ไม่ทุกข์เพราะทิ้ง ไม่ทิ้งก็ทุกข์

เครดิตให้poivang จากเวปกระทู้ชีวิตกับธรรม
โดย พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์



“ไม่ทุกข์เพราะทิ้ง ไม่ทิ้งก็ทุกข์” มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีปัญหามาพร้อมกับความทุกข์ ทุกข์ประจำสังขารมันติดตามมาตั้งแต่แรกเกิด สังขารเกิดขึ้นมาเมื่อใดทุกข์ก็ติดตามมาเมื่อนั้น สังขารคือกองทุกข์นั่นเอง ทุกข์กายเรียกว่ากายิกทุกข์ ทุกข์ใจเรียกว่าเจตสิกทุกข์ ทุกข์กาย คือความบีบคั้นทางด้านร่างกาย เช่นความหิวกระหาย โรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น

เป็นสภาพปกติที่ใครหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกข์ใจ คือความบีบคั้นทางจิตใจ การสูญเสียความพลัดพรากของรักของชอบใจ รู้สึกคับข้องขัดเคืองใจ เป็นต้น ทุกข์ทางใจนี้มีเฉพาะปุถุชนและพระอริยบุคคลระดับต้น ไม่มีในพระอรหันต์ เพราะปุถุชนยังมากไปด้วยกิเลส โลภ โกรธ หลง เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาน่าชอบใจมากระทบใจก็ไหวตามไป เมื่อชอบ อยากได้ ก็อยากรับเข้ามา อยากให้อยู่กับเรานานๆ เมื่อไม่ชอบชิงชัง ไม่อยากได้ ก็อยากผลักออกไป ขับไสไล่ส่งให้ไปไกลๆ สิ่งเหล่านี้นี่แหละก่อให้เกิดเป็นทุกข์ทางใจ

ทุกข์ทางใจมีข้อพิจารณาอยู่อย่างหนึ่ง หากคนวิกลจริตผิดปกติทางใจ พระพุทธศาสนาจะช่วยเหลือหรือไม่ หมายถึงพระภิกษุจะช่วยบำบัดรักษาหรือไม่ คำตอบคือไม่ พระภิกษุจะไม่ทำอย่างนั่น เพราะมีจิตแพทย์นักจิตบำบัดทำกันอยู่ มอบให้เป็นหน้าที่ของจิตแพทย์และนักจิตบำบัด เพราะทุกข์ที่เกิดมาจากวิกลจริตเป็นกับคนบางคนไม่ได้เป็นกับทุกคน

ส่วนทุกข์ที่มาจากกิเลสนี้เป็นส่วนรับผิดชอบของพระพุทธศาสนาโดยตรง ที่นี้มาสืบดูว่าทุกข์มาจากไหน สมุทัย (สาเหตุ) คืออะไร ตามหลักอริยสัจ ๔ ท่านแสดงว่าทุกข์มีสมุฏฐานมาจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นสมุทัย (สาเหตุ) ของทุกข์ กิเลสได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ส่วน ตัณหาจำแนกออกมา๓อย่าง คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ตัณหาแปลว่า “ทะยานอยาก” คืออยากในกามคุณทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส อยากได้อยากเป็นอยากมี ไม่อยากได้ไม่อยากเป็นไม่อยากมี เหล่านี้ก่อให้เกิดทุกข์ใจ
ความจริงตัณหาไม่ได้มาตัวเดียวโดดๆ ตามระบบปัจจัยการขั้วต่อของมันคือเวทนา (รู้สึกเสวยอารมณ์) ตัณหารับช่วงมาจากเวทนาและส่งต่อให้อุปาทานยึดถืออีกที กลายเป็นภพชาติต่อไป ทุกข์ที่เกิดจากอุปาทานคือการยึดถือว่าเรา ของเรา ยึดตัวตน บุคคล สัตว์ สิ่งของ ยิ่งยึดถือมากก็ทุกข์มาก ยึดถือน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ยึดถือเลยก็ไม่ทุกข์ หากทิ้งอุปาทานไม่ได้ก็ทุกข์อยู่ร่ำไป วางไม่เป็นเย็นไม่ได้ ไม่อยากทุกข์ก็ต้องทิ้ง ไม่อยากทิ้งก็ต้องทุกข์
แท้จริงความทุกข์มาจากอุปาทานการยึดถือของเรานี่เอง หากปล่อยวางไม่ยึดว่าเรา ของเรา ใครก็ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้ เพราะไม่มีอะไรมารองรับการกระทบ เมื่อถูกกระทบก็กระเทือนเป็นทุกข์ ตัวอย่างที่ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น การที่เราได้เห็นรูปทางตา อย่างผู้ชายเห็นผู้หญิงสวยเกิดความรู้สึกชอบ อยากจีบอยากได้เป็นแฟน แต่จีบไม่ได้ก็ทุกข์ใจเพราะไม่ได้สมดั่งใจ เป็นต้น หรือกรณีการที่เราได้ยินเสียงผ่านมาทางหู อย่างเราได้ยินเสียงเพื่อนๆนินทาเราอยู่ หรือพูดไม่ดีกับเรา เราได้ยินแล้วรู้สึกไม่พอใจ น้อยใจ ขัดเคืองใจ เป็นต้น
อีกตัวอย่าง วันหนึ่งคุณเดินไปแถวย่านตลาดขายผักผลไม้พวกพ่อค้าแม่ค้ากำลังด่าทอกันอยู่ด้วยวาจาหยาบคาย เมื่อคุณได้ยินรู้สึกเพียงว่าหยาบคายจริงนะพวกนี้แต่ไม่รู้สึกโกรธแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้ด่าคุณ ผ่านไปไม่มีอะไรถูกกระทบแต่ถ้าคุณไปเดินชนผักผลไม้เขาตกหล่นเขาด่าคุณหยาบคายคุณจะรู้สึกอายและโกรธขึ้นมาทันที เพราะอัตตา (ความมีตัวตน) ถูกกระทบอย่างจัง เห็นชัดว่าอุปาทานการยึดถือเรา ของเรา ทำให้เกิดอัตตามารองรับ การกระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์ ยิ่งมีอุปาทานยึดถือว่าเราของเรามากเท่าไรอัตตาก็โตมากเท่านั้นเมื่อถูกกระทบกระเทือนมากก็ทุกข์มาก เปรียบเหมือนตัวเราเป็นเป้าที่ใหญ่(อัตตาตัวตนใหญ่)ยิ่งใหญ่มากคนอื่นปาลูกศรใส่มีโอกาสถูกเป้าได้มาก ก็ทุกข์มาก ถ้าเป้าเล็กๆ (อัตตาตัวตนเล็ก) คนปาลูกศรใส่โอกาสโดนเป้าน้อยมาก ก็ทุกข์น้อย ถ้าไม่มีเป้า (อัตตาตัวตน) เลยมีลูกศรมาก็ไม่โดนเพราะไม่มีเป้าก็ไม่ทุกข์
ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดทุกข์ก็คืออุปาทาน เนื่องมาจากการยึดถือของเรานี่เอง ไม่ใช่ใครมาจากไหน “คนอื่นทำให้เราทุกข์เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่คนที่ทำให้เราทุกข์ได้ยาวนานที่สุดคือตัวเราเอง” สมมติว่ามีคนมาด่าเรา เพียงครู่เดียวคำด่านั้นหายไป ถ้าจะทุกข์ก็ทุกข์เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่เรากลับไม่ทิ้งนึกทีไรก็ทุกข์ทีนั้นยังเก็บไว้ในใจไม่ยอมลืมและยังสร้างทุกข์ให้อีกต่อไปตราบที่ไม่ยอมลืม จะโทษใครล่ะที่ทำให้ทุกข์อยู่นานถ้าไม่โทษตัวเอง นี่แหละถึงบอกว่า “ไม่ทุกข์เพราะทิ้ง ไม่ทิ้งก็ทุกข์”




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2552 9:13:20 น.
Counter : 825 Pageviews.  

14 ปรัชญาแห่งรัก

1. A man overtime falls in love with woman he is attracted to,and a woman overtime become more
attracted to the man she loves.
ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก

2. Friendship is love minus sex and plus reason LOVE is friendship plus sex and minus reason.
มิตรภาพคือ ความรักลบด้วยเซ็กซ์ และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป ส่วนรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์
และลบเอาเหตุผลออก

3. To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything!!!!
การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็น "บางอย่าง" ทีเดียว
ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)

4. You may only be one person to the world but you may also be the world to one person
คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ"
ของคนคนหนึ่งก็ได้

5. You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that
you"re not of it.
คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายถึง
การที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

6. Love looks not with eyes, but with the mind.
ความรักนั้น เห็นไม่ได้ด้วยตา แต่ด้วยใจ

7. Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you
can never go without leaving your shoes behind.
ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียกๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น
และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง

8. Don''t marry a person you can live with, marry somebody you can''t live without.
จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้" จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"

9. If you love someone tell them don''t wait or also you will lose the chance.
ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ..

10. It only takes a second to say " I love you" but it will take a lifetime to show you
how much.
ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า" ฉันรักเธอ" แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า
รักมากเพียงไร?

11. The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad
to leave this world without ever telling those you loved that youlove them.
ความเศร้าที่สำคัญคือการใช้ชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าพอๆ กัน
ที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า "คุณรักพวกเค้า"

12. A man falls in love through his eyes, a woman through her ears.
ผู้ชายตกหลุมรักทางตา แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู

13. To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk
failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing.
การที่ได้รัก คือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน การตั้งความหวัง
คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง
เพราะสิ่งที่อันตราาย ที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย

14. When loving someone.. never regret what you do.. only regret what you didn''t do.
เวลารักใคร..อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ




 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 5:33:52 น.
Counter : 401 Pageviews.  

 
 

larata
Location :
Florida United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add larata's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com