|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
24 กรกฏาคม 2556
|
|
|
|
เชลย....ตอนยี่สิบสาม
ค่ำๆวันหนึ่งที่เขาต้องทำงานดึก ฉันมีโอกาสได้อยู่คนเดียวในบ้าน สายตาจ้องเขม็งไปวิทยุ และที่กระดาษที่ยัดไว้ตรงปุ่มหมุนหาคลื่น ในใจคิดว่า "หากเอามันออกล่ะ.." อีกใจหนึ่งก็ตอบว่า "อย่าเลย.." "น่าจะลองขยับดูนะ" คราวนี้ ฉันรู้สึกเหมือนว่า..เจ้ากระดาษนั่นส่งเสียงมา "โอย..ไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็โดนส่งไปค่ายนรกที่ดักเฮา หรือ บุชเชิ่นวอลด์ หรอก " ฉันตอบกลับไปด้วยรู้สึกที่แหยงๆ "กลัวละซิ..งั้นก็จงโง่เง่าต่อไปก็แล้วกัน" ฟังมันว่า.. ฉันรีบหันหลังให้กับเจ้าวิทยุนั่น..คิดอยู่คนเดียวว่าตัวเองนั้นท่าจะบ้าตามไปกับเวอร์เน่อร์ซะแล้วกระมัง..พูดกับกระดาษก็ได้ จึงหันหางานทำโดยการไปเช็ดถูพื้นครัว แต่เสียงของกระดาษนั่นยังตามมารังควานไม่หาย.. "นี่..คุณนาย รู้ป่าวว่า ตอนนี้อีกคลื่นนึงใกล้ๆกันนี่นะ ข่าวจากไหน..จะบอกให้ก็ได้ว่า..จากบีบีซีเชียวนะยะ" "ไม่รู้ไม่ชี้" "ยังมีคลื่นจากมอสโคว์ด้วยละ" "อ้อ..ไหนจะ Voice of America อีก" "หุบปากได้ไหม?" "ลืมบอกไปว่า..เขาออกอากาศเป็นภาษาเยอรมันด้วยนะ" เสียงห้องข้างบนกำลังตอกตะปูบนฝาห้องดังกึงๆ อันเป็นกิจวัตรประวันค่ำคืนของเขาหลังเลิกงาน ส่วนภรรยาที่มีนามว่า คลาร่า มักชอบร้องเพลงเสียงลั่นในยามทำงานบ้าน เช่น ถูบ้าน รีดผ้า.. เจ้ากระดาษได้ส่งเสียงมาสั่งสอนต่อว่า "เคยได้ยินบทกวีบทนี้ของเกอเต้บ้างไหม..ที่ว่า..ทำตัวขี้ขลาดหนึ่ง ไม่ใส่ใจหนึ่ง หงุมหงิมขี้อายหนึ่ง ขี้บ่นหนึ่ง มิสามารถชี้ทางพ้นทุกข์ให้ใครได้ไม่.." เท่านั้นเอง..สติของฉันก็ขาดผึง..เอื้อมมือไปสะกิดเจ้ากระดาษชิ้นนั้นให้หลุดออกไปวิทยุทันที เสียงของการตกฝาโป้งๆข้างบนนั้น ได้กลบเกลื่อนให้ได้เป็นอย่างดี และ..นั่นคือครั้งแรกที่โสตประสาทหูของฉันได้สัมผัสกับสถานีวิทยุบีบีซี.. เวอร์เน่อร์กลับาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน ก่อนเข้านอน ฉันได้กระซิบบอกเขาเบาๆว่า "ฟังนะ..วันนี้ฉันได้ฟังข่าวจากบีบีซี เขาว่า..ทหารเยอรมันเกือบสามแสนคนที่ไปในสงครามสตาลินกราด มีเพียงสี่หมื่นกว่าคนเท่านั้น ที่เหลือรอด ที่ตายไปอย่างทรมานก็แสนสี่หมื่นคน และที่ถูกจับไปเป็นเชลยก็อีกเกือบแสน พวกเชลยนั่นก็อยู่ในสภาพที่อดอยาก หนาวจนเนื้อหลุดเพราะต้องเดินในหิมะ ที่ได้กลับมาถึงเยอรมันจริงๆนั้น มีแค่หกพันคนเอง" ทันทีที่ได้ฟัง..น้ำตาของเวอร์เน่อร์ไหลพรากจนฉันตกใจ และจากจุดนั้นเอง..ฉันได้แอบฟังข่าวจากต่างประเทศวันละสามสี่ครั้ง โดยเวอร์เน่อร์ก็เข้าร่วมฟังด้วย ข่าวจากมอสโคว์มักเชื่อถือไม่ค่อยได้ มักเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า "Tod der Deutschen Okkupanten!" ใจความคือ..แช่งมาก่อนเลย ว่า ขอให้พวกเยอรมันจงชิ..หาย ตายโห..!! ส่วนบีบีซี ก็มักมีการใส่สีตีใข่พอสมควร ส่วนเสียงอเมริกาก็ฟังไม่ค่อยชัด ที่ดีและน่าเชื่อถือที่สุด คือ Beromunster of Switzerland เรื่องข่าวสารต่างๆที่ได้แอบฟังนั้น เราได้บอกต่อไปยังป้าพอลล่าด้วยในยามที่เธอแวะมาหา ซึ่งเธอได้เขียนโน๊ต กลับมาเป็นนัยๆว่า ขอบคุณสำหรับรูปภาพสวยๆ วันหนึ่งที่ฉันได้เดินไปหาเพื่อนบ้าน คุณนายซิคเกลอร์ หูฉันได้แว่วๆเสียงของข่าวจากบีบีซีที่คุ้นๆหูลอดอออกมาจากห้องของคลาร่า ตรงนั้นเอง..ที่ฉันได้เข้าใจดีถึงเสียงการตอกตะปู และเสียงร้องเพลงที่มักได้ยินรายวันนั้นว่า..นั่นคือการกลบเกลื่อนเสียงวิทยุนั่นเอง ทุกคนต่างแอบฟังสถานีต่างประเทศอย่างเราด้วยกันแทบทั้งนั้น แต่ยามที่อยู่กันนอกบ้าน เวอร์เน่อร์สวมบทบาทของชาวเยอรมันที่รักชาติ เทิดทูนบูชาท่านผู้นำอย่างหมดใจได้อย่างดี เพราะเพื่อนร่วมงานของเขามักมาพูดกับฉันบ่อยๆว่า "จริงของเวอร์เน่อร์เขาเลยนะ ที่ว่าอีตาเชอร์ชิลล์นั่นมันก็ไอ้ผู้ดีขี้เมาธรรมดาๆนี่เอง คนอังกฤษเองยังเกลียดมัน ไม่มีสนับสนุนมัน ไม่มีใครรักเหมือนอย่างท่านผู้นำของเราได้รับเลยแม้แต่นิด ไม่นานหรอก..ผู้คนเขาก็ไม่เล่นด้วยกับมัน อังกฤษก็จะเป็นของเราในที่สุด" อีกคนหนึ่งก็ว่า.. "เวอร์เน่อร์พูดถูกนะว่า..ท่านผู้นำเนี่ย..ท่านแสนฉลาดรอบรู้ไปหมด" เชื่อได้เลยนะ ว่า คนที่ถูกกล่าวขวัญถึงเนี่ย..คือคนเดียวกันกับคนที่กินอยู่หลับนอนกับสาวยิว แถมยังแอบฟัง วิทยุข่าวสารต่างต่างประเทศทุกคืนอีกต่างหาก การทำงานเป็นอาสากาชาดของฉันนั้น ช่างดีเหลือหลาย เพราะได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องไปปั๊มบัตรปันส่วนรายเดือนอย่างพวกประชาชนคนอื่นๆ อย่างเวอร์เน่อร์นั้น จะได้รับแจกบัตรปันส่วนจากที่ทำงาน ส่วนฉันเมื่อก่อน..จะต้องไปที่สำนักงานด้วยตัวเอง ที่มันเป็นการเสี่ยงอย่างน่ากลัวที่สุด เพราะมันเป็นของคริสตัล แม่เพื่อนสาว.. เกรงว่า..สักวันหนึ่งต้นขั้วของมันจะเกิดมาจ๊ะกัน..แล้ว..การสืบสวนจะตามมาว่าคนไหนคือตัวจริง คนไหนคือตัวปลอม.. ซึ่งฉันจะต้องระวังตัวอย่างที่สุด ด้วยเกรงว่าความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสนั้นจะตกไปถึงคริสตัลได้ ดังนั้น ฉันจึงพยายามอยู่อย่างกระเบียดกระเสียนเท่าที่มีอยู่ จนกระทั่ง..ในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ที่ฉันได้รับการบรรจุเข้าเป็นอาสากาชาด ในแผนกจัดเตรียมอาหารให้คนป่วย ฉันจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้บัตรปันส่วนอีกต่อไป เพราะ มีเงินเดือนเดือนละ สามสิบด้อยช์มาร์ค ซึ่งความจริงไม่ได้ถือว่าเป็นเงินเดือนจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นค่าขนมจะดีกว่า แต่มันก็ดีกว่าเงินที่เคยได้รับจากการทำงานในโรงงานนรกที่ผ่านมา.. แถมในการทำงานก็มีการเลี้ยงอาหารทุกมื้อ ซึ่งทุกคนทานพร้อมกับกลุ่มพวกพยาบาลที่มีการขอพรพระเจ้าก่อนลงมือรับประทาน จนกระทั่งในฤดูใบไม้ผลิของปี 1943 จึงได้มีการสั่งห้ามการสวดมนต์ทุกชนิด บนเครื่องแบบของฉัน จะมีเข็มกลัดตรากาชาดที่มีเครื่องหมายสวัสดิกะเด่นอยู่ตรงกลางที่พวกเราจะต้องติดอยู่บริเวณเหนือหัวใจ ซึ่งฉันฝืนใจทำตามไม่ได้ พยายามเลี่ยงไม่ติด พวกพยาบาลจึงมักต้องเตือนเสมอ แต่อาศัยที่ว่า ฉันได้ทำหน้าซื่อเข้าใส่ ทำตาบ้องแบ้ว..อ้อมแอ้มตอบไปว่าลืมบ้าง..หรือ หายไปแล้วบ้าง ซึ่งต่อๆมา..พวกเขามักจะไม่ค่อยสนใจหรือเข้มงวดกับเด็กใสซื่ออยางฉันมากนัก เพราะต่างก็มีงานทำแบบล้นมือด้วยกันทุกคน หรืออย่างกรณีที่ฉันมักชอบพูดภาษาฝรั่งเศสกับคนใข้ที่เป็นนักโทษฝรั่งเศส พวกพยาบาลมักสั่งให้ฉันส่งภาษาไปด่าว่าคนใข้ เช่น ฝรั่งเศสคือไอ้หมูสกปรก ฉักมักทำหน้าเหรอหรา บอกไปว่า..ไม่รู้ศัพท์จริงๆว่า หมูสกปรกนั้น ว่าอย่างไร? ต่อมาก็คือการเข้าร่วมกับสภาสตรีอาสาสงคราม ซึ่งผู้หญิงทุกคนควรที่จะเข้าร่วมด้วย ฉันก็แกล้งทำเซ่อซ่า ลืมไปแทบทุกที.. ความที่ฉันออกทีท่าอารีอารอบกับคนใข้นักโทษจนเกินขนาดนั้น..ทำให้ถูกสั่งย้ายในที่สุด ให้ไปทำงานในแผนกสูติกรรม ในยามนั้น..หลังการคลอดบุตร คนใข้ต้องอยู่โรงพยาบาลถึงเก้าวัน เด็กจะถูกดูแลโดยพยาบาลผู้ช่วยอย่างฉัน และนำมาให้เฉพาะยามที่ต้องให้ดื่มนมจากแม่ ซึ่งคนใข้พวกนี้คือ พวกภริยาของชาวไร่ชาวนาที่มีครอบครัวขนาดใหญ่อยู่แล้ว มีลูกเต้าเป็นพรวน ยามที่ญาติมาเยี่ยมก็จัดว่าโกลาหล ซึ่งต้องดูแลกันวุ่นวาย หลายต่อหลายครั้งที่ฉันได้รับเกียรติให้เป็นแม่ทูนหัวของทารกที่อยู่ในความดูแล ฉันตอบรับคำเชิญหมดทุกรายการ แต่หาทางเลี่ยงออกในวินาทีสุดท้ายทุกครั้งไป เนื่องจาก กิจกรรมในโบสถ์ของชาวคริสเตียนนั้น..ฉันไม่ประสีประสาเลย..ขืนไป..ความก็แตกกันพอดี ภาพที่น่าขำก็คือ เวลาอุ้มลูกอ่อนกลับบ้านของพวกแม่บ้านชาวนาเหล่านั้น เด็กทารกถูกหุ้มห่อไปด้วยผ้าอ้อมที่เป็นแพรเนื้อดี รวมทั้งการได้รับแจกเสื้อผ้าเด็กที่ทำด้วยไหมนุ่มนิ่ม หรูหรา ราคาแพง..ที่..เราไปปล้น กอบโกยเอามาจากฝรั่งเศสทั้งหมด.. ความจริงฉันชอบที่จะทำงานในแผนกนี้ เพราะรู้สึกได้เหมือนกับว่าตัวเองได้อยู่ใกล้ๆกับแม่..ได้จับมือกับแม่.. แต่ในยามที่ต้องเผิญกับภาวะวิกฤติก็มี..คือ การการใช้ยากล่อมประสาทในการช่วยลดความเจ็บปวดในการคลอด ที่มีผลทำให้เกิดอาการเพ้อออกมาจิตใต้สำนึก ซึ่งความจริงบางชนิดอาจทำให้ผู้พูดต้องเดือดร้อนได้ เช่น..ผู้ป่วยรายหนึ่งได้เพ้อสารภาพออกมาว่า ลูกคนนี้มิใช่ของสามี หากแต่เป็นของเชลยโปลล์ที่นำมาใช้แรงงาน เธอถึงกับ เพ้อถึงเขาว่า.."ยัน..ยัน..ที่รักจ๋า" ฉันต้องรีบเอามือไปปิดที่ปากให้..และกระซิบบอกไปว่า..อย่าพูดอีกนะ อันตราย อีกรายหนึ่ง..ได้เพ้อออกมาว่า เธอได้ยินเสียงของลูกชายที่ถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ในแนวหน้ารัสเซีย (มีการให้นักโทษส่งข้อความบอกทางบ้านออกอากาศ) และดีใจเหลือเกินที่เขารอด และยังมีชีวิตอยู่ รายนี้นับว่าโชคดีไปที่มีฉันเพียงคนเดียวที่ทราบว่าเธอได้แอบฟังวิทยุต่างด้าวเช่นกัน ในเดือน พฤษภาคม 1943 ฉันได้รับตรวจสุขภาพที่หมอลงความเห็นว่า ฉันมีอาการขาดสารอาหารที่สมควรได้รับการพักผ่อนบำรุงร่างกายสักสองสามวัน ซึ่ง..ฉันเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะพาเวอร์เน่อร์ไปเยี่ยมบ้านที่เวียนนา และะได้พบกับ เพื่อนๆของฉัน เช่น เปปปิ ,เยาทสกี้, คริสตัล และ คุณนายไนเดอรัลล์ผู้มีพระคุณ ฉันและเวอร์เน่อร์ได้ถือโอกาสไปเที่ยวที่ชนบทใน Weinerwald ไปนั่งมองแม่น้ำดานูปให้สมใจอยาก แต่เผอิญฝนเจ้ากรรมได้ตกลงมาอย่างหนาเม็ดทำให้ต้องค้างคืนในวันนั้น ครั้นพอรุ่งขึ้น เมื่อกลับไปถึงเวียนนา ทุกคนต่างตระหนกตกใจกันไปหมด ด้วยเข้าใจว่าเราได้ถูกจับตัวไปโดยเกสตาโป ก่อนลาจาก คริสตัลได้นำผ้าไหมม้วนใหญ่มาอวด เธอตั้งใจว่าจะนำมันมาตัดเป็นผืนสำหรับทำผ้าพันคอแจกจ่ายเป็นที่ระลึก หากแต่จะตกแต่งลวดลายให้สวยงามได้อย่างไร เวอร์เน่อร์ยิ้ม..บอกว่า..ไม่ยาก จะนำไปวาดให้เป็นภาพวิวสวยๆของเวียนนาตามมุมผ้า เช่นพระวิหาร Saint Stephen จะอยู่มุมหนึ่ง โรงมหาโอเปร่าจะอยู่มุมหนึ่ง ด้านนี้จะวาดด้วยสีฟ้า ตรงนี้จะใช้สีทอง" "แล้วคุณจะไปหาสีมาจากที่ไหนล่ะ?" คริสตัลถามอย่างไม่แน่ใจ "เรื่องสีนั่น เรื่องเล็ก..ปล่อยให้เป็นธุระของผมแล้วกัน" เวอร์เน่อร์ตอบด้วยความมั่นใจ ฉันก็พอเดาได้ว่า สีพวกนั้นจะต้องจากห้องเก็บของของโรงงานอาราโดอย่างแน่นอน เมื่อลาจาก..ฉันรู้สึกใจหายๆเช่นเคย และเชื่อว่าถึงตรงนี้ เพื่อนๆทุกคนคงสบายใจในเรื่องความอยู่รอดปลอดภัยของฉัน เพราะ มีเวอร์เน่อร์คอยเป็นฉัตรแก้วกั้นเกศให้ ตอนนี้..ฉันเริ่มรู้สึกสุขกายสบายใจเป็นหลักเป็นฐานขึ้น แต่ก็ไม่เคยหมดความระแวงระไวแม้แต่ชั่วขณะจิต แต่..อีกด้านหนึ่งนั้น ฉันเริ่มสูญเสียความเป็น"ตัวจริง" มากขึ้นไปทุกที จนรู้สึกโหยหา..ว่า..ต่อไปใครจะจำฉันได้อีกบ้าง.. ทุกครั้งที่ฉันต้องให้การดูแลพยาบาลเด็กอ่อนในมือที่ต้องป้อน ต้องทำความสะอาด ต้องให้ความทนุถนอมนั้น ฉันเคยคิดเสมอว่า ตัวเองก็อายุใกล้สามสิบเต็มที ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ถ้าจะมีลูกสักคนจะอยู่ไปรอดสักแค่ไหน สงครามจะยืนยาวไปอีกนานเท่าใด อนาคตข้างหน้าก็เหลือที่จะเดา แต่..ถ้าจะมีลูกสักคนก็นับว่าชีวิตข้างหน้าคง มีความหมายขึ้นอีกมาก เวอร์เน่อร์ก็ไม่ใช่คนเลวเกวอะไรนัก ขี้ปดไปหน่อย แต่ก็เป็นคนดีพอสมควร อย่างน้อยๆ เขาก็รักฉัน.. เมื่อกลับไปถึงบ้าน..ฉันพยายามบอกถึงความประสงค์กับเขา..แต่ เขาปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ว่า เขาไม่ต้องการ.. อาจจะเป็นเพราะที่จะมีแม่ของลูกคือผู้หญิงยิวอย่างฉันก็เป็นได้ เพราะแรงโปรปะกันดาของนาซีนั้นตอกย้ำเข้าหูเสมอว่า เลือดของยิวนั้นมันเลวนัก.. ไม่ควรต้องให้มาผสมกับสายเลือดบริสุทธิ์ของอารยัน ฉันก็ยังไม่สิ้นความพยายาม..ใช้ความสามารถของมารยาหญิงทุกวิถีทางที่จะให้เขาเลิกการคุมกำเนิดได้..จนมาสำเร็จเมื่อเดือนกันยายน 1943 ที่ฉันได้รับข่าวดีว่า..ตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ถึงกระนั้น ก็หาได้แปลว่าฉันต้องการการแต่งงานก็หาไม่ เพราะขั้นตอนการสอบสวนนั้นยุ่งยากนัก สิ่งเดียวที่ฉันหวังไว้ในใจ นั่นคือ การอุ้มท้องตลอดเก้าเดือนนั้น น่าจะนานพอจนเยอรมันได้พ่ายสงครามไปก็ได้ ถึงตรงนั้น ฉันก็จะได้รับอิสระ จะเลี้ยงลูกเอง หรือ แต่งงานกับเวอร์เน่อร์ก็ได้ หากแต่เวอร์เน่อร์ก็ยังเป็นชายเยอรมันเต็มร้อย..ที่ต้องยึดศักดิ์ศรีมาก่อนอื่นใด เขาไม่ยอมที่จะมีลูกนอกกฏหมายอย่างเด็ดขาด อีกทั้งป้าพอลล่าก็ย้ำหนักหนาว่า..เขาต้องดีกับฉัน ไม่งั้นจะพูดด้วย เขาจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว.. วันนั้น..เราไปยังกองทะเบียนในเมือง.. ฉันได้ไปพบเข้าสัมภาษณ์กับนายทะเบียนที่มีท่าทีเหมือนกับยมทูตเฝ้าประตูนรก..ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดปราศจากรอยยิ้ม แววตาที่ดุดัน สุ้มเสียงที่เอาจริงเอาจัง.. ด้านหลังของเขาคือ รูปปั้นครึ่งตัวของท่านผู้นำที่เด่นตระหง่าน.. จากข้อมูลประวัติของฉัน(ที่เขามี) เขาได้ไล่สอบไปเป็นข้อๆ..ว่า "อ้อ..ทางพ่อของเธอคือ อารยัน..ฝ่ายตาของเธอ จากสูติบัตร จากใบรับรองของโบสถ์ มีพร้อม แต่..แม่ของเธอล่ะ เรื่องราวเป็นอย่างไร?" "แม่เป็นรัสเซียขาวค่ะ พ่อพาเธอมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..ตอนนั้นพ่อทำงานให้กับกองทัพของไกเซอร์ในฝ่ายของทหารช่าง" "รู้แล้ว..แต่ทางยายของเธอล่ะ..ไม่เห็นมีข้อมูลบอกมา" "ทางเราไม่สามารถไปหาเอกสารได้หรอกค่ะ เพราะตอนนี้เป็นสงครามระหว่างเรากับรัสเซีย ที่ไม่มีการแลกข้อมูลและข่าวสาร" "นั่นหมายความว่า..เราก็จะไม่รู้เลยซิว่ายายของเธอเป็นใคร?" "ท่านเป็นยายของฉันนะคะ" "ก็อาจจะมีเชื้อสายยิวก็ได้นี่นา..เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่า เธอก็ต้องเป็นยิวไปด้วย" เราทั้งคู่เงียบสนิท..ฉันแกล้งมองหน้าเขาเหมือนกับว่า..คุณคิดอย่างนี้ได้ไง? ส่วนเขาก็ทำท่าครุ่นคิด เอานิ้วมือเคาะเบาๆไปที่ฟัน..หรี่ตามามองที่ฉันอย่างปริศนา หัวใจแทบหยุดเต้น..ในที่สุดเขาว่า "เอาละ..แค่ดูหน้าเธอ ฉันก็รู้แล้วละว่า เธอน่ะมันเป็นอารยันแท้ๆ" จากนั้นเขาก็หยิบตราขึ้นมาประทับโป้งไปที่ทะเบียน..ด้วยคำโตๆว่า..Deutschblutig อันหมายถึง เลือดเยอรมัน(ของแท้) และจัดการเรื่องทะเบียนสมรสให้เรียบร้อยในวันนั้น 16 ตุลาคม 1943 ของขวัญที่เราจะต้องได้รับจากรัฐบาล นั่นคือ หนังสือ Mein Kampf ของท่านผู้นำ แต่เผอิญว่า ในอาทิตย์นั้นสต๊อคได้หมดไปเสียก่อน หลังจากแต่งงาน เราจะได้รับส่วนแบ่งจากบัตรปันส่วนเพิ่มขึ้น ทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เพียงแต่ว่า ฉันจะต้องถ่อสังขารไปรับเอง ซึ่งมันยังเป็นการเสี่ยงอยู่ดีที่จะถูกจับได้ว่า ฉันใช้ชื่อปลอม.. วิธีเดียวที่เป็นทางออกของฉัน คือ การปรับทุกข์กับไฮล์ดี้เพื่อนบ้าน บ่นให้ฟังถึงการไปมาลำบากเพราะกำลังท้องอ่อนๆ ซึ่งเธอได้แสดงความมีน้ำใจจัดการไปรับมาให้
Create Date : 24 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 3:09:10 น. |
|
0 comments
|
Counter : 813 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
|
WIWANDA |
|
|
|
|