต่ป๊าวว..รูสเวลต์หาได้สนใจไม่..จนกระทั่งมารู้ว่า..เยอรมันกำลังจะสร้างอะตอมมิคบอมบ์เท่านั้นแหละ.. ตาเหลือก อนุมัติงบประมาณในการสร้างและทดลองอย่างฉับพลันเลยที เพราะหน่วยข่าวกรองได้แจ้งมาว่า.. Dr. Werner Heisenberg นักวิทยาศาสตร์เยอรมันที่ได้รับรางวัลโนเบลเช่นกันนั้น คือหัวหอกคนสำคัญในโครงการอาวุธของนาซี แต่โชคดีที่ดร.Heisenberg ยังวิจัยงานไม่สำเร็จ..ซึ่งฝ่ายสพม.มารู้ที่หลัง ว่า เกือบจะเสร็จแล้ว ช้าไปนิดเดียวเอ๊ง.. อ้ะ..ทีนี้ต้องวกกลับมาเล่าเรื่องของสงครามต่อได้แล้วนะ ทีนี้จะเริ่มทางเรื่องของกองทัพเรือ ที่เวลามันก็คาบเกี่ยวกันไปหมด นั่นหมายถึงในช่วงของ 1938-1940 นั้น นอกจาก Battle of Britain ทางอากาศแล้ว ทางภาคทะเลก็เข้มข้นไม่แพ้กัน คือว่าหลังจากที่ อังกฤษต้องแจวเรือหนีจากยุทธภูมิดังเคิร์ค ในวันที่ 22 มิถุนายน 1940 แล้วนั้น เท่ากับว่า เยอรมันได้ครอบครอง ฝรั่งเศสเป็นประเทศราชอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจาก รัฐบาลวิชี่ฝรั่งเศสภายใต้การนำของท่านจอมพล เปเตน ได้เออออห่อหมกให้ความร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันกับนาซีอย่างเต็มอกเต็มใจนั้น ฮิตเล่อร์จึงได้อนุญาตให้ดูแลกันเอง ดูแลกองทัพ เพื่อที่จะมาเสริมกำลังให้กับเยอรมันในเวลาที่ต้องการ อีกทั้ง ให้ดินแดนทำกินเช่นเดิมสองในห้าของพื้นที่ทั้งหมด (ก็ไร่ไวน์โด่งดังชื่อเสียงก้องโลก..ของโปรดของเกอริงนั่นไง) อังกฤษ จึงเริ่มเป็นกังวลอย่างที่สุด เพราะในยามนั้น ทัพเรือของฝรั่งเศสจัดว่าอานุภาพเป็นอันดับต้นๆของโลก และ ฝูงเรือทั้งหมด ได้ย้ายไปจอดอยู่ในอ่าว Mers-El-Kebir ณ.บริเวณของอัลจีเรีย ณ.ชายฝั่งของ เมดิเตอเรเนียน ซึ่งเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เชอร์ชิลล์ จึงได้ร่างแผนปฏิบัติการ Catapult ขึ้นมา โดยให้ผู้ที่จะรับไปปฏิบัติ ก็คือ รองแม่ทัพเรือ Somerville (ซอมเมอร์วิลล์) ซึ่งนโยบายของแผนนี้ ได้เป็นที่ไม่เห็นด้วยกับคณะทำงานในรัฐบาลส่วนใหญ่ นั่นก็คือ การยื่นคำขาดกับรัฐบาลฝรั่งเศส ให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับฝูงเรือในน่านน้ำ แมร์-เซล-เคเบีย ซึ่งอังกฤษมีทางเลือกให้สามทาง คือ 1. ส่งฝูงเรือนั่นมาร่วมทำการรบต่อต้านเยอรมันกับอังกฤษ 2. ส่งฝูงเรือนั่น ออกสู่ทะเลมาเก็บไว้ในท่าเรือของอังกฤษในที่ใดที่หนึ่ง 3. ส่งฝูงเรือนั่นออกไปให้ไกลแสนไกล ในแถบ เวสต์ อินดีส์ หรือ มาร์ตินีค..อันเป็นแถบในความดูแลของสหรัฐอเมริกา หรือ ถ้าไม่อยากทำทั้งสามข้อที่ให้มา ฝรั่งเศสมีเวลาเพียงแต่ หกชั่วโมง ที่จะจมเรือเหล่านั้นด้วยตัวเอง หรือ จะให้อังกฤษจมให้ ขอให้บอกมา..โดยเริ่มจับนาฬิกาตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 1940 โดยให้เวลาถึงเวลา 5.30 โมง (เย็น) แต่..ในขณะเดียวกัน ฝูงเรือของอังกฤษ นำโดย HMS Hood ได้ตั้งปืนใหญ่มาจ่อคอยตั้งแต่หัววัน แล้ว.. 5.15 ฝรั่งเศสก็ยังทำเฉย..ไม่ตอบข้อความใดๆ ทำอะไรก็ไม่ทำสักอย่าง.. รองแม่ทัพ ซอมเมอร์วิลล์ จึงบอกว่า ทันที่ที่ถึงเวลา ถ้ายังเฉยอยู่ก็ ถล่มให้เรียบไปเลย.. และ..เมื่อเวลานั้นมาถึง กระบอกปืนขนาดแปดนิ้วของ HMS Hood ก็ได้ส่งลูกกระสุนนัดแรกไปกำนัลแก่ เรือพิฆาต Bretange ของฝรั่งเศสจนแทบทรุดจม พร้อมทั้งลูกเรือ อีก 977 คน ในเวลาเพียงสิบห้านาทีของการสาดกระสุนนั้น ได้จมเรือพิฆาต Bretange, และ เรือพิฆาต Dunkerque, Provence, Mogador เสียหายยับเยิน เรือลำเดียวที่หนีรอดไปได้ นั่นก็คือ The Strabourg ครั้งนี้..นับว่าเป็นโศกนาฎกรรมพอๆกับ เพิร์ล ฮาร์เบอร์ทีเดียว เพราะ มีผู้คน เหล่ากลาสี ทหารเรือฝรั่งเศสล้มตายกันนับพันศพ.. HMS Hood ส่วนฝูงเรือของฝรั่งเศสที่เหลือจอดอยู่ในเขต Alexandria นั้น ได้ถูกไล่ล่าโดย ผบ.ทร.อังกฤษ Cunningham พร้อมทั้งยื่นคำสั่งจากเชอร์ชิลล์เช่นเดียวกันกับผู้บัญชาการทัพเรือฝรั่งเศส นายพล Godfroy แต่ครั้งนี้ ได้รับเวลาถึงหนึ่งคืนในการโยกย้ายปฏิบัติการ คราวนี้ได้ผล..นายพล Godfroy เชื่อฟังแต่โดยดี เรือ 11 ลำภายใต้การดูแลของเขานั้น ถูกทำให้หมดสภาพต่อการใช้งาน จอดคาท่าอยู่นั่นเอง..!! จากการถล่มทัพเรือของฝรั่งเศสคราวนี้ ได้สร้างกระแสความร้าวฉานระหว่างสองประเทศนี้อย่างประสานไม่ติด แม้ว่ารัฐบาลวิชี่ของท่านเปเตน จะเข้าใจในสถานการณ์ต่อความ"จำเป็น" ของอังกฤษในครั้งนี้ แต่ ไม่สามารถจะต่อต้านกระแสเกลียดชังของประชาชนได้ ตอนนี้ ชาวฝรั่งเศสเริ่มหันไปหาและเข้าร่วมกับนาซีมากขึ้น อีกทั้งได้สู้ตายถวายหัวต่อต้านอังกฤษ ในการปะทะที่ Richelieu, Dakar จนอังกฤษต้องถอยทัพเรือออกไปแทบไม่ทัน.. แต่จากการกระทำที่เด็ดขาดครั้งนี้ของเชอร์ชิลล์ ได้ยืนยันให้ชาวโลกได้เห็นว่า.. "อังกฤษจะสู้จนประชาชนคนสุดท้าย" รูสเวลต์เองก็เห็นด้วยกับการกระทำในครั้งนี้ เพราะ อังกฤษ(หรือใครก็ตาม)ย่อมไม่โง่..รอให้เยอรมันมายึดครอบครองทัพเรือขนาดใหญ่ของฝรั่งเศส ที่สามารถนำกลับ มาเป็นเสี้ยนหนามทิ่มตำตัวเอง.. Graf Spee ยุทธภูมิน่านน้ำนาวี ที่ The River Plate (ธันวาคม 1939)อันเป็นที่เลื่องลือของความเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายชาติทหาร..ไม่เล่าก็คงไม่ได้ เรือ Graf Spee (pocket battleship) ของเยอรมันที่จัดว่าใหม่เอี่ยม เพิ่งจะเอาลงน้ำไม่ถึงปี และมีผู้การเรือ ชื่อว่า Han Landsdorff ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นมือหนึ่งของความสามารถ ในการจมเรือของฝ่ายสพม.ถึงเก้าลำ โดยที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อนองเลือดแต่อย่างใด และ ในความเป็นสุภาพบุรษในการที่ปฏิบัติต่อนักโทษที่จับมาได้อย่างมีมโนธรรม หลังจากที่ Graf Spee ได้จัดการจมเรือพานิชย์ของสพม.ไปได้ รายการตามล้างแค้นก็ได้เกิดขึ้น อังกฤษส่งฝูงเรือรบในหน่วย Force G ซึ่งมีรวมด้วยกันกว่าสี่ลำ ตามกลิ่นไปจนถึงน่านน้ำของมหาสมุทร แอตแลนติคตอนใต้ ใกล้กับบริเวณ The River Plate ที่ได้มีการเจอะเจอกันเข้าพอดี.. เรือ HMNZS Achille และ HMS Ajax เข้าประกบทางด้านตะวันออก ในขณะที่ HMS Exeter จ่อมาทางด้านใต้พร้อมทั้งปืนใหญ่ขนาดแปดนิ้วตั้งท่า รออยู่ ส่วน HMS Cumberland นั้นกันท่า..เฝ้ารอสังเกตการณ์ดักอยู่ทางด้านหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ การปะทะได้เกิดขึ้นอย่างแบบสามรุมหนึ่ง.. Graf Spee โดนเข้าไปกว่ายี่สิบนัด กลาสีเสียชีวิตกว่า 36 นาย บาดเจ็บกว่า 60 นาย ผู้การ Langsdorff มองไม่เห็นทางอื่นใด นอกจากต้องบ่ายหัวเรือหนีออกไปทางน่านน้ำของประเทศส่วนกลาง ที่ใกล้ที่สุด นั่นคือ Montevideo, Uruguay เพื่อที่จะใช้กฎข้อตกลงระหว่างการท่าประเทศเป็นที่กำบัง และ อาจได้ใช้เวลาซ่อมแซมเรือให้กลับเข้าสู่สภาพใช้งานได้ ในขณะเดียวกัน ผู้การได้ปล่อยเชลยจำนวนกว่า 60คนนั้นให้เป็นอิสระ สมรรถนะของเรือ ในยามนั้น ยังอยู่ในสภาพที่พอทำสู้รบได้ หากแต่ การเดินเรือในน่านน้ำที่มีทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวยแล้วอาจเป็นอุปสรรคยิ่ง.. แต่ส่วนที่เลวร้ายที่สุดนั่นก็คือ ทางฝ่ายครัวของเรือ Graf Spee นั้นเสียหายหนักอย่างชนิดไม่สามารถซ่อมได้เลย..ทุกชีวิตในเรือต้องประสบปัญหาอดอยาก กฎหมายการจอดท่าระหว่างประเทศนั้นอนุญาตให้ได้แค่ 24 ชั่วโมง หากแต่ประธานาธิบดีอุรุกวัย ยืดระยะเวลาให้ได้ถึง 72 ชั่วโมง ซึ่งเรือรบอังกฤษต่างจอดคอยเชือดอยู่บริเวณรอบนอก..ลูกเรือ 320 นาย ได้รับการอนุญาตให้ขึ้นฝั่งเพื่อกระทำพิธีศพให้แก่ 36 ชีวิตที่เสียไปในการสู้รบ (มีการบันทึกไว้ว่า..ลูกเรือทุกคนทำการตะเบ๊ะแบบทหารเรือก่อนที่จะกระทำ Nazi slute โดยผู้การ Langsdorff เป็นผู้นำในพิธี) ในช่วงเวลานี้เองที่ฝูงเรือของอังกฤษได้ทำการไปเติมน้ำมันคอยที่ ริโอ เดอ จาเนโร อีกทั้งให้ เรือพิฆาต Ark Royal มาคอยเสริมกำลังไว้อีกต่างหาก (เพื่อที่จะเล่นงานเรือลำเดียวเนี่ยนะ..!!) ในที่สุด 72 ชั่วโมงได้มาถึง..คือวันที่ 17 ธันวาคม 1939 ผู้การ Langsdorff ได้พาลูกเรือ(ที่ต่างหิวโหย)ทั้งหมดบ่ายหน้าออกสู่ทะเล เวลา 17.30 ซึ่ง ได้ถูกกระสุนจากเรืออังกฤษที่คอยอยู่สาดใส่อย่างไม่นับ.. ความจริง เรือ Graf Spee ยังมีกระสุนเหลือที่จะสู้ได้อีกถึง 80 นาที หากแต่ผู้การเรือเห็นแล้วว่า ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก สู้ไปก็รังแต่จะเสียเลือดเนื้อของลูกน้อง เขาจึงตัดสินใจ จมเรือ ด้วยตัวเอง.. ในระยะเพียงสี่ไมล์ที่แล่นออกมา ท่ามกลางสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่จับจ้องอยู่ เพียงสามวันหลังจากที่เรือได้สิ้นสภาพลง.. ผู้การเรือ นายพล Langsdorff ได้ปลิดชีวิตตัวเองด้วยกระสุนปืน ในชุดเครื่องแบบเต็มยศ และ ได้สิ้นลมลงบนธงชาติของเยอรมันที่ตัวเองปูรอเอาไว้ (เขาตั้งใจใช้ธงไกเซอร์แบบเก่าที่ไม่มีเครื่องหมายสวัสดิกะ) อันเป็นการเลือกทางออกแบบชายชาตินาวี ที่ถือว่า สิ้นเรือก็สมควรสิ้นลม การเสียชีวิตของนายพล Langsdorff ครั้งนี้ ต่างได้รับการสดุดีในความกล้าหาญจากทหารเรือทุกฝ่ายแม้กระทั่ง ฝ่ายตรงข้าม พิธีศพได้จัดทำอย่างสมเกียรติ เพราะการสู้รบครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสู้รบกันอย่างชายชาติทหารที่มีการเคารพในกฎเกณฑ์และเต็มไปด้วยจริยธรรม อันสมควรแก่การจารึกไว้ในประวัติศาสตร์.. Han Langsdorff เนื่องจากเรือ Graf Spee นี้ ได้ตั้งชื่อตามวีรบุรุษทหารเรือ Vice-Admiral Graf Maximilian von Spee แล้วเกิดมาล่มซะอย่างนี้ ฮิตเล่อร์ถึงกับต้องรีบเปลี่ยนชื่อ pocket ship อีกลำหนึ่งทันที เนื่องจากเกรงว่าถ้าล่มตามกันไปในภายหน้าจะถือว่าเป็นอัปมงคล นั่นคือ เรือ Deutschland ที่ได้เปลี่ยนมาเป็น Lutzow เรื่องของยุทธนาวีริเวอร์เพลทนี้ ก่อนจะเล่าก็ต้องขยายความเบื้องหน้าเบื้องหลังก่อน จึงขอย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ปี 1931 ที่ตอนนั้นเยอรมันยังอยู่ในใต้อำนาจของสนธิสัญญา แวร์ซายน์อยู่ ฮิตเลอร์ซึ่งเพิ่งได้อำนาจมาได้หมาดๆนั้น ฮิตเลอร์เริ่มดำเนินแผนการแผ่ขยายอาณาจักรไรค์ซ ซึ่งเกินตามที่สนธิสัญญาแวร์ซายน์กำหนดไว้ข้อหนึ่งนั้น ห้ามเยอรมันสร้างเรือพิฆาตที่มีระวางขับน้ำเกิน 10000 ตัน แรกๆ ฮิตเลอร์ก็ยังเป็นเด็กดีตามก้นแวร์ซาย นั่นคือ สร้างเรือ Deutschland ในปี 1931 อีกสองปีเรือ Admiral Scheer ก็สร้างเป็นลำดับต่อมา และน้องนุชคนสุดท้องก็คือพระเอกของเรา คือ Graff Spee สร้างเสร็จในวันที่ 30 มิถุนายน 1934 ซึ่งกราฟสปีนี้เอง เป็นผลงานจากความอุ๊บอิ๊บของฮิตเลอร์ เพราะกำเนิดมาด้วยระวางขับน้ำถึง 12100 ตัน ผิดสนธิสัญญาแวร์ซายน์เห็นๆ แต่อย่างว่าแหละมหาอำนาจใหญ่ในยุโรปตอนนั้นโสตประสาทระแวงสงครามดูท่าจะพิการไปชั่วขณะ ถึงไม่มีใครเอาเรื่องฮิตเลอร์ตรงนี้เลย (ขนาดตอนหลังๆ ฮิตเลอร์เอาทหารไปวางเรียงข้ามทวีปยุโรป ที่เรียกว่า แนวซิกฟรีด ฝรั่งเศสยังไม่เอาความเลย ทั้งๆที่กำลังตอนนั้นพอจะไล่ทหารเยอรมันไปได้ แล้วเรื่องกระจิ๋วอีกะแค่ Pocket Battleship อย่างกราฟสปีเขาจะมาสาหาความอะไร จริงป่ะ) ซึ่งตั้งแต่สร้างเสร็จนั้น กราฟ สปี ก็หาได้มีภารกิจอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ เพราะช่วงนั้น ฮิตเลอร์ก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่า เยอรมันต้องการเสรีภาพ และปรองดอง เจง เจง! (คุ้นสำนวนนี้ไหม) ซึ่งกว่าที่เรือลำนี้จะได้เริ่มออกโรงก็ต้องรอฮิตเลอร์เล่นละครมาจนถึงปี 1939 เดือนสิงหาคม วันที่ 21 กราฟสปรีของเราจึงได้เดินหน้าออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกฝั่งใต้ ด้วยการควบคุมของกัปตันอาวุโส Hans Longsdorff ตามปฏิบัติการเป้าหมายทำลายเรือสินค้า ของชาติพันธมิตรในตอนนั้น คือ ฝรั่งเศส โปแลนด์ และโดยเฉพาะอังกฤษ ตัวดี ตอนนั้นทางยุโรปกำลังอัรุงตุงนังกับการเปิดสงครามอย่างเต็มรูปแบบอยู่ ขณะที่ทหารฝ่ายอังกฤษ ฝรั่งเศสและโปแลนด์ กำลังโดนรถถังแพนเซอร์ไล่บี้ที่ยุโรปอยู่นั้น ทางอีกซีกโลกหนึ่ง ฮิตเลอร์ก็เล่นเกมส์ผลุบๆโผล่ๆ แอบสอยเรือสินค้าชาติพันธมิตรตามแถวชายฝั่งอเมริกาใต้ โดยเริ่มเมื่อวันที่ 26 กันยายน กราฟสปีก็สอยเรือสินค้าอังกฤษขนาด 5000 ตัน ส่วนเรือ ดอยช์แลนด์ที่ตามหลังกราฟสปีมา ๓ วันด้วยคำสั่งเดียวกันนั้นก็ไม่น้อยหน้า ล่อเรือสินค้าระวาง 5000 ตันของอังกฤษไปเช่นเดียวกัน คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่เรือ ดอยช์แลนด์นี่แหละ เพราะดันไปจมเรือสินค้าของชาติเป็นกลางเข้า นั่นคืออเมริกาและนอร์เวย์ ผลก็คือ โดนรุมประนามจากทั้งสองชาติ ชื่อเสียงประเทศจะมาวายป่วงก็เพราะเรือลำเดียวนี่เอง...ฮิตเลอร์ก็เลยต้องสั่งเรือ ดอยช์แลนด์ กลับสู่เยอรมันทันด่วน และต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Lutzaw และการกลับบ้านกลางครันของดอยช์แลนด์นี่แหละ ที่เป็นจุดหักเหจุดหนึ่งของยุทธนาวีริเวอร์เพลท เพราะมันหมายความว่า กราฟสปีต้องต่อสู้กลางมหาสมุทรแอตแลนติกใต้เพียงลำพัง! แต่กระนั้น กราฟสปีก็ยังเดินหน้าปฏิบัติตามคำสั่ง นั่นคือการไล่ล่าเรือสินค้าของชาติพันธมิตรเพียงลำพัง โดยจมเรือสินค้ามาได้ถึง ๙ ลำโดยที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปฏิบัติงานครั้งนี้เลยแม้แต่คนของเรือทั้ง ๙ ลำที่ถูกจมก็ตาม แปลกนะ. แต่อย่างว่าแหละ อังกฤษขึ้นชื่อลือชาในด้านกองทัพเรือมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว ประกอบกับการมีชาติในเครือจักรภพคือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นเอก ทำให้อังกฤษได้สั่งสอนเยอรมันให้รู้ซะบ้างว่า น่านน้ำเป็นของตูนะเฟ้ย เครดิตอันนี้ก็ต้องยกให้ Commandore Harwood ผู้บังคับหน่วย Force G ที่เป็นคนเดาเส้นทางของท่านนายพลกราฟสปีออกว่าจะไปไหนหลังจากจมเหยื่อลำที่ ๙ สำเร็จ เพราะตอนนั้นทั่นฮาร์วูดกำลังเดาใจกัปตันลองสดอร์ฟอยู่ว่า...... Commandore Harwood ๑. กัปตันลองสดอร์ฟจะเอาท่านนายพลกราฟสปรีล่องเหนือ กลับบ้านที่เยอรมัน ๒. เอ๊ะ เดี๋ยวๆๆๆ ถ้าเกิดอีตาลองสดอร์ฟยังมันส์มือ มาไล่จมเรือสินค้าเรา แล้วมันจะไปไหนกันฝ่า ๓. ถ้าลองส์ดอร์ฟบุกต่อ จาไปแถวไหนกันน้ออออ จะไปรอล่อเรือสินค้าเราที่ท่าเรือที่ริโอ เดอจาเนโร หรือว่าที่ริเวอร์เพลต แถวๆอาร์เจนติน่ากะอุรุกวัย ๔. ตูว่าริเวอร์เพลตนี่แหละฟะ ทีมฟุตบอลเจ๋งดี ปรากฏว่ากัปตันฮาร์วูดของเราเดาถูกเผงๆ และในวันที่ 13 ธันวาคม 1939 นี่แหละ ที่เป็นวันเกิดของยุทธนาวีริเวอร์เพลต ได้เปิดฉากการรบทางทะเลแบบเป็นการเป็นงานเต็มรูปแบบของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระหว่างกองทัพเรือในเครือจักรภพอังกฤษกับเรือลำเดียวของเยอรมัน นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ ผบ. ลองสดอร์ฟ ที่ประเมินในเรือรบของตนเองสูงไปหน่อย ด้วยว่ามั่นใจในเกราะของเรือที่หนาเป็นพิเศษ ประกอบกับพิสัยการยิงปืนใหญ่ขนาด 11 นิ้วทั้ง 6 กระบอกของตนเอง ทางฝ่ายกองทัพเรืออังกฤษโดยเรือ Exeter, Ajax กับ Achilles (อ่านว่า อาคิลิส ชื่อนี้สำคัญ เพราะว่าเป็นชื่อที่เอามาจากพระเอกของมหากาพย์อิเลียด เจอบ่อยๆแน่) นี่เป็นทำการรุมยำ กราฟ สปี แบบเน้นๆ รูปฉบับจัดเต็ม...แต่กระนั้นด้วยฝีมือการสั่งการของลองสดอร์ฟ หรือฝีมือการออกแบบของวิศกรเยอรมันที่ออกแบบเรือกราฟสปีก็ไม่ทราบ การต่อสู้ครั้งนี้ ผลจึงออกมาแบบ กินกันไม่ลง นั่นก็คือ ในส่วนของเรือฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น เรือ HMS Eeter เสียหายยับจากการต่อสู้ในยุทธนาวีครั้งนี้ นั่นคือ เหลือเพียงแค่ป้อมปืนใหญ่อันเดียวเท่านั่นที่ยังทำงานได้ แถมเสียชีวิตลูกเรือไป โดยเฉพาะหน่วยตอร์ปีโดของตัวเองและ เรืออาแจ๊กซ์นั้น ป้อมปืน ๒ แห่งถูกทำลายใช้งานไม่ได้ มีแต่เรืออาคิลิสเท่านั้น ที่ปรากฏว่าไม่เสียหายอะไรเลย แม้ตัวเรือกราฟ สปี จะโดนซัลโวซะจนมีรูโบ๋เต็มลำเรือ โดยเฉพาะหอบังคับการพังยับ ก็ยังอยู่ในสภาพที่พอ แล่นเรือต่อได้ แต่ตัวกัปตันลองสดอร์ฟก็รู้แล้วว่า หมดหวังกับชัยชนะครั้งนี้ เพราะสภาพเรือก็เรียกว่าอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มทนแม้จะยัง อยู่ในสภาพที่พอต่อสู้ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะแล่นเรือในสภาพอากาศที่มีคลื่นแรงได้ โดยเฉพาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือซึ่งเป็นเส้นทางกลับบ้านตนเอง จึงต้องหาทางบ่ายหน้าเข้าสู่ท่าเรือของประเทศอุรุกวัย ซึ่งเป็นประเทศที่วางตัวไม่ฝักใฝ่ฝ่ายในในสงครามครั้งนั้น เพื่อหาทางซ่อมแซม ซึ่งตลอดทางที่ลองสดอร์ฟบังคับเรือหนีการต่อสู้แบบหัวซุกหัวซุนนั้น กัปตันฮาร์วูดก็สั่งเรืออาร์คิลิสกับอาแจ๊กซ์คู่สหายไล่ติดตามคอยหาจังหวะเล่นงานไปตลอดทาง แต่ด้วยอำนาจการยิงของเรือกราฟสปีที่เหนือกว่า ที่คอยยิงขู่เรือทั้งสองเมื่ออยู่ใกล้ระยะเกิน ทำให้เรือทั้งสองไม่สามารถเข้าใกล้ได้ การไล่จับครั้งนี้มีตลอดจนกระทั่งเรือกราฟสปีเทียบท่าที่ Montevedio ของอุรุกวัย กัปตันลองส์ดอร์ฟได้สั่งให้เรือทอดสมอ และยุทธนาวี River plate ครั้งนี้จึงสิ้นสุด แต่เรื่องยังไม่จบ.. เพราะต่อไปคือ การต่อสู้กันทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศของเยอรมันและอังกฤษ ภายหลังยุทธนาวีริเวอร์เพลท กัปตันแลงสดอร์ฟเมื่อจอดเทียบท่าที่ประเทศอุรุกวัยเรียบร้อยแล้ว ปัญหาใหญ่ที่ตัวกัปตันแลงสดอร์ฟต้องเผชิญก็คือเรือกราฟสปรีต้องการเวลาที่ใช้ในการซ่อมแซม ๑๕ วัน แต่ตามข้อตกลง Hague Convention ซึ่งได้กำหนดไว้ว่าเรือพิฆาตสามารถที่จะจอดเทียบท่าเรือในประเทศที่ดำรงตนเป็นกลางได้ไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้น แน่นอนว่าหาก...กัปตันแลงสดอร์ฟยอมทำตามข้อตกลง หมายถึงว่าต้องออกไปเผชิญกับกองทัพเรือของกัปตันฮาร์วูดที่เรียกเรือ HMS Cumberland ที่จอดเทียบท่า อยู่ที่เกาะฟอล์กแลนด์มาเสริมกำลัง เท่านั้นไม่พอ ยังสร้างข่าวลือว่าเรือ HMS Renown กับเรือบรรทุกเครื่องบิน HMS Ark Royal ได้มาจอดรออยู่หน้าปากอ่าวเรียบร้อยแล้ว (ซึ่งอันที่จริงเรือทั้งสองลำอยู่ห่างไปตั้งพันไมล์) ซึ่งทางออกตรงนี้ ทางฝ่ายเบอร์ลินและกัปตันแลงสดอร์ฟก็ได้ขออุทธรณ์ไปยังรัฐบาลอุรุกวัยว่าเรือกราฟสปีนั้น ไม่ได้อยู่ในสภาพ เดินทะเล( Seaworthy ) จึงขอยกเว้นให้เทียบท่าเป็นเวลา ๑๕ วันเพื่อทำการซ่อมแซม คราวนี้แหละ...ทั้งทางฝ่ายอังกฤษและทางฝ่ายเยอรมัน ต่างเล่นบททนายความ มาตีความว่าเรือกราฟสปีของเราอยู่ในสภาพที่จะ เดินทะเล ได้หรือไม่? ซึ่งทางฝ่ายกงสุลอังกฤษประจำอุรุกวัย นาย Eugene Millington-Drake นั้นก็ออกมาเถียงว่าเรือกราฟสปีหนีเรืออังกฤษมาตั้งสามร้อยไมล์ แล้วจะมาอ้างบอกว่าเดินทะเลไม่ได้เนี่ย มันซุงแหลกันชัดๆ และในที่สุดแล้วทางรัฐบาลอุรุกวัยก็ได้ทำการตรวจสอบสภาพเรือกราฟสปี แล้วออกมาประกาศว่า ให้จอดได้เพียงแค่ ๗๒ ชั่วโมงขาดตัว หรือไม่ก็ให้ทางรัฐบาลอุรุกวัยยึดเรือกราฟสปรีเอาไว้ในฐานะเชลยสงครม และตอนนี้ทางกัปตันแลงสดอร์ฟมีตัวเลือกอยู่ ๒ ทางนั่นคือ จะจมเรือกราฟสปีเอง หรือว่าให้ทางรัฐบาลอุรุกวัยยึดเรือไป ส่วนการบ่ายหน้าออกมหาสมุทรแอตแลนติกนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เพราะเท่ากับเอาเรือทั้งลำพร้อมด้วยลูกเรือไปตายด้วยน้ำมือเรือรบอังกฤษเปล่าๆ ท้ายที่สุดกัปตันแลงสดอร์ฟตัดสินใจติดต่อกลับไปยังเบอร์ลิน ซึ่งทางฮิตเลอร์ก็ให้คำตอบมาว่า ให้จมเรือกราฟสปรีสถานเดียว และในวันที่ ๑๗ ธันวาคม เรือกราฟสปรีก็จมลงต่อหน้ากะลาสีเรือทั้ง ๗๐๐ คน ลูกเรือกราฟสปรีทั้ง ๗๐๐ ชีวิตก็ได้ถูกส่งตัวไปยังกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่าในฐานะเชลยสงครามของอังกฤษ จนกระทั่งหลังสงครามเลิกในปี ๑๙๔๖ จึงได้อนุญาตให้กลับสู่มาตุภูมิ ส่วนกะลาสีเรือระดับนายทหารส่วนใหญ่นั้นต่อมาไม่นานก็ได้ทำการหลบหนีกลับสู่เยอรมันกลับไปสู้รบสงครามต่อไป สุดท้าย ในส่วนกัปตันแลงสดอร์ฟ ก็อย่างที่ว่าไว้ข้างบน...สุภาพบุรุษนักรบผู้นี้ได้เลือกทางตาย ภาษิตฝรั่งได้บอกไว้ว่าชัยชนะนั้นมีร้อยพ่อพันแม่ แต่ความพ่ายแพ้นั้นคือกำพร้า แต่สำหรับชายชาติทหารอย่างกัปตันแลงสดอร์ฟได้ยืดอกรับความสูญเสียนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งท่านกัปตันผู้นี้ได้ก่อนตายได้เขียนจดหมายลาไว้ว่า.. เมื่อถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าสามารถพิสูจน์ตนเองได้ด้วยความตาย ที่ข้าพเจ้าพร้อมเสมอที่จะสละชีพภายใต้ผืนธงแห่งอาณาจักรไรค์ที่ ๓ ข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียวที่จะแบกรับความรับผิดชอบ ต่อความหายนะแหงเรือพิฆาต Graff Spee ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะใช้ชีวิตของข้าพเจ้าปกป้องเกียรติภูมิของผืนธงแห่งอาณาจักรของข้าพเจ้า กัปตันแลงสดอร์ฟได้เลือกที่จะจบชีวิตตนเองด้วยคมกระสูนปืนเช่นชายชาติทหารในเครื่องแบบเต็มยศ และร่างไร้วิญญาณของกัปตันแลงสดอร์ฟก็ได้ถูกจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติ โดยมีเหล่าประดากะลาสีเรืออังกฤษหกสิบสองคนที่ถูกแลงสดอร์ฟจับเป็นเชลยศึกระหว่างยุทธนาวีนั้น ได้เข้าร่วมพิธีศพครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียง และกัปตันแลงสดอร์ฟก็ได้หลับใหลตลอดกาลภายใต้ธงแห่งกองทัพเรือเยอรมัน ที่กรุงบัวโนส ไอเรสนั่นเอง ในส่วนผู้ชนะศึกกัปตันฮาร์วูดนั้นก็ได้รับบรรดาศักดิ์อัศวิน และเลื่อนตำแหน่งเป็น Rear Admiral Sir จากชัยชนะครั้งนี้ ปล. การปฏิบัติของกัปตันแลนสดอร์ฟที่มีต่อเชลยสงครามอย่างให้เกียรตินั้น ตามธรรมเนียมฝรั่งเขาถือว่าเป็นการกระทำที่ "จิตใจอัศวิน (Chivalry)" อย่างยิ่ง อันที่จริงเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติสากลต่อเชลยสงครามอย่างให้เกียรติในปัจจุบันนั้น มีต้นกำเนิดมาจากธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่าอัศวินในยุคกลาง ซึ่งในตอนนั้นตามธรรมเนียมของ การต่อสู้สงครามระหว่างอัศวินนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ อัศวินผู้ชนะ(ที่ดี)จะไม่ฆ่าให้ตาย มีการละเว้นชีวิตและปฏิบัติต่อผู้แพ้เสมือนสหาย และจับคุมตัวไว้เป็นนักโทษเรียกเอาเงินประกันตัวจากทางครอบครัวของอัศวินนั่นเอง ตลอดจนอัศวินในตอนนั้นก็ถูกสั่งสอนให้มีความเชื่อด้วยว่าอัศวินจะต้องปกป้องคนอ่อนแอ นั่นคือ ผู้หญิง เด็ก และคนชรา ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัตินี้ก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนมาเป็นธรรมเนียมสากลในการปฎิบัติกับฝ่ายตรงข้ามอย่างให้เกียรติในปัจจุบัน หรือในวงการกีฬาที่เค้าเรียกกันว่า น้ำใจนักกีฬา ธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ล้วนมีต้นกำเนิดมาจาก จิตใจอัศวิน ในยุคกลาง ทีนี้มาถึง เรื่อง Scapa Flow ที่เป็นยุทธนาวีที่สำคัญของการสงครามครั้งนี้ง..ที่สืบเนื่องมาจาก Battle of Britain ซึ่งเป้าหมายของการศึกในครั้งนี้ ฮิตเลอร์ต้องการที่จะปิดล้อมเกาะอังกฤษทั้งเกาะ เพื่อให้ชาวอังกฤษอดตายและยอมซูกฮกยกธงขาวในที่สุด แต่กระนั้น อย่างที่เคยเกริ่นๆไว้ในกระทู้ก่อน กองทัพเยอรมันแม้จะเป็นยอดฝีมือในยุทธจักรทั้งในด้านทัพอากาศและทัพบก แต่พอฮิตเลอร์หันมาดูทัพเรือตัวเองนั้นเล่า ได้แต่ส่ายหน้า ด้วยเพราะทัพเรือของตนเองถูกจำกัดจำเขี่ยในการสร้างมาตั้งแต่สนธิสัญญา แวร์ซาย ยิ่งถ้าไปเทียบกับทัพเรือของอังกฤษ กระดูกขาไก่ท่อนเบ้อเริ่มที่ทิ่มหนวดจิ๋มของฮิตเลอร์อยู่นั้น เรียกได้ว่า ยังกะฟ้ากะเหว เพราะอังกฤษนั้น นับได้ว่ามีแสนยานุภาพของกองทัพเรือที่เกรียงไกรที่สุดในโลกทีเดียว พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าโม้เชียร์อังกฤษ มาดูดีกว่าว่า เทียบตัวเลขกันลำต่อลำ มันต่างกันขนาดหนายยยย เมื่อก่อนเริ่มสงคราม เรือรบ (Battleship) : อังกฤษรุมเยอรมัน ๗ : ๑ เรือรบลาดตระเวน (Cruiser) : อังกฤษรุมเยอรมัน ๖:๑ เรือพิฆาต (destroyer) : อังกฤษรุมเยอรมัน ๙:๑ เมื่อราคาต่อรองออกมาดังนี้ ฮิตเลอร์จึงเรียกประชุมนายทหารเรือมาหารือกันว่า จะทำยังไงถึงจะพอสูสีกะกองทัพเรืออังกฤษได้ ท่านจอมพลเรือเยอรมัน Erich Reader ก็บอกว่า "ถ้าจะไปรบกับทัพเรืออังกฤษนั้น ท่านฟูห์เรอจะต้องมีเรือรบซักสิบลำ เรือรบน้อยสามลำ สิบหกเรือลาดตระเวน สองเรือบรรทุกเครื่องบิน แร้วก็ขอเรืออูอีกซักร้อยเก้าสิบลำกรั๊บ!" "แหม ชัดเจนดีมาก ท่านเรเดอร์ แล้วท่านมีแผนจะทำยังไงต่อละ" "เรื่องนี้กระผมได้วางแผนมาเป็นอย่างดี เมื่อได้กำลังตามที่ต้องการแล้วกระผมจะแบ่งกำลังออกเป็นสี่ส่วน ส่วนหนึ่งจะเอาไปกระทืบพวกทัพเรืออังกฤษที่ Scapa Flow อีกส่วนจะเอาไปสอยเรือสินค้าอังกฤษไม่ให้เหลือ แล้วจะเก็บสองส่วนเอาไว้เป็นกำลังสำรองเผื่อฉุกเฉินกรั๊บ! " "อ้อ เจ๋งมาก ท่านนายพล ว่าแต่แผนนี้มีชื่อรึยังล่ะ" "กระพ้มได้ตั้งชื่อแผนนี้ว่าแผน Z (Z-Plan) เรียบร้อยแล้วครับกระพ้ม" "อาฮ่า ดีมากๆ ท่านนายพลของเรา งั้นเดินหน้าเต็มสตีมไปเล้ย" แต่จำกันได้มั้ยครับ ว่าตอนเกอริ่งขี้โม้บอกว่าลุฟท์วัฟท์หน่วยเดียวของเค้าสามารถเอาเกาะอังกฤษอยู่ นั้น ฮิตเลอร์ก็ชะล่าใจในเรื่องการดำเนินตามแผน Z นี้ จนเมื่อถึงที่สุดแล้วปรากฏว่าแผนบอมบ์เกาะอังกฤษล่มไม่เป็นท่า ฮิตเลอร์จึงต้องเร่งให้เรือรบที่เคยว่าไว้ตามแผน Z นั้น ออกมาแบบปัจจุบันทันด่วน ซึ่งเรือรบ Bismarck กับ Tripitz แล้วก็เรือบรรทุกเครื่องบิน Graf Zeppelin ต้องเข็นออกมาทั้งๆที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ก่อนอื่น มารู้จักกับตัวเอกของเรื่อง นั่นคือเรือบิสมาร์ค เรือบิสมาร์คนี้แม้จะเข็นออกมาในสภาพไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ก็นับได้ว่าเป็นเรือที่นับได้ว่ามีแสนยานุภาพไม่เป็นรองใครในยุโรป และเป็นเรือรบที่เรียกได้ว่า แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพเยอรมันตอนนั้น ด้วยวุทธานุภาพแห่งปืนใหญ่สิบห้านิ้วทั้งแปดกระบอกและปืนใหญ่ห้าจุดเก้านิ้วอีกหกคู่ แล่นด้วยความเร็วสูงสุดสามสิบน็อต เรือที่ทรงอานุภาพลำนี้จะเอาชื่ออื่นใดมาตั้งให้สมกับความแข็งแกร่งมิได้อีกแล้ว นอกจากชื่อของ Otto Eduard Leopold Von Bismarck วีรบุรุษนักรบเยอรมันผู้รวมเยอรมันให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อวันที่เรือลำนี้เปิดพิธีลงทะเลครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๑๙๓๙ นั้น ทางฮิตเลอร์ได้จัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ เชิญเอาหลานสาวแท้ๆของยอดขุนพลบิสมาร์ค Dorothea von Loewenfeld มาเปิดพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ ต่อมาก็มารู้จัก Scapa Flow Scapa Flow นี้เป็นฐานทัพเรือสำคัญของเกาะอังกฤษ ถูกใช้เป็นที่มั่นทางการทหารมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ ๑๓ โดยชาวไวกิ้ง ด้วยว่าเป็นชัยภูมิทางธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการตั้งฐานทัพเรือ ซึ่งจวบจนมาถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ Scapa Flow ก็เป็นฐานทัพเรือสำคัญสำหรับชาวอังกฤษในการต่อสู้สงคราม โดยในสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี้ Scapa Flow เป็นที่มั่นของกองทัพเรือ Home Fleet ของอังกฤษ ซึ่งกองทัพเรือนี้มีบทบาทในการปกป้องขบวนเรือสินค้า ที่เดินทางในมหาสมุทรแอตแลนติกอันนับได้ว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญต่อความอยู่รอดของชาวอังกฤษทั้งประเทศ ไหนๆก็พูดถึง Convoy แล้ว ข้ามไปก็ดูใช่ที่ เพราะบอกแล้วว่านี่คือความอยู่รอดของชาวอังกฤษทั้งประเทศในยามสงคราม คำว่า Convoy นั้นหมายความถึง การป้องกันขบวนเรือสินค้าโดยกำลังทางทหาร ซึ่งประเทศอังกฤษนั้น ไม่ได้มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่เอามาเป็นวัตถุดิบผลิตอาวุธต่อสู้สงครามอย่างอเมริกาหรือรัสเซีย ต้องพึ่งการสนับสนุนทางด้านทรัพยากรจากทั้งทางชาติพันธมิตรอย่างอเมริกาและชาติในเครือจักรภพของตนเอง รวมทั้งวัตถุดิบซึ่งส่งมาจากดินแดนในอาณานิคมของตนเองด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า หากกองทัพเรือของเยอรมันสามารถทำลาย Convoy ได้ นั่นก็คือการปิดล้อมอังกฤษก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ หน้าที่สำคัญอันนี้ทางรัฐบาลอังกฤษได้ยกให้กองทัพเรือหน่วย Home Fleet ทำหน้าที่ปกป้องกองเรือสินค้า โดยในการเดินกองเรือแต่ละครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก เพราะเรือสินค้าทั้งหมดต้องแล่นด้วยความเร็วเท่ากัน เพื่อให้เรือสินค้าทั้งหมดแล่นอยู่ในวงล้อมการคุ้มกันของเรือรบที่โอบล้อมรอบขบวนเรือสินค้าตลอดเวลา และแล้วเรือบิสมาร์คก็เดินทางออกจากท่าเรือฮัมบูร์ก พร้อมด้วยเรือ Prinz Eugen ภายใต้การปฏิบัติการไล่ล่าเรือสินค้าในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยมีนายพลเรือ Lutjen ผู้ซึ่งเปี่ยมประสบการจมเรือสินค้ามามากกว่า 100000 ตัน ด้วยว่าการเดินทางครั้งนี้ เรือบิสมาร์คและปริ๊นซ์ ยูเจน ต้องล่องเรือผ่านทะเลบอลติก เพื่อเลี่ยงรังใหญ่ของกองทัพเรืออังกฤษที่ Scapa Flow บริเวณตอนเหนือของสก๊อตแลนด์นั้น Lutjen ต้องสั่งให้เรือทั้งสองลำแล่นเลาะชายฝั่งฟยอร์ดของประเทศนอร์เวย์ แล้วขึ้นเหนือไปจนถึงกรีนแลนด์ แล้วมุ่งหน้าเข้าแอตแลนติกเหนือต่อไป แต่ด้วยความหูไวตาไวของกองทัพเรือหน่วย Home Fleet ที่ Scapa Flow นำโดยท่านเซอร์จอมพลเรือ John Tovey การปฏิยัติการลับๆล่อๆของ Lutjen หาได้พ้นหูพ้นตาท่านเซอร์ผู้นี้ไปไม่ ทันทีที่ทราบข่าวการเดินทางของเรือบิสมาร์คและเรือปริ๊นซ์ยูเจน ก็ได้สั่งการให้เรือรบยักษ์ใหญ่ HMS Hood กับ HMS Prince of Wales เดินทางไปดักโจมตีเรือรบเยอรมันทั้งสองลำทันที ที่ชายฝั่งกรีนแลนด์ แต่จำกันได้เปล่าว่า HMS Hood นี้เคยทำบาปกรรมอะไรไว้มั่งกับกองทัพเรือฝรั่งเศส และบาปนั้นก็คืนสนองเรือรบ HMS พร้อมด้วยลูกเรืออีก ๑,๔๑๗ ชีวิต เพราะเป็นเสมือนพระเจ้าช่วยเรือบิสมาร์ค ให้ HMS Hood ทำผิดพลาดจนนำไปสู่หายนะ นั่นคือ ในเช้าวันที่ ๒๔ มีนาคมนั้น เรือฮูดกับเรือปริ๊นซ์ออฟเวลส์ได้ตามร่องรอยของเรือเยอรมันทั้งสองที่ชายฝั่งกรีนแลนด์ แต่ด้วยพระเจ้าเล่นกลกับนายพลเรือฮอลล์แลนด์และกัปตันเคอร์ ผู้บังคับเรือ HMS Hood เข้าใจผิดคิดว่า เรือ Prinz Eugen ที่กำลังแล่นนำอยู่นั้นเป็นเรือบิสมาร์ค ส่วนเรือ Prince of Wales ก็เล็งลำกล้องปืนใหญ่ไปที่เรือบิสมาร์คตามแผน ทันทีที่เรือ HMS Hood เปิดเกมส์บุกใส่เรือ Prinz Eugen นั้น นายพลเรือ Lutjen ถึงตอนนี้ก็คงยิ้มมุมปากเล็กๆ พร้อมสั่งให้ปืนใหญ่ทุกกระบอกของบิสมาร์คเล็งใส่ HMS Hood พร้อมๆกับ Prinz Eugen HMS Hood เจอดอกนี้ขอบอกลา หลังจากเปิดเกมส์แลกหมัด (กระสูนปืนใหญ่) กันไม่ถึง ๖ นาที เรือ HMS Hood ก็ระเบิดตูมตาม แตกออกเป็นสองเสี่ยง ส่วนนายพลเรือฮอล์แลนด์และกัปตันตันเคอร์ พร้อมด้วยลูกเรืออีก ๑,๔๑๕ ชีวิต พร้อมใจกันลงไปนอนใต้ทะเลบอลติกนั่นเอง ฝ่ายเรือปริ๊นซ์ออฟเวลส์เห็นนายฝูงเด๊ดสะมอเร่ดังนี้แล้ว จะรอช้าทำไมล่ะ ก็ในเมื่อตัวเองก็โดนอัดยับ โดนของฝากจากบิสมาร์คไปแปดเม็ด เลยร้องเพลงไม่เอาดีกว่าขอลากลับบ้าน พร้อมด้วยน้ำท่วมเต็มลำเรืออีกกว่า ๒๐๐๐ ตัน ข่าวการจมของเรือ HMS Hood ครั้งนี้ เรียกได้ว่า สั่นสะเทือนขวัญกำลังใจของทหารเรืออังกฤษทั้งกองทัพ Home Fleet เลยก็ว่าได้ ท่านเซอร์ John Tovey ต้องกุมขมับก่ายหน้าผาก เพราะเรือรบส่วนใหญ่ของตัวเองล้วนติดภารกิจคุ้มกันเรือสินค้าที่มหาสมุทรแอตแลนติกทั้งสิ้น ส่วนเรือ HMS King Gorge V ที่ตัวเองนั่งบังคับการอยู่นั้น ก็อยู่ไกลแสนไกลจากเรือจากชายฝั่งกรีนแลนด์ ซึ่งหากทั่นเซอร์ปล่อยบิสมาร์ครอดจากเงื้อมมือ Home Fleet ไปได้ เก้าอี้ผบ. กองทัพเรือ Home Fleet อาจถูกเชอร์ชิลล์เตะโด่งออกจากตำแหน่งไปเลย บังเอิ๊ญ...บังเอิญ คราวนี้พระเจ้าหันมายิ้มหวานๆให้กองทัพเรืออังกฤษบ้าง เพราะเรือรบบรรทุกเครื่องบิน Ark Royal เดินทางกลับมาหลังจากภารกิจคุ้มกันเรือสินค้าจากแอตแลนติกใต้กลับมาพอดี ท่านเซอร์รีบสั่งการให้เรือ Ark Royal รีบเดินหน้าไปหา บิสมาร์ค จมบิสมาร์คลงไม่ได้ แต่รั้งตัวไว้ให้อยู่ในเขตการทำการของหน่วย Home Fleet ก็ยังดี เพราะจะได้รอเรือรบอื่นๆมาช่วยรุมให้จมไปเลย แค้นฝ่ะ! อย่างหัวเดียวกระเทียมลีบ อาร์ครอยัลของเรามุ่งหน้าไปหาบิสมาร์คตามคำสั่ง นายพล Lutjen เห็นรอยัลโอ๊คแล่นมาแต่ไกล ก็หัวเราะร่าเอิ๊กๆ เพราะอีกะแค่เรือบรรทุกเครื่องบินลำเดียวที่ไหน ได้จะมาระคายผิวบิสมาร์คที่เสริมเกราะหนาร้อยกว่ามิลล์ HMS Royal Oak แต่ Lutjen หัวเราะได้ไม่นาน เค้าคงลืมขึ้นไปอ่านที่เขียนไว้ข้างบนว่า คราวนี้พระเจ้าหันมายิ้มให้กองทัพเรืออังกฤษ เพราะตอร์ปีโดที่เครื่องบินที่รอยัลโอ๊คส่งไปนั้น แล่นโต้คลื่นผิวน้ำไปกระทบกล่องดวงใจของบิสมาร์คเข้าพอดี๊ พอดี นั่นคือเครื่องยนต์ควบคุมทิศทางเรือของบิสมาร์คพังยับเยิน งานนี้ต้องเรียกว่าโชคช่วยสถานเดียวเพราะทางเยอรมันเค้าบอกว่า โอกาสโดนดอกเดียวจั๋งๆแบบนี้ มันมีแค่ หนึ่งในแสนเท่านั้นเอง แบบนี้ก็เท่ากับ บิสมาร์ค ลอยเด่นกลางทะเล เป็นเป้านิ่งให้กับกองทัพเรือ Home Fleet รุมยำดีๆนี่เอง พอถึงตอนเช้าเวลาแปดโมงสี่สิบห้านาที วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ท่านเซ่อร์นั่งกระดิกเท้าในเรือคิงจอร์จที่ห้า พร้อมด้วยเรือ Rodney พกกับความแค้นมาเต็มพิกัดหวังจะล้างตาคืนให้ เรือ HMS Hood ส่งทั้งลูกปืนใหญ่และตอร์ปิโดแลกหมัดกับบิสมาร์ค ที่แล่นเรือเหมือนคนพิการขาขาด จนกระทั่งเก้าโมงเช้าสามสิบเอ็ดนาที ความเปลวไฟลุกโชนตลอดหอบังคับการเรือบิสมาร์ค แถมยังโดนตอร์ปิโดจากเรือรบลาดตระเวน Dorsetshire ที่ทั่นเซ่อร์สั่งมาสมทบทีหลัง บวกเพิ่มเข้าไปอีก แต่กระนั้น ตลอดการรบอันสิ้นหวังนี้ Lutjen แสดงความกล้าหาญตามแบบอัศวินแห่งอาณาจักรไรค์ที่ ๓ คำพูดสุดท้ายของ Lutjen คือ เราบังคับเรือต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แต่เราก็จะสู้จนกระสูนนัดสุดท้าย ขอท่านฟูห์เร่อจงเจริญ Admiral Sir John Tovey และเมื่อเวลาสิบโมงเช้าสามสิบเก้านาที เรือบิสมาร์ค เรือธงแห่งกองทัพเรือเยอรมัน ก็ค่อยๆจมลงสู่ก้นทะเลบอลติก ตามสหายข้าศึกร่วมรบ HMS Hood ไป ทางฝ่ายเชอร์ชิลล์ก็มีความยินดีต่อข่าวการล่มของบิสมาร์คครั้งนี้มาก ภายหลังได้มีบันทึกของเชอร์ชิลล์เขียนไว้ว่า "หากบิสมาร์ครอดไปได้ การคงอยู่ของบิสมาร์คย่อมมีผลเสียต่อกำลังใจของพวกเรามากพอๆกับผลเสียหายทางด้านวัตถุ ความหวาดกลัวของเราที่เพิ่มขึ้นย่อมทำลายโอกาสใน การควบคุมน่านน้ำมหาสมุทร และเรื่องนี้ย่อมถูกกล่าวขวัญไปทั่วโลกถึงการถูกคุกคามและความหวาดกลัวของเรา" การจมเรือบิสมาร์คครั้งนี้ นับว่าเป็นยุทธนาวีที่สำคัญที่สุดในภาคพื้นยุโรป นั่นเพราะมีผลโดยตรงต่อกำลังใจของทหารเรือเยอรมันทั้งกองทัพ เพราะมันเป็นเรือรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกองทัพเรือเยอรมัน นอกเหนืออื่นใด ฮิตเลอร์ก็สิ้นหวังกับการสร้างทัพเรือเพื่อให้เทียบเคียงกับทัพเรืออังกฤษโดยถึงกับออกปากกับคนใกล้ชิดว่า บิสมาร์คเป็นเรือรบลำสุดท้ายที่ตัวเองจะส่งไปทะเลบอลติกแล้ว ภาพ...Com. Gunther Lutjen นั่นก็คือ นับแต่บัดนี้ไป แสนยานุภาพของกองทัพเรืออังกฤษแผ่ขยายเหนือน่านน้ำบอลติกได้อย่างสมบูรณ์ ไร้ศัตรูใดๆ! ปล. หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่า แล้ว Prinz Eugen หายไปไหน หลังจากการปะทะกับเรือ HMS Hood สองสามวัน เรือ Prinz Eugen ก็ไปแล่นไปชนทุ่นระเบิดลอยน้ำ ที่ช่องแคบกรีนแลนด์กับไอซ์แลนด์ เลยต้องหันเรือกลับไปซ่อมแซมที่ฝรั่งเศส ส่วนตัวบิสมาร์คก็ต้องแยกกับเรือคู่ซี้ เพราะต้องไปหาอู่เรือที่ใหญ่พอที่จะมาซ่อมตนเองหลังจากการปะทะ กับ HMS Hood เท่าที่ดูมา เหล่าขุนพลของฮิตเลอร์เมื่อเห็นทางจวนตัวแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเลือกสู้จนตัวตาย หรือถ้าแพ้ก็ฆ่าตัวตาย มันก็ดีอยู่หรอก แต่หลายๆครั้ง ยุทธศาสตร์การถอยก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า เช่นครั้งนายพลเปาลุสเมื่อสงครามสตาลินกราดเป็นต้น หลายๆเล่มบอกว่า การที่ขุนพลเหล่านี้เลือกฆ่าตัวตาย ทั้งโดยการเอาปืนยิงตัวเองของแลงสดอร์ฟ หรือการทำอัตวนิบาตกรรมทางทหารอย่าง Lutjen ล้วนมีผลมาจากการกดดันมาจากทางเบอร์ลิน ที่ให้ตัวเองสู้จนตัวตายดีกว่ายอมแพ้ทั้งสิ้น เรื่องนี้ก็นับว่าเป็นอิทธิพลความคิดมาจาก Chivalry อย่างหนึ่ง ที่สมัยก่อนเขาถือว่าอัศวินที่ดีเลือกที่จะสู้จนตัวตายดีกว่ายอมแพ้ ใครที่เคยดูหนังเรื่อง Knight's Tales คงจำได้ตอนที่พระเอกยืนยันที่จะเดินเข้าสนามประลองมากกว่าที่จะหนีการจับกุมจากเจ้าหน้าที่ เรื่องนี้ก็เป็นผลมาจากแนวคิดอัศวินในสมัยนั้น ไม่แน่ใจว่าฮิตเลอร์ที่มีนโยบายกดดันทางทหารแบบนี้ มีผลมาจากการคลั่งเรื่องของอัศวินโรแลนด์กับโอลิเวอร์รึเปล่า ....ก็ว่าใช่นะ ฮิตเลอร์คงคลั่งเรื่องราวของอัศวินทั้งสองมากแน่ๆเลย เค้าถึงหวังอยากให้ขุนพลของตัวเองทำแบบนั้นมั่ง ลืมเล่าไปตอนนึง ประโยคเด็ดอันเป็นประวัติศาสตร์ ตอนที่ HMS Hood จมไปหมาดๆน่ะ ทั่นเชอร์ชิลล์ ได้ ตะโกนสั่งการจนลิ้นไก่สั่นลั่นกองทัพเรือว่า.. " Sink the Bismarckkkkkkkk..............!!" ป.ล...ขอแถลงเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า บางครั้งจะพบว่าเรียก ชื่อ Ark Royal บ้าง หรือ รอยัล โอ๊ค บ้างนั้น คือ เรือลำเดียวกันค่ะ ภาษาละติน ว่า อาร์ค รอยัล (เพราะอังกฤษมักใช้ภาษาละติน แต่มันแปลได้ในภาษาอังกฤษว่า Royal Oak) และ ชื่อเรือ Prinz Eugen ถ้าเยอรมันจะอ่านว่า พรินซ์ ออยเกิน ภาษาอังกฤษจะอ่านว่า พริ้นซ์ ยูเจน และขอแนะนำให้เข้าไปดูในยูทูป เกี่ยวกับยุทธนาวี Scapa Flow ที่นี่เลยค่ะ ได้อารมณ์มาก... //youtu.be/-CtE1naZWcU
Create Date : 31 มีนาคม 2548 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 5:44:41 น. |
|
17 comments
|
Counter : 3712 Pageviews. |
|
|
|
ไหนๆคุยถึงเรื่องสวิตเซอร์แลนด์แล้ว..ก็ต้องเล่าซะหน่อยนะเดี๋ยวหนูแจนเธอจะสงสัยเอาว่า ฮิตเล่อร์เหลือเอาไว้ทำพระแสงอะไร
ความจริง..ใครว่าไม่อยากได้ ฮิตเล่อร์นี่แหละตัวดี เขากล่าวไว้ว่า ถ้ายุโรปเปรียบได้ปานประหนึ่งใบหน้าของหญิงสาวสวย
สวิตเซอร์แลนด์ก็เปรียบเหมือนกับสิวเม็ดเป้ง ที่ต้องขจัดออกไป !!
ข้อความนี้เป็นที่รู้กันไปทั่ว..
จนวันที่ 25 กรกฎาคม 1940 หลังจากที่ประเทศอื่นๆได้ถูกกลืนกินไปจนสิ้นแล้ว
รวมทั้งฝรั่งเศสที่เคยยิ่งยง
อังกฤษที่ต้องแจวหนีทะเลไปอย่างหัวซุกหัวซุน แถมทิ้งอาวุธมากมายไว้ให้ดูต่างหน้าซะอีกนี่ซิ
สวิตฯเริ่มมองเห็นอนาคตแล้ว..ว่า..มันมาแน่
วันนั้น นายพล Henry Guisan (อองรี กีซัง) ผู้บัญชาการทหารบกได้นำนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดกว่า 600 นาย ไปยัง
ยอดเขาใกล้ทะเลสาบลูเซิน..พวกเขาได้ไปยืนอยู่ที่จุดๆหนึ่ง ที่เรียกว่า Rutli Meadow อันเป็นพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์ของการนองเลือดเพื่อเอกราชของชาวสวิสในครั้งกาลก่อน
นายพลกีซัง ได้ ประกาศต่อนายทหารทั้งหลายว่า
"วันนี้ กระผมขอพูดกับพวกท่านแบบลูกผู้ชายชาติทหาร ว่า เราอยู่ท่ามกลางศึกเหนือ(เยอรมัน)เสือใต้(อิตาลี) ซึ่งพวกมันพร้อมที่จะเข้าขย้ำเราในทุกเมื่อ นับว่า..ครั้งนี้ คือการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ที่เราจะต้องสู้เพื่อเอกราชของเรา และ หมายถึงว่า..เราจะสู้จนตายไปข้างหนึ่ง เรื่องที่จะยอมแพ้นั้น..ไม่มีวัน "
ทุกคนขานรับแบบไชโยโห่ฮิ้ว..
เพราะ ที่ตรงนั้น Rutli Meadow เมื่อ 650 ปีก่อน..ได้มีประวัติศาตร์จารึกอันเป็นที่เล่าขานไปทั่วโลกถึง วีรบุรุษ William Tell ในยุคนั้น นักรบชาวสวิสถือได้ว่า เป็นชนชาตินักรบที่ดุร้ายที่สุดในยุโรป ไม่ยอมก้มหัวให้แก่ใครเป็นอันขาด..
ออสเตรีย ได้เข้ามาบุกรุก และ ส่งเสนาบดี Gessler เข้ามาควบคุมดูแล..วิลเลียม เทล ปฎิเสธที่จะก้มหัวแสดงความเคารพ
จึงถูกอาญา โดยให้เลือกเอาว่า จะถูกฆ่าตายพร้อมกับ ลูกชายวัยหกขวบ หรือจะแสดงความสามารถโดยการยิงธนูให้ไปเสียบบนลูกแอปเปิล ที่ตั้งอยู่บนศรีษะของลูกชาย..ในระยะ 120 ก้าว
ถ้าแม่น...จึงจะไว้ชีวิต เหลือเพียงโทษแค่จองจำ..
(และจะเล่าเรื่องกองทัพสกีแม่นปืนของสวิตฯ กับเรื่องฟินแลนด์ให้ฟังที่หลัง
ตอนที่จะถึงการบุกรัสเซียในนามปฏิบัติการบารารอสซ่า เพราะมันคาบเกี่ยวกัน..)
วิลเลี่ยม เทล..ยอมรับที่จะแสดงฝีมือของการฉมังธนู เขาส่งลูกศรไปเสียบบนแอปเปิลลูกนั้นอย่างตรงเป้า..ท่านเสนาบดีข้องใจเดินมาดูที่กระบอกคันธนู แล้วถามว่า
"ทำไมถึงเหลือไว้อีกดอกนึงเล่า เพราะให้ยิงแค่ดอกเดียวเท่านั้น"
เขาตอบว่า...
"ถ้ากรูยิงพลาดไปโดนลูก..ลูกศรที่เหลือดอกนี้ คือไม่พลาดหัวใจเมิงแน่ๆ"
ต่อมาเขาก็ถูกจับเป็นนักโทษ..แต่สามารถหลบหนีในช่วงการเปลี่ยนที่คุมขังได้กลางทาง..และได้รวบรวมผู้คนต่อต้านขับไล่ออสเตรียนออกจากประเทศได้เป็นผลสำเร็จ..
และลูกศรที่เหลือดอกนั้น..เขาได้ส่งมันเข้าไปเสียบในหัวใจของ Gessler ได้ในที่สุด
จากนั้นมา..ไม่ว่าใครที่คิดจะเข้าไปบุกรุกใน
สวิตฯ ก็ถูกตีกระเจิงกลับมาทั้งสิ้น ราวกับว่าเทือกเขา Alpine นั้น ช่างมีความศักสิทธิ์ให้ความคุ้มครองป้องกันประชาชนได้อย่างเหลือเชื่อ..
จนกระทั่งถึงยุคของนโปเลียน ที่สามารถเข้าครอบครองได้อย่างเป็นผลสำเร็จ..แต่ก็เกิดการนองเลือดระหว่าง เยอรมันสวิส และ ฝรั่งเศสสวิส อย่างไม่มีวันเลิกรา
กว่าจะไล่ฝรั่งเศสออกไปได้ ก็บอบช้ำพอสมควร
จากนั้นมา ชาวสวิสจึงสาบานตนกันว่า จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามายึดครองประเทศได้อีก..
ประชาชนได้รับการฝึกหัดภาคสนามและการทหารอย่างเอาจริงเอาจัง
ผู้ชาย..ถ้ายังยิงปืนไม่แม่น..ห้ามแต่งงาน..
จนมาในสมัยของไกเซอร์ วิลเฮล์ม ที่ หนึ่ง และ เสนาบดีคู่ใจบิสมาร์ค ได้ยกทัพขอผ่านเขตแดนจะไปจับศึกกะอิตาลี ซึ่งแน่นอนว่า อย่าหวัง..
จนไกเซอร์ได้ไปเยี่ยนเยียน และขอเยี่ยมชมกิจการทหาร..พอเห็นว่า กองทัพสวิตฯมีกำลังเพียง สองแสนห้าหมื่นคน..
ในขณะที่ เยอรมันมีถึง ห้าแสนคน ไกเซอร์จึงถามว่า ถ้าเยอรมันบุกต่อตีเข้าจริงๆ ทหารสวิสจะทำยังไง..
คำตอบคือ.." then everyone of us will have to shoot twice!"
(จำไว้นะ ประโยคนี้ คือประโยคเด็ดที่พวกทหารเอามาคุยกันสนุกๆเสมอ)