<<
มีนาคม 2566
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 มีนาคม 2566
 

XX3MyYdiary - Reverse 3 XX

จู่ๆ ม๊าก็โทร.มาบอกให้เรารีบกลับบ้าน เพราะค่ายโทร.มาตาม ผมผ่านการคัดเลือกแล้ว สามก็ผ่านด้วย ความฝันที่ผมเคยรู้สึกว่ามันเหี่ยวเฉาไปแล้ว กลับเบ่งบาน มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง  ผมกอดสามแน่น ผมจะมีเขาเคียงข้างบนทางฝันของผม ผมยังไม่รู้เลยว่าเราจะได้อยู่วงเดียวกันหรือเปล่า มันเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องทำให้ค่ายเห็นว่าเราควรได้อยู่วงเดียวกัน ผมถามสามว่า ทำได้มั้ย สามตอบเต็มเสียงว่า ต้องได้สิ ผมกอดเขาอีก สามอยากไปกับผม ดีจริงๆ ที่เรามีความฝันร่วมกัน แล้วก็คงยิ่งดีกว่านี้อีกถ้าเรามีความรู้สึกเดียวกัน

ค่ายส่งร่างสัญญามาให้อ่านก่อนที่จะไปคุยกันพรุ่งนี้ ผมอ่านดูแล้ว เหมือนเป็นสัญญาทดลองงาน ใจผมแอบแฟบไปหน่อยนึงแล้ว เพราะในสัญญาระบุว่าทางค่ายจะจัดให้ผมเรียน  ฝึก  ซ้อม ทำ workshop แล้วจะมีการทดสอบอีกครั้งว่าผมพร้อมจะเป็นศิลปินได้จริงๆ ผมมีเวลา 3 เดือนที่จะพัฒนาและพิสูจน์ตัวเองว่าผมทำได้ ผมเป็นคนที่เหมาะสมที่ทางค่ายจะสนับสนุน ถ้าผมทำไม่ได้ ทางค่ายมีสิทธิ์ที่จะให้โอกาสผมต่อไป หรือจบสัญญากันแค่นั้น ช่วงระยะเวลา 3 เดือนนี้ ห้ามผมรับงานเอง ห้ามลงแข่ง ห้ามประกวด ทั้งเต้นทั้งร้อง ห้ามประกาศลงโซเชียลด้วยว่าผมเป็นเด็กฝึกของค่าย ต้องให้ทางค่ายเป็นคนประกาศเองเท่านั้น

มุมหนึ่ง ผมรู้สึกว่า ผมต้องวนกลับไปอยู่ลูปเดิมอีกแล้ว ผมจำได้ว่าตอนอยู่ค่ายเก่า พี่ๆ ทีมงานอยากให้ผมมีภาพของความสดใส ผมเลยต้องหัดร้อง หัดเต้น ให้ดูสดใส ทั้งที่ผมรู้สึกว่า มันไม่ใช่ตัวผม ที่ๆ ผมมีความสุขเวลาได้เต้น คือ คลาสที่ผมไปเรียนเต้นแบบตัวต่อตัว เลือกแนวการเต้นแบบที่ผมชอบไปให้ครูช่วยสอน ผมได้ปลดปล่อยตัวเอง เพื่อจะกลับไปอึดอัด และเก็บตัวเองไว้ข้างใน ด้วยเหตุผลว่า ผู้ใหญ่คุยกันแล้วว่าสิ่งนี้เหมาะกับผม และผมเด็กเกินกว่าที่จะรู้ว่า อะไรที่เหมาะจะส่งเสริมให้ผมเป็นศิลปินดัง

ผมยอมทำตามทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่ดัง ผมดีใจที่ได้ทำงาน ได้ออกงาน แต่ผมไม่มีความสุข

ผมอยากชอบตัวเองมากกว่านี้ ผมหวังว่าที่นี่จะให้โอกาสผม ฟังผม ให้ผมได้เป็นตัวเอง หรืออย่างน้อย ก็มีเหตุผลดีๆ ที่จะบอกผมว่าทำไมผมถึงต้องฝึก ต้องเรียน หรือต้องเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวผม

ป๊าม๊าก็อ่านสัญญาแล้ว ทั้ง 2 คนบอกผมว่า ถ้าผมไม่ชอบ ไม่อยากโดนบังคับอีก จะไม่ตกลงก็ได้ แต่การที่ผมจะไปอยู่ในแสงไฟ อยากเป็นที่สนใจของผู้คน ผมก็ต้องยอมรับความจริงว่า ผมไม่มีวันเป็นตัวของตัวเองแบบ 100% ได้ พอมันเป็นเรื่องของธุรกิจ มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ผมต้องยอมลดตัวเองลงมา เพื่อให้งานมันออกมาแบบที่คนอื่นต้องการ ป๊าม๊าบอกว่าผมโตแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กแบบตอนที่อยู่ค่ายเดิม ป๊าม๊ารู้ว่าตอนนั้นมีหลายอย่างที่ผมไม่ชอบ แต่ผมไม่เคยเถียง เพราะป๊าม๊าเป็นคนสอนให้ผมเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ แต่กับที่ใหม่ ป๊าม๊าไม่อยากให้ผมเชื่อฟังมากไป จนไม่กล้าปฏิเสธ หรือแสดงความคิดเห็น ความต้องการของตัวเอง  ป๊าม๊ารู้ว่าผมอยากเป็นศิลปินมาก แต่ก็อยากให้ดูเงื่อนไขให้ดีก่อนว่า ผมจะได้ทำงานแบบมีความสุขจริงๆ

พรุ่งนี้ ป๊าม๊าจะไปคุยกับพี่วินพร้อมผม สาม แล้วก็แม่ของสาม ป๊าบอกให้ผมไปนอนคิดว่าจะถามอะไรพี่วินบ้าง ผมทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ จะได้ทำอะไรต่อไป ก่อนนอนผมโทร.หาสาม ถามว่าตื่นเต้นมั้ย เขาจะไม่ให้เราทำตั้งหลายอย่าง อึดอัดรึเปล่า สามตอบผมว่า ไม่นี่ มึงอ่ะ อย่าเครียดดิ เขาให้ทำอะไร มึงก็แค่ ชอบ กับ เฉยๆ ไม่ต้องคิดว่าไม่ชอบดิ ผมหัวเราะ พูดกับสามว่า เป็นมึงนี่ง่ายดีเนาะ ผมรู้ว่าสามคิดแบบนั้นจริงๆ เขาก็เลยเป็นนักร้องที่สดใสได้ดีกว่าผม มีชื่อเสียงมากกว่าผม มีแฟนคลับมากกว่าผม แต่สามไม่เคยพูดถึง สามเคยพูดว่า มึงก็นักร้อง กูก็นักร้อง ต่างกันตรงไหนวะ แล้วเขาก็มากิน มานอน มาซ้อมกับผมแทบทุกวัน จนผมชอบเขามาก มากจนผมต้องยอมรับ ใครจะว่าผมวิปริต ผิดปกติยังไงก็ได้ ที่ผมชอบผู้ชาย ผมชอบสาม ผมชอบเพื่อนสนิทของตัวเอง

ผมบอกให้สามรีบนอน อย่ามัวแต่อ่านนิยาย พรุ่งนี้เจอกัน ผมจะวางสายแล้ว ได้ยินสามเรียกไว้ก่อนว่า เดี๋ยวสิมึง ฝันดีนะ

ผมมองโทรศัพท์นิ่งอยู่เป็นนาน สามไม่เคยพูดคำนี้กับผม มันหวานๆ วูบวาบ ไหวๆ อยู่ในท้องผม ผมอยากรู้จังว่าสามคิดอะไรอยู่ คิดเหมือนผมรึเปล่า

พี่วินนัดเราไปที่ร้านอาหารใกล้ๆ กับบริษัท พี่วินเป็นเจ้าของค่ายที่ดูเป็นกันเองมากๆ มาถึงก็กางโปรไฟล์บริษัทให้ทุกคนดู พี่วินบอกว่า อยากให้ผู้ปกครองของเรา 2 คนมั่นใจว่า พี่วินตั้งใจจะสร้างศิลปินจริงๆ ต่อจากนั้น พี่วินก็โชว์โร้ดแมปให้เราดูว่า โปรเจคท์การสร้างศิลปินใหม่ครั้งนี้ พี่วินตั้งใจจะผลักดันให้ไปถึงไหน และวางแผนการเดินทางไปสู่เป้าหมายไว้ยังไงบ้าง  ในนั้นมีทั้งการออกอัลบั้มเต็ม ทัวร์คอนเสิร์ต มิวสิคเฟส การร่วมงานกับศิลปินต่างชาติ จ้างทีมงานมืออาชีพระดับสากลมาทำเพลงให้ เพราะกลุ่มเป้าหมายของพี่วินคือคนฟังเพลงทั่วโลก ทุกอย่างในแผน พี่วินยืนยันว่า เขาสามารถทำให้เกิดขึ้นได้แน่นอน ถ้าผม 2 คน พร้อมจะพัฒนาและผลักดันตัวเองให้มีศักยภาพมากพอที่จะไปอยู่ตรงนั้น

ผมมองตาสาม ผมว่าเรากำลังคิดเหมือนกัน คิดถึงคอมเม้นท์วันที่เราไปออดิชั่น มันแทบไม่มีอะไรดี ผมถามพี่วินตรงๆ ว่า พี่มั่นใจอะไรให้ตัวพวกผม 2 คน  พี่วินตอบว่า ความอยากในตาเรา กับ ความสุขที่ฉายออกมาตอนอยู่บนเวที พี่วินบอกเราว่า มีหลายคนเก่งกว่าเรา แต่พี่วินไม่ได้รู้สึกแบบที่รู้สึกกับเรา พี่วินพูดสรุปสุดท้ายว่า ข้างหน้ามีแต่งานหนักรอเราอยู่ ผมนึกในใจว่าผมพร้อมลุยอยู่แล้ว ถ้าผมได้ทำแบบที่ผมชอบ ผมถามพี่วินอีกว่า ผมจะได้ทำตามที่ผมชอบมั้ย และถ้ามีตรงไหนที่ผมไม่ชอบ ผมปฏิเสธไม่ทำได้มั้ย พี่วินยิ้มอย่างใจดี ตอบว่า ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของทีม เราต้องมีการ brainstorm กันอยู่แล้ว ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของทีมด้วย เราต้องทำงานกันเป็นทีม ไม่มีใครได้ตามใจตัวเองทั้งนั้น รวมทั้งพี่ด้วย  พี่วินคงเห็นผมถอนหายใจ ถึงได้บอกว่า ไม่ต้องห่วง ทีมงานพี่ใจกว้างอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นหน้าที่ของน้อง 2 คนนะ ที่จะต้องแสดงตัวตนออกมาให้ชัดเจน แล้วก็ทำให้ทีมงานเขาเชื่อว่า สิ่งนี้เหมาะกับเรา และเข้ากับงานด้วย

ป๊าม๊า แล้วก็แม่ของสาม ตกลงเซ็นสัญญากับบริษัทแล้ว พี่วินกำลังจะกลับ ผมตามไปถามคำถามคาใจคำถามสุดท้าย ที่ผมไม่กล้าถามต่อหน้าคนอื่น ผมถามพี่วินว่า ถ้าผมมีแฟน จะมีปัญหากับงานมั้ย พี่วินยิ้มให้ผม ตอบว่า มันอยู่ที่ xx ทำตัวยังไงมากกว่านะ ผมถามเสียงเบาลชงอีกว่า ถ้าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ผมกังวลกับคำตอบ แต่พี่วินกลบยิ้มกว้างกว่าเดิม ถามผมว่า ตกลงกันได้แล้วเหรอ ผมถามงงๆ ว่า ตกลงกับใคร ตอนนั้น พี่วินถึงกับหัวเราะ พูดว่าก็ตกลงกับคนที่ xx อยากเป็นแฟนด้วยไง เอาเถอะ  ตกลงกันให้เรียบร้อย พี่เข้าใจ พี่ย้ำคำเดิมนะ มันอยู่ที่เราวางตัว และยังไงซะ จริงใจ ก็ดีกว่าโกหก พี่วินตบไหล่ผมเบาๆ แล้วก็ขึ้นรถขับออกไป

ทีแรกผมคิดว่าผมมีเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงวันประกาศผล  ผมก็เลยวางแผนว่าจะไปทำอย่างอื่น  แต่พอรู้ว่าจะต้องเริ่มทำงานอาทิตย์หน้าแล้ว  ผมก็เลยเปลี่ยนใจ  ชวนสามไปซ้อมเต้นด้วยกัน  แต่มาเปลี่ยนใจกะทันหันแบบนี้  ครูก็เลยไม่มีคิวให้  ผมได้แค่จองห้อง  แล้วก็ไปซ้อมกันเองกับสามแค่ 2 คน

เรานั่งหันหลังชนกันหลังจากซ้อมจนเหนื่อยแล้ว กลิ่นเหงื่อผสมกลิ่นน้ำหอมของสามโชยมาเข้าจมูก ผมไม่เคยรู้สึกว่ามันดีหรือไม่ดี ผมแค่รู้สึกว่ามันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย ผมถามสามว่าตอนคุยกับพี่วิน ทำไมไม่เห็นถามอะไรเลย สามหัวเราะเบาๆ บอกว่า ก็มึงถามที่กูอยากถามหมดแล้ว จะให้ถามอะไร แล้วถามผมว่า เห็นตามพี่วินไปที่รถ คุยอะไรกัน  ผมมองมือตัวเอง  นึกสงสัยว่าทำไมพี่วินพูดกับผมแบบนั้น  ถ้าตกลงกันได้ก็ดีที่สุด  แต่ถ้าไม่ได้...  ผมตอบสามว่า คุยเรื่องที่กูอยากรู้  แต่กูยังบอกมึงไม่ได้  ไว้กูแน่ใจก่อน  กูจะบอก  ไปอาบน้ำกัน  จะได้กลับบ้าน  ดึกแล้ว

เสียงสามร้องเพลงอยู่ในห้องข้างๆ มีเสียงเปิดปิดฝาขวด ผมลูบครีมอาบน้ำไปตามตัว หลับตาคิดเรื่อยเปื่อยว่าสามก็น่าจะกำลังทำแบบเดียวกัน ความรู้สึกวูบวาบนั่นมาอีกแล้ว ผมปล่อยใจลอยไปกับภาพสามที่คงจะกำลังลูบตัวต่ำลงไปอีก.... บ้าชะมัด ผมรีบล้างตัวแล้วออกจากห้องอาบน้ำ ขืนอาบต่อ ผมต้องระเบิดออกมาแน่ๆ ผมยังเดินไปไม่ถึงล็อคเกอร์เลย สามก็ตะโกนตามหลังมาแล้วว่า รอกูด้วย กูกลัวผี ผมหันไปตามเสียง สามรีบมากจนทำได้แค่พันผ้าเช็ดตัวแล้วเอามือจับไว้ ไม่ได้ม้วน ไม่ได้เหน็บ แล้วรีบเดินมาแบบนั้น มันก็....

ผมรีบหันหลังกลับ กัดฟันพูดกับตัวเองว่า จะตื่นเต้นทำไมวะ ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้ จริงๆ แล้ว ตอนเด็กๆ กว่านี้ วันไหนรีบมากๆ ผมกับสามเคยอาบน้ำพร้อมกันด้วยซ้ำไป

หรือสามไม่คิดอะไร มีแต่ผมที่คิดอยู่คนเดียว บ้าจริงๆ เลย




Create Date : 21 มีนาคม 2566
Last Update : 21 มีนาคม 2566 21:09:20 น. 0 comments
Counter : 356 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

วัลยา
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add วัลยา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com