! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2563
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
10 มิถุนายน 2563
 
All Blogs
 
ภาวะที่ 29 : ความทรงจำ


ขอบคุณภาพปกนิยายจาก คุณรัชต์สารินท์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
 



            อากาศในยามเช้าช่างสดชื่น เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์จากลมหายใจของแมกไม้เขียวขจี  พื้นที่สีเขียวที่ถูกเนรมิตให้รายล้อมรอบตัวคฤหาสน์ ขนาดมหึมาของตระกูลรวินโชติอังกูร  เมื่อชะโงกหน้าจากระเบียงชั้นสอง ซึ่งอยู่สูงจากระดับพื้นด้านล่างเกือบสิบเมตรจากห้องของวสันต์  ธีรามองลงไปเห็นสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ คล้ายถูกขุดขึ้นเพื่อล้อมตัวอาคารเอาไว้ จนมีลักษณะเป็นเหมือนป้อมปราการ  ผิวหน้าของผืนน้ำสีเขียวกระเพื่อมไหวเป็นระลอกคลื่น ตามแรงลมที่โชยพัดเรื่อยเฉื่อยอย่างไม่มีวันหยุดพักเป็นอนันตกาล

            เส้นผมหมาดน้ำที่เว้าแหว่งไม่เท่ากันปลิวไปตามแรงลม  ธีราหลับตา เชิดหน้าขึ้น สูดลมหายใจอันหอมหวานเข้าเต็มปอด  รู้สึกพึงพอใจต่อธรรมชาติอันสวยงามรอบกาย  พยายามกอบโกยความสุขในช่วงเวลานี้เอาไว้  ก่อนที่จะต้องกลับเข้าห้องขังใต้ดินต่อหลังจากนี้

            ชุดคลุมสีเขียวที่สวมใส่มาหลายวันถูกปลดทิ้งไป  หลังอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน  ชุดชั้นในสตรีและผ้าอนามัยตามที่ตนต้องการ ก็ได้มาวางรอไว้อย่างพร้อมสรรพ  อีกทั้งวสันต์ยังได้เตรียมเครื่องแต่งกายไว้ให้ใหม่เป็นชุดลำลองตามปกติธรรมดา  แต่เพียงแค่พิจารณาดูจากเนื้อผ้าและการตัดเย็บอันประณีตก็สามารถประเมินได้ว่า อาภรณ์ใหม่เอี่ยมนี้เป็นของดีมีราคาอย่างแน่นอน

            ธีราชะงักไปนิด มองหน้าอีกฝ่ายอย่างนึกฉงนสนเท่ห์  ทว่าวสันต์ทำเพียงตีสีหน้านิ่งขรึม ไม่กล่าวถ้อยคำใด  มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่หญิงรับใช้ในเครื่องแบบสองคนจะเปิดประตูเข้ามา  คนหนึ่งเข็นรถบรรทุกอาหารสารพัดอย่างเข้ามาด้วยความระมัดระวัง  ส่วนอีกคนรีบปราดเข้าไปจัดเตรียมโต๊ะเล็กภายในห้องอย่างรู้หน้าที่

            ราชาน้ำแข็งผายมือ เชิญให้แขกพิเศษของตนนั่งลงตรงข้ามกัน  ธีราผู้แต่งกายเรียบร้อยดีแล้ว จึงค่อยเดินกลับเข้ามาจากด้านนอกระเบียง  กล่าวขอบคุณเบา ๆ ให้กับหญิงรับใช้ คนที่วางแก้วน้ำส้มคั้นสดให้เธออย่างเบามือ  สีหน้าของทั้งคู่ต่างนิ่งสนิท ราวสวมไว้ด้วยหน้ากากแห่งความเคร่งครัด  เมื่อวสันต์โบกมือเป็นสัญญาณ  คนรับใช้ทั้งสองจึงทิ้งรถเข็นอาหารเอาไว้ ก่อนพากันกลับออกไปด้วยความรวดเร็ว
 

            “นี่คงเป็น..มื้อสุดท้ายแล้วนะ”

            ราชาน้ำแข็งเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ขณะที่มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบจาน  เมื่อธีราช้อนสายตาขึ้นจากอาหารเลิศรสตรงหน้า จึงได้เห็นแววตาที่กำลังฉายแววอ่อนโยนและอ่อนไหว  จับจ้องมองมายังตนอย่างเปิดเผย

            “ฉันไม่เข้าใจ  หมายความว่ายังไงเหรอ ?”

            วสันต์ยิ้มให้ธีรา  รอยยิ้มอบอุ่นที่ผ่านออกมาจากชั้นน้ำแข็ง ซึ่งกำลังละลายอยู่ภายในจิตใจ  นี่อาจเป็นรอยยิ้มสุดท้ายในชีวิต ที่เขาต้องการให้ผู้หญิงตรงหน้าได้รับมันไป  น้ำเสียงราบเรียบ ไร้อารมณ์ที่ใช้อยู่เป็นประจำถูกถอดวางไว้  วสันต์กลับมาพูดจาเหมือนคนปกติ  ปฏิบัติตัวราวกับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังบรรยายเรื่องราว ให้สาวคนรักได้รับฟัง

            “ฉันจะเล่าความจริงให้เธอฟัง  ที่นี่..มีคนแก่ที่ไม่ยอมตายคนหนึ่ง ต้องการมีชีวิตอยู่ไปนาน ๆ แสวงหาทุกวิธีการ เพื่อทำให้ตัวเองไม่ตาย  กระทั่ง ได้รู้เรื่องเด็กชายที่ไม่เคยโตคนหนึ่งเข้า เลยเกิดสนใจขึ้นมา  เขาสั่งให้คนไปเอาตัวเด็กคนนั้นกับน้องชายมาชุบเลี้ยง  กักตัวคนพี่เอาไว้ เพื่อคอยสูบเอาเลือดไปหล่อเลี้ยงบำรุงตัว  ในขณะเดียวกัน ก็บังคับให้คนน้องร่ำเรียนอย่างหนัก ทำงานหนัก เพื่อคิดค้นหาวิธีสร้างยาอายุวัฒนะขึ้นมาให้ได้”

            เมื่อได้รับฟังเรื่องราว  ธีรารู้สึกมือไม้อ่อนจนต้องวางช้อนคืนลงในจาน  พยายามไม่จินตนาการถึงภาพอันโหดร้ายทารุณต่าง ๆ นานาที่เคยเกิดขึ้นกับวสันต์และอมิน

            “แล้วพ่อแม่ของพวกนายล่ะ  พวกท่านยังอยู่ไหม”

            “พวกท่านตาย.. ครอบครัว  แม้แต่ญาติทุกคนถูกฆ่าตายหมด  ในวันที่เราสองคนถูกพาตัวมา”

            คำตอบจากปากของราชาน้ำแข็ง ทำให้หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก ด้วยรู้สึกสะเทือนใจในชะตากรรมที่อีกฝ่ายต้องประสบ 

            “นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่สามารถต่อต้านคนแก่คนนั้นได้  ไม่รู้หรอกว่า จิตใจของฉันมันด้านชาไปตั้งแต่เมื่อไหร่  บางที อาจจะตั้งแต่ก่อนติดเชื้อทีเซลล์เสียด้วยซ้ำ  ฉันทนดูใครตายต่อหน้าก็ได้  ยกเว้นพี่ชายของฉันคนเดียวเท่านั้น  แต่ตอนนี้ เขาเป็นอิสระแล้ว  เพราะเธอช่วยเขาเอาไว้  ธีรา..”

            “ฉันเหรอ..”

            วสันต์พยักหน้า  หลังต่อสู้กับตัวเองอย่างหนัก  ในท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจพูดความจริงกับราชินีทีเซลล์  บางที อีกด้านของธีราอาจกำลังรับฟังอยู่ก็เป็นได้  ด้วยเหตุนี้ จึงควรต้องแสดงความจริงใจออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้

            “เมื่อวานนี้ เธอช่วยรักษาเขา ช่วยชีวิตเขา  เธออาจจำอะไรไม่ได้  แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ  เธอดูดซับทีเซลล์ของอมินไปทั้งหมด  ตอนนี้ พี่ชายฉันหลุดพ้นจากความทรมาน  ได้กลายเป็นคนปกติธรรมดาเสียที”

            ถ้อยความบอกเล่าเหล่านั้น ทำให้ธีราพูดไม่ออกบอกไม่ถูก  ได้แต่นั่งนิ่งงันไปชั่วขณะ  วสันต์ลุกขึ้นจากที่นั่งของตน ก้าวเข้ามาประชิดใกล้ เอื้อมมือมาจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนยกหลังมือขึ้นจุมพิตอย่างแผ่วเบา

            “แปลกดี..ฉันรู้สึกมีความสุข  แม้ว่า ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้  ฉันจะต้องตาย  เมื่อไม่มีอมินแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ตาเฒ่านั่นจะเก็บฉันเอาไว้  ฉันคงไม่อาจช่วยพาเธอออกไปจากที่นี่ได้  แต่ฉันจะปล่อยให้เธอหนีไป  ธีรา..  ไปสิ !  รีบไปตอนนี้เลย”

            คำพูดของวสันต์ ยิ่งทำให้ธีราเกิดความสับสนงุนงงมากยิ่งขึ้นไปอีก

            “หนีเหรอ.. หนีไปไหน  แต่..ยังรักษาไม่สำเร็จเลย ไม่ใช่รึไง”

            “ไม่มีหมอแล้ว  พวกเขาจากไปหมดแล้ว  ไม่มีใครอยู่รับโทษตาย  โทษฐานที่ทำให้ความหวังของตาเฒ่านั่น หายไปจนหมดสิ้นหรอก  เธอเองก็ควรจะไปเหมือนกัน  ว่ายน้ำเป็นใช่ไหม  โดดลงไปจากตรงระเบียงนี่  ข้างหลังเป็นป่า มีแค่รั้วลวดหนามกั้น  ถ้าฝ่าออกไปดี ๆ เธอต้องหนีไปได้อย่างแน่นอน  รีบไปก่อนที่ตาเฒ่านั่นจะรู้ตัว”

            “แล้วนายล่ะ..”

            ด้านนอกปรากฏเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งวิ่งมาตามระเบียง  สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกให้ทั้งคู่รับรู้ว่า สิ่งที่วสันต์พูดนั้นเป็นความจริง  ธีราได้ยินเสียงดังกล่าว  หันมองหน้าวสันต์  สายตาเต็มไปด้วยคำถามและอาการตื่นตระหนกที่พลันบังเกิด

            “ไปเถอะ  ฉันจะถ่วงเวลาไว้ให้  ลาก่อน ธีรา พินิจใจ”

            วสันต์ปล่อยมือออกจากธีรา  ขยับมายืนล้ำอยู่ด้านหน้าโต๊ะ  ขณะที่ธีราผุดลุกขึ้นยืน มองดูแผ่นหลังของวสันต์กับประตูระเบียงที่ยังคงเปิดออกอ้าอย่างชั่งใจ  ก่อนตัดสินใจขยับตัว ถลันตรงไปยังประตูระเบียงอย่างรวดเร็ว
 

            บอดี้การ์ดในชุดดำจำนวนเกือบสิบนายพร้อมอาวุธครบมือ กรูกันเข้ามาทางประตู  วสันต์ยืนรอรับชะตากรรมของตนด้วยท่าทางอันสงบ  หากมีข้อแก้ตัวดี ๆ ก็อาจพอมีหนทางยื้อชีวิตให้มีลมหายใจต่อไป  แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง  อย่างไรตนก็คงได้รับความทรมานแสนสาหัส จากโทสะอันรุนแรงปานพายุของประมุขเฒ่าอย่างแน่นอน

            “ท่านให้มาพาตัวคุณไป  หากขัดขืน หรือ ต่อสู้ เราจำเป็นต้องลงมือ”

            “_ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก_”

            หนึ่งในคนชุดดำบอกกล่าวด้วยเสียงเข้มดุ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีใบหน้าขึงขังจริงจัง ทั้งยังยกปืนจดจ่อมาที่ร่างของเจ้าของห้องเป็นจุดเดียว  วสันต์ตอบกลับเสียงราบเรียบ ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย เมื่อมีสัมผัสของมือหนึ่งสอดเข้ามาจับมือของตนเอาไว้  สัมผัสที่ทำให้ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่

            เขาเหลียวมองคนที่ก้าวเข้ามายืนชิดใกล้  มองสบประสานกับดวงตาคู่ลึกล้ำที่มองตอบกลับมา  ถึงแม้ตัวจะสั่นด้วยอาการหวั่นหวาด  กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้มน้อยปรากฏบนใบหน้า  ท้ายที่สุดแล้ว ธีราก็ตัดสินใจทอดทิ้งอีกฝ่าย เพื่อหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวไม่ลงอยู่ดี

            หากจะต้องตาย...ก็ให้ตายไปด้วยกัน  ไม่โดดเดี่ยว  ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป..
 
            ไม่มีคำใดเอ่ยเอื้อนขึ้นมาระหว่างกัน  ทั้งที่มีคำถามร้อยพันหมุนวนอยู่ในใจของวสันต์  พลันนั้น หัวสมองของเขากลับไพล่นึกไปถึงเพลงโปรดที่นาน ๆ ครั้ง เขาก็จะเปิดมันขึ้นมาฟัง  เพลงที่มีเนื้อความตรงกับเหตุการณ์ที่กำลังอุบัติขึ้นอยู่ในตอนนี้ อย่างพอดิบพอดี
 
            ‘…บางสิ่งบางอย่างที่แสนอัปลักษณ์ก่อเกิดกำเนิดขึ้น
ผ่านนิ้วมือของฉัน มันแทรกผ่านเข้ามาข้างใน…’
 
            “เอาตัวไปทั้งคู่ !” 

            เสียงร้องสั่งการของกลุ่มคนที่มีวัตถุประสงค์ร้าย ทำลายบรรยากาศแห่งความสุขสดชื่นของยามเช้าจนหมดสิ้น

            “อย่าขัดขืนเด็ดขาด !”

            มือของคนทั้งคู่เกาะกุมกันแน่นเข้า  วสันต์บีบมือเล็กกว่าของอีกฝ่าย ดังต้องการสื่อสารแทนคำขอบคุณจากใจ  ขณะที่คนกลุ่มใหญ่ค่อยคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที
เหลืออีกไม่กี่เมตร  พวกเขาก็จะตกอยู่ภายใต้อาณัติจับกุมโดยสมบูรณ์
 
‘…พรทั้งหลายแหล่ ล้วนแล้วแต่ถูกเผาไหม้
ฉันไม่เชื่อถือพระเจ้าอื่นใด ภายใต้การปกปักรักษาของคุณ…’
 
            ฉับพลันทันใดนั้นเอง  เหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นในหัว  ความรู้สึกหนึ่งระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงข้างใน  ทีเซลล์ในร่างของตนกำลังสั่นไหวและร่ำร้อง  คล้ายกดดันหรือบีบคั้นเจ้าของร่าง ให้หาทางพ้นไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้  ในชีวิตที่ตกอยู่ในสภาพผู้ติดเชื้อ  วสันต์เคยจับสัมผัสหรือรับรู้การสื่อสาร ที่ผ่านมาจากข้างในตัวของตนได้เพียงไม่กี่ครั้ง  ทว่าครั้งนี้กลับแจ่มชัดมากกว่าทุกที  ราวกับหากทีเซลล์สามารถพูดได้  พวกมันคงตะโกนใส่หน้าเขาไปแล้ว
 
            “     ..  ปกป้องข้าสิ  ไวยาห์น  ..     ”
 
            อาจเป็นอุปาทานหรือหูแว่วไปชั่วขณะ  วสันต์เหลือบหันไปมองธีราผู้กำลังยืนตัวสั่น หลับตาลงแน่นด้วยความหวาดกลัว  ไวเท่าความคิด  ชายหนุ่มขยับตัวไปด้านข้างเข้าหารถเข็นอาหาร  คว้าเอาเหยือกโลหะบรรจุน้ำดื่มที่ยังมีอยู่เต็มขึ้นมา ก่อนสาดไปข้างหน้าด้วยความไว
 
‘…แสวงหาความหฤหรรษ์  แสวงหาความเจ็บปวด…’
 
            หยาดหยดของเหลวเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งภายในชั่วพริบตา  ชายในชุดดำสี่คนที่เดินเรียงหน้ากระดานกันเข้ามา ต่างถูกน้ำที่จับตัวเป็นหนามน้ำแข็งทิ่มแทงกันถ้วนหน้า  เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังประสานกันไปทั่วห้อง  และก่อนที่คนอื่นทางด้านหลังจะไหวตัว เหนี่ยวไกปืน เตรียมยิงมาที่ร่างของวสันต์  ร่างของชายหญิงทั้งสองก็ผลุนผลันหนีตาย พากันออกไปทางระเบียง และกระโดดลงสู่ผืนน้ำสีเขียวที่รองรับอยู่เบื้องล่าง
 
‘…สะบัดธงแห่งความรักตัวกลัวตายทิ้งไป
น้อมรับมรณาที่เข้ามาใกล้ ด้วยใจที่ยินดีและปรีดิ์เปรม…’
 
            ตู้ม !!
 
            ปัง ! ปัง ! ปัง  !ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง !
 
            เสียงปืนคำรามชนิดหูดับตับไหม้ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ  ลูกกระสุนหลายนัดสาดลงไปยังตำแหน่งที่ผู้หลบหนีทั้งสองจมหายลงไปใต้น้ำ  ผืนน้ำปั่นป่วนกระเพื่อมไหวเพียงไม่นานก็คลายตัว กลับสู่ความสงบดังเดิม  ไม่มีพรายฟองอากาศผุดโผล่ หรือเลือดสีแดงของใคร ไหลออกมาผสมปนเปกับสีเขียวของน้ำ

            เมื่อเห็นดังนั้น  พวกทีมรักษาความปลอดภัยจึงรีบแยกย้าย เพื่อออกติดตามหาตัวผู้หลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น  แม้ต้องกระจายกำลังคนออกค้นหาในพื้นที่ป่ารกชัฎด้านหลัง ก็ต้องรีบทำกันอย่างเร่งด่วนที่สุด  ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เป้าหมายหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้

            หรือไม่ก็ต้องมีศพ นำเอาไปยืนยันกับท่านเจ้าของคฤหาสน์  ถึงจะสามารถรอดพ้นจากโทษผิดที่จะติดตามมาหลังจากนี้
           
 

 
+++++++++++++++++++++++++++++
 
 

            ผืนน้ำสีเขียวที่กำลังทอดตัวอยู่นิ่งสงบทางด้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับผืนป่ารกกินพื้นที่กว้างใหญ่ พลันเกิดการปั่นป่วนกระเพื่อมไหวแซ่กซ่า เมื่อปรากฏร่างของใครบางคนตะเกียกตะกาย แหวกว่ายขึ้นสู่ผืนอากาศเบื้องบน 

            วสันต์พยายามลากเอาร่างที่สลบใสลไม่ได้สติของธีราเข้าหาฝั่ง  หลังผลักดันร่างเล็กกว่า ให้ขึ้นไปนอนหงายก่ายเกยพาดอยู่บนขอบสระ ซึ่งปกคลุมไปด้วยวัชพืชขึ้นเบียดเสียดกันอย่างแน่นหนาได้แล้ว  ราชาน้ำแข็งจึงค่อยพาตัวขึ้นจากน้ำ มานั่งคว่ำหน้า ไอโขลกอยู่พักหนึ่ง  ก่อนผินหน้าหันกลับไปมองผู้ช่วยที่กำลังลอยคอ มองดูพวกตนจากในแหล่งน้ำ  โดยมีฉากหลังคือตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป
 
            “ขอบใจ.. นรินทร์..”
 
            ชายหนุ่มผู้เปียกปอนไปทั้งตัว กล่าวขอบคุณให้กับมนุษย์กลายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในสระน้ำ  ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา และเป็นพี่ชายฝาแฝดของนลินหญิงรับใช้  นรินทร์คือสัตว์มนุษย์ที่เกิดขึ้นจากการทดลองเกี่ยวกับทีเซลล์ทว่าล้มเหลวของดร.เฮนริกสัน  แม้ไม่ถึงที่ตาย แต่ชีวิตก็ถูกตราด้วยคำสาปร้ายที่ได้รับมาแทนที่  ผิวหนังแปรเปลี่ยนลักษณะเป็นเรียบลื่นคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน  มีต่อมผลิตสารคล้ายเมือกคาวปกคลุมห่อหุ้มร่าง พังพืดขึ้นตามง่ามนิ้วมือและเท้า  ทั้งหน้าตาที่ย่นยู่ลงจนแลดูน่าเกลียดน่ากลัว  ส่งผลให้นรินทร์ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์  แม้จะยังพอมีความทรงจำของตัวตนเดิม หลงเหลืออยู่บ้างก็ตามที

            อาจเป็นด้วยความสงสารหรือเห็นใจอยู่บ้างในตอนนั้น  แทนที่จะกำจัดทิ้งเหมือนอย่างที่ควรทำ  วสันต์กลับลอบปล่อยให้มนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้ เป็นอิสระในสระน้ำธรรมชาติแห่งนี้แทน  การกวาดต้อนท้องน้ำเพื่อหาปลาตัวเดียวเป็นเรื่องยุ่งยากจุกจิกกวนใจ  ด้วยเหตุนี้ ประมุขเฒ่าเจ้าตระกูลรวินโชติอังกูร จึงยอมปล่อยให้นรินทร์มีชีวิตอยู่  ตราบใดที่ไม่สร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย ให้แก่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้

            และพี่ชายของนลินยังคงพอจดจำวสันต์ได้  เพราะตอนเป็นมนุษย์ก่อนหน้า  ตนเคยเป็นคนสนิทที่คอยปรนนิบัติรับใช้อีกฝ่าย  เลยพลอยมีจิตสำนึกดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ในตัว

           
            หลังมนุษย์น้ำดำหายลับไปจากสายตา  วสันต์จึงหันกลับมาใส่ใจธีราอีกครั้ง  อีกฝ่ายหมดสติไปคงเพราะขาดอากาศหายใจและสำลักน้ำ  ไม่เหมือนกับตนที่สามารถกลั้นหายใจและดำน้ำได้นานกว่า  ความรู้สึกแปลบปลาบตรงสีข้างด้านซ้าย ทำให้เขาก้มลงมองสำรวจตัวเอง  ผ่านแว่นสายตาที่มีหยดน้ำเกาะพราวขึ้นฝ้าเล็กน้อย  วสันต์มองเห็นเลือดที่ไหลซึมลงมาเป็นทาง  คงเกิดจากฤทธิ์กระสุนที่พวกนั้นกราดยิงลงมา เฉียดโดนลำตัวจนเกิดเป็นแผล

            “บ้าจริง !”

            คำสบถดังกล่าว  ราชาน้ำแข็งพูดให้ตัวเอง  ไม่อยากเชื่อว่า ตนจะกล้าตัดสินใจทำอะไรที่มุทะลุแบบนั้นลงไปได้  มันไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยสักนิด  ความสุขุม เยือกเย็น แผนการต่าง ๆ ที่คิดวางเอาไว้หายไปไหน  เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป  เพียงเพราะการก้าวเข้ามาของบุคคลตรงหน้าโดยแท้

            ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเป ราวกับสีสันอันหลากหลาย  พร้อมเพลิงไฟแห่งความต้องการที่คุโชนขึ้นมาภายใน  วสันต์ถอนหายใจ ก่อนกระเถิบตัวเข้าไปใกล้  โน้มใบหน้าลง จุมพิตลงบนริมฝีปากที่ชืดเย็นนั้นอย่างแผ่วเบา  นึกอยากได้รับการสนองตอบแทนอาการนอนนิ่งเฉย  อยากโหมพัดแรงไฟแห่งความปรารถนา ที่กำลังลุกโชนอยู่ในอกตอนนี้ ให้ปะทุลุกไหม้มากยิ่งขึ้น  ถึงตอนนี้ เขารู้แล้วว่า ทำไมพิจิกถึงได้หลงใหลในตัวผู้หญิงคนนี้หนักหนา  นอกจากทีเซลล์แล้ว ธีรายังมีสิ่งอื่นที่พิเศษกว่า นั่นคือ จิตใจอันกล้าหาญของเธอนั่นเอง

            เหนือความรัก ยังมีความใคร่..  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  วสันต์ไม่ได้ต้องการทั้งสองอย่างนี้  เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ อาจเป็นแค่สายตาคู่เดียว ที่จะจับจ้องมองมายังตนตลอดไป ..มากกว่า

            แว่วเสียงการเคลื่อนไหว มองเห็นหน่วยค้นหาที่กระจายตัวกันค้นหาพวกตน กำลังมุ่งตรงเข้ามาใกล้  ด้วยเหตุนี้ วสันต์จึงกลั้นใจลุกขึ้นยืน  แบกหามเอาร่างของธีราบรรทุกใส่หลัง  แล้วมุ่งหน้าต่อไปเข้าสู่พื้นที่รกชัฏด้านหลัง  มีทั้งสุมทุมพุ่มไม้น้อยใหญ่ขึ้นรกเรื้อเป็นบริเวณกว้าง  พงหญ้าสูงท่วมหัวและดงต้นกกในหนองน้ำ คงพอช่วยอำพรางร่องรอยและเป็นอุปสรรคช่วยขัดขวาง ให้การตามไล่ล่าเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น

            ในบางสถานการณ์  ถึงจะมีทีเซลล์ที่ทำให้วิเศษวิโสเหนือคนอื่น  แต่ความจริงแล้ว มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าใดนักหรอก

           
            เร่งฝีเท้ารุดก้าวไปข้างหน้า  หลบหนีพลางนึกถึงความทรงจำในอดีต  ตอนเยาว์วัยที่เคยได้เล่นซุกซนไปตามราวป่ากับพี่ชาย  ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน ไม่มีความเครียดหรือสิ่งผูกมัดใด ๆ  พวกเขาสามารถส่งเสียงตะโกน หัวเราะร่า เล่นหัวหกก้นขวิด ทำทุกสิ่งทำอย่างได้ดั่งใจต้องการ

            ประตูสู่ความทรงจำในวันวานเหมือนถูกปิดตายลง  เมื่ออมินเป็นคนแรกที่โชคร้ายเกิดติดเชื้อทีเซลล์ก่อน  พี่ชายของเขาหยุดการเจริญเติบโตทางร่างกาย  ดั่งถูกกรงขังแห่งกาลเวลากักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้  ผ่านไปไม่นานนักหลังจากนั้น วสันต์ก็เป็นอีกคนที่ได้รับเลือกสรรจากสิ่งลึกลับให้เป็นภาชนะ  แต่เป็นทีเซลล์คนละหมู่เหล่ากับผู้เป็นพี่  หัวใจน้ำแข็งเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่บัดนั้น 

            ไม่มีความรัก..  ไม่มีความฝัน..  ฝืนทนมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ  เคียดแค้นชิงชังต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีส่วนทำให้ตนต้องมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดัน  ต้องการอันตรธานหายไปก็ทำไม่ได้  เพราะไม่อย่างนั้น พี่ชายจะต้องทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย  ถ้าไม่มีตนคอยเฝ้าคุ้มครองดูแล
 
            ปัง !
           
            เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง  พวกไล่ล่าคืบคลานใกล้เข้ามาทุกที  น้ำหนักของคนบนหลังไม่เท่าความร้อนรนกระวนกระวายในตอนนี้  ราชาและราชินีกระเสือกกระสนหนี ไปจนถึงสุดเขตแดนอาณาเขตตระกูลรวินโชติอังกูร  เพื่อพบกับรั้วลวดหนามอันแหลมคม พันซ้อนทบกันเป็นชั้นกำแพงเหล็กหนาแน่น  ดังต้องการกางกั้นไม่ให้ผู้ใดสามารถฝ่าเข้ามา หรือแม้กระทั่งกั้นขวาง ไม่ให้คนข้างในสามารถหลบหนีออกไป

            เป็นครั้งแรกที่วสันต์เกิดอาการลนลาน หันรีหันขวางขึ้นมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก  ด้วยเหลียวมองดูรอบกาย  ไม่พบสิ่งใดเลยที่จะสามารถนำมางัดหรือดัดรั้วลวดหนามเหล่านี้  ในขณะที่เสียงของฝ่ายไล่ล่าใกล้เข้ามาทุกที  บีบคั้นให้เกิดความคิดบ้าที่จะทำอะไรบ้า ๆ อย่างเช่น  ออกแรงเหวี่ยงร่างของธีราให้พ้นรั้วออกไป

            แค่คนเดียวก็ยังดี..  ส่วนตนจะเป็นอย่างไรก็ช่าง  ถึงอย่างไร วันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่แล้ว
 
            “     ..  หันหลัง แล้วถอยเข้าไป ใกล้ ๆ รั้ว  ..     ”
 
            เสียงเรียบเย็นแผ่วเบาดังอยู่ข้างหู  เป็นเสียงของธีราก็จริง แต่วสันต์แน่ใจว่า คนที่กำลังหลับตาพูดอยู่นี้ ไม่ใช่ธีราตามตัวตนปกติอย่างแน่นอน  ร่างคนที่ตนกำลังแบกหามเอาไว้ พลันกลายเป็นวัตถุสุดแสนอันตรายไปในทันที  ทว่าตอนนี้ ราชาน้ำแข็งไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากยอมตนทำตามคำบอกเท่านั้น

            เขาค่อย ๆ หมุนตัวหันหลังกลับให้รั้วลวดหนาม ก้าวถอยหลังเข้าประชิดใกล้ แต่ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้ เผื่อหนามเหล็กอันแหลมคมจะสะกิดเกี่ยวถูกเนื้อคนบนหลัง ให้ต้องบาดเจ็บหรือได้แผล

            เพราะมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลัง  วสันต์จึงมองไม่เห็นเส้นผมของอีกฝ่าย ซึ่งแผ่ตัวยืดยาวออกมาในฉับพลัน  เส้นผมสีดำสนิทเหล่านั้นแยกออกเป็นสองส่วน เลื้อยปราดออกไปพันกับเส้นลวดที่ขึงเอาไว้อย่างแน่นหนา  ก่อนเริ่มต้นออกแรงดึงง้างเส้นเหล็กหนาจากทั้งด้านบนและด้านล่าง  ให้แยกออกจากกันเป็นช่องว่างตรงกลาง  กว้างมากพอชนิดที่คนสองคนจะสามารถก้มลอดผ่านไปได้อย่างสบาย

            วสันต์ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รับรู้ได้ถึงอาการเกร็งตัว และมือที่ขยุ้มจิกแน่นลงบนแผ่นอกของตน  ไม่มีเวลาสำหรับชื่นชมในสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ  เวลานี้เป็นเวลาสำหรับการเร่งรีบหลบหนี  คิดได้แบบนี้ ชายหนุ่มจึงรีบพาตัวเองและคนบนหลัง ลอดผ่านช่องว่างออกไปอย่างระมัดระวัง  เข้าสู่แนวป่ารกด้านหลังที่เต็มไปด้วยหนองน้ำและส่ำสัตว์ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รกเรื้อแห่งนี้
           
            “--- รายงานท่านโดยด่วน เป้าหมายหลบหนีออกไปได้  ให้ตายเถอะ !  ไม่อยากจะเชื่อเลย รั้วลวดหนามทั้งหนา ทั้งคมแบบนี้ ยังสามารถแหวกฝ่าออกไปได้  นายต้องไม่เชื่อแน่ ๆ ว่า ฉันเห็นอะไรตรงนี้ ---”
 
            หนึ่งในทีมติดตามไล่ล่า ซึ่งเป็นบรรดาทหารรับจ้างที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี  พูดผ่านวิทยุสื่อสารเพื่อส่งข้อความรายงาน ไปยังหน่วยที่คอยรับฟังความเคลื่อนไหวอยู่ข้างในตัวคฤหาสน์  หลังเสียเวลาตีวงอ้อมผ่านพื้นที่ข้างขอบสระ เพื่อมายังจุดที่พบเห็นร่องรอยของผู้หลบหนีทั้งสอง

            แม้เสร็จสิ้นการรายงาน  แต่ยังคงจ้องมองดูร่องรอยความเสียหายที่น่าตื่นตะลึงนั้น  เบื้องหน้าทหารรับจ้างนับสิบราย คือ งานศิลปะที่เกิดขึ้นราวกับถูกฉีกทึ้งจากมือยักษ์  พวกเขาต่างกลืนน้ำลายอันแสนเหนียวหนืดลงคอกันอย่างฝืดเฝือ  เมื่อคิดไปถึงชะตากรรมล่วงหน้าว่า ต้องถูกส่งไปเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาด ที่สามารถคร่าชีวิตใครต่อใครได้อย่างง่ายดาย ในอีกไม่ช้า...
 
 

 
++++++++++++++++++++++++++++++
 
 

 
            ธนชาติขยับตัวอย่างอึดอัด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกที่หลงมาอยู่ผิดที่ผิดทาง  มองไปทางซ้ายเห็นธนสรณ์น้องชาย กำลังจับกลุ่มยืนพูดคุยสนทนาอยู่กับฝ่ายเจ้าของบ้าน  มองไปทางขวาก็เห็นราเคียร์ มนุษย์ต่างดาวผู้ที่จู่ ๆ ก็กลับมาทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย  นั่งทำหน้าเศร้า เฝ้าอยู่ข้างร่างของคนเจ็บที่กำลังหลับใหล
 
            เมื่อชั่วโมงก่อน  คนเหล่านี้ทำการผ่าเอาลูกกระสุน ที่ฝังอยู่ในต้นแขนชายหนุ่มผมเทาออกกันเอง  ไม่มียาชา  ไม่มีเครื่องมือผ่าตัดใด ๆ  มีเพียงผ้าสะอาดม้วนทบเป็นชั้น ให้คนถูกผ่าเอามากัดไว้ เพื่อระงับเสียงแห่งความเจ็บปวดที่จะเล็ดลอดออกไป ให้ชาวบ้านชาวช่องแถวนี้ได้ยินเท่านั้นเอง

            น่าแปลกตรงที่ไม่มีผู้ใดในชุมชนแห่งนี้ ดำเนินการแจ้งตำรวจ ให้มาตรวจสอบเสียงปืนสองนัดที่ดังขึ้น  พวกเขาทำราวกับพร้อมใจกันเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา หากจะมีเสียงหรือสิ่งผิดสังเกตอื่นใด ซึ่งมีสาเหตุมาจากบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์หลังนี้

            ขจรใช้มีดพกอันคมกริบฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เล่มหนึ่ง จดจ่ออยู่เหนือรอยกระสุนที่เกิดจากฝีมือของตน  โดยมีฆีมษ์และฮันช่วยกันล็อกตัวพิจิกเอาไว้คนละฝั่ง  ส่วนผมผีสิงตกอยู่ในมือของเสือที่ยืนคุมเชิงอยู่ทิศเหนือศีรษะ  ความร้อนที่สามารถหลอมละลายได้แม้กระทั่งเหล็ก เป็นหลักประกันชั้นดีได้ว่า หากผมของพิจิกเกิดอาละวาดขึ้นมา  เสือจะจัดการเผามันทิ้ง ชนิดไม่ให้งอกขึ้นมาใหม่ได้อีกเลย

            ด้านนอกบ้านมีธนชาติกับธนสรณ์คอยเฝ้าดู ไม่ให้ราเคียร์เกิดอาละวาดหรือทำอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาอีก  แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเองจะมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด  ราเคียร์แสดงออกอย่างชัดเจนว่า มีความนอบน้อมและเชื่อฟังคำพูดของธนสรณ์เป็นอย่างมาก  ราวกับผู้น้อยที่สำรวมอาการเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่

            แม้เต็มไปด้วยความสงสัยและคำถามมากมาย  แต่ธนชาติก็เลือกที่จะยังไม่ซักถามอะไร  เพราะเรื่องคนเจ็บตรงหน้าสำคัญกว่า  เขาใช้เวลาพูดคุยบอกกล่าวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่าง ๆ กับน้องชาย  ตอนที่พวกคนที่อยู่ข้างในตัวบ้านกำลังวุ่นวายกับการรักษาแบบหฤโหด  โดยมีสายตาอันใสแจ๋วของราเคียร์ คอยจับจ้องมองดูพวกตนอยู่อย่างไม่วางตา

            กระทั่ง การผ่าเอากระสุนออกเสร็จสิ้น  คนเจ็บที่ได้รับยาแก้ปวดขนานแรงจึงร่วงราวกับนกปีกหัก  เมื่อคนด้านในทยอยพากันออกมา  ราเคียร์ก็ถลาเข้าไปนั่งเฝ้า ทำตัวราวกับเป็นญาติใกล้ชิดเสียอย่างนั้น 
 

            พี่ชายคนโตแห่งบ้านพินิจใจขยับเข้าไปใกล้  ส่งเสียงชวนคุยกับญาติกำมะลอของตนในที่แห่งนั้น

            “คนนี้เป็นใครหรือ  รู้จักเขาหรือ”

            ราเคียร์ยังคงมองจ้องมองพิจิก  ทว่าสายตาและสีหน้าอ่อนลง  แลดูอ่อนโยน สมกับเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกที

            “ข้าไม่รู้จักมนุษย์คนนี้  แต่รู้จักทีเซลล์ในร่างนี้  มันเป็นของเพิร์ก  รากเดียวกับข้า  ที่อาจเรียกได้เป็นน้องของข้า”

            “น้องชาย หรือ น้องสาว  เอ่อ  มนุษย์ต่างดาวมีเพศไหม”  ธนชาติทรุดตัวลงนั่งข้างกัน  ไต่ถามด้วยความสนใจใคร่อยากรู้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพียงการชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

            “เราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น  เพศสภาพมีผลเฉพาะเวลาสืบพันธุ์ หรือต้องการให้กำเนิดชีวิตใหม่  เพิร์กเป็นเหมือนกับน้องชาย  พวกเราถูกสร้างขึ้นมาในเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก  ตัวข้าถือกำเนิดขึ้นมาก่อน”

            “อายุห่างกันกี่ปีหรือ”
            “ถ้านับตามเวลาของเจ้า  สี่พันสามร้อยเก้าสิบสองปี”

            ใครบางคนทำตาโตให้กับ ‘ช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันมากนัก’ ของราเคียร์  และเจ้าตัวเองก็เริ่มพูดขยายความมากขึ้นไปกว่านั้น

            “น้องของข้าตาย ในสงครามระหว่างพวกเราและพวกอื่น  คงคล้ายกันกับความเชื่อของมนุษย์ที่เชื่อว่า มีวิญญาณอยู่ในร่างกายและสิ่งต่าง ๆ  แม้อนุภาคของเพิร์กยังหลงเหลืออยู่  แต่ก็ถือได้ว่า ตัวตนและสติปัญญาของเขาถูกทำลายไปแล้ว  โอกาสเดียวที่จะฟื้นกลับคืนมาได้ คือ รับการสร้างขึ้นมาใหม่จากราชินีไคเมร่า”

            นิ้วชี้อันเรียวสวยของราเคียร์ยื่นออกมา  จิ้มลงตรงแก้มของพิจิกให้เกิดเป็นรอยบุ๋มลึกลง  พอเนื้อคืนตัวด้วยความเต่งตึงของเนื้อหนัง  หญิงสาวก็ทำเช่นนั้นซ้ำอีกวนไปมา อย่างเริ่มเห็นเป็นเรื่องสนุก

            “มีเพียงเหล่าราชวงศ์ ที่ผ่านการวิวัฒน์มาอย่างยาวนานเท่านั้น  ที่จะสามารถคงสติปัญญา สถิตไว้ในอนุภาคของตัวเองได้  แม้แต่เรเจเซล  ผู้เปรียบเสมือนยายของข้า นางก็เพิ่งวิวัฒน์ตัวเองมาถึงขั้นนี้ได้  เมื่อไม่กี่พันปีก่อนนี่เอง”

            “..มียายด้วย..”

            ผู้รับฟังอดครางออกมา ด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่ได้  ใครกันล่ะ..จะสามารถนึกภาพมนุษย์ต่างดาวที่มีครอบครัว มีพ่อแม่ พี่น้อง หรือ แม้แต่ปู่ย่าตายายออกในมโนภาพ

            “ข้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่า ที่อยู่ในนี้ ไม่ใช่เพิร์ก  เป็นแค่เศษเสี้ยว ที่ทำให้ข้ารำลึกถึงเท่านั้น”

            คราวนี้ มือของราเคียร์ทาบจับลงตรงแก้มของพิจิกผู้กำลังหลับใหล  ดูท่าว่าเจ้าตัวคงฝันดีเสียด้วย  เพราะเห็นมีรอยยิ้มน้อยระบายอยู่บนดวงหน้า

            “ข้าเองก็ยังห่างไกลจากขั้นวิวัฒน์ จนสามารถสถิตสติปัญญา  หากข้าตายในร่างนี้  ความทรงจำทั้งหมดที่มี ในตอนที่เป็นราเคียร์ตนนี้ ก็จะหายไปด้วย  น่าเสียดายนะ  ยังมีอะไรอีกตั้งมากมาย ที่ข้าอยากเรียนรู้  อยาก..ที่จะทำความเข้าใจ”

            นาทีนั้น  ความคิดที่จะกำจัดมนุษย์ต่างดาวให้พ้นไปจากบ้าน ปลิวหายไปจากสมองของธนชาติจนหมดสิ้น  ความรู้สึกสงสารและเห็นใจอย่างน่าประหลาดเข้ามาแทนที่  ราเคียร์หันมาทางธนชาติ  มองจ้องหน้ามนุษย์โลกคนที่ตนมีปฏิสัมพันธ์อันดีด้วย  เผยอริมฝีปากอิ่มสวยให้กว้างออก เกิดเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างช้า ๆ

            เหมือนเป็นครั้งแรก ที่ธนชาติได้เห็นรอยยิ้มที่แลดูสวยงาม และแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดจากราเคียร์  รอยยิ้มที่สามารถทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะได้อย่างง่ายดาย

            “ข้าคิดถึงแม่แล้วล่ะ  อยากกินอาหารของแม่  อยากดูทีวีกับแม่อีก  ข้าจะออกไปตรวจสอบอีกสองคนที่เหลือ  แล้วเจ้า.. พาข้ากลับบ้านนะ” 

            ประโยคดังกล่าว  ราเคียร์หมายถึงฆีมษ์และเสือ อีกสองเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับการตรวจหาทีเซลล์ของไคเมร่า

            ธนชาติไม่ได้ตอบรับ  แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย  นอกจากปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวคั่นกลาง ระหว่างคนปกติกับมนุษย์ต่างดาว  ยิ่งมองเห็นแววตาซื่อใสและสีหน้าคล้ายกับมีความหวังของอีกฝ่าย  ชายหนุ่มก็ยิ่งพูดอะไรไม่ออกไปกันใหญ่

            การที่ธนชาติไม่ได้เปิดปากพูดอะไร  ส่งผลให้ราเคียร์ขยับเข้ามาใกล้ เอนศีรษะซบลงตรงต้นแขนของเขา แสดงกิริยาท่าทางเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ ท่าทางที่สามารถคาดหวังผลตอบสนองได้ในระดับหนึ่ง

            ระดับที่ส่งผลต่อความรู้สึก  ระดับที่ส่งผลต่อจิตใจ..
 

            “พี่ชาติ..”

            ธนสรณ์ชะโงกหน้ามาจากทางด้านนอกหน้าต่าง  กวักมือเรียกพี่ชายให้เข้าไปพูดคุยกันใกล้ ๆ

            “ว่าไง”
            “ผมคุยกับพวกนี้แล้ว  เข้าใจกันดีแล้ว  เลยว่าจะพาพิจิกกลับไปพักฟื้นที่ห้อง  แล้วตกลงพี่จะเอาไงกับ เอ่อ นั่นน่ะ จะทิ้งไว้ที่นี่ ให้พวกนี้จัดการให้เลยไหม”
            “เอ่อ จัดการเลยเหรอ จัดการยังไง”

            คำบอกกล่าวเหล่านั้นทำให้ธนชาติรู้สึกไม่สบายใจ  ชำเลืองมองทางหางตา  เห็นราเคียร์นั่งกอดเข่า เอาศีรษะวางบนแขนของตัวเอง จ้องมองมาที่พวกตนด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

            “ไม่รู้สิ  ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไร  แต่จะปล่อยเอาไว้แบบนี้ ก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ  เพราะเราไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงว่า เธอต้องการอะไร นอกเหนือไปจากที่ว่า มาตามหาพันธุกรรมอะไรนั่น”

            “ลองถามดูสิ สรณ์  ราเคียร์ดูเชื่อฟังแกนะ  ถ้าแกถาม  เธออาจจะบอกก็ได้”
            “ผมเหรอ !”

            ธนสรณ์ทำสีหน้าอึ้งไปนิดกับคำบอกของพี่ชาย  เบนสายตาไปหามนุษย์ต่างดาว ผู้ซึ่งไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนผู้หญิงปกติธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง

            “ราเคียร์ใช่ไหม  คุณมาหาพวกผมทำไม  ต้องการอะไรกันแน่”

            คำถามของธนสรณ์ส่งผลให้ผู้ถูกถาม คลานเข่าเข้ามาใกล้  เพื่อตอบคำถามดังกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง

            “ข้าถูกสร้างและถูกส่งมา เพื่อค้นหามนุษย์ที่มีทีเซลล์ของไคเมร่า นอกเหนือไปกว่านั้น คือ ค้นหาทีเซลล์ของมามาคราย  ผู้บันทึกความทรงจำแห่งเส้นทางดวงดาว  มันอยู่ในตัวของเจ้า”

            แน่นอนว่า คำตอบอันเกินความเข้าใจ  พี่น้องสองชายแห่งบ้านพินิจใจไม่อาจได้ความอันใด นอกจากความงุนงงที่รับเข้ามาสู่หัวสมอง  แต่ถึงกระนั้น  ธนสรณ์ก็ยังถามต่อไป  ด้านหลังมีฆีมษ์และเสือซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลห่างนัก  นิ่งฟังความตามไปด้วย

            “แล้วถ้าเจอแล้ว  จะทำยังไงต่อ  เอ่อ หมายถึง.. จะทำอะไรกับผมน่ะ”

            แววตาของราเคียร์คล้ายเปล่งประกาย เปิดเผยรอยยิ้มสดใสไปด้วย ขณะตอบคำถามนั้น

            “พากลับไปหาเอมาน  ถ้าทำได้..”
            “แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ”
            “มนุษย์ทำอย่างไร  เวลาประสบกับปัญหาหรืออุปสรรคที่เอาชนะ หรือแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้..”

            ราเคียร์ตอบคำถามด้วยคำถาม  เอื้อมมือออกไปจับมือของธนชาติเอาไว้  ไออุ่นจากมืออันนุ่มนิ่มเป็นเครื่องยืนยันถึงการมีเลือดเนื้อ มีตัวตน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

            “..เพิกเฉย  ละทิ้งไป  พยายามแก้ไขต่อ  หรือ ร้องขอความช่วยเหลือกันล่ะ”

            หญิงสาวลุกขึ้นมายืน ด้วยความช่วยเหลือจากแรงฉุดดึงของคนข้างกาย  ราเคียร์ยังคงพูดต่อไป  สายตากวาดมองสำรวจไปถ้วนทั่ว ราวค้นหาของเล่นใหม่ หรือสิ่งที่น่าสนใจในสิ่งแวดล้อมใหม่รอบด้าน

            “แมลงบินกลับไปแล้ว  อีกไม่นาน  อาจมีคนอื่นมาที่นี่  เพื่อทำหน้าที่ที่ข้าทำไม่สำเร็จ  คนอื่น..ที่คงไม่ใจดีเหมือนกับข้า”
           
            ฆีมษ์ที่อยู่ด้านหลังธนสรณ์ ขยับตัว ทำท่าจะอ้าปาก เตรียมซักถามด้วยความสงสัย  ทว่านิ้วของผู้หญิงแปลกหน้ากลับชี้ตรงมาที่ตนอย่างจำเพาะเจาะจงเสียก่อน
 
            “เจ้า.. ข้าจำเป็นต้องตรวจสอบเจ้า  พร้อมกับอีกคนนั่น..”  ปลายนิ้วอันเรียวงามเลื่อนไปหาเสือ ผู้ยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างกันกับฆีมษ์ด้วยเช่นกัน  “..มาเถิด  ทำให้เสร็จสิ้นไป  ข้าง่วง  ข้าหิว  ข้าอยากกลับบ้าน”
 
            คำพูดดังกล่าวนั้น ทำให้ธนสรณ์และธนชาติ หันมองสบสายตากัน  ในขณะที่ราเคียร์ยังคงกล่าวต่อไป โดยไม่สนใจต่อสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่เลยแม้แต่น้อย
 

            “..เรเจเซลพูดถูก  ชีวิตของมนุษย์นั้นช่างแสนสั้น  แต่ก็เต็มไปด้วยสีสัน และมีชีวิตชีวาเหลือเกิน..”
 
 

 
++++++++++++++++++++++++++++++



Create Date : 10 มิถุนายน 2563
Last Update : 10 มิถุนายน 2563 14:30:03 น. 0 comments
Counter : 516 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.