บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
ความรู้จากตำรา กับ ความรู้จากประสบการณ์

ความรู้ของคนเรานั้น อาจจะได้จากหลากหลายทาง เมื่อครั้งยังเล็กอยู่ ผมคิดว่า คนเขียนหนังสือ และ ตำราต่างๆ ช่างเก่งกาจเหลือเกิน จนมีความรู้สึกว่า พวกเขาเอาความรู้มาจากไหนมาแต่งหนังสือกันนะ... ทำให้อยากที่จะมีความรู้เหมือนอย่างพวกเขาบ้าง ซึ่งแน่นอน หนังสือชุดแรกที่ผมได้ศึกษาอย่างแท้จริง เป็นประเภทหนังสือที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบอ่าน นั้นคือ การบริหารและการจัดการ แต่ผมอยากที่จะเรียนรู้ทางด้านนี้อย่างจริงจัง จึงมีแรงผลักดันส่วนตัวที่จะพยายามหาอ่านเนื้อหาของแนววิชานี้มากยิ่งขึ้น

อ่านตำราเล่มแรกนั้น ดูเหมือนว่า โลกของบริหารการจัดการที่ผมต้องการศึกษานั้น มันดูกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน มันต้องใช้เทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจิตวิทยา หรือแม้นแต่ต้องมีวิธีการ หรือ เครื่องมือดีๆเอาไว้ใช้จัดการ ทำให้ผมต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ พวกการพัฒนาตนเอง การศึกษาคน ทั้งจิตวิทยา ดวงหรือการพยากรณ์ ต่างๆ รวมทั้งศึกษาเครื่องมือทางด้านการบริหารต่างๆด้วย...


หลังจากเริ่มมองเห็นว่า สิ่งที่เราเรียนรู้นั้น มันเรียนอย่างไรก็ไม่หมด และ เริ่มศึกษาหาความรู้นั้น สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผม ฉุกคิดขึ้นคือ ทำไมหนังสือหลายๆเล่ม มีแนวข้อมูลเหมือนๆกัน อ่านหนังสือสักเล่มหนึ่งเมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว แทบจะไม่ต้องอ่านหนังสืออีกเป็นสิบๆเล่มเลยทีเดียว แค่อ่านสารบัญ ก็สามารถอธิบายเนื้อหาภายในได้เกือบทั้งหมด ทำให้หนังสือหรือตำราที่ผมจะอ่านมีจำนวนน้อยลง และต้องเปลี่ยนแนวในการอ่านหนังสืออยู่เป็นประจำ...

เมื่อศึกษาลึกขึ้นไป ผมกลับพบว่า หนังสือต่างๆนั้นสาเหตุที่เหมือนกันเพราะหนังสืออ้างอิงที่ใช้เหมือนกัน พื้นฐานของแนวความคิดเมื่อมันมาจากที่เดียวกัน หนังสือต่างๆที่ได้อิทธิพลของแนวความคิดเหล่านั้น จึงเหมือนกัน ทำให้ผมมุ่งไปอ่านหนังสือที่แต่ละเล่มใช้เป็นหนังสืออ้างอิงว่า พื้นฐานแนวความคิดของผู้เขียนเหล่านั้น ได้มาอย่างไร และพวกเขากำลังมอง ณ จุดใด


เมื่ออยากรู้ให้มากกว่าในหนังสือที่แต่ละท่านเขียนมานั้น ท่านนักเขียนทั้งหลายได้แนวความคิดจากสิ่งใด ทำให้ผมเริ่มอ่านหนังสือโดยประเมิณนักเขียน หรือ นักคิดเหล่านั้นว่า เขามีแนวความคิดเช่นนี้จากสิ่งใด โดยศึกษาให้ลึกซึ้งถึงชีวิต ความเป็นอยู่ และ สภาพการณ์ของนักเขียนท่านนั้นๆว่า เขาอยู่ในสังคมแบบใด มีความเป็นอยู่เช่นใด ทำให้ผมรับรู้ในส่วนลึกของนักเขียนแต่ละท่านที่ได้สร้างตำรา หรือหนังสือต่างๆนั้น ขึ้นมา ประสบการณ์ และ มุมมองของท่านเหล่านั้นต่างหาก ที่เป็นพื้นฐานทางด้านแนวความคิดของหนังสือ หรือ ตำราทั้งหมดที่เขาเหล่านั้นได้เขียนมา

อย่าง เจ้าพ่อนักการตลาด กูรูที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่ได้ทำธุรกิจของตัวเอง ได้รับการเชื้อเชิญให้เป็นที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจต่างๆ ความรู้ของเขาได้จากการรวบรวมแนวความคิดของธุรกิจที่เขาให้คำปรึกษา ธุรกิจที่มีทั้งซ้ำกัน และ แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่เขาต้องวางแนวทางต่างๆให้แต่ละธุรกิจ เมื่อวางแนวความคิดบ่อยเข้า ความคิดก็ตกผลึกว่า หลักการทำการตลาดที่เขาวางนั้นมีเรื่องคร่าวๆ แค่ 4 เรื่องเท่านั้น นั่นเป็นที่มาของ 4P ที่โด่งดัง แล้ว คนอ่านตำรา ก็เพียงเอาความรู้ที่เขาตกผลึกแล้ว เอามาคุย เอามาโอ่อ้างกันว่า นี่แหละคือการตลาดสมัยใหม่ เอาศัพย์แสงต่างๆ เข้ามาเพิ่มมากขึ้น และ เริ่มตีความกับ 4P จนมีมุมมอง 4C และ อื่นๆอีกตามมา...

"เรากำลังตามหลังคนที่เขากำหนด หรือว่า เรากำลังมองว่าเขากำหนดมันขึ้นมาได้อย่างไร" คนไทยเราเห่อและไม่ได้สังเคราะห์เลยว่า สิ่งที่รับมาจากทางชาติตะวันตกนั้น เขาให้อะไรเรามา เขาให้สิ่งที่เขาคิด แต่เขาให้เราคิดเหมือนเขาคิดตามพื้นฐานจริงๆหรือเปล่า... เรากำลังตกเป็นทาสของความคิดที่เขาคิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึง เราเริ่มจะไม่คิดและยึดเอาแต่สิ่งที่คนอื่นคิดไว้มาต่อยอดเท่านั้น นั่นหมายถึง เรากำลังยึดแต่ตำราที่เขียนมา เราอ้างอิงแต่ชื่อของคนที่เขียนตำราเหล่านั้นมา โดยไม่เคยได้มองย้อนกลับไปเลยว่า คนเขียนตำราเหล่านั้น มีแนวคิดในการเขียนตำรามาได้อย่างไร...

ผมเห็นคนไทยชอบแปลตำรา ชอบอ้างว่า เป็นทฤษฎีนั้น ทฤษฎีนี้กันมากมาย แต่น้อยคนนัก ที่จะพยายามบอกว่า นี่เป็นสิ่งที่คนไทยเราคิดขึ้นมา มันเป็นแนวความคิดที่ถูกต้องมากกว่าในตำรา... และ แล้วผมก็รู้จากประสบการณ์จริงๆเลยว่า...

คนไทย ไม่ชอบให้คนไทยคนอื่นๆด้วยกัน เด่น ดัง หรือ คิดได้ในสิ่งที่ตนเองคิดไม่ได้ คนไทยเรายอมรับไม่ได้กับเพื่อนในชาติที่เหนือกว่า ดังนั้น คนที่มีความคิดลึกๆที่เป็นทาสของต่างชาติ ก็จะพยายามบอกว่า สิ่งที่คนไทยคนนั้นคิด เป็นสิ่งที่คนต่างชาติคิดมาไว้แล้ว หรือ ถามแบบโง่ๆว่า เอามาจากทฤษฎีไหนช่วยบอกชื่อทฤษฎีให้หน่อย หรือบางครั้ง ก็จะกล่าวหาว่า สิ่งที่คนไทยด้วยกันคิดไม่สามารถเป็นจริงได้หรอก... และ อื่นๆอีกมากมายที่จะพยายาม ถล่มความคิดของคนไทยด้วยกัน เพื่อไม่ให้ใครสามารถโดดเด่นขึ้นมาในสังคมนี้ได้...

น่าสงสารแนวความคิดดีๆมากมายที่ต้องล้มหายไป หรือ ก็โดนชาวต่างชาติเอาไปเขียนหนังสือ และ ส่งกลับมาให้คนในชาติเรียนรู้ และ ชื่นชมกับชื่อฝรั่ง แต่แนวความคิดไทย... ขอแค่คนคิดเป็นต่างชาติ คนไทยยอมรับได้ แต่ถ้าบอกว่า แนวคิดนี้เป็นของคนไทย คนไทยด้วยกันเองกลับยอมรับไม่ได้... นี่เป็นสิ่งแปลกๆของคนไทยในปัจจุบัน

และที่ยิ่งไปกว่านั้น หากคนคิดไม่มีปริญญาติดหลัง ไม่มีคำว่า ด๊อกเตอร์ติดหน้า แล้ว อย่าได้เผยอมาเขียนหนังสือ หรือบทความวิชาการเชียว อาจจะโดนถล่ม หรือ โดนดูถูกอย่างมากมาย เลยทีเดียว... ทั้งๆที่ หนังสือหรือตำรา ก็เป็นเพียงความคิดเห็น จากประสบการณ์ที่กลั่นตัวเป็นความรู้เท่านั้น...

ความรู้จากประสบการณ์จริงๆ ของผู้มีประสบการณ์ มีมากกว่าความรู้ที่อยู่ในหนังสือมากนัก มีคนจำนวนน้อยอยุ่แล้วที่สามารถเอาความรู้จากประสบการณ์มาเขียนเป็นหนังสือ และ การที่เขาเขียนหนังสือหรือตำรามานั้น ก็ไม่ได้เขียนความสามารถทั้งหมดของเขาออกมาหนังสือได้ทั้งหมด ซึ่งทำให้ความรู้จากตำราที่คนเขียนพยายามถ่ายทอด นั้นมีไม่ถึงครึ่งของความรุ้ที่คนเขียนมีเลยด้วยซ้ำ

คนที่เข้าใจเช่นนี้นั้นมีน้อย ผมจึงพยายามบอกให้เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนที่ผมรู้จัก เวลาอ่านหนังสือ ให้อ่านให้ถึงแนวความคิดของคนเขียน ศึกษาประวัติ และ เรื่องส่วนตัวของเขาบ้าง เพื่อจะได้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแนวความคิด ความรุ้ว่า เขาคิดมาได้อย่างไร เขาใช้ความรู้จากประสบการณ์จากในช่วงใดของชีวิต เขามีประสบการณ์ตรงจากสิ่งใด หรือ เขามีโอกาสที่จะเรียนรู้เรื่องต่างๆเหล่านั้นที่เขาเขียนมาได้อย่างไร ทำให้เรามองเห็นความรู้จากประสบการณ์ของผู้เขียนจริงๆ ไม่ใช่แค่ตำราที่เขียนให้เราอ่าน...

ตราบใดที่เรายังอ่านเพียงความรู้ที่ถูกตัดทอนของผุ้เขียนตำราอยู่ ตราบนั้นเราก็ได้เรียนและรู้เพียงความรู้ไม่ถึงเศษเสี้ยวของผู้แต่ง ผู้เขียน

ถ้าเข้าใจในเรื่องนี้อย่างถ่องแท้แล้ว คุณจะมองเห็นคนอ้างอิงชื่อตำรา อ้างอิงส่วนหนึ่งของทฤษฎี แล้วเอามาตีความให้อ่าน หรืออ้างอิงชื่อผู้คิดทฤษฎีนั้น ทฤษฎีนี้ แล้วดูเหมือนว่า เขารู้ถึงความคิดและพื้นฐานความคิดเหล่านั้นจริงๆหรือไม่ เขาสามารถเอาเรื่องเหล่านี้มาประยุกต์ใช้จริงหรือไม่ บางคนมักจะยกเอามาดื่อๆ ทั้งชุด บางคนก็อ้างกันจังกับชื่อนั้นชื่อนี้ เพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมา...

ตำรา ณ วันนี้ ในมุมมองของผม ผมกลับมองเห็นว่า มันเป็นเพียงแนวความคิดเพียงเศษเสี้ยวของแนวความคิดทั้งหมดของผู้เขียน ไม่ใช่ความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดของเขา คนที่สามารถมองเห็นว่าพวกเขานั้นคิดมาได้อย่างไร เขามีประสบการณ์เช่นใด และ เหตุผลใดเขาถึงคิดเช่นนั้นต่างหาก ที่จะสามารถพลิกแพลงไปใช้งานได้จริง ถึงแม้นว่าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มีชื่อในการทำเช่นนี้หรือไม่ มีทฤษฎีใดมาสนับสนุนการกระทำหรือไม่ จะจำไม่ได้ว่าเอามาจากใคร แต่สุดท้ายก็สามารถนำมาใช้งานกับสถานการณ์จริงๆได้ต่างหาก ที่ทำให้คนที่มีแนวความคิดเช่นนี้ประสบความสำเร็จ ประสบการณ์จะเป็นตัวสอนเราเองว่า เราต้องใช้วิธีการใดมาประยุกต์ใช้งาน ไม่ว่าจะประสบการณ์ตรงของผุ้ใช้ หรือ การหาประสบการณ์ทางอ้อมจากการศึกษาแนวความคิดของนักเขียนแต่ละท่านก็ตาม...

ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ความรู้จากประสบการณ์ จึงมีคุณค่า และ มีความหมายมากกว่า ความรู้จากตำราที่อ่านมากมายนัก... อย่ายึดแต่ตำราที่เขียนไว้ แต่จงยึดหลักแนวคิดของผู้เขียนตำรามาประยุกต์ใช้ดีกว่า...


Create Date : 22 มีนาคม 2549
Last Update : 22 มีนาคม 2549 17:50:30 น. 13 comments
Counter : 8773 Pageviews.

 
"ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ความรู้จากประสบการณ์ จึงมีคุณค่า และ มีความหมายมากกว่า ความรู้จากตำราที่อ่านมากมายนัก... อย่ายึดแต่ตำราที่เขียนไว้ แต่จงยึดหลักแนวคิดของผู้เขียนตำรามาประยุกต์ใช้ดีกว่า..."

สรุปผได้ดีมากค่ะ เห็นด้วยทุกอย่างเลย
คนไทยเรามีความรู้จากประสบการณ์เยอะ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราขาด คือการเก็ยข้อมูลเป็นระบบ การบันทึกข้อมูลเป็นระเบียบ
แต่ต่างชาติเขาเก่งในด้านนี้ จึงมีสารดคีมากมายที่เสนอทางทีวีให้เราเห็น
แต่สารดคืของไทยกลับมีน้อย
และที่มีก็คือนำความรู้จากที่เขาเขียนไว้มาใช้
ไม่ใช่ความรู้จากประสบการณ์จริง ๆ ถึงเป็นความรู้จากประสบการณ์ก็ยังไม่ลึกซึ้ง ไม่มีการต่อยอดให้ชัดเจน

ต่อไปนี้เราต้องปฏิวัติวิธีการสอนกันใหม่แล้ว ก่อนอ่านหนังสืออะไร ควรดูชื่อผู้เขียน ประสบการณ์ และแนวคิดของเขาด้วย เราจะได้เข้าใจหลักการเขียนของเขาอย่างลึกซึ้ง

บทความของคุณ wbj ดีมากค่ะ อยากให้เพื่อน ๆ เข้ามาอ่านเยอะ ๆ จะได้สิ่งดี ๆ กลับไป



โดย: ซออู้ IP: 203.113.16.241 วันที่: 22 มีนาคม 2549 เวลา:20:43:41 น.  

 
ความรู้จากประสบการณ์มีคุณค่าที่สุด เพราะได้เรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวกับ ความรับผิดชอบ การแก้ปัญหาจริง ความอดทน และการทำงานจริง ในตำราก็มีคุณค่าเพราะเป็นแนวคิดในการทำงานต่อๆไป


โดย: the author IP: 58.147.50.241 วันที่: 25 เมษายน 2549 เวลา:9:25:26 น.  

 


โดย: am_koi@hotmail.com IP: 124.120.185.53 วันที่: 13 มิถุนายน 2549 เวลา:12:09:18 น.  

 
นั่นสิคะ...ทำไมคนไทยเราต้องไม่เชื่อกันเองด้วย เศร้าจัง
แนวคิดนี้จะเปลี่ยนไปได้ไหมคะ น่าจะเปลี่ยนได้เนอะ

นี่ถ้าคนไทยเราเชื่อมั่นในคนไทยด้วยกันเองแล้ว และศรัทธาในตนเองแล้ว ชาติเราจะเจริญกว่านี้มากแค่ไหนนะ


อยากแนะนำหนังสือ ..ที่เขียนโดยคนไทยที่เก่งมาก
ที่เขียนจาก..ประสบการณ์คะ ^^

เรามีรีวิวไว้ในบล็อกด้วย

"ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้" (Conduct your dreams) โดยบัณฑิต อึ้งรังษี วาทยากรระดับโลกคนแรกของไทยคะ ^^



โดย: ล ม ห า ย ใ จ ...อุ่ น อุ่ น วันที่: 19 กันยายน 2549 เวลา:23:58:37 น.  

 
ประสบการณ์

ดีกว่าจริงๆ

เชื่อเราดิ


โดย: หมาดำบ้าไบ้เอ๋อมาก IP: 58.147.24.221 วันที่: 2 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:02:17 น.  

 
ทำไงดี ต้องแข่งโต้วาทีหัวข้อ ประสบการณ์มีค่ากว่าความรู้ เราก็เห็นด้วยนะ แต่เราได้เป็นฝ่ายค้าน เฮ้ออออ ~


โดย: มาตินี่ IP: 118.175.31.98 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:9:24:23 น.  

 
แค่เชื่อมั่น !!!!!
เราก้ได้แข่งเหมือนกัน เป็นฝ่ายค้านด้วย!!!!!
ที่สำคัญ....เราอยู่ทีมเดียวกันนะ - -"


โดย: Bestie IP: 118.175.31.98 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:9:26:22 น.  

 
อะไรมากมาย เค้ายังชิลๆเลย ~
สู้ๆนะ ^^" เราอยู่ทีมเดียวกัน 3 คนเลยหนิ 555
เบส เบว แอ๋ม 55


โดย: Ampare IP: 118.175.30.218 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:9:29:18 น.  

 


เค้าเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ ^^"
ไหนๆก็อยุ่ห้องเดียวกันแล้ว 55 :))
ว่าแต่...ทำไมเราต้องเปลี่ยนกันนั่ง เพื่อใช้คอมเครื่องเดียวกันด้วยเนี่ย ความคิดใคร ปัญญาอ่อน จริงๆ - -"


โดย: ตาว ศศิพัชร์ IP: 118.175.31.98 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:9:32:23 น.  

 


เค้าเป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ ^^"
ไหนๆก็อยุ่ห้องเดียวกันแล้ว 55 :))
ว่าแต่...ทำไมเราต้องเปลี่ยนกันนั่ง เพื่อใช้คอมเครื่องเดียวกันด้วยเนี่ย ความคิดใคร ปัญญาอ่อน จริงๆ - -"


โดย: ตาว ศศิพัชร์ IP: 118.175.31.98 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:9:32:34 น.  

 

หวัดดีๆ เรารู้จักพวกเธอทั้ง 4 คนเลยนะ ^^"
แต่พวกเธอไม่รู้จักเราหรอก แหะๆ ^^"
จะแข่งอีกครั้งแล้วหรอ ไงก็สู้ๆนะ เราเป็นกำลังใจให้:)
เราไปดูพวกเธอแข่งครั้งแรกด้วย สนุกมากๆเลย (หรอ) ล้อเล่น
ขอโทดนะที่มาใช้เครื่องต่อ เห็นมันว่าง ไม่มีคน 555
ไปละๆ บาย :)


โดย: เราเป็นใครเนี่ย IP: 118.175.31.98 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:9:43:04 น.  

 
สุขสันต์วันเกิดเต้ !!


โดย: เพื่อน IP: 118.175.30.218 วันที่: 18 มิถุนายน 2554 เวลา:9:44:07 น.  

 
....ความรู้จากประสบการณ์ จึงมีคุณค่า และ มีความหมายมากกว่า ความรู้จากตำราที่อ่านมากมายนัก...
ถูกใจ ใช่เลย ...เหมือนกับคนที่มีอาวุธ (ปัญญา) แต่ไม่เคยใช้อาวุธนั้น พอเปิดหรือนำอาวุธนั้นออกมาดูหรือใช้ ก็จะพบแต่สนิม... ใช้ไม่ได้ หรือใช้ได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร...


โดย: ปอ ป่าสัก IP: 171.101.8.63 วันที่: 7 กันยายน 2556 เวลา:4:44:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.