กรกฏาคม 2556
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
24 กรกฏาคม 2556

เชลย....ตอนยี่สิบ

ฉันไม่ได้เดินทางเข้าสู่อุ้งมือเสืออย่างที่คิดแม้แต่นิด เพราะเมืองเล็กๆที่จะไปอาศัยอยู่นั้น มีชื่อว่า ไดเซ่นฮอเฟ่น {Deisenhofen}
            ต้องอยู่ชานเมืองมิวนิครอบนอก บ้านที่จะเป็นนิวาสถานของฉันคือ ส่วนที่แบ่งเช่ามาจาก ครอบครัวของนายและนางเคิร์ล
            ทันที่คุณนายเคิร์ลได้เปิดประตูรับเสียงกริ่ง..ฉันเริ่มตะกุกตะกัก แนะนำตัวเองไปว่า
            "มาร์กา..เอ่อ..เอ่อ..เด..เด..เดนเน่อร์ แต่ใครๆก็ระ..ระ..เรียก ฉันว่า..กรีท..."
            "เอาเถอะ..ตอนนี้ฉันคิดว่าคุณเหนื่อยจากการเดินทางมามากแล้ว..รีบไปอาบน้ำอาบท่าเข้านอนก่อนเถอะ เดี๋ยวจะหากาแฟกับเค้กไปให้ทาน
            มะ..จะพาไป" คุณนายเคิร์ลผู้อารีรีบตัดบทและจัดแจงรับรองหญิงแปลกหน้าอย่างฉันราวกับญาติสนิท ซึ่งทุกวันนี้..ฉันยังประทับใจอย่างไม่เคยรู้เลือน

            คุณนายเคิร์ลเป็นคนที่มีอารมณ์ขันอย่างเหลือเฟือ และมีอาชีพเป็นนางพยาบาล ส่วนสามี..คุณเคิร์ลนั้น ทำงานที่ศาล ทั้งคู่ได้พบรักจนมาถึงร่วมหอลงโรงจนมีบุตรชาย
            วัยสี่ขวบด้วยกัน ก็คือเส้นทางแบบเดียวกับฉันนี่แหละ คือ การแบ่งห้องให้เช่า
            อีกทั้งการที่ครอบครัวนี้เป็นชาวโปแตสเเต้นท์ที่อยู่ในแวดวงของกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่นับถือคาธอลิค พวกเขาจึงไม่ค่อยได้สุงสิงกับหมู่เพื่อนบ้านทั้งหลาย
            ซึ่งเป็นผลดีกับฉันอย่างที่สุด

            และในการจ่ายค่าเช่าบ้านนั้น เราใช้วิธีแลกเปลี่ยนกัน คือ ฉันทำการตัดเย็บซ่อมเสื้อผ้าให้กับคุณนายอาทิตย์ละสามวัน โดยการหมุนเวียนนำวัสดุเก่าๆมาใช้
            เช่น นำเสื้อคลุมของคุณเคิร์ลมาตัดเป็นกระโปรงให้คุณนาย แก้เสื้อเชิร์ต เย็บเสื้อกางเกงให้เด็ก ปะชุนผ้าปูที่นอน
            ฉันได้เล่า(โกหก)ให้คุณนายฟังว่า แม่ตาย พ่อแต่งงานใหม่กับหญิงสาวที่มีอายุแก่ฉันไม่กี่ปี ซึ่งฉันและแม่เลี้ยงนั้นเข้ากันไม่ได้เลย
            จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องกระเด็นออกมาจากเวียนนา เพื่อที่จะมาหางานทำเป็นอาสากาชาด
            คุณนายได้ฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม และเชื่อสนิท บอกฉันให้อยู่ในบ้านได้อย่างตามสบาย เพียงแต่ขออย่างเดียว
            คือ อย่านำผู้ชายเข้ามาในบ้าน
            ซึ่งฉันรับคำด้วยความยินดี


            คุณนายได้เล่าประวัติส่วนตัวให้ฉันฟังบ้างเช่นกัน ว่า..
            "เมื่อก่อนสงครามนะ..นายจ้างเก่าของฉันเขาเป็นทนายความชาวยิว ที่จ้างฉันไปดูแลพยาบาลแม่ของเขา จนต่อมารัฐบาลได้ออกกฏหมายว่าห้ามชาวเยอรมันทำงานกับพวกยิว ฉันเลยต้องออกมา
            น่าสงสารเขานะ แม่ของเขาร้องไห้ไม่อยากให้ฉันจากไป ส่วนเขาถูกจับ..ฉันเองก็ถูกจับในเวลาไม่นานต่อมา
            เขาหาว่า ฉันมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนายจ้าง และพยายามรีดข้อมูลจากฉันว่า เขาเอาทองไปซุกซ่อนที่ไหน?"
            คุณนายเล่าไปพลาง มือก็ปอกมันฝรั่งไปพลาง ส่วนฉันกำลังเย็บผ้าอยู่ที่จักร เธอเล่าต่ออย่างขำๆว่า
            "ฉันก็เลยย้อนถามกลับไปว่า..หน้าฉันนี่มันเหมือนกับคนทำงานในเหมืองทองหรือไง..เขาก็ว่า ในฐานะที่เป็นลูกจ้างคนสนิท ย่อมต้องรู้ดี
            ฉันก็ย้อนไปอีกว่า..ฉันเป็นพยาบาลนะ ไม่เห็นอะไรนอกจากกระโถน.." เธอเล่าไปขำไป..แต่..สีหน้าเธอได้เปลี่ยนไปยามที่เล่าต่อว่า
            "พวกเขาพาคุณทนายมาพบฉันในที่คุมขัง ท่าทางเขาเหมือนกับถูกทารุณมาพอสมควรนะ เธอรู้ไหมว่า เมื่อเจอกัน คุณทนายเขาทำไง..เขาทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าฉัน
            พร้อมทั้งขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ที่เขาต้องทำให้ฉันมาลำบากลำบน มาร่วมชะตากรรมทั้งๆที่ไม่มีความผิด"
            "แล้วไงต่อไปคะ?" ฉันรีบถาม
            "เขาก็หายไป..สาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยกันทั้งครอบครัว"
            เพียงสองอาทิตย์แรกที่ฉันได้ก้าวเท้าเข้ามาร่วมในชายคาของครอบครัวนี้ ฉันได้ยินเรื่องราวต่างๆที่ล้วนแล้วแต่เหลือเชื่อ..เช่น
            "พวก SS นะ ส่วนใหญ่ก็เท่ดี หน้าตาหล่อเหลา หัวรุนแรง แต่ก็เหมาะกับหน้าที่ดีแล้ว แต่เสียอย่างเดียว คือ ใครๆก็กลัวพวกนี้จนไม่อยากคบค้าด้วย
            พวกหนุ่ม SS นี่เลยอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว หงอยเหงาไปตามๆกัน"
            (ฉันถึงกับถอนใจ..ในความคิดของคุณนายว่า คนพวกนี้น่าสงสาร..) หรือ
            "รัฐบาลนาซีก็เข้าใจในความจริงข้อนี้นะ จึงพยายามช่วย..โดยการจัดเดทให้หลับนอนกับสาวๆในกลุ่มยุวชนฮิตเล่อร์ ซึ่งก็เหมาะสมกันดี เพราะต่างมีเลือดรักชาติด้วยกันทั้งสองฝ่าย ลูกออกมารัฐบาลก็เอาไปเลี้ยงดูให้
            (คราวนี้..ฉันถึงกับหัวเราะออกมา เพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้ น่าจะเป็นแผนโปรปะกันดาของใครบางคนต่างหาก) แต่..คุณนายได้ยืนยันว่า
            "จริงๆ..ตรงที่เลี้ยงเด็กนั้น เราเรียกว่า องค์กรสงเคราะห์เด็กแรกเกิด เลเบนส์บอร์น {Lebensborn} เวลาเธอไปเที่ยว
            มิวนิคก็ลองไปดูซิ สำนักงานอยู่ที่นั่น..!!

            มิวนิคในเดือน สิงหาคม 1942 นั้น เต็มไปด้วยสีสันแห่งความรื่นเริง เพราะเยอรมันได้มีชัยชนะไปทั่ว ผู้คนต่างเดินทางเข้ามาเที่ยวอยางอุ่นหนาฝาคั่ง รวมทั้งการไปแวะเยี่ยมเยียนโรงเบียร์ที่ฮิตเล่อร์ได้ก่อการกบฎต่อรัฐบาล
            บาเวเรียน (เดือน พฤศจิกายน 1923)และ หอศิลปแห่งชาติ

            ส่วนฉัน..ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทตัวโคร่ง..เดินไปบนถนนที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนด้วยสายตาที่สอดส่ายสนใจไปในทุกสิ่ง รอบกายนั้น เต็มไปด้วยเสียงเพลงจากคอนเสิร์ทต่างๆ มีโรงละครอุปรากร มีการเสดงนิทรรศการ
            มีทหารหน่วย SS จากดินแดนบอลติค ที่พูดภาษาเยอรมันกันไม่ได้สักคำแต่ก็ยังแต่งเครื่องแบบพร้อมเครื่องหมายกันอย่างโก้หรู
            สมองของฉันแว้บไปถึง ชาวยิวในวิลนา(Vilna) เมืองที่พ่อเคยบอกว่าเปรียบเสมือนเยรูซาเล็มแห่งยุโรป ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะทุกอย่างได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของนาซีหมดแล้ว
            สายตาได้ไพล่ไปเห็น เชลยรัสเซีย ที่กำลังถูกคุมให้ทำงานเป็นกรรมกรแบกหามอยู่ข้างถนน เสื้อผ้าที่สวมใส่ของเขาถูกป้ายให้เป็นวงกลมโตสีแดงให้เห็นเป็นสำคัญ
            ผู้คุมนาซีกำกับด้วยปืนไรเฟิลในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
            และได้เห็น ชายชราชาวยิวที่กำลังถูกบังคับให้ก้มลงขัดถูพื้นถนนอย่างทุลักทุเล..
            หัวใจของฉันกระตุกขึ้นมาอย่างแรงด้วยความเวทนา
            อยากจะเข้าไปกอดและพูดจาปลอบประโลมเขาเหลือเกิน
            แต่..ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องหักใจเดินคอแข็งผ่านเลยไป
            จนในที่สุด ก็มายืนอยู่ตรงหน้าตึกที่ทำการของ
            เลเบนส์บอร์น ที่คุณนายเคิร์ลได้กล่าวถึง
            และได้ประจักษ์กับตาของตัวเอง..ว่า..มันมีจริง..!!

            โชคดีที่ฉันไม่ได้มีบุคลิกอันเป็นที่ต้องตาหรือมีจุดเด่นให้เป็นที่สังเกตแต่อย่างใด การที่สวมวิญญาณของสาวนามว่า กรีท ที่มีท่าทีขี้อาย สงบปากสงบคำ ไร้เดียงสา ไม่มีพิษมีภัย และสุภาพเรียบร้อย
            ซึ่ง ในบางครั้งสาวประเภทนี้ก็เป็นที่หมายตาของพวกทหารที่เข้ามาพักผ่อนในมิวนิคเช่นกัน เพราะพวกทหารเหล่านี้ต่างพยายามหาเพื่อนเที่ยวด้วยกันทั้งนั้น
            เรื่องการถูกชวนให้เข้าร่วมนั่งดื่มน้ำชากาแฟจึงมักเกิดขึ้นเสมอๆ ซึ่ง..ฉันยังจำได้ถึงบทเรียนที่ได้เห็นจากคริสตัล แม่เพื่อนรัก ยามที่เธอเคยได้รับเชิญจากพวกเกสตาโป
            และวิธีการหลอกล่อเอาตัวรอดเช่นนั้น มักใช้ได้ผลเสมอ แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่มีเจ้ามือมาเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันนั้นก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะ ..กระเป๋าแห้งเต็มที
            เงินทองที่มีอยู่นั้น มาจากเงินได้จากการขายเสื้อเฟอร์ของแม่ และมันก็กำลังร่อยหรอลงไปทุกที
            การที่ยอมรับคำเชิญไปนั่งดื่มกาแฟกับพวกทหารนั้น มักไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรนอกจากการเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะพวกนี้มักชอบเล่าถึงเรื่องของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยฟังชาวบ้าน
            ซึ่งนับเป็นการแปลกไปอีกอย่างหนึ่งของคนในยุคนั้น เพราะ ทุกคนล้วนต่างมีปัญหาของตัวเองอย่างล้นเหลือ จนไม่อยากฟังเรื่องของคนอื่นให้หนักสมอง
            บางคนก็ขอนัดเจออีก..ฉันก็รับไปตามแกน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาตามนัด เพราะ ไม่มีใครคิดที่จะมาติดตามหาใคร บ้านช่องอยู่ไหนก็ไม่มีการบอกกล่าวอยู่แล้ว


            ถึงเวลาที่สภากาชาดได้เรียกตัวให้ไปสัมภาษณ์ ..
            สถานที่นั้นช่างใหญ่โต โอ่โถง เป็นบ้านหรูริมแม่น้ำ อิซาร์ของเศรษฐีนีคนหนึ่ง บนฝาผนังมีภาพของท่านผู้นำประดับ
            อย่างเด่นชัด..เจ้าของบ้านแต่งกายด้วยชุดกำมะหยี่สีแดงเข้ม เครื่องประดับคือ เครื่องหมายสวัสดิกะฝังเพชรที่ห้อยอยู่กับสร้อยคอ
            เธอได้ถามถึงประวัติของฉัน
            ซึ่งฉันได้เรียบเรียงคำตอบได้อย่างละเอียดละออ จากข้อมูลประวัติของบรรพบุรุษของคริสตัลที่เป็ปปิได้จัดรวบรวมไว้ให้ เช่น ปู่ทวดเกิดที่ไหน เมืองไหน ตำบลไหน
            เรียนที่ไหน ทำงานที่ไหน ฝ่ายตาทวดก็เช่นกัน หากแต่ข้อมูลของฝ่านมารดาของคริสตัลนั้นไม่ค่อยแน่ชัด เนื่องจากว่าเธอได้เสียชีวิตไปนานแล้ว อีกทั้งเป็นชาวรัสเซียขาว
            หากแต่ เนื่องจากบิดา (คือ นายเดนเน่อร์) นั้นเป็นข้าราชการในกองทัพนาซี การสัมภาษณ์จึงสรุปได้ง่ายดาย ผู้สัมภาษณ์ได้ตบท้ายว่า
            "คุณมีความรู้เกี่ยวกับบรรพบุรุษดีมาก ขอชมเชยจากใจจริง คนที่มารับการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้เรื่องของตัวเองเหมือนเธอเลยนะ กรีท.."
            ใจฉันหายแว้บ..ท้องใส้พาลปั่นป่วน..นี่ฉันเผลอพิรุธ
            "รู้ดีเกิน"..อะไรออกหรือเปล่าเนี่ย..??
            แต่..มาดามคนนั้นได้บอกว่า จะส่งผลไปให้ทราบภายในสองสามอาทิตย์ข้างหน้า..
            ซึ่งมันทำให้ฉันต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในที่สุด

            ฉันแวะไปดูมหาอุปรากร ลา โบเฮม (La Boheme) ที่มีดาราฝ่ายหญิงที่รับบท Mimi คือ Trude Eipperle มีทหารคนหนึ่งได้เข้ามาขอประกบคู่เข้าไปดูพร้อมกับฉัน
            เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างในการที่ไม่ต้องคอยเข้าคิวซื้อตั๋ว ในสิทธิพิเศษที่ทหารมาชมพร้อมกับภรรยา ซึ่งฉันก็ตกลงยินยอมตามนั้น
            ทำให้เราได้ตั๋วมาอย่างทันอกทันใจ ทหารคนนั้นได้พาฉันไปในร้านอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น ฉันเชื่อว่าเขาคงมียศใหญ่โตพอสมควร
            เพราะจากที่เห็นว่า เขาสามารถเอื้อมมือไปหยิบจานอาหารในมือของบริกรที่กำลังจะไปส่งให้โต๊ะอื่นมาก่อน ทุกคนก็เห็นแต่ไม่มีใครเอ่ยปากโต้แย้งอย่างใด

            คุณนายเคิร์ลตั้งใจจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับฉัน
            เธอมีคูปองเหลือในบัตรปันส่วนเสื้อผ้า เพราะข้อแก้ตัวที่ฉันได้เคยบอกไปว่า ส่วนของฉันนั้นได้ใช้หมดไปนานแล้ว
            (ความจริงคือ ฉันไม่กล้าไปขอบัตรปันส่วนใดๆ เพราะนั่นจะเป็นสาเหตุให้ความแตกว่า..ฉันคือ เดนเน่อร์ตัวปลอม ตามที่มิสเตอร์ โยฮัน พราทเน่อร์ ได้สั่งไว้หนักหนา)
            คุณนายพาฉันไปร้านขายเสื้อผ้า ได้ซื้อชุด เดิร์นเดิล (dirndl) ที่กำลังเป็นที่สุดฮิตในยุคนั้นให้ ฉันยังจำได้ดี ว่า ชุดสำเร็จรูปนั้น คือ กระโปรงบานสีแดง คาดขอบเอว มีเสื้อคลุมสีเดียวกัน มีเสื้อสวมตัวในสีขาว
            ซึ่งเมื่อลองแล้ว..ช่างพอดิบพอดี คุณนายเคิร์ลยืนยิ้มร่าอยู่เบื้องหลัง ที่ฉันเห็นได้ชัดจากเงาสะท้อนบนกระจก..
            ช่างเหมือนกับรอยยิ้มของแม่เสียเหลือเกิน ยามที่แม่ตัดเย็บเสื้อผ้าให้ออกมาสวยงามดังใจ
            ยิ่งคิด.. น้ำตาเจ้ากรรมพาลจะไหลออกมา..
            "กรีท..เป็นอะไรไปน่ะ?" คุณนายรีบถามด้วยความห่วงใย
            "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ " ฉันรีบกลบเกลื่อนอาการนั้นได้อย่างรวดเร็ว
            เจ้าของร้านเสื้อคงรู้จักกับคุณนายพอสมควร เพราะมีการลดราคาคูปองให้ไม่น้อย
            และชุดนั้นฉันได้ใส่ไปเฉิดฉายในงานเทศกาล Weiss Ferdl Cabaret อันเป็นเทศกาลของความรื่นรมย์ที่ประชาชนต่างพากันเฉลิมฉลองที่ทหารได้ประสบความสำเร็จจากการโจมตีฉบับสายฟ้าแลบในทุกที่ที่บุกเข้าไป
            ทุกคนควงคู่รักออกมาใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน
            บรรยากาศแห่งความมั่งมีได้เร่งเร้าให้ผู้คนพากันสรวลเสเฮฮา ที่ ต่างได้รับการแจกบ้านใหม่ ธุรกิจใหม่ที่ได้มาแบบถูกๆ
            โดยไม่มีใครสนใจสักนิดว่า..ทุกอย่างนั้น ได้มาเพราะการไปปล้นใครเขามาบ้าง..
            ตลกคนหนึ่ง ดันไปพูดว่า..
            "เยอรมันนี่ใจกว้างดีแท้..ได้ยินมาว่า พวกเขาใจดีถึงขนาดเลิกใช้อ่างอาบน้ำกันเชียว เพราะยกไปให้ห่านได้แหวกว่ายเล่นให้สำราญใจ เพื่อที่จะให้ห่านพวกนั้นมันเนื้อตัวสะอาด
            อ้วนพี
            ทีนี้..พอเข้าที่..ก็ ไปจับมันมาเชือด ทำอาหารขึ้นโต๊ะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส "
            นายตลกคนนี้พูดอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกลากตัวไป..


            28 สิงหาคม 1942 เป็นวันศุกร์ที่มีอากาศร้อนอบอ้าว
            ฉันจำได้ดีถึงวันและเวลา เพราะว่า
            วันนั้นคือ วันเกิดของเกอเธ ที่ฉันได้ไปที่หอศิลปในเมือง
            มิวนิค เพื่อไปดูการแสดงภาพวาดต่างๆ..
            ชายร่างสูงคนหนึ่งได้เข้ามานั่งใกล้ๆบนม้านั่งตัวเดียวกัน เขามีผมบางๆออกสีทอง ดวงตาสีฟ้าสดใส ริมฝีปากบางเฉียบ เป็นอารยันแท้ๆเชียว..
            เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดพลเรือน มีเครื่องหมายสวัสดิกะติดที่หน้าอก อันเป็นสัญญลักษณ์ว่าเป็นสมาชิกของไทยรัก..เอ๊ย..นาซี เขาชวนคุยว่า
            "ภาพเขียนทิวทัศน์ท้องทุ่งนี่..มันช่างเป็นสัญญลักษณ์ของชนบทบาเวเรียน แท้ๆเชียว แต่..คุณคงรู้ดีอยู่แล้วละนะ"
            "ไม่ทราบซิคะ"
            "คืองี้..ในการเขียนเนี่ย จิตรกรเขายกย่องปิตุภูมิของเรา ที่มีกสิกรที่แข็งแรง ฝูงวัวที่อ้วนพี ดินฟ้าอากาศต้องตามฤดูกาล มันช่างสวยงามเสียจริงๆ"
            สายตาของเขาเหลือบมามองที่มือของฉัน เพื่อที่จะสอดส่ายหาแหวนแต่งงาน และ เมื่อไม่เห็น..เขาจึงต่อว่า
            "สวยเหมือนคุณไงล่ะ ฟลาวไลน์...?"
            ฉันไม่ได้ตอบในสิ่งที่เขาทิ้งท้ายไว้ กระเถิบตัวให้ออกมาห่างนิดหนึ่ง รักษาทีท่า ซึ่งเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คุยต่อไปว่า
            "ผมทำงานที่ แบรนเดนเบอร์ค-ฮาเวล มีคนงานที่เป็นกสิกรที่ว่านี้มากทีเดียว แต่ไม่ยักมีใครหน้าตาหล่อเข้มอย่างในภาพวาดนี้สักคน คุณว่าม๊ะ ว่าคนวาดนั้นวาดมาจากจินตนาการล้วนๆ"
            ฉันได้ยิ้มรับน้อยๆพองาม
            "คุณรู้ปล่าวว่า..ท่านผู้นำของเราท่านรักงานศิลปยังกะอะไรดี ทุกปีท่านจะกว้านซื้อเป็นร้อยๆภาพที่นำมาแสดงในหอศิลปนี่ จิตรกรทุกคนต่างหาทางที่จะวิ่งเต้นเอางานของตัวเองมาติดตั้งในนี้ให้ได้ เพียงแค่มีผลงานเข้ามาครั้งเดียวก็ถือว่า ติดอันดับกับเขาแล้ว..และยิ่งถ้ามีญาติทางพ่ออยู่ในบอร์ดของกลุ่มกรุปป์ (อุตสาหกรมถลุงเหล็ก Krupp) หรือ มีญาติทางแม่เคยไปร่วมวงน้ำชากับ
            นายหญิง เอ๊ย..มาดามเกิบเบิลส์ ละก้อ..จะช่วยได้เยอะเชียว"
            "คุณเป็นจิตรกรหรือคะ?"
            "ครับ"
            "จริงๆหรือ หมายถึงว่าทำเป็นอาชีพน่ะค่ะ.."
            "อาชีพของผมจริงๆเดี๋ยวนี้คือ การเป็นผู้คุมการทาสีให้กับโรงงานประกอบเครื่องบินที่ บริษัทผลิตเครื่องบิน อาราโด แต่ความฝันจริงๆของผมคือ อยากเป็นจิตรกร
            คุณได้รู้เรื่องมั่งหรือเปล่า ว่า ท่านผู้นำ..ได้ออกทุนจากกระเป๋าตัวเองให้กับ นาย เซปป์ ฮิลซ์ (Sepp Hilz) ให้สร้างสตูดิโอ และเลื่อนเขาให้มาเป็นศาสตราจารย์
            ในมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่นายเซปป์นี่ เป็นช่างวาดกระจอกๆคนนึงเท่านั้น"
            "ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ"
            "งั้นเราเดินไปชมภาพอื่นๆด้วยกันนะ"
            "ค่ะ"
            เมื่อเดินไปเคียงข้างกัน เขามีร่างที่สูงใหญ่และเดินเร็วจนแทบซอยเท้าตามไม่ทัน ส่วนเขาได้แต่คุยไปเรื่อยๆ
            "ส่วนตัวแล้ว..ผมชอบภาพออกแนวคลาสสิค ท่านผู้นำท่านชอบแนว ออสโตร-บาเวเรียน อย่างของ Spitzweg หรือไม่ก็ Grutzner
            ส่วนผมกลับชอบของ Angelika Kauffmann"
            "ใครนะคะ?"
            "เธอเป็นศิลปินชั้นแนวหน้าในยุคศตวรรษที่สิบแปด เป็นคนสวยมาก ดูจากในภาพวาดเหมือนของเธอนะ ต่อมาเธอได้สนใจในประวัติศาสตร์เยอรมัน จึงได้วาดภาพฉากชัยชนะของ จอมทัพเฮอร์มานน์ ที่ได้เพิ่ง
            กลับมาจากชัยชนะในสงครามต่อสู้กับชาวโรมัน ที่ Teutoburg และ เมื่อกลับมา ภรรยาได้รอรับอยู่ด้วยความยินดีปรีดา พวกผู้หญิงชาวเมืองต่างพากันร้องรำทำเพลง
            ผมชอบภาพนั้นจริงๆ.."
            เขาหันมาส่งมือให้ และแนะนำว่า
            "ผมชื่อ เวอร์เน่อร์ เวตเทอร์"
            "ดิฉัน กรีท เดนเน่อร์ "
            "คุณจะรังเกียจไหมครับที่จะร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผม"
            "ถ้าคุณสัญญาว่าจะเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังอีก"
            ซึ่งเขาได้ทำตามสัญญาอย่างที่ว่าไว้ เพราะ เขาช่างสรรหาเรื่องเกี่ยวกับศิลปมาคุยได้อย่างไม่รู้จบ นับว่าเป็นคนที่มีความรู้มากมาย น่าประทับใจพอสมควร
            เขาเป็นคนมาจากไรห์แลนด์ ใกล้ๆกับ ดุสเซนดอร์ฟ และมาท่องเที่ยวที่มิวนิคเพราะได้รับการหยุดพักร้อนสองอาทิตย์ ซึ่งเขามีเวลาเหลืออีกเพียงเจ็ดวัน


            ในอาหารมื้อนั้น เขาขอให้ฉันช่วยออกคูปองส่วนตัวมาสมทบเป็นค่าอาหาร ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกนับว่ามาแปลกจากชายคนอื่นๆ
            เขาได้สั่งแซนวิช การรับประทานแซนวิชของเขานั้น เขาตัดมันด้วยมีดและใช้กินด้วยส้อม
            ที่ฉันมองอย่างขำๆ เขาจึงแก้เกี้ยวว่า
            "ป้าพอลล่าของผม สอนไว้หนักหนาว่าห้ามหยิบอาหารกินด้วยมือ ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อายุได้สิบสอง"
            ท่าทางเขาละเมียดละไมกับการรับประทาน ดูเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล น่าประทับใจ
            หากแต่..การที่เขาเป็นสมาชิกในพรรคนาซีนี่ซิ..มันไม่เข้าท่าเอาเลย
            แต่จะว่าไปแล้ว..ท่าทางเขาไม่ใช่คนที่มีพิษมีภัย
            แต่เอ..หรือเขาอาจจะเป็นพวก SS นอกเครื่องแบบก็เป็นได้นี่นา..
            แต่..พวก SS จะมารู้เรื่องศิลปะอะไรได้มากมายขนาดนี้
            ฉันคิดวนเวียนไปมาอย่างวุ่นวายใจ..
            เขาก็พูดไปเรื่อยๆว่า
            "แมคซ์ ลิบเบอร์มานน์ เป็นจิตรกรมือหนึ่งเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นยิว.."
            ประโยคนั้น ทำให้ฉันตกลงใจที่จะพบเขาอีกในวันต่อมา..และวันต่อๆไปตลอดโควต้าของวันหยุดที่เขามีเหลือ

            ทุกครั้งที่มีความคิดว่า เขาอาจเป็นพวกนอกเครื่องแบบ ใจอดหายๆไม่ได้ แต่ต้องยอมรับความจริงกับตัวเองอย่างหนึ่งว่า..ฉันชอบที่จะคบค้ากับเขา
            เพราะความที่เป็นคนง่ายๆ คุยสนุก คุยเก่ง ที่ทำให้ฉันแทบไม่ต้องคุยอะไรเลย นอกจากรับฟัง..
            เขาก็เป็นเหมือนกับชาวเยอรมันคนอื่นๆทั่วไป ที่เทใจและศรัทธาให้กับท่านผู้นำ มั่นใจในเสถียรภาพของกองทัพแห่งชาติ จงชังรัสเซีย ชอบนินทาเกิบเบิลส์เกี่ยวกับเรื่องฉาวโลกีย์

            เพียงสัปดาห์เดียวที่เราได้พบปะพูดคุยกันนั้น ฉันถือว่าเป็นบทเรียนสูตรสำเร็จ ในการนำมาซึ่งเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองให้เป็นสาวเยอรมันอย่างเต็มตัว
            อีกทั้งเหตุผลสำคัญอื่นๆก็มี คือ เขาทำให้ฉันได้รู้สึกว่าเป็นสุภาพสตรีอีกครั้ง เช่นการเปิดประตูให้ หรือการช่วยประคองในการก้าวขึ้นรถไฟ ในตอนส่งขากลับบ้านทุกเย็น
            ยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆในโชคชะตาของตัวเอง
            ที่เมื่อเดือนก่อนแท้ๆที่ฉันเพิ่งผ่านชะตากรรมที่โหดร้ายอย่างแสนสาหัส แทบไม่มีจะกิน แทบสิ้นชีพกลางท้องไร่ท้องนา
            แต่ในเดือนนี้ ที่ฉันมาเดินลอยหน้าลอยตาเป็นสาวเยอรมันที่มีชายผู้แสนดีอยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ปกป้อง




Create Date : 24 กรกฎาคม 2556
Last Update : 24 กรกฎาคม 2556 3:01:54 น. 0 comments
Counter : 943 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

WIWANDA
Location :
กรุงเทพ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 99 คน [?]




[Add WIWANDA's blog to your web]