WIZARDING WORLD OF HARRY POTTER
สวัสดีครับ วันนี้ขอมารีวิว สถานที่เที่ยวเปิดใหม่ในญี่ปุ่น แบบเกือบสดๆร้อนๆ นั่นคือ Wizarding World of Harry Potter ครับ สำหรับที่นี่ ความพิเศษเฉพาะตัวคือ ปราสาทฮอกวอตส์จะมี black lake สะท้อนตัวปราสาทด้วย ตามกันมาเลยครับ



ก่อนอื่นก็ไปที่ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ที่โอซาก้า กันก่อนครับ เสียดายมาไม่ทันพิธีเปิด อดเจอลูน่า กับ เดรโก เลย



กับลูกโลก เอาฤกษ์เอาชัยก่อ เดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึง




ทางผ่านที่ซิตี้วอล์ค ก็มีป้ายประชาสัมพันธ์รายทางครับ



เข้าประตูไปกันเลย



เดินผ่านสโตนเฮนจ์ไปก่อนนะครับ ไปถึงน้อง jaws แล้วซ้ายหันเดินเข้าไป เกือบถึงประตูแล้วเลี้ยวขวาจะเจอตู้กดจองเวลาเข้า wizarding world ครับ



เดินเข้ามาแล้ว จะมีทางเบี่ยงขวา มีน้องฟอร์ด แองเกลีย รอต้อนรับ



หน้าประตูเข้าหมู่บ้านฮ้อกมี้ดส์



อย่าลืมถ่ายรูปกับรถไฟฮอกวอตส์ใกล้ๆประตูนะครับ



คนเรือนแสน คิวแต่ละร้านนับพัน









ก่อนถึงตัวปราสาท อย่าลืมเลี้ยวซ้ายชมปราสาทฝั่งทะเลสาบก่อนนะครับ



บรรยากาศรอบตัวปราสาท





หิวแล้ว มากินข้าวที่ร้านไม้กวาดสามอันกันก่อน (รอคิวชั่วโมงครึ่ง) อาหารแพงไปหน่อย แต่บัตเตอรฺ์เบียร์หอมมาก (ดื่มนานๆก็เลี่ยนอยู่ ส่วนน้ำฟักทอง... ถือว่าซื้อมาเก็บขวดเป็นที่ระลึกแล้วกัน -_-"









อย่าลืมชมการแสดงร้องเพลงของนักเรียนฮอกวอตส์ และการแสดงของโรงเรียนโบซ์บาตง กับเดิร์มสแตรง ก่อนเข้าตัวปราสาทนะครับ



เข้าไปเล่น the forbidden journey กันในตัวปราสาทได้เลยครับ (ก่อนเล่นข้างในมีปัญหา กว่าจะเปิดให้เล่นก็สามโมงไปแล้ว)



บรรยากาศในปราสาทฮอกวอตส์ครับ













ลากันด้วยภาพเก็บตกยามค่ำคืนนะครับ











Create Date : 20 พฤษภาคม 2558
Last Update : 20 พฤษภาคม 2558 8:44:59 น.
Counter : 2361 Pageviews.

0 comment
ปุตราจายา มาเลเซีย - เมืองแห่งมัสยิดสีชมพู
ุ6 มิถุนายน 2556

  ทริปนี้เกิดจากรอต่อเครื่องที่ LCCT ตอนขากลับจากญี่ปุ่นครับ ซึ่งก็รอเกือบ 9 ชั่วโมงได้ ดังนั้น เลยไม่เข้าช่อง Transfer ครับ แต่ผ่าน ตม.มาเลเซียออกมาเลย แล้วก็ซื้อตั๋ว KLIA Express (KLIA Ekspres) เพื่อนั่งรถบัสมาลงที่สถานีรถไฟฟ้า KLIA ครับ (กำลังงงอยู่ว่า วันที่ในตั๋วที่เค้าเอาให้ ทำไมออกมาก่อนเดินทางจริงตั้งหลายวัน แต่ก็ใช้บัตรได้ไม่มีปัญหา)



ขึ้นรถไฟฟ้ากันครับ







นั่งมาลงที่ Putrajaya ครับ ที่นี่คือ ปุตราจายาเซ็นทรัล (Putrajaya Sentral) เป็นศูนย์กลางของรถขนส่งครับ







ปัญหาก็คือ อยากจะไปดูมัสยิดสีชมพู พยายามสื่อสารกับพนักงานแถวนั้น กับพนักงานขับรถ แต่สัมผัสได้ว่า เหมือนเขาจะไม่รู้จัก (ซะงั้น?) พอเจ้าหน้าที่อีกคนร้องอ๋อ ปุ๊บก็ไปคุยกับพนักงานขับรถ คุยกันเป็นภาษามาเลเซีย แต่ทำไม้ทำมืออย่างกับกำลังคุยคนละภาษา สุดท้ายคนขับก็เรียกขึ้นรถครับ แล้วก็เอามาปล่อยตรงสะพานแขวนนี่ ซึ่งห่างจากมัสยิดราว 20,000 โยชน์ได้ (ถ้าเทียบกับขาที่ปวดร้าวมาจากญี่ปุ่น)



เดินมาถึงทางไปมัสยิด เริ่มจะลากขาเดินแล้ว มัสยิดอยู่ลิบๆตรงนั้นเอง สองสามก้าวก็ถึงแล้ว (โกหก)





เดินชมวิวกันไป (รูปมีเท่านี้ครับ เพราะเมมเต็ม)



ดูๆไปก็เหมือนเป็นเมืองร้างๆ ไม่ค่อยมีคน







พอถึงมัสยิดก็เหนื่อยจนหมดอารมณ์บันทึกภาพไปเสียอย่างนั้น นั่งพักเอาแรงสักครู่ แล้วปัญหาอีกอย่างก็ตามมา ซึ่งก็คือจะกลับยังไง ฮ่าๆ สรุปก็ได้โบกแท็กซี่กลับครับ ทริปสั้นๆก็จบลงเพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ตามอ่านนะครับ



Create Date : 16 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 20:18:08 น.
Counter : 782 Pageviews.

0 comment
เที่ยวโตเกียว ตอนที่ 5 ลากขาชมเมืองก่อนกลับ
6 มิถุนายน 2556

 หายหน้าไปนาน อยู่ในช่วงเปิดเทอมครับ เลยเตรียมอะไรนิดหน่อย (อ่านดูแล้วเหมือนเป็นนักศึกษา) เอาเป็นว่าตอนนี้จะรวบยอดเที่ยวโตเกียววันที่ 5 และวันที่ 6 เลยนะครับ

สำหรับการเที่ยวโตเกียวในวันที่ 5 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ผมวางโปรแกรมอย่างหนักหน่วงเอาไว้ คือ เช้าไปสถานีโตเกียว สายๆเดินเล่นแถวพระราชวังอิมพีเรียล กลางวันไปชมวิวโตเกียวมุมสูงที่อาคารที่ว่าการมหานครโตเกียว ในชินจุกุ บ่ายแวะไปดูโตเกียวทาวเวอร์ บ่ายแก่ๆไปฮาราจุกุ แล้วเย็นๆก็ไปปิดท้ายแถวชิบูย่า ครับ

ส่วนโปรแกรมของวันที่ 6 เป็นการเก็บตกครับ เนื่องจากฝนตกเลยไม่ค่อยจะเที่ยวไหน เช้าแวะไปอะซาคุสะยามไม่มีเทศกาล แล้วก็บ่ายๆไปเดินชมแมงมุมยักษ์ที่รปปงงิ และวันที่ 7 ก็เที่ยวปุตราจายา มาเลเซียครับ



ตอนเช้า หลังจากฝากท้องไว้ที่ Lawson ใกล้ๆที่พักแล้ว ก็ซื้อบัตร 1 Day สำหรับ Toei และ Metro เหมือนเดิมครับ ต่อสายไปลงที่สถานี Tokyo ได้เลย ขึ้นตรงทางออก Marunouchi North ก็จะเห็นสถานีโตเกียวแล้วครับ



เมื่อเดินขึ้นมาแล้วก็จะพบกับตึกสถานีโตเกียวเป็นตึกอิฐแดง ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมในสไตล์ยุโรป พอมองร่วมกับธงญี่ปุ่นด้านหน้าตึกแล้วก็ให้ความรู้สึกว่า ตึกยุโรป กับ ธงญี่ปุ่น ทำไมถึงได้ดูเข้ากันได้ดีจัง









ด้านในตึกก็สวยนะครับ



ตอนแรก มุดลงสถานีรถไฟฟ้า จะเดินไปออกทางสถานี Nijubashimae (สะพานแว่นตา) แต่เดินหลงทางอีกแล้วครับ ที่สำคัญ เดินหลงย้อนกลับไปอีกสถานี ฮ่าๆ เลยต้องนั่งรถไฟฟ้ากลับมาที่เดิม ก็เลยเดินขึ้นมาใหม่ ดูจากแผนที่แล้วก็แค่เดินจากหน้าสถานีรถไฟโตเกียวตรงไปข้างหน้าไม่นานก็ถึงพระราชวังอิมพีเรียลแล้ว ถ้างั้นก็เดินข้างบนแล้วกันนะครับ







ตามทางมาแล้วก็จะพบกับส่วนรั้วของสวนพระราชวัง ตรงจุดนี้ ถ้าเดินไปทางซ้ายก็จะถึงสะพานแว่น ถ้าเดินไปทางขวาก็จะถึงทางเข้าชมสวนในพระราชวังครับ



ทางเข้ามีหน้าตาแบบนี้ เราเข้าไปชมสวนของพระราชวังกันเลย





เข้าไปแล้วก็รับบัตรนี้ครับ อย่าทำหายนะครับ ตอนออกต้องคืน ไม่อย่างนั้น ............. ไม่รู้เหมือนกัน แหะๆ (แป่ว)



ชมสวน ชมนก ชมไม้









สวนแถวนี้ มีคุณปู่จิตรกร หลายคนมาตั้งขาตั้งวาดรูปสวนญี่ปุ่นด้วย (เป็นสวนญี่ปุ่นที่สวยมากจริงๆเลยครับ) บางทีก็ไปยืนแอบดูสวนในภาพของปู่ๆ วาดได้งดงามทีเดียว แต่โลเคชั่นเดียวกัน ทำไมภาพของปู่ๆวาดไม่เลยกันเลยแหะ ฮ่าๆ







มีเวลาไม่มากนัก และก่อนที่จะเดินหลงลึกไปกว่านี้ ขอตัวเดินออกมาก่อนนะครับ เดินกลับมาจุดเดิมเมื่อกี้ แล้วเดินไปทางซ้าย ไม่ไกลกลับ แค่ขาลาก เราก็จะไปถึงสะพานชื่อดัง สะพาน Nijubashi นั่นเอง ตัวสะพานจะสะท้อนกับน้ำทำให้เห็นเป็นวงกลมสองวงเหมือนแว่นตาครับ แต่...  ทำไมเห็นแต่พืชน้ำลอยฟ่องไปหมดเลย



สวนบริเวณนั้นจะมีแต่ต้นนี้ครับ  ต้นอะไรระบุไม่ได้ แต่มันทำให้สวนหญ้าเบื้องหน้านั้น ดู ญี่ปุ่นมากกก



กลับมาลงสถานี Marunouchi (เดินขาลากเหมือนเดิม) แล้วก็นั่ง Marunouchi Line ต่อไปลงสถานี Shinjuku เปลี่ยนสายเป็น Oedo Line นั่งอีก  1 สถานีไปลงที่ Tochomae ครับ (ซึ่งก็อยู่ละแวกเดียวกับชินจุกุนั่นเอง) ที่ชินจุกุนี้ไม่ได้พาไปเที่ยวนะครับ แต่จะพาไปชมวิวบนอาคารที่ว่าการมหานครโตเกียวกัน พอออกจากสถานี Tochomae แล้วก็จะมาโผล่แถวๆนี้ครับ



แต่เมื่อเราหันหลังกลับ เราก็จะพบว่าสถานี Tochomae นั้น อยู่ใต้อาคารที่ว่าการมหานครโตเกียวนี่เอง เดินอ้อมไปนิดนึงก็จะเห็นทางเข้าอาคารครับ





เดินเข้ามาแล้วก็เดินเข้าไปใต้ตึกสูงๆเลยครับ เราสามารถเข้าไปชมวิวได้ฟรี ไม่ต้องง้อหอสกายทรี หรือหอโตเกียวก็ได้  ที่นี่จะมีทางเข้าให้สองทาง คือตึกเหนือ กับตึกใต้ ตึกเหนือเหมาะกับการชมวิวยามค่ำคืนครับ ส่วนตึกใต้ ขึ้นตอนกลางวัน ถ้าวันไหนสภาพอากาศดีๆก็จะเห็นท่านฟูจิด้วย เรามาตอนกลางวันก็ไปชมวิวตึกใต้กันดีกว่า ให้เจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋าสักหน่อย แล้วเข้าคิวรอขึ้นลิฟท์ไป 45 ชั้น (ลิฟท์เร็วจนหูอื้อเลย) แล้วก็จะพบกับวิวโตเกียว 330 องศา (โดนฝั่งทางตึกเหนือบังไปหน่อย)









มุมนี้เลยนะ ตรงเส้นขอบฟ้าด้านขวาๆหน่อย เห็นท่านฟูจิไหม (ไม่!) ....โอเคจบ ข้าม!



ลงดีกว่า ไหนๆก็มาชินจุกุแล้ว เดินเล่นข้างล่างสักนิดหน่อย









เดินมา  1 สถานี มาลงสถานี Shinjuku นึกขึ้นได้ว่า ทำไมไม่ไปดูหอโตเกียวก่อน เดี๋ยวฝนตกแล้วจะแกร่ว ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยครับ เราก็นั่ง Oedo Line เหมือนเดิม มาลงที่สถานี Akabanebashi ออกทางประตู Akabanebashi เดินขึ้นมา มองขวา แล้วมองซ้าย โอ้ว! นั่น! โตเกียวทาวเวอร์ ที่เคยเห็นในอนิเมะโดราเอม่อนตั้งแต่เด็ก แค่แว้บแรกที่เห็น แหม่! ความกินใจมันมากกว่า ที่เห็นสกายทรีอีกนะครับ มันเหมือนเป็นความผูกพัน  น้ำตาคลอเลยทีเดียว (ฝุ่นเข้าตา ลมแรงชะมัด)



เดินตามหอคอยไปราวกับต้องมนตร์



เดินผ่านวัดนี้ กำลังจัดงานอะไรหรือเปล่าทำไมเหมือนมีตำรวจยืนอออยู่หน้าวัดเต็มไปหมด งั้นไม่เข้าไปดีกว่า (ตำรวจออกมาหลังจากถ่ายรูปนี้ครับ ไม่ต้องตกใจ)



เอาล่ะ เดินตามเสียงเพรียกจากก้นบึ้งของเครื่องในมาถึงใต้โตเกียวทาวเวอร์จนได้ มาเอามือจิ้มๆแถวๆฐานของหอคอย แล้วตะโกนในหัวใจว่า “ได้เห็นแว้ววว”





มองมุมกลับ ปรับมุมมอง





นั่งรถไฟมาเปลี่ยนสาย Chiyoda Line มาลงที่สถานี Meiji-jingumae เพื่อมาสู่ย่านฮาราจุกุครับ วันนี้ก็วันอาทิตย์พอดี แต่มันแต่ไปทำซึ้งกับหอโตเกียว เวลาในขณะที่มาถึงก็บ่ายสามแล้ว แล้วจะได้เห็นมนุษย์คอสเพลย์ที่สะพานจินกุไหมเนี่ยยย

เห็นอยู่สองคน



ที่เหลือ สะพานจินกุโล่งเลยครับ ฮ่าๆ



เอาล่ะครับ ข้ามสะพานไป สู่ความเงียบสงบอันไกลโพ้น ที่ศาลเจ้าเมจิครับ (เดินไกลจริงๆนะครับ กล้ามเนื้อขาแทบฉีก) เดินไปก็จะเจอเสาประตูไม้ แสดงว่าไปถูกทางแล้ว ตรงเข้าไปเรื่อยๆก็จะถึงศาลเจ้าครับ











ฝนเริ่มจะตกเล็กน้อยแล้ว รีบกลับไปเก็บรูปที่สุดท้ายของวันนี้กันดีกว่านะครับ นั่นก็คือที่ชิบูย่าครับ แน่นอนว่าสถานที่เช็คอินของเราก็คือ พี่สุนัข ฮาจิโกะ นั่นเอง จากฮาราจุกุ เราก็นั่ง Fukutoshin Line ไปลงที่สถานี Shibuya ได้เลยครับ ออกทางออก 8 เดินออกมา แล้วก็มาโผล่ถนนเส้นนี้ครับ



เดินย้อนอ้อมมาหน้าห้างโตคิวมาก็จะพบกับ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะครับ ฮาจิโกะเป็นสุนัขที่ชอบออกมารอเจ้านายที่สถานีชิบูย่าแห่งนี้ จนกระทั่งเจ้านายเสียชีวิต มันก็ยังรอตลอดมากว่า 9 ปี จนเป็นที่กล่าวขานถึงความซื่อสัตย์กตัญญูของมัน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของที่แห่งนี้ไปเลย ทุกวันนี้ก็เป็นจุดนัดพบเวลาใครนัดเจอกัน ก็มักจะไปรอหน้าฮาจิโกะ แต่ถ้าหน้าฮาจิโกะคนเยอะ ก็ไปรอตรงหางฮาจิโกะก็ได้ครับ แหะๆ





และแยกที่ฮาจิโกะยืนอยู่นั้น ก็คือห้าแยกอันแสนป็อบปูล่าร์นั่นเอง ไปลองเป็นคนเดินข้ามถนนกันดู





เมื่อลองเป็นคนเดินข้ามถนนแล้วก็มาเป็นคนถ่ายรูปกันบ้าง





หลังจากเดินเล่นในห้างแล้ว ตอนแรกว่าจะกลับไปดูวิวที่ตึกที่ว่าการฯครับ แต่ขาเปลี้ยมาก มือถือแบตหมด เมมกล้องก็เต็ม ดังนั้นก็เลยกลับที่พักเอาแรงดีกว่า แต่คิดถึงขนาดนี้ก็ยังมิวายแอบแวะไปดูสกายทรียามค่ำคืนอยู่นะครับ





วันสุดท้ายของทริปญี่ปุ่น เนื่องจากฝนตกค่อนข้างหนัก ก็เลยเที่ยวไม่ได้มากนะครับ เริ่มจากไปเก็บตกที่อะซาคุสะก่อนเลย เมื่อวานเทศกาลซันจาหมดไปแล้ว วันนี้ก็เลยปล่อยโคมพองโตดังเดิมครับ









ได้เข้าไปไหว้พระสักที







ฝนตกเปียกมาก ไปที่ไหนก็แฉะไปหมด ถ้าอย่างนั้นก็ไปเดินเล่นท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆที่รปปงงิแทนแล้วกันครับ เริ่มจากนั่ง Oedo Line ไปลงสถานี Roppongi เดินมาทางออกที่ 3 ก็จะออกมาที่ Roppongi Hill ครับ แต่ก่อนที่จะออก ขอถ่ายรูปกับเสาก่อน เพราะเสานั้นมีเวทย์มนตร์ ครับ ฮ่าๆ จริงๆแล้วที่นี่เอง ที่วันที่ 22 มิย. 56 จะมีนิทรรศการแฮร์รี่ พอตเตอร์ แบบเดียวกับที่จัดที่สิงคโปร์ปีที่แล้วครับ สถานที่จัดงานก็อยู่ที่ Mori Art Museum ใครจะไปชม รีบๆจองบัตรไว้ก่อนนะครับ



เดินขึ้นบันไดเลื่อนไป ก็จะเจอแมงมุมยักษ์แล้ว



แมงมุมกลางสายฝน



ชมวิว / ตาก-ลม / หวัดรับประทาน







วันก่อนนั่งมองคนญี่ปุ่นเขมือบ McDonald กันไปแล้ว อยากรู้ว่า McDonald สไตล์ญี่ปุ่นจะอร่อยกว่าไทยไหม งั้นเราก็ทาน McDonald กันที่รปปงงินี่เลย 1 set ก็หกร้อยกว่าเยน แถมกล่องวางเฟร้นฟรายติดรถด้วย ว้าว!



รู้สึกว่า Filet O Fish ของที่นี่เบอร์เกอร์จะกลม นุ่มน่ากินกว่าไทย (และไทยก็นุ่มกว่าสิงคโปร์เยอะ)



เอาล่ะครับ ได้เวลากลับแล้ว แต่ขากลับได้ไปเที่ยวมาเลเซียต่อนะครับ ต่อเครื่องนานเลยออกไปชมเมืองเล่น รายละเอียดอ่านต่อได้ใน blog หน้า เที่ยวปุตราจายา ครับ บันทึกทริปเดินทาง โตเกียว ในครั้งนี้ก็มีถึงบทสรุปแล้ว ขอบคุณสถานที่ท่องเที่ยวแสนวิเศษทุกที่ครับ รวมถึงคนใจดีทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือตลอดการเดินทาง และที่สำคัญ ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านมา 5 ตอนด้วยนะครับ ไว้เจอกันใหม่ถ้ามีทริปอื่นๆครับ สวัสดีครับ





Create Date : 16 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 20:18:33 น.
Counter : 850 Pageviews.

0 comment
เที่ยวโตเกียว ตอนที่ 4 หลงในโตเกียว
30 พฤษภาคม 2556

 ขึ้นหัวข้อว่าเที่ยวโตเกียวมา 3 ตอนแล้ว แต่ออกนอกโตเกียวตลอด (ตอนแรกไปยามานาชิ ตอนที่สองและสามไปจิบะ) มาตอนที่ 4 จะพาทุกท่านเที่ยวในกรุงโตเกียวเสียที ถึงจะเที่ยวในที่ที่ใครๆก็ไปเที่ยวกัน ซึ่งก็คงไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่คนไปเที่ยวนี่ใหม่มาก (หลงตลอด) จริงๆแล้วมีเวลาเที่ยวในเมืองถึง 3 วัน แต่เมื่อลองเช็คอากาศแล้ว วันสุดท้ายดันมีฝนตกทั้งวัน จึงต้องเอาโปรแกรมทั้งหมดมายัดรวมกันให้ได้ภายในสองวัน และวันสุดท้ายค่อยเก็บตกที่พลาดเอา นั่นจึงเป็นที่มาของทริปชะโงกทัวร์ครับ

ปล. ชะโงกทัวร์ หมายถึง ลงสถานที่ท่องเที่ยว ถ่ายรูปภายในเวลาที่กำหนด แล้วไปต่อ ทำให้เก็บได้หลายสถานที่ ส่วนที่ๆใช้เวลานานเกินกำหนด จริงๆแล้วไม่ได้ดื่มด่ำซึมซับพลังรอบตัวอะไร แต่ “หลงทาง” ครับ



กำหนดการวันนี้ คือ โตเกียว สกายทรีทาวน์, อะซาคุสะ, สวนอุเอโนะ และ อะกิฮาบาระ ครับ จริงๆกำหนดการวันนี้จะต้องไป Tokyo Station กับพระราชวังอิมพีเรียลด้วย แต่ไปหลงทางอยู่แถวอุเอโนะนาน เลยยกไปอีกวันครับ

วันนี้เป็นวันแรกที่ซื้อตั๋ว Metro & Toei แบบ 1 Day Ticket มาครับ ตั๋วราคา 1,000 เยน ถ้าใครคิดว่าไปไม่กี่ที่เองไม่น่าจะคุ้มนะ แต่ถ้าคุณเป็นคนหลงทางบ่อย ลงผิดสถานี ออกผิดประตูเป็นประจำ ตั๋วหนึ่งวันคุ้มแน่นอนครับ ฟันธงเลย สำหรับตั๋วนี้ คุณสามารถขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินของ Metro Line ทั้ง 10 สาย รวมทั้ง Toei Line อีก 4 สายได้ไม่จำกัด ภายในวันที่ซื้อครับ (ซื้อได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋ว ทุกๆสถานีรถไฟ Metro และ Toei เลยครับ) ซึ่งมีแค่บัตรนี้ก็สามารถไปเที่ยวได้เกือบจะรอบโตเกียวแล้วครับ และนี่ก็เป็นตั๋ว ของวันที่สอง (เพราะตั๋ววันแรกหายไปแล้ว T-T)



ตื่นเช้า (เริ่มปรับตัวได้) แต่กว่าจะนั่งวางแผนการเดินทางเสร็จก็เกือบ 10.00 น. เข้าไปแล้ว พอซื้อบัตร 1 Day ได้แล้วก็นั่ง Toei Asakusa Line ไปลงสถานี Oshiage ได้เลยไม่ต้องเปลี่ยนสถานีครับ เดินหาทางออก Tokyo Skytree Town ได้ไม่ยากเลย เพราะมีป้ายบอกไว้ตลอด



ขึ้นตามบันไดเลื่อนไปเลยครับ



ท่านก็จะเข้าสู่เมืองฟ้า Tokyo Solamachi (แปลตรงตัวไปไหม?) เป็นศูนย์การค้าที่อยู่ตรงฐานของ Tokyo Skytree  ครับ  ภายในมีแอร์เย็นฉ่ำ มีสรรพสินค้าดึงดูดเงินในกระเป๋าเพียบ แต่จุดมุ่งหมายเดียวของชะโงกทัวร์ทริปนี้คือ ถ่ายรูปกับ Skytree ครับ เมื่อเดินขึ้นไปถึงชั้น 3 ก็ออกมาพบกับทางออกหน้า Skytree เลย



Tokyo Skytree ถือเป็น Landmark แห่งใหม่ของโตเกียว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการส่งสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล ทดแทน Tokyo Tower ซึ่งปัจจุบันสูงน้อยเกินไป จะส่งสัญญาณก็โดนตึกสูงๆบังไปหมด ก็เลยมาเลือกพื้นที่แห่งนี้ในการสร้างหอคอยขนาด 634 เมตร (ความสูงก็มาจากชื่อเรียกพื้นที่แถบโตเกียวในยุคเอโดะว่า มุซาชิ) ซึ่งเป็นหอคอยสื่อสารที่สูงที่สุดในโลก และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกอันดับที่สอง รองจากหอคอยดูไบ … จบสาระแล้ว (ปกติเป็นคนไร้สาระ) มาถ่ายรูปเล่นดีกว่า



ตรงจุดที่ยืนอยู่นี้ ด้านหน้านั้นก็มีร้านขายสินค้าของ Studio Ghibli อยู่ด้วย เห็น Totoro อยู่มากมายเลยทีเดียว ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก





หลงระเริงกับ Totoro ในร้านพักนึงก็นึกถึงเป้าหมายที่แท้จริง เราต้องพุ่งชน ว่าแล้วก็ต้องไปให้ถึงฐานของมันให้ได้ เดินเข้าไปๆ



จริงๆก็เข้าไปชมวิวได้นะครับ เสีย 2,000 เยน เข้าไปชมวิวชั้นที่ 1 (ยังไม่สูงเท่าไหร่) อยากสูงอีกก็ขึ้นไปจุดชมวิวชั้นที่ 2  เสียเพิ่มอีก 1,000 เยน แต่เรื่องแค่นี้ ไม่ยอมเสียตังค์หรอก เอ๊ย! เป้าหมายของเราแตกต่าง นั่นคือ คนอื่นขึ้นไปจุดสูงสุด แต่เราจะต้องไปให้เห็นรากฐานของมัน ลงบันไดเลื่อนมุดลงข้างล่างไปสองสามชั้นก็เจอแล้วครับ โอ้! รากฐานที่มั่นคงของสกายทรี มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!



ปราสาทขลังๆก็ทำให้น่ารักได้เนอะ



เดินเล่นเย็นๆ ซื้อของฝากใน Solamachi กันสักหน่อย แล้วลงไปชั้นล่างสุดซึ่งมีขายอาหารครับ เห็นร้านขายโคร็อกเกะ กับร้านขายคุชิคัตสึ (อาหารเสียบไม้ชุบแป้งทอด) เลยซื้อแล้วขึ้นไปนั่งชมสกายทรีไปด้วย ทานไปจิบชาเขียวไปด้วย ได้อารมณ์ญี่ปุ้น... ญี่ปุ่น (เหลือบมองทางซ้าย คนญี่ปุ่นหิ้วกล่อง McDonald หันไปทางขวา คนญี่ปุ่นอีกกลุ่มนั่งจิบโค้ก จกเฟร้นฟราย McDonald ... เอาเถอะ คุณทานแมคโดนัลด์ของคุณ ผมจะญี่ปุ้นญี่ปุ่นของผมก็พอแล้ว)





หลังจากอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาไปต่อ แต่หาทางออกเดิมไม่เจอ ก็เลยเดินหลงไปหลงมาอยู่แถวนั้น (ซะอย่างงั้น)



พอหาสถานีเจอแล้ว ก็นั่ง Toei Asakusa Line เช่นเดิม ย้อนกลับมาลงสถานี Asakusa ขึ้นทางออก A4 แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายป้ายเก็บไว้ กันหลง



เดินตามทางออกไป แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปนิดหน่อย



ท่านก็จะได้พบกับประตูคามินาริมง ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีเทพเจ้าสายฟ้า ไรจิน และเทพเจ้าสายลม ฟูจิน เฝ้าอยู่ข้างประตูที่มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ ... ทำไมแบนน่ะ!



อ๋อ เพิ่งทราบว่าวันที่ 16 -18 พฤษภาคม 56 มีงานเทศกาลซันจา (Sanja Matsuri) ครับ เป็นงานประจำปีช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่สามของเดือนพฤษภาคม เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองสามผู้ก่อตั้งวัดเซนโซจิ ซึ่งงานจะเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ สิ้นสุดในวันอาทิตย์ครับ สามวันนี้คนจะแน่นขนัด เพราะมีชาวโตเกียวและนักท่องเที่ยวเข้ามาร่วมงานเทศกาลรวมสามวันเกือบ 2 ล้านคน (ปีนี้ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) ในงานเฉลิมฉลองวันที่ไปมีการแห่ A neighborhood mikoshi ผ่านประตูคามินาริมง เข้าไปยังวัดเซนโซจิ เพื่อกระจาย “ความโชคดี” และ “ความสำเร็จ” ไปยังผู้มาร่วมงานครับ เมื่อต้องแห่ผ่านประตู ก็เลยต้องพับโคมขึ้นไปอย่างที่เห็น



ผ่านประตูไปก็ถึงถนนนาคามิเซะ ซึ่งมีร้านค้าขายของตั้งแต่ของเด็กเล่น ชุดกิโมโน ยูคาตะ ของญี่ปุ่นโบราณ สินค้าที่ระลึก ไปจนถึงรูปถ่ายและสินค้าดาราไอดอล แต่ดูวันนี้สิครับ คนเดินกันเป็นหมื่น



แห่มาแล้วครับ ได้เห็นใกล้ชิดเชียว ขนาดคนเป็นหมื่นนะเนี่ย รับพร โชคดีๆ สำเร็จๆ ด้วยเถ้ออออ





ผมมาวันนี้ถือได้ว่าเป็นคนโชคดี แต่โชคน้อยครับ (เลียนแบบคำพูดโกโบริซะ) โชคดี เพราะว่าได้เห็นงานเทศกาลประจำปีโดยที่ไม่ได้คิดไว้ แต่โชคน้อยเพราะงานนี้ทำให้เข้าไปข้างในวัดเซ็นโซจิไม่ได้ครับ คนแน่นมาก พูดถึงคำว่า “โชคน้อย” เคยมีคนญี่ปุ่นสอนผมว่า ปกติแล้วเวลาคนดูดวงเนี่ย ถ้าต้องเสี่ยงทายแล้วมีโชคดี 50% โชคร้าย 50%  คนก็จะมีโอกาสได้โชคร้ายถึงครึ่งต่อครึ่งทีเดียว ดังนั้นคนญี่ปุ่นเลยซอยคำว่าโชคดีออกเป็น โชคดีมาก โชคดีปานกลาง โชคดีน้อย เพื่อให้เฉลี่ย  กันได้อย่างละ 25% โชคร้ายก็จะมีโอกาสเจอน้อยลง ในขณะที่มีโอกาสจะเสี่ยงเจอความโชคดีได้มากขึ้น อื้มม! เป็นกุศโลบายที่แยบยลมาก แต่โคมไฟแดงที่ประตูวัดเซนโซจิก็แบนเหมือนกัน แง...





คนเยอะมากกกก เดินเลี่ยงออกมาดีกว่า





ก่อนมุดลงใต้ดิน ก็แวะถ่ายรูปอาคารเบียร์อาซาฮี แกล้มกับสกายทรีกันสักนิด



แต่คราวนี้ก็เปลี่ยนไปลง Metro Ginza Line แทนครับ นั่งไปลงสถานี Ueno เพราะเป้าหมายต่อไปก็คือ สวนอุเอโนะนั่นเอง ... อะไรนะ ไปทำไมไม่มีซากุระงั้นเหรอ มีสิครับ แค่ไม่ออกดอก ฮ่าๆ ออกทางออก 7 มองข้ามถนนไปจะเจอบันไดแห่งนี้ก็ตรงไปที่บันไดเลยครับ



ซากุระสีเขียวสวยงาม ...



อยากเห็นสีชมพูเหรอครับ ... ปิ๊ง! (ทำไปได้)



ในสวนอุเอโนะจะเจอวัดและศาลเจ้าอยู่หลายที่เลยครับ ที่เห็นในรูปเป็นวัด จะไม่ให้ถ่ายภาพข้างใน และการอธิษฐานก็ไม่ต้องตบมือสองครั้งครับ นอกนั้นก็คล้ายกันก็คือก่อนเข้าวัดก็ต้องมาล้างมือก่อน ใช้มือขวาตักน้ำล้างมือซ้าย แล้วใช้มือซ้ายตักน้ำล้างมือขวา ใช้มือขวาตักน้ำเทใส่มือซ้ายแล้วใช้น้ำในมือซ้ายบ้วนปาก ตักน้ำล้างกระบวยอีกทีก็เสร็จพิธีขึ้นวัดได้







อย่าลืมมาเช็คอิน (ถ่ายรูป) ที่อนุสาวรีย์ท่านไซโงะ ทาคาโมริ หรือ the Last Samurai ด้วยนะครับ



เจอวัดอีกแล้ว ปลื้มเลยครับ ประตูแดงเรียงๆกันแบบนี้ อยากเห็นมานานแล้ว









ออกมาจากวัดก็เจอต้นเมเปิ้ลครับ (รูปนี้ไม่ได้เปลี่ยนสีเองนะครับ มันแดงเอง นี่มันฤดูอะไรกัน)



เดินหลงอีกแล้ว



หลงมาถึงหน้าทางเข้าสวนสัตว์อุเอโนะครับ (จริงๆก่อนหน้านี้หลงไปโผล่หลังสวนสัตว์ก็เลยต้องเดินอ้อมมา) ดูจากสวนสัตว์แล้ว คนที่นี่ก็บ้าหมีแพนด้าไม่แพ้คนไทยนะครับ เพราะฉะนั้นไม่ได้ไทยแลนด์โอนลี่แน่นอน ลมกำลังเย็นสบายจนถึงหนาว หนามยอกต้องเอาหนามบ่งสิครับ กินซอฟท์ครีมเสียเลย รสช็อกโกแลตครัช กรุบๆกรอบๆ (แต่ไอติมละลายเร็วมาก เลียแทบไม่ทัน) นั่งอยู่หน้าตู้ไปรษณีย์แพนด้า คนญี่ปุ่นทุกคนเดินผ่านมาแล้วก็ถ่ายรูป





ไม่ได้แวะศาลเจ้าโทโชกุนะครับ ถึงแม้ว่าจะสวยสักแค่ไหน แต่ขากระผมชาไปแล้ว ดังนั้นพอนั่งพักเสร็จก็เดินข้ามทางไปฝั่งย่านการค้ากันบ้าง





แวะตลาดอะเมโยโกะต่อ มีขายหลายอย่างจริงๆครับ จากขาเมื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะต้องเดินชม



ก่อนพระอาทิตย์ตก ลงไปสถานี Metro Hibiya Line เพื่อไปอะกิฮาบาระก่อนครับ แต่ย่านนี้ไม่ได้ไปเดินเที่ยว แต่จะไปซื้อการ์ดรีดเดอร์ที่โยโดบาชิคาเมร่าครับ (เดินดูสินค้าไอที เทียบกันแล้วซื้อที่ไทยจะถูกกว่าแยะเลย ว่าแต่ทำไมเมืองนอกซื้อแพ็คเกจเครือข่ายมือถือแล้วแถมไอโฟน แต่ไทยสลับกันซื้อไอโฟนแถมแพ็คเกจ) สำหรับการเดินทางวันที่ 4 ก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ ส่วนตอนหน้าจัดหนัก เดินชะโงกทัวร์ชนิดลืมขาไปเลย เจอกันในตอนหน้าครับ







Create Date : 16 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 20:19:24 น.
Counter : 735 Pageviews.

0 comment
เที่ยวโตเกียว ตอนที่ 3 ผจญภัยเจ็ดย่านน้ำที่โตเกียว ดิสนีย์ซี
27 พฤษภาคม 2556

 วันนี้จะพาไปชมดิสนีย์ซีกันบ้างครับ ใครๆก็แนะนำว่า ถ้าไปกับคู่รักให้เข้าดิสนีย์ซี เพราะมันสวยมาก แต่บุกเดี่ยวก็เข้าได้เหมือนกันนะ สำหรับวิธีการเดินทางเป็นวิธีเดียวกับดิสนีย์แลนด์เลยครับ เพราะอยู่ข้างๆกัน

(ปล. เกิดมาเพิ่งเคยโดนมิคกี้เมาส์จั๊กจี๋ก็คราวเนี้ย ขี้เล่นจริงๆปู่มิคกี้ของเรา)



เนื่องจากว่าการจะเข้าดิสนีย์ซีนั้น ต้องเดินไกลกว่าดิสนีย์แลนด์ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมานั่งรถไฟของโตเกียวดิสนีย์ รีสอร์ทกันครับ ก่อนอื่นเลยพอลงจากสถานี Maihama ถ้าเป็นดิสนีย์แลนด์เราจะเดินไปทางขวา แต่ถ้าจะไปขึ้นรถไฟ ของดิสนีย์ รีสอร์ท ให้เดินไปทางซ้ายตามป้ายครับ จริงๆแล้ว เหมือนเคยอ่านที่ไหนว่าถ้าเรามี one day passport ขึ้นได้ฟรี แต่จากการสังเกตการณ์แล้ว ชาวญี่ปุ่นที่มีตั๋วเข้าดิสนีย์ในมือ เขาก็กดตู้ซื้อตั๋วรถไฟกันหมด ก็เลยตามเลย ซื้อมาเลยแล้วกัน เป็นตั๋วแบบเที่ยวเดียว วนได้ 1 รอบครับ โดยรถไฟของดิสนีย์แลนด์จะจอด 4 สถานีคือ Resort Gateway Station (สถานีที่เชื่อมกับสถานี JR Maihama) , Disneyland Station, Bayside Station (เอาไว้รับส่งคนที่นอนรีสอร์ทของดิสนีย์) และสถานีสุดท้ายคือ Disneysea Station ครับ ก็ลงป้ายสุดท้ายเลยแล้วกัน สนนราคา 250 เยนครับ



บรรยากาศบนรถไฟ Disney Resort Line ครับ หน้าต่างมิคกี้ มือจับมิคกี้ ครบครับ







ถึงแล้วก็เดินตามป้าย Disneysea ออกไปเลยครับ



ผมมาถึงก่อน Park จะเปิดครึ่งชั่วโมงครับ (วันธรรมดา โดยปกติที่ดิสนีย์ซีจะเปิด 9.00 น. ช้ากว่าดิสนีย์แลนด์ 1 ชั่วโมงครับ แต่มีเวลาปิดเดียวกันคือ 22.00 น.) คนกำลังต่อคิวเพื่อจะได้เป็นคนแรกๆที่ได้เล่นเครื่องเล่น (ยิ่งเช้ายิ่งไม่ต้องรอคิวนาน)



พอเปิดให้เข้าแล้ว เนื่องจากประสบการณ์วันที่ผ่านมาสอนให้เรารู้ว่า จงรีบไปกดบัตร Fast Pass และเล่นเครื่องเล่นสำคัญๆก่อน แล้วจะถ่ายรูปค่อยถ่ายอีกที ดังนั้นพอ park เปิดก็แวะแชะภาพลูกโลกเล่นน้ำ และหน้าทางเข้า แล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปยังเป้าหมายแรกที่อยากเล่น





เหนือสิ่งอื่นใดเอาแผนที่คร่าวๆภายในดิสนีย์ซีให้ดูก่อนนะครับ ภายในดิสนีย์ซี จะสามารถผจญภัยได้ถึง 7 ย่านน้ำรอบโลกเลยก็ว่าได้ เริ่มต้นจาก
- Mediterranean Harbor อ่าวเมดิเตอเรเนียน เป็นการจำลองเมืองท่าแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนมา ในส่วนนี้จะมีอ่าวขนาดใหญ่เพื่อการแสดงกลางน้ำด้วยครับ
- Mysterious Island เกาะแห่งความลึกลับ โดดเด่นไปด้วยภูเขาไฟ มาสำรวจความลึกลับใต้พื้นพิภพ ใจกลางโลกและใต้ท้องทะเล 20,000 โยชน์กันได้ที่นี่
- Mermaid Lagoon สวรรค์ใต้ท้องทะเลสำหรับคุณหนูๆ เครื่องเล่นนานาชนิดที่ไร้พิษภัย ใต้ท้องทะเลของเอเรียล และการแสดงที่งดงามของชาวเงือก
- Arabian Coast ดินแดนอาหรับราตรี พรวิเศษจากจีนี่ ผจญภัยไปพร้อมกับซินแบด และอาลาดิน
- Lost River Delta เมืองแห่งอารายธรรมที่สาบสูญ ดินแดนอินคา และเมืองโบราณที่รอการสำรวจ
- Port Discovery เมืองท่าแห่งอนาคต ผจญภัยใจกลางพายุแบบ 4 มิติ ล่องเรือเข้าสู่โลกยุคใหม่
- American Waterfront เมืองท่าแห่งอเมริกา โดดเด่นด้วยเรือโคลัมบัสลำใหญ่ การแสดงทั้งเมืองท่า และบรอดเวย์ นอกจากนี้ยังมี Highlight ที่ห้ามพลาดนั่นก็คือ Tower of Terror โรงแรมต้องคำสาปที่รอการพิสูจน์



แน่นอน ผมเดินอย่างรวดเร็วไปถึงเครื่องเล่นแรกที่อยากเล่น นั่นก็คือ Journey to the Center of the Earth ครับ  ซึ่งเครื่องเล่นนี้ถ้าดูจากแผนที่จะอยู่ในเกาะ Mysterious Island ตรงแถวๆภูเขาไฟ เห็นอย่างนี้เดินกันลิ้นห้อยอยู่นะครับกว่าจะถึง พอเข้าไปบริเวณปล่องภูเขาไฟก็จะเจอครับ แต่น่าเสียดายที่เครื่องเล่นนี้ปิดปรับปรุงครับ (อ่าว!)



เพื่อไม่ให้เป็นการไปเก้อ ก็เลยแก้ตัวด้วยการไปผจญภัยใต้ทะเล 20,000 โยชน์กันครับ เดินลงไปสู่ใต้น้ำตามทางนี้ลงไปเลย



ถ้ากลัวไปเล่นเองไม่สนุกก็อ่านข้ามข้อความนี้ไปครับ ถ้าไม่กลัวก็ไฮไลต์ข้อความอ่านได้เลย
เครื่องเล่นนี้ เราจะได้เรือดำน้ำส่วนตัวครับ (จริงๆนั่งได้หกคน แต่ยังเช้าอยู่และไปคนเดียวเลยได้เรือส่วนตัว) นั่งเรือดำลงไปใต้น้ำ (เหมือนอยู่ใต้น้ำจริงๆมากๆ) แล้วก็ต้องลุ้นระทึกกับสิ่งมีชีวิตลึกลับใต้น้ำทำให้เรือเกิดขัดข้อง และสุดท้ายก็กลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย




บริเวณนี้จะเป็นส่วนของศูนย์อาหารด้านล่างใกล้ๆเรือดำน้ำครับ ผมก็มาฝากท้องมื้อกลางวันที่นี่ เดี๋ยวอาหารจะเป็นอะไรนั้นอดใจรอชมสักครู่ครับ



ปล่องภูเขาไฟ นานๆทีก็จะมีเถ้าถ่านคุกรุ่นขึ้นมา พร้อมด้วยเสียงชวนตื่นเต้น



เราข้าม Mermaid Lagoon ไปก่อน เข้าสู่ Arabian Coast ครับ ดินแดนแห่งอาหรับราตรี ที่นี่จะมีป็อบคอร์นรสแกงกะหรี่อยู่หน้าประตูนี้ด้วย





จีนี่จ๊ะ จีนี่จ๋าออกมาฮะ ฮ้าฮาฮา (จินนี่แจกลายเซ็นด้วยแหะ คนขอลายเซ็นก็ชมใหญ่ คั่กโคอี้ๆ (เท่มั่กๆเลย))



ถึงจะเป็นตัวร้าย แต่เด็กๆก็ชอบนะ



เก็บบรรยากาศสักแป้บ ขอรีบไปเล่นเครื่องเล่นก่อน











แต่พอเดินผ่านพรมวิเศษ โหย อยากนั่งมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ขอจัดอันนี้สักหน่อยเถอะ สรุปก็ไปนั่งพรมวิเศษสมใจอยาก



พอนั่งพรมแล้วก็ไม่รอช้า เข้าสู่ Lost River Delta ทันที บรรยากาศเป็นสไตล์เมืองโบราณ เมืองอินคา เหมือง อินเดียน่าโจนส์ อะไรประมาณนี้ ช่างลึกลับน่าค้นหา เราไปสำรวจโลกกับเนชั่นแนล จีโอกราฟ... เอ๊ย! กับอินเดียน่าโจนส์กัน เป็นรถพาทุกท่านเข้าไปในเมืองโบราณอันลึกลับโดยมีลุงอินเดียนน่าโจนส์คอยบิ้วท์ เอ๊ย! คอยกรุยทางเบื้องหน้าให้ ทั้งหลบก้อนหิน ทั้งหลบลูกดอก สนุกสนานกันไป







ออกมาแล้วเราก็ไปเครื่องเล่นที่กด Fast Pass เอาไว้นั่นคือ Raging Spirits เป็นรถไฟเหาะตะลุยเหมือง ที่สำคัญเป็นรถไฟเหาะตีลังกาเสียด้วย ถึงจะไม่สูงมาก แต่ความมันส์เอาไป 10 กะโหลก









หลังจากสำรอกมื้อเช้าไปกับ Raging Spirits แล้ว เราก็เดินผ่านปราสาทอินคา และแท่นบูชายัญ เวลาเดินผ่านจุดนี้ทีไรเป็นต้องฉีกยิ้มทุกที เพราะคนญี่ปุ่นแต่ละคนช่างสรรหาท่าทางมาถ่ายรูปตรงจุดนี้ บางคนก็ทำท่าแทงหัวใจบูชายัญเพื่อนอีกคนบนแท่นข้างหน้านี้ บางคนก็เอารถเข็นลูกมาไว้หน้าแท่นบูชายัญ เด็กญี่ปุ่นแก้มตุ่ยๆ นั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่กลางแท่น ดูแล้วน่ารักไม่หยอก



และแน่นอน ข้างๆปราสาทอินคานี้ เหล่ามิคกี้และผองเพื่อนก็มาตั้งแคมป์สำรวจเมืองโบราณกันด้วย แต่ดูเหมือนวันๆจะไม่ได้สำรวจอะไร เพราะมีคนเข้าคิวขอถ่ายรูปตลอดเวลา (คนดังก็เงี้ย) เวลาในการเข้าคิว กู๊ฟฟี่ 15 นาที มินนี่จัง 30 นาที และมิคกี้ 45 นาที (นี่คนน้อยแล้วนะ)



ระหว่างเข้าคิวก็มีร่องรอยอารายธรรม โดนารุโดะ (Donald) ให้ได้ชม แต่พวกมิคกี้นี่ไม่ระวังเลย ดึงขึ้นยังไงให้หัวรูปปั้น บร้ะเจ้าโดนารุโดะขาดเนี่ย!







พี่มิคกี้ (โดนพี่มิคกี้ต่อสายตรงมาว่า ห้ามเรียกว่าปู่มิคกี้ เดี๋ยวแอ๊บ(เด็ก)ไม่เนียน) คิวยาวสุด อ่อ ก่อนถ่ายรูปจะมีเจ้าหน้าที่มาถามว่าอยากได้รูปพร้อมกรอบไหม เขาจะถ่ายให้ด้วยกล้องไฮเดฟฯ ถ้าไม่ต้องการก็ปฏิเสธไปพร้อมยกกล้องเน่าๆของตัวเองให้เค้าถ่ายให้ ฟรี! แต่ถ่ายได้ Act เดียว เจ้าหน้าที่จะถามว่า เอาเต็มตัว หรือครึ่งตัว ก็บอกเขาไป ส่วนท่าทางนั้น จะโดนตัวละครบังคับให้ทำท่าทางเอง เช่นปู่ ... เอ๊ย! พี่มิคกี้เอามือกอดเอวพร้อมจั๊กจี๋ให้หลุดหัวเราะ กู๊ฟฟี่โชว์พาว บ้าพลัง ส่วนมินนี่จังควงแขนมาเลย ฮิ้วววว (แซวตัวเอง)







กว่าจะถ่ายรูปเสร็จก็เกือบเที่ยงแล้ว ถ้าอย่างนั้น เราไปต่อกันที่ Port Discovery เมืองท่าแห่งอนาคตกัน ด้วยเครื่องเล่น Storm Rider ขี่พายุทะลุฟ้า กัน เครื่องเล่นจะเป็นซิมูเลชั่น นำพาพวกเราเข้าไปใจกลางพายุหมุนขนาดใหญ่ และแน่นอนโดนพายุปั่นซะยานบินกะรุ่งกะริ่งเชียว









และก็ไปนั่งเรือ ที่คล้ายๆเรือบั๊มป์กัน กับ Aquatopia



แล้วก็เข้าสู่เมืองท่าอเมริกา ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารฝรั่งเลิศรส ท่ามกลางบรรยากาศท่าเรืออเมริกันกับ American Waterfront













มีเรือโคลัมบัส (เหมือนไททานิคเลย) ลำเบ่อเริ่มจอดเทียบท่าอยู่ (เสียดายขึ้นไปไม่ได้)











ไฮไลท์ของที่นี่ นั่นคือ     ทาวว่า โอฟุ เทร่า (Tower of Terror) ที่เห็นสูงเด่นเป็นสง่าคือโรงแรมขนาดสิบกว่าชั้น ชื่อ Hotel High Tower ที่ปัจจุบันกลายเป็นโรงแรมต้องคำสาปไป







เราเข้าแถวมาในห้องโถงของโรงแรม แล้วก็ต้องแปลกใจกับข้าวของต่างๆที่เหมือนนำมาจากอารยธรรม 7 ย่านน้ำทั่วโลกที่เพิ่งเดินไปดูมา รวมกันอยู่ในโรงแรมนี้ พอมองที่รูปภาพประดับห้องโถงโรงแรมก็ไม่แปลกใจเลย ก็คุณตาเจ้าของโรงแรมเล่นไปขโมยมัมมี่ ขโมยรูปปั้น หักเสา ขโมยซากอารยธรรมมาทั่วโลกเลย (เจ้าของอารยธรรมยังวิ่งตามล่ากันอยู่เลยบางรูป) และนี่คือรูปของตาเจ้าของโรงแรม



สุดห้องโถงที่แสนงดงาม มีอะไรแปลกๆให้น่าประหลาดใจเพราะแทนที่ตรงนั้นจะเป็นลิฟท์ กลับเป็นซากลิฟท์ ระเบิดอยู่ตรงนั้น



เปิดเผยเนื้อหาในเครื่องเล่น ใครไม่อยากรู้ก่อน อ่านข้ามไปเลยครับ
พอเข้าไปก็ยังต้องเดินผ่านสฟิงก์บ้าง ตุ๊กตาจีนบ้าง จนเดินมาที่โถงที่จัดแสดงตุ๊กตา “ตาฮาฮิติ” น่าจะได้มาจากชนเผ่าอะไรสักเผ่า เจ้าของโรงแรมดูจะชอบตุ๊กตาตัวนี้มาก แต่แล้ว ตุ๊กตาต้องคำสาปตัวนี้ก็แผงฤทธิ์ เมื่อเจ้าของโรงแรมถือมันขึ้นลิฟท์ไป แล้วลิฟท์ก็ตกลงมากระแทกพื้น ดับอนาถเหมือนที่เห็นที่โถงโรงแรมนั่นเอง พอเล่ามาถึงตอนนี้ จู่ๆเจ้าตุ๊กตาตาฮาฮิติของจริงที่ตั้งอยู่หน้าห้องก็ตาลุกวาว แล้วหายไปเลย (เฮ้ย! หายไปได้ไงอ่ะ มายากลชัดๆ) แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาเราขึ้นไปนั่ง ปกติเครื่องเล่นอื่นๆ อย่างดีก็แค่ล็อกหน้าตัก แต่อันนี้ล็อกสะพายแบบเข็มขัดนิรภัยรถเลย แล้วลิฟท์ก็พาเราขึ้นไปชมวิวบนตึกครับ ชมยังไม่ทันร้องว้าว! จบเลย เจ้าตุ๊กตาตาฮาฮิติก็ปรากฏตัว หัวเราะ แล้วชะแว้บ ลิฟท์ตก! ครับท่าน หัวใจตกไปตาตุ่มเลย ตกลงมาครึ่งนึง แล้วขึ้นไปใหม่ ตกลงมาอีก หัวใจวายรอบสอง ก่อนจะถึงพื้นอย่างอะดรีนาลีนพุ่งปรี๊ด


ชมวิวลดอะดรีนาลีนกันก่อน







แล้วก็กลับมาที่อ่าวเมดิเตอเรเนียน เข้าไปชมเมืองเวนิสกันครับ มีคนพายเรือกอนโดร่าผ่าน บรรยากาศยุโรปมากๆ









เดินออกไปถ่ายรูปบริเวณทางเข้า (ที่มองข้ามไปตอนแรก) ก่อน









ชมอ่าวเมดิเตอเรเนียนกันต่อ











แล้วก็เดินไปอีกด้านของอ่าวเข้าปราสาทกัน จริงๆที่นี่มีกิจกรรมให้ทำคือตามล่าหาขุมทรัพย์ครับ มีลายแทงให้ มีปริศนาเพียบน่าสนุก แต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนครับ (ลำพังภาษาญี่ปุ่นธรรมดาก็พอไหว แต่นี่ปริศนาคำใบ้ด้วย ขอบายดีกว่า เหอๆ)











อยู่บนปราสาทนี่ก็มองการแสดงกลางน้ำได้ทั่วถึงดีจริงๆ



มุมนี้ยังไม่ได้เดิน เดินสักหน่อย



เดินเข้าไปเกาะลึกลับอีกที ไปทานน่องไก่งวงย่างครับ มาเป็นขาเลย น่องเดียวเอาอยู่ถึงเช้าอีกวันเลยครับ



ไปเดินเล่นใน Mermaid Lagoon กันบ้าง ที่นี่เน้นของเล่นเด็กๆ แต่โลกใต้น้ำช่างสดใส  แอร์เย็นฉ่ำ ขอเดินสักพักแล้วกัน แล้วค่อยออกไปเล่นรถไฟเหาะ ความไวกำลังดีข้างๆเมอร์เมดลากูนครับ







เริ่มจะเข้าเวลาเย็นแล้ว เดินไปชมโชว์จีนี่ในดินแดนอาหรับราตรีสักหน่อย



ต่อด้วยการนั่งเรือชมหุ่นกระป๋อง เอ๊ย! หุ่นซินแบดผจญภัยครับ ทำไมมันเคลื่อนไหวสมจริงมาก ต้องมีบางตัวที่มันเคลื่อนไหวได้เองแน่ๆเลย (หลอนอีกละ)





ก่อนพระอาทิตย์ตกขอซื้อป็อบคอร์นแกงกระหรี่ไปกินเล่นที่เวนิสหน่อยเหอะ (เข้ากันไหมนั่น)





เดินซื้อของที่ระลึกแถวๆท่าเรืออเมริกันก็ไม่เลว



วันนี้เน้นเดินเล่นชิลๆครับ เพราะวิวสวยเหลือเกิน มาที่นี่เหมือนได้ไปรอบโลกนะครับ จริงๆอยากได้น้องตุ๊กตาตาฮาฮิติกลับบ้านสักตัว แต่กลัวเครื่องบินตก ฮ่าๆ ส่วนขากลับก็เดินกลับสถานี Maihama ครับ แล้วก็กลับเหมือนเมื่อวานเลยครับ (เริ่มขี้เกียจเขียนแล้ว ฮ่าๆ) ติดตามชมกันต่อตอนหน้ากับ Tokyo City Tour ชะโงกทัวร์ด้วยตัวเอง สวัสดีครับ









Create Date : 16 เมษายน 2557
Last Update : 16 เมษายน 2557 20:19:57 น.
Counter : 749 Pageviews.

0 comment
1  2  

taewon
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



Blog นี้เอาไว้เก็บรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่เคยรีวิวไว้ในพันทิปครับ อัพเดททุกครั้งที่ไปเที่ยวครับ อิอิ