ปีเตอร์ฮอฟ ตั้งอยู่ไกลจากใจกลางตัวเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ทางทิศตะวันตก
29 กิโลเมตร หากมองจากแผนที่ ก็จะเห็นว่าที่ตั้งของพระราชวังแห่งนี้ จะอยู่ติด
อ่าวฟินแลนด์ ทะเลบอลติก และมีจุดเด่นสำคัญคือลานน้ำพุใหญ่และรูปปั้นสีบรอนซ์
ที่ยืนเรียงกันบนเนินสูงท่ามกลางสายน้ำที่ส่งประกายตอนโดนแสงวิ้ง ๆ
จากมุมภาพสวย ๆ เหล่านั้น ฉันได้เคยเห็นมาจากเหล่านักถ่ายภาพหลายคนที่เอา
รูปมาลงประชันในโลกออนไลน์กันเยอะทีเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งในแรงจูงใจที่
ทำให้ฉันอยากเดินทางมาเห็นของจริงด้วยตาตัวเองบ้าง เรื่องของการเดินทางมายังปีเตอร์ฮอฟ ไม่มีอะไรต้องน่ากังวลในกรณีของคนที่มี
แหล่งพักพิงอยู่ที่ใจกลางเมืองใกล้เฮอร์มิเทจ ก็ยิ่งสบายแล้วใหญ่ เพราะถึงมันจะ
อยู่นอกเมืองและไม่มีรถไฟใต้ดินวิ่งตรงดิ่งไปถึงโดยตรง แต่ที่ด้านหลังพระราชวัง
ฤดูหนาวและเฮอร์มิเทจที่ติดกับแม่น้ำเนวา จะมีท่าเรือไว้สำหรับให้บริการเรือ
ไฮโดรฟอยล์ เดินทางเชื่อมต่อทางน้ำไปยังพระราชวังฤดูร้อนถึงที่ ส่วนเรื่องของ
ราคา ไป-กลับก็ตกอยู่ราคา 1,100 รูเบิ้ล และตั๋วเที่ยวเดียว 650 รูเบิ้ล
**(ราคาในปี 2013 ส่วนบัตรนักเรียน ISIC มีส่วนลดอีก) เนื่องด้วยราคาแรง แต่สะดวกกว่า ทำให้ฉันคิดนานไปสามตลบและสุดท้ายก็เลย
ซื้อตั๋วขาเดียวสำหรับเดินทางไปเท่านั้น ส่วนขากลับค่อยว่ากันอีกที...คือจะนั่ง
รถเมล์หัวฟูกลับที่พักตอนไหนยังไงก็ได้
ภายในเรือโดยสารที่จะเดินทางไปยังปีเตอร์ฮอฟรอบเช้า ไม่แน่ว่าอาจเป็นเรือเที่ยวแรกเพราะยังเช้า
อยู่มาก คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ ฉันเลือกนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างตรงตำแหน่งกราบขวาของเรือ
บริเวณท่าเรือจากมุมมองทางหน้าต่างเรือ และที่ตั้งของเฮอร์มิเทจ
แนวกำแพงของป้อมปีเตอร์แอนด์พอล และยอดสูงของหอระฆ้งของมหาวิหารปีเตอร์แอนด์พอล
ส่วนกำแพงหนาเตอะที่สร้างติดกับริมแม่น้ำ เคยใช้เป็นคุกสำหรับนักโทษทางการเมืองในอดีต
ภาพนี้ยังคงอยู่บนแม่น้ำเนวา เหมือนกับเป็นท่าเทียบเรือ
ไม่นานเรือก็พาแล่นพ้นแม่น้ำเนวาและมาอยู่บนผืนน้ำบนทะเลบอลติกแทนแล้ว
การเดินทางโดยสารทางเรือจะใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
กลาสีนำเชือกออกมาคล้องเพื่อเทียบท่า เป็นอันสิ้นสุดเส้นทางเดินเรือเรียบร้อย
ทางเดินไปยังจุดจำหน่ายตั๋ว และทางเข้าสวนตอนล่างของพระราชวัง
ค่าเข้าชมในขณะนั้น 400 / 200 รูเบิ้ล (บุคคลทั่วไป / ผู้ถือบัตร ISIC)
แต่ปัจจุบันนี้ได้ปรับขึ้นตามค่าเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว > คลิกที่นี่
พอเห็นสัญลักษณ์ธงบนเสาเรียงรายแบบนี้แล้วนึกถึง เรือหลวง เรือรบ แถวบ้านเลยแฮะ
มีชาวเรือคนไหนถอดรหัสได้มั่งเนี่ย? https://th.wikipedia.org/wiki/ธงประมวลสากล
เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องซื้อตั๋วเข้าชมตามระเบียบ ซึ่งหากใครที่มาทางเรือ ก็จะเข้า
มาถึงยังพื้นที่ของสวนตอนล่าง (lower garden) โดยตรง ทั้งนี้การเก็บค่าเข้าชม
จะเสียเพียงแค่พื้นที่บริเวณสวนตอนล่างที่อยู่ด้านหน้าพระราชวังเท่านั้น แต่สวน
ตอนบน (upper garden) ที่ตั้งอยู่ด้านหลังติดถนนเข้าชมฟรี
ทั้งนี้จะยังมีค่าผ่านประตูที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมยิบย่อยอีก อย่างเช่น ด้านในพระราชวัง
และส่วนของอาคารอื่นที่เป็นพิพิธภัณฑ์ ส่วนในฤดูหนาวจะไม่มีน้ำพุเปิดให้ดูค่ะ
ทางเดินเข้าสวน จะเห็นที่ตั้งของพระราชวังที่หันหน้าออกสู่ทะเลบอลติก
Sea canal คลองที่ขุดเชื่อมต่อกับทะเล
ป้ายเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังมิจฉาชีพล้วงกระเป๋า
รูปปั้นสีบรอนซ์ที่เรียงรายกันอยู่บนเนินหน้าพระราชวัง เอ๊ะ ๆ ...ไหนน้ำพุ?
มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยืนรอเก็บรูปกันเพียบเลย แอบตื่นเต้นนะเนี่ยที่จะได้เห็นภาพน้ำพุตอนเปิด
เรื่องช่วงเวลาการเปิดน้ำพุ ให้ลองไปตรวจสอบในเวบไซด์ของทางการก่อนจะดีกว่า
โดยทั่วไปก็คือช่วงกลางเดือนพฤษภาคม - ต้นเดือนตุลาคม และขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
สำหรับช่วงเวลาที่ไปในเอนทรี่นี้คือวันที่ 3 ตุลาคม...แน่นอนว่า ยังเปิดทำการอยู่
และตำแหน่งที่ทุกคนต่างพากันจับจ้องกดภาพก็คือ รูปปั้นแซมซันฉีกปากสิงโต
ที่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลางน้ำด้านล่าง ที่ว่ากันว่าสามารถปล่อยน้ำพุได้สูงกว่า 20 เมตร
รูปปั้นของ แซมซันฉีกปากสิงโตมือเปล่า (เป็นบทบาทที่ยกเรื่องราวมาจาก ผู้วินิจฉัย (The judges)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม) สร้างขึ้นเพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ของรัสเซียที่มีชัยชนะเหนือสวีเดน
ในมหาสงครามเหนือ (Great Northern War)
แล้วน้ำพุก็ค่อย ๆ ผุดขี้นมาตามจุดปล่อย เมื่อถึงเวลา
เหล่ารูปปั้นสีบรอนซ์ที่ดูมีชีวิตชีวาหลังจากได้ยืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำ
รูปปั้น เพอร์ซิอุสตัดศีรษะเมดูซ่า
ไม่รู้จักรูปปั้นนี้ว่าเป็นตัวแทนจากเรื่องราวไหน
ภาพแซมสันฉีกปากสิงโต กับความสูงของน้ำพุ (ช่วงนี้อาจจะไม่ได้เปิดให้พุ่งในระดับสูงสุด)
เหล่ารูปปั้นกับน้ำพุที่มุมย้อนแสง
เมื่อได้เวลาเปิดน้ำพุให้ได้ชมกัน จะมีการเปิดเพลงบรรเลงคลอขึ้นมาก่อน - จำไม่
ได้หรอกนะว่าเป็นเพลงอะไร (ถ้าเป็นแบบบ้านเราก็น่าจะเป็นมหาฤกษ์ล่ะมั้ง 55)
แล้วจากนั้นน้ำพุสายต่าง ๆ ก็จะเริ่มไหลออกมาอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะเปิดพุ่งแบบ
เต็มแรง ช่วงนั้นใครที่ถือกล้องเตรียมไว้ก็พากันกดภาพระรัว ส่วนคนที่มายืนชม
แบบมือว่างอยู่ก็จะพากันปรบมือเพื่อต้อนรับการเปิดแสดงค่ะ
นอกเหนือไปจากความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมของตัวพระราชวังแล้ว เรื่องของ
'น้ำพุ' ที่ปีเตอร์ฮอฟแห่งนี้ก็เป็นที่เลื่องลือไม่แพ้กันเพราะถือว่าเป็นงานสร้างที่น่า
ทึ่งมาก ๆ ในยุคโน้น เพราะน้ำพุที่เปิดนั้นไม่ได้ใช้ตัวปั๊ม แต่อาศัยแรงดันจากกลไก
ทางธรรมชาติ ส่วนในบริเวณอื่นก็จะยังมีจุดปล่อยน้ำพุน้อยใหญ่ทั่วไปหมดนับ
ร้อยกว่าจุด มองดูแล้วก็น่าจะเหมาะกับการมาเยือนในช่วงหน้าร้อนมาก ๆ
แต่การมาเยือนผิดฤดูแบบนี้ทำให้ตัวเองไม่ค่อยอยากเข้าใกล้น้ำพุสักเท่าไหร่
ช่วงนั้นอากาศเริ่มเย็นแล้ว ได้เจอละออองน้ำกับลมแรงนานเข้าเดี๋ยวหวัดจะกิน
ฮัดชิ้ววว !!!
ใบไม้เปลี่ยนสีช่วงต้นเดือนตุลาคม (2013)
พระราชวังบนเนินสูง จะเห็นว่าค่อนข้างมีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับพื้นที่สำหรับสวนและลานน้ำพุ
ชายหญิงในชุดโบราณ น่าจะแต่งตัวเลียนแบบซาร์ปีเตอร์มหาราช และพระนางแคทเธอรีน
เดินตระเวณไปมาอยู่แถวหน้าพระราชวังเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับนักท่องเที่ยว (ไม่รู้ค่าตัวเท่าไหร่)
จากภาพที่เห็น จะมีใครคิดบ้างมั้ยว่าทำไมตัวพระราชวัง รูปปั้น และอื่น ๆ ถึงดู
ใหม่เอี่ยมข้ามกาลเวลาเสียขนาดนี้? นั่นก็เพราะที่นี่ได้ถูกบรูณะซ่อมแซม ไม่ก็
ต้องจำลองของเดิมแทนส่วนที่โดนขโมยหรือทำลายไปในช่วงสงคราม ที่ถูก
กองทัพนาซีบุกยึดในระยะหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่ได้เห็นในปัจจุบันจึงไม่ใช่ของของเก่า
แก่ทั้งหมดค่ะ
ส่วนพื้นที่ภายในพระราชวังฉันไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชม แต่สำหรับผู้ที่สนใจที่จะ
เข้าไปชมโดยเฉพาะคนไทย ตรงบริเวณห้อง White hall ยังคงมีของใช้ส่วน
พระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ (รัชกาลที่ 5) เก็บเอาไว้ เมื่อครั้ง
เสด็จเยือนประเทศรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ขณะที่มาประทับ ณ
พระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้ ก็นับว่าเป็นเครื่องยืนยันความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสอง
ประเทศที่มีมาช้านานตั้งแต่ในอดีต
......
ภาพจากมุมอื่น ๆ ในสวนตอนล่าง
สองสาวกำลังยืนถ่ายรูปกันที่จุดปล่อยน้ำพุอีกแห่ง
น้ำพุกลางสวน
รูปปั้นของซาร์ปีเตอร์มหาราช ส่วนฉากที่เห็นอยู่ไกล ๆ คือจุดปล่อยน้ำที่ไหลจากที่สูงลงมา
มองดูแล้วเหมือนกับน้ำตก
นี่ก็...ซาร์ปีเตอร์ฯ ทรงสมาร์ทโฟน (เข้าใจคิดเนอะ) เห็นป้ายนี้แล้วเราก็ทึกทักไปว่า
ที่ ปีเตอร์ฮอฟ คงมีสัญญาณ wifi พอกดเช็คดูแล้วก็พบว่ามีจริง ๆ ซะด้วยสิ
นี่ก็น้ำพุ (นับด้วยมั้ย)
ศาลานั่งพักสำหรับจิบกาแฟ รับประทานอาหารว่างมื้อเล็ก ๆ ที่พอจะมีขายในนี้
เด็กรัสเซียที่หน้าร้านขายไอศกรีม ฉันเองก็มายืนรอซื้อพายพร้อม ๆ กับน้อง แต่ก็ต้องมายืนเซ็งเป็ด
กับกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้ใหญ่กลุ่มนี้ที่ยืนมะรุมมะตุ้มกันอยู่ด้านในอย่างไม่รู้ระเบียบ จนน้องเขาถอดใจ
หันไปมองแม่เหมือนว่าไม่อยากยืนรอตรงนี้แล้ว
สวนดอกไม้ในฤดูนี้ก็มีแค่นี้แหละ (ข่าวว่าช่วงหน้าร้อนจะเป็นทิวลิป)
มุมวางรูปปั้นในสวน
ศาลาริมน้ำอีกแห่ง จำไม่ได้ว่าเป็นอะไร
กระรอกในสวน
แนวต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นทรงกลมที่เนินหญ้า ถ้าหากเดินขึ้นถัดไปจากตรงนี้ก็คือชายฝั่งทะเล
ริมทะเลบอลติก ลมแรงมาก ๆ ในช่วงนั้น...ดูเวิ้งว้างดี
อีกมุมหนึ่งของชายฝั่งทะเล ส่วนแผ่นดินฟากตรงข้ามก็คือประเทศฟินแลนด์นั่นเอง
อยู่ใกล้แค่นี้เองเนอะ...แต่ไม่ได้ทำวีซ่าเผื่อไว้ก็อด (ยืนมองดูด้วยตาปริบ ๆ)
ฉันใช้เวลาอยู่ในสวนนานเกือบครึ่งวันถ้าไม่หนีเมฆดำที่กำลังทำท่าจะคลุมท้องฟ้า
ช่วงบ่ายแก่ ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่นานกว่านี้แหง... เป็นอันสรุปว่า ขากลับหนนี้ฉันไม่
ได้นั่งเรือกลับเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก แต่เลือกที่จะนั่งรถเมล์แทนเผื่อว่าจะได้เห็นบ้าน
เมืองและการจราจรบนท้องถนนของที่นี่ไปด้วย (เป็นข้ออ้างที่ดีงามเนอะ)
พื้นที่ของสวนตอนบนด้านหลังพระราชวัง หากใครที่เดินทางมาด้วยรถก็จะมาถึงยังจุดนี้ก่อน
ซึ่งก็ต้องเดินออกมายังสวนตอนบน (upper garden) เพื่อตรงไปยังถนนและรอรถ
ประจำทางกลับ และเนื่องจากที่ฉันไม่ได้นั่งรถมายังปีเตอร์ฮอฟตั้งแต่ต้น ก็แอบมี
เบลอ ๆ หลงขึ้นรถตู้ (Marshrutky) ผิดฝั่ง แต่ดีที่กระเป๋ารถเดินมาเก็บตังค์และ
ถามก่อนเลี้ยวเข้าซอย เลยได้ความว่าไม่ได้ผ่านเมโทร Avtovo อย่างที่เข้าใจ
ฉันจึงต้องข้ามมาอีกฟากถนนเพื่อรอรถคันถัดไป มาถึงตอนนี้ก็จำไม่ได้แล้วนะว่า
ฝั่งไหนของถนนที่รถจะวิ่งไปถึงเมโทรดังกล่าวได้ เป็นอันว่าถึงช่วงขากลับ
จากปีเตอร์ฮอฟ คราวนี้อาจจะดูทุลักทุเลกว่าเดินทางด้วยเรือก็ตาม อย่างน้อย
มันก็ยังทำให้ฉันได้มีโอกาสเห็นโบสถ์ออโธดอกซ์แห่งหนึ่ง ตั้งเยื้องอยู่ที่ฝั่ง
ตรงข้ามไม่ไกลไปจากสวนตอนบนนัก
รูปทรงดูคล้ายกับ St. Basil ที่มอสโก นิด ๆ แต่ดูมีสีสันที่หวานกว่ามาก
ลองมาค้นชื่อดูภายหลังเลยเพิ่งรู้ว่าชื่อ St. Peter and Paul เช่นเดียวกับที่เห็นตรงเกาะแฮร์
(Hare Island) ไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้ชื่อซ้ำกันไปมาเช่นนี้
การเดินทางกลับด้วยรถเมล์ก็มีเรื่องยุ่งเล็กน้อย และเสียดายที่ไม่มีรูปถ่ายข้างทาง
เหมือนกัน หลังจากที่ขึ้นรถถูกฝั่งแล้ว ก็ต้องยืนบนรถอยู่ครู่หนึ่ง เพราะช่วงนั้น
ใกล้เวลาเย็นคนเลยเยอะ และยังต้องใช้ความพยายามถามค่าโดยสารกับคุณป้า
กระเป๋ารถเมล์ ที่บอกเรามาเป็นภาษารัสเซีย ก็ฟังไม่ออก...ให้ทำมือนับเลขป้าก็
ไม่เล่นด้วย โอ กว่าจะทำความเข้าใจได้ว่า 35 รูเบิ้ล และมีที่นั่ง รถก็พาวิ่งเข้า
เมืองไปไกลเรียบร้อยแล้วจ้า (^__^')
" อื่น ๆ "
- ในส่วนของพระราชวัง (Grand Palace)
ปิดทำการทุกวันจันทร์ และวันอังคารสัปดาห์สุดท้ายของเดือน
รายละเอียดอื่น ๆ และข้อมูลปัจจุบันตรวจสอบที่ :
https://en.peterhofmuseum.ru/plan-a-visit
- Peterhof หรือ Petergof (Петерго́ф ) เป็นคำที่หยิบยืมมาจากภาษาเยอรมันอีกตามเคย
แต่พอถึงในช่วงสงครามที่มีการต่อต้านเยอรมนี การเรียกชื่อของพระราชวังฤดูร้อนก็ได้ถูกเปลี่ยน
ไปเป็น Petrodvorets (Петродворец) ซึ่งหมายถึง วังของซาร์ปีเตอร์ฯ ในช่วงปี ค.ศ. 1944-1977
ขากลับ
- รถโดยสารที่จะไปลงเมโทร Avtovo
สาย K-300, K-424 และ 200,210 หรือหากจำไม่ได้
ก็ให้มองจากป้ายข้างรถที่เขียนว่า Автово และขึ้นให้ถูกฝั่งเป็นพอ
ค่ารถประจำทางาก Peterhof - Metro Avtovo : 35 รูเบิ้ล
รถไฟใต้ดิน สถานี Avtovo - Admiralteyskaya : 28 รูเบิ้ล
พอเทียบกับทางเรือแล้ว....ช่างเป็นค่าเดินทางที่ถูกมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆ
น้ำพุหน้าสวน สิริกิต ใกล้ๆสถานนีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์
มีเพลงบรรเลง น้ำพุออกมาเป็นสีหลายสีด้วยหากจำไม่ผิด
แต่คงไม่อลังการสู้ที่นี้ของรัสเซียไม่ได้คะ