|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
แจแปนนิส ชีวิตโคตรป๊อบ : EP 1 |
|
บล๊อกนี้จะมาเล่ามา ผมหายศีรษะไปไหนนาน นานขนาดตะพาบชนตะพาบ นานขนาดเม้นก็ไม่ได้เม้น โหวตก็ไม่ได้โหวตให้ใครกันครับอย่างแรก งานที่ไทยผมชุลมุนมาก เพราะหลังจากพัทออก คุณ VP ก็บอกว่า ไม่รับเทคนิกคนใหม่เข้ามาแล้วนะ พักก่อน
แต่รับป.ตรี วิศวะ ที่มหาลัยไม่ซ้ำกับพวกผม มาทำหน้าที่ซัพพอตงาน ดีตรงผมไม่ได้เทรน แต่คนเทรนจะเป็นระดับสต๊าฟในแผนก แต่กว่าจะใช้งานได้จริง กว่าจะมาซัพพอตงานการที่เพิ่มขึ้นมาได้จริง ก็คงต้องรออีกซักพัก ซึ่ง ก็โอเคครับ Whatever will be, will beอีกอย่างคือ ผมต้องบินไปทำงานต่างประเทศครับ บินกลับมาได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ดี ก็ต้องบินอีกรอบ ดังนั้น ผมต้องเตรียมตัว และเคลียร์งานเยอะมากๆ ครับ เพื่อให้พร้อมที่สุด
รอบแรก ผมบินไปคนเดียวครับ เหมือนจะชิล!!! แต่ผมต้องบินไปเพื่อคุยงาน ดีลงานให้พร้อม เพราะอีก flight ถัดไปคุณ VP จะมาด้วยผมก็เอาชิลเลย 55555 บินจากไทย ไปเริ่มงานที่โอซาก้าก่อนซึ่งผมเลือกไฟลท์เช้าเลยครับ เรียกว่ามาถึงสนามบิน 6:30 ไม่ต้องถามว่าตื่นกี่โมง 5555 สิ่งแรกคือ หิวมาก........ปกติอาหารเช้ากับผมไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ แต่วันนี้ตื่นเช้าเลยหิวตั้งแต่ 6โมง ไม่ถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ด่วนเช็คอิน โหลดกระเป๋าแล้วเข้า ตม. โผล่มาอีกทีก็ Lounge แล้วเดินไปสั่งออมเลทอย่างไวราวผู้หิวโหย
เดี๋ยวนี้ เค้ามีของหนักอย่าง ข้าวต้มมัด ใน Royal Silk แล้วนะครับ มียันมาม่า 55555 แต่ผมไม่กินโว้ยยยย เซเว่นก็มี
ด้วยความบินไฟลท์เช้า ผมก็ซัดกาแฟก่อนเลยครับ เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่นอนอยู่แล้ว
เดินอยู่ 2 รอบก็อิ่มครับสำหรับอาหารเช้า เพราะปกติเช้าผมก็ไม่ได้ทานเยอะอยู่แล้ว จากที่นั่งบาร์ เลยย้ายไปหาที่นั่งสบายๆ
ซึ่งห้องรับรองนี้รู้สึกจะเพิ่งทำใหม่นะครับ ห้องน้ำดีมากกกกก แถมมีห้องอาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อย ผมไม่ได้ใช้บริการ ใช้แต่บริการห้องน้ำมัวร์แต่นั่งชิลเพลินๆ เงยหน้ามาอีกที 7:40คำพูดของน้องผึ้ง น้องธุรการแผนกเมื่อวันศุกร์ดังขึ้นมาในหูทันที"บอร์ดดิ่ง ไทม์ 7:40 ไม่ใช่ 8:25 นะคะพี่.....อย่าตกเครื่อง"ชิบหาย!คว้ากระเป๋าสะพายได้ก็เดินหน้าตั้งออกจากเล้าจ์เลยครับ แล้วไปแวะซื้อของเอาไปฝากคู่ค้าต่ออีกราวๆ 10 นาทีราวจ่ายเงินทีนี้ละ 4x100 เลยครับ เกทอยู่ สี่สิบกว่ายังดีที่ไม่ใช่อีกเทอร์มินอล ไม่งั้นละอวสารแน่
จำได้ไหมครับ ว่าเมื่อซัก 1 ชั่วโมงก่อน ผมเพิ่งดื่มกาแฟเข้าไป พร้อมกับบอกว่า "ไฟลท์เช้า ยังไงก็ไม่หลับ"สรุป.....ผมหลับตั้งแต่ยังไม่ทันครุซเลยครับ 555555555 ตื่นมาอีกทีก็ดู DUNE Part I จบก็เกือบถึงแล้วครับ เพราะคันไซจะใช้เวลาแค่ประมาณ 5 ชั่วโมงนิดๆ หนังก็ 3 ชั่วโมงแล้ว ผมหลับไปอีกก็คงชั่วโมงกว่าได้ เรียกว่าบริหารเวลาดีมาก
ไปถึง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ.......กูมาญี่ปุ่น ผิดเดือน.....เพราะอากาศร้อนมากกกกกก มากกกกกกจริงๆ ครับ ฟ้าไม่มีเมฆซักก้อนแดดกลางทะเลจัดมากๆ กับอากาศ 33 องศา ถึงแม้จะเป็นช่วง 17:00 ก็ไม่รู้จะอยู่ทำอะไรตรงนี้ เลยจัดการขนกระเป๋านั่งรถไฟ Super Rapid ไปโรงแรม
ขนาดซุปเปอร์ จอดแค่ 3 ป้ายยังใช้เวลาร่วม 1 ชั่วโมงเลยครับ ซึ่งไม่ต้องสืบว่าผมทำอะไร....แรกๆ ก็ดูวิว ดูไปดูมาก็หลับ 5555 งวดนี้ผมจองพัก Holiday Inn ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ และก่อนทำงานแน่นอนว่า ต้องไปเดินเที่ยว Dotonburi ก่อน พร้อมกับสะพานกุลิโกะ Land mark ที่คนไทยรู้จักประจำโอซาก้า
แพ้บเดียวก็เช้า ด้วยความที่ระแวกโรงแรมมันไม่มีร้านอะไรเลยครับ เลยต้องอาศัยกินอาหารเข้ากับที่โรงแรม ซึ่งก็ถือว่าใช้ได้ครับ อร่อยทุกอย่าง จากนั้นก็ทำงานแล้วครับ ประชุมงานที่โอซาก้า 2 วัน
อ้อ ไปโกเบ 1 วันครับ และไปจัด Real Kobe beef ที่คู่ค้าเคลมให้ฟังว่าของแท้เนี้ย เค้าฆ่ากันปีละแค่ 4000 ตัวเท่านั้น และ 1 ในนั้น อยู่ในจานยู
อู้หู!!!! คนไม่กินเนื้อวัว (ไทย) อย่างผมนี่ใจฟู นั่งคุยไปดูเชฟเทปันยากิให้ดูไปกลิ่นหอมๆ ของเนยและเนื้อย่าง ... ถือว่าเป็นบรรยากาศการคุยธุรกิจที่สุนทรีย์มากครับ
หลังจากนั้นตารางงานผมไปอยู่ที่โตเกียว ด้วยความที่มาคนเดียว ก็ชิลครับ มีเวลา เลยนั่งชินกันเซนจากโอซาก้า ไปโตเกียวจริงๆ ผมเคยนั่งมาแล้วครับ ซึ่งผมเคยสาบานกับตัวเองว่า.....ครั้งหน้ากูจะบิน....กูจะไม่นั่ง Shinkanzenทำงานอีกแล้ว.....แต่เหมือนเจ็บไม่จำ ผมยังคงอยากลองนั่งชินกันเซนดูอีกครั้ง พร้อมกับกระเป๋าเดินทาง 25นิ้ว หนัก 12kgได้ข่าวครั้งก่อน...กระเป๋า 20นิ้ว หนัก 7-8 โล......กูยังเข็ดเลย....แต่ครั้งนี้ผมพักใกล้ Shin-Osaka มากครับ และโรงแรมมีบริการรถรับส่งไปสถานี เลยไม่ลำบาก และผมซื้อตั๋วออนไลน์ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พร้อมมาก่อนเวลา 30 นาที
ชิลเลยครับ ไม่รีบไปร้อน เดินซื้อข้าวกล้องของกิน แล้วไปยืนรอที่แพลทฟอร์มพร้อมกดไอติมบาสกินร๊อบบิ้นที่ไม่มีในไทยแล้วมากินรอ
การเดินทางด้วยชินกันเซนครั้งนี้ โคตรดีครับ แค่สแกน QR code จบเลย พร้อมจองที่นั่ง สบายยาวๆ 2ชั่วโมงครึ่งโตเกียวฟ้าใสมาก ร้อนแบบไม่เคยจินตนาการญี่ปุ่นไว้แบบนี้ ผมที่เอาเสื้อเชิร์ตแขนยาวมาทั้งหมดพร้อมไทด์ พร้อมสูท ใส่แต่เสื้อเชิร์ตแล้วพับแขนเสื้อขึ้นมาถึงศอกทุกวัน คู่ค้าที่นั่นบอกเลยว่า เดือนหน้าที่ยูจะมาอีกรอบ ยูใส่แขนสั้นมาเลยนะ สูทนี่ไม่ต้องใส่เลย หน้าร้อนจัดไม่มีใครถือ
ทำงานที่โตเกียว ก็ประชุม กินข้าวกับคู่ค้าทุกมื้อ ประหยัดมาก เสร็จงานผมก็เดินเล่นชิบูย่า กินไอติมแก้ร้อน แวะ Disney store ซื้อของไปฝากหลาน
ทำงานไปเที่ยวเล่นไป จบทริปรอบแรกแบบชิลๆ ครับ จนรู้สึกเหมือนตัวเองชอบทำงานคนเดียวแบบนี้มากๆ ผ่านไป 2 อาทิตย์......ผมก็ต้องบินกลับมาโตเกียวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาพร้อมคุณ VP และพี่โฟล์ค ที่มาเพื่อแสดงความยินดีกับโปรเจคต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จด้วยกันตลอดเวลาที่ผ่านมาดังนั้น ผมจะไม่ค่อยเหนื่อยเรื่องต้องพูดหรือต้องชวนคุย เอ็นเตอร์เทน เพราะมี 2 คนนั้นมาช่วยกันคุยเพิ่มแต่พอมาทำงานรอบ 2 ได้แค่วันเดียว ผมก็เห็นในไลน์ครอบครัวว่า หลานป่วย น้ำมูกไหลเป็นน้ำ ไม่มีไข้ ไม่อะไรทั้งนั้น แต่ไปหาหมอแล้วตรวจเจอว่าเป็นเชื้อไวรัสที่ค่อนข้างหนัก เลยต้องหยุดเรียนเฝ้าระวังและต้องไปหาหมอทุก 3 วันหรือเมื่ออาการแย่ลง ผมก็เป็นห่วงเลย ถามทุกวัน ซึ่งผมเอาหลานไปเรียนว่ายน้ำมันเสาร์ เอาไปขี่จักรยานเมื่อวันเสาร์ ก็เห็นว่าน้ำมูกไหลเยอะมากผิดปกติ พอวันอาทิตย์ผมบินถึงโตเกียวก็รู้เลยครับว่าเค้าป่วยจริงๆ ด้วย เป็นห่วงเลยครับ แต่พี่สาวอัพเดทตลอดและหลาน Call หาผมทุกวันนะ 5555 ผมเลยทำงานหายห่วงไปทุกวัน
ซึ่งมาทำงาน แน่นอนว่าผมก็ใส่ยับทุกวัน....หมายถึง...เมายับทุกวัน 55555จริงๆ ยับตั้งแต่ทริปแรกแล้วครับ ครั้งนี้ยิ่งพอมีคนมาด้วย ผมก็ปล่อยจอยเต็มที่ ดื่ม เมา กลับมาอาบน้ำเตรียมงานวันถัดไป นอนเที่ยงคืน ตื่น 7 โมงเช้า แล้วอากาศร้อน เดินตรากตร่ำมากครับ เพราะผมอัดตารางงานแน่นมากให้คุณVP
เช้าวันอังคาร....ผมตื่นมาแบบเพลียๆ และไอนิดหน่อยซึ่งน่าจะเป็นผลพวงมาจากดินเนอร์แมทเมื่อคืนที่ผมอัด Highball ซะเมาแทบอ้วกแถมพูดญี่ปุ่นได้ขึ้นมาแบบงงๆ อ้อ....ภาษาจีนก็มาด้วยครับ 555555 ตอนเช้าผมเลยไปนั่งกินกาแฟร้อนซักแก้ว พร้อมซื้อส้มมากินให้สดชื่น แล้วคืนนั้นก็ดื่มต่อ และเมาอีกตามระเบียง
เช้ามา ผมปวดกล้ามเนื้อไปทั่วตัว ปวดตึงขา คาดว่าจะเดินเยอะจัด ยังไอและคอแห้งเท่าเดิม แต่พี่โฟล์คก็บอกคอแห้งเหมือนกันครับ เพราะอากาศร้อนจัดและเราได้กินน้ำน้อยกว่าที่ดื่มที่ไทยมากยิ่งดื่มเบียร์ ดื่มเหล้ายิ่งทำให้กระหายน้ำ อันนี้รู้กัน .... ปกติ...แต่ที่ไม่ปกติคือ....เดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟแล้วรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ เหนื่อยแบบเหนื่อยเลยครับ ไม่ใช่เมื่อยหรือเพลีย ยังไม่ทันถึงแพลตฟอร์มทีนี้ผมเริ่มไอ แล้วไอมากขึ้นเรื่อยๆ จนไอๆๆๆ ไม่หยุด ตอนนั้นรู้ตัวเองแล้วครับว่าเกิดจากอาการหลอดลมตีบ หอบจะกำเริบผมน่าจะแพ้อะไรจัด ๆ ขึ้นมา และน่าจะเริ่มแพ้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ต้องสงสัยครับ.....ผมไม่มียากับตัว 5555555555 T_Tจะรออะไร ผมตบไหล่พี่โฟล์คแล้วบอกว่า "พี่ไปกับนายนะ ฝากด้วย"แล้วผมก็เดิน.....ครับ เดิน!!! จากแพลตฟอร์มไปราวๆ 700เมตร กลับโรงแรมเพราะผมเอายามาพร้อม พร้อมมากๆ แค่อยู่ในกระเป๋าเดินทาง 555555
พ่นยาไป ผมก็นอนอยู่ที่ห้องละครับ แต่เริ่มมีอาการไอเรื่อยๆ คือถี่ขึ้นกว่าเดิมมาก ดูเวลาแล้ว นัดหมายต่อไปมีตอน 16:00 ตอนนี้เพิ่ง 11 โมง ผมคงว่างๆ พอรู้สึกดีขึ้นก็ลงไปทางหาอะไรกิน แล้วช้อปปิ้งอยู่ที่ย่านกินซ่า
เดินเล่นร้านเครื่องเขียน ได้ปากกาดีๆ มาหลายแท่ง
เจอร้านเสื้อผ้าสวยๆ ซื้อกลับไปให้หลาน
ก่อนจะกลับไปนั่งทำงานตอบเมลล์ที่ห้องที่โรงแรม ตอนนั้นไอมากครับ ไอเรื่อยๆ ผมก็ซัดยากินแบบแรงหน่อยเข้าไปโอ้โห!!!!! 15 นาที เงียบกริ๊บ!!!! ผมก็ อ่ะโอเค....กุรู้ละ กุคงแพ้อะไรซักซักอย่างแบบหนักๆ ทำให้หลอดลมกุตีบ เลยไอ แล้วหอบ เพราะกินยาแก้แพ้ต้านหอบแล้วกริบเลย ดังนั้น พอถึงเวลาต้องออกไปประชุม ผมเลยเอาแมสแบบป้องกัน PM2.5 มาใส่ แล้วก็ดีครับ ไอนิดหน่อย พอเป็นพิธี จิบน้ำก็หาย และกำกิ๊กเผี๋ย อมแล้วดี ชุ่มคอมาก 55555
แล้ววันนั้นก็........งดดื่มครับ 5555 วันนั้นผมไม่นัดคู่ค้าดื่ม ก็จบแยกย้าย คุณ VP กับพี่โฟลค์ก็หาเบียร์ดีๆ ดื่มกัน ผมก็ขอชาเขียวร้อนมานั่งจิบ แล้วคืนนั้นผมก็หลับเป็นตาย เหมือนเพลียมาก หมดแรงไปหมดครับ
เช้าวันพฤหัส....ผมแทบลุกไม่ไหวเลย ตื่นปุ๊บก็ไอปั๊บแล้วคือไอไม่หยุดอีกเลย ผมกินยาแก้แพ้ปกติก่อนเลยแต่เช้า พร้อมพ่นยาเต็มสูบ ก็ทำให้อาการเบาลง แต่วันนี้รู้สึกเดินไม่ไหวครับ เดินนิดนึงเหนื่อย เดินต่อเนื่องหน่อยนี่คือเหนื่อยเหงื่อแตก ซึ่งผมออกปากพูดเหมือนกันนะว่าจะ เดินไม่ไหวแล้วผมก็ยังทำงานยังประชุมได้ในตอนเช้า แต่ตอนบ่าย ผมบอกคุณ VP กับพี่โฟล์คเลยครับว่า ผมเดินไม่ไหวแล้ว แท็กซี่เถอะ ซึ่ง 2 คนนั้นก็ตามใจผม เพราะคิดว่าผมคงเหนื่อยจริงๆ จากงานด้วย และผมดูป่วยด้วย .... ไอ่พี่โฟล์คนี่ดูไม่ค่อยรู้เจอเพื่อนเต้าหู้ด้วย ถ่ายรูปให้หลานดูอย่างไว
แต่คุณ VP นี่ดูกังวลๆ มองหน้าผมเป็นระยะๆ แล้วถาม "เป็นอะไรไหมเนี้ย"ผมก็บอกแค่ว่า ผมยังโอเค ทำงานได้ แต่รู้สึกเหนื่อย แถมเพลียจัดมากๆ เริ่มรู้สึกทรมานกับการเดินทาง ทรมารกับทางทำงานและ.....ทรมานกับการดื่ม......ซึ่งผมก็ต้องดื่มเป็นมารยาท.........คืนนั้นผมเดิมเบียร์ 1 แก้ว เหล้า 2 แก้ว เลิก! รู้สึกเหนื่อยๆ ไม่ไหว เริ่มไอมากเมื่อเวลา take ยาจะครบ 24 ชั่วโมง คือพอซัก 20 ชั่วโมงก็จะเริ่มเอาไม่อยู่แล้วครับ ไอ หลอดลมตีบแบบต้องพ่นยาตามถึงเบา ภาวนาตลอดเวลาว่าจะให้ได้กลับห้องไวๆ จะได้พ่นยาสเตียร์รอยด์ แต่ก็ต้องพยายามดึงเวลาให้ดึกที่สุดที่ตัวเองทนไหว เพราะไม่อย่างงั้น......จะเป็นแบบคืนวันนั้น คืนวันพฤหัส...ด้วยความที่ผมไม่ไหว กลับถึงห้อง 3 ทุ่มผมอัดยาเลยครับ แล้วหลานก็คอลมาหา บอกว่าหายแล้ว รอไปฮาเบอร์แลนด์ด้วยนะ ว่าแต่ น้าปริ๊นซ์เป็นอะไรทำไมไอเยอะจัง หอบรึป่าวแหม่! รู้ดี!!!!! แต่ผมไม่ได้บอกอะไรครับ แค่บอกว่าน่าจะแพ้ pollen grian
วันนี้ ยาใช้เวลา 30-45นาที กว่าความเข้มข้นยาจะเอาอาการผมลงได้ เท่ากับว่า มันเริ่มนานขึ้นกว่าเดิมครับ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีแล้วมันก็เอาอยู่แค่ ตี 4 เพราะผมตื่นมาแล้วไอไม่หยุดจนถึงเช้า จนต้องพ่นยาแล้วนั่งจนถึงเช้า....รู้สึกตัวอีกทีคือตัวเองหลับไปตอนเกือบเช้าด้วยความฤทธิ์ยายังอยู่ ก็พอยู่ได้รับ ดึงเวลาพ่นและกินยามาเป็น 9 โมงเช้า เพื่อให้อยู่ได้ดึกที่สุดให้ทำงานจนเสร็จ เพราะวันนี้วันศุกร์แล้ว และงานจะจบ 4 โมงเย็น ไม่ต้องกินต้องดื่มอะไรต่อแล้วและงานก็เสร็จเร็ว ซักแค่ บ่าย 3 ครึ่ง และแน่นอน....ฤทธิ์ยายังอยู่ครับ ผมก็ซ่า ไปเดินชิบูย่าเล่นเลยแถมมีแรงเดินไปดองกี้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเข้าดองกี้มาก่อนนะครับ แต่หลานสั่งให้ซื้อปลาเส้นงาดำ เลยต้องไปตามหาให้เค้าซักหน่อย สรุปเดินเพลินๆ หมดไป 2 หมื่นกว่าเยน.....พอเงินหมด ก็กลับไปเจอกับคุณ VP พี่โฟล์ค ที่แยกกันไปเดินเล่นที่นัดหมาย สรุปเราไปโรงเบียร์กันต่อครับ ซึ่ง....ตอนนั้นผมโอเค ไอตามประสาแต่เอาอยู่ ไหนๆ ก็ส่งท้ายทริป และคุณ VP อยากยินดีให้กับความสำเร็จในโปรเจคของผมที่นี่ ก็ไปครับ สั่งเบียร์ดีๆ มาดื่มกัน นั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระ
แต่..........จำได้ไหมครับว่า ยาแม่งชอบอ่อนตอน 20ชั่วโมง2ทุ่มครึ่งผมดื่มเบียร์ไปได้ครึ่งแก้ว ก็ไอชิบหาย ไอแบบจะตายให้ได้แล้วหลอดลมเจ้ากรรมก็ตีบอีกแล้ว เหนื่อยหายใจไม่ทัน ต้องพ่นยาคาโรงเบียร์ไป 2 รอบ เพราะรอบแรกเอาไม่อยู่....ตอนนั้นสาบานได้ว่า ในหัวคือ....ชิบหายจริงๆ แล้วกุงานนี้ ประกันที่ซื้อมาได้ใช้แน่นอน.... ผมไลน์หาน้องชายที่รู้จักซึ่งทำงานอยู่โตเกียวว่า....ผมจะไปโรงบาลได้แบบใด ถ้าผมหอบจัดขึ้นมาน้องบอกว่า บอกผมๆๆ ผมจัดการให้ได้ ไม่ต้องกลัว จะให้ไปหาไหม แต่พอดีกับที่ ได้พ่นยาซ้ำอีก 15 นาทีแล้วดีขึ้นครับ เลยไม่ได้ใช้บริการ คุณ VP นี่เครียด หน้าตื่นเลย กลุ้มใจไม่แพ้ผม ส่วนพี่โฟล์คเหมือนจะไม่รู้....กลับไปผมกินยา และยาใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งในการกดอาการ อีกวันเดียว เชี้ยเอ้ย ทนให้ได้นะมึง..........เหลือเวลาในโตเกียวอีก 1 วันครับ เพราะผมจะบินกลับไทยเที่ยงคืนวันเสาร์ เท่ากับผมจะต้องประคับประคองตัวเองให้ไม่ร่วงไปก่อนกลับไทยให้ได้ ซึ่งตอนนั้น ถ้าเอากันจริงๆ ผมตอบเลยว่า "รู้สึกไม่ไหว"แต่ต้องกลับบ้านให้ได้ ยังไงก็ต้องกลับให้ได้ อยู่มา 6 วันไม่ตาย แม่งไม่ตายเอาวันกลับหรอก!!!! ไว้มาต่อ....บล๊อกถัดไปนะครับ ว่า.... ....ผมรอดมาได้ยังไง......
Create Date : 24 กันยายน 2567 |
Last Update : 24 กันยายน 2567 13:35:16 น. |
|
18 comments
|
Counter : 336 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณกะว่าก๋า, คุณปัญญา Dh, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณmultiple, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณtoor36, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณnewyorknurse, คุณหอมกร, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณnonnoiGiwGiw, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณสองแผ่นดิน, คุณThe Kop Civil, คุณทนายอ้วน, คุณ**mp5** |
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กันยายน 2567 เวลา:14:27:26 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 24 กันยายน 2567 เวลา:15:14:33 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 24 กันยายน 2567 เวลา:21:29:15 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กันยายน 2567 เวลา:5:04:03 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 25 กันยายน 2567 เวลา:5:17:55 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กันยายน 2567 เวลา:13:50:13 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กันยายน 2567 เวลา:5:54:06 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กันยายน 2567 เวลา:15:07:09 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 26 กันยายน 2567 เวลา:21:30:39 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 กันยายน 2567 เวลา:5:24:16 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 30 กันยายน 2567 เวลา:9:43:47 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
BlogGang Popular Award#20
|
|
|
มีทั้งเรื่องดีและหนักหนา
มีทั้งการงานที่ก้าวหน้า
และมีทั้งร่างกายที่อ่อนล้า
แต่ทั้งหมดพี่ก๋าเชื่อว่ามันผ่านไปได้ด้วยดี
น้องปริ๊นซ์เลยมานั่งพิมพ์เป็นบันทึกการเดินทางได้แล้ว
ได้ชิมเนื้อโกเบที่ว่าอร่อยแสนอร่อยด้วย
ในขณะที่หลานสาวของน้องปริ๊นซ์ป่วย
พี่หมิงก็ป่วยด้วยโรคเดิมเลย ไซนัสอักเสบ
วันนี้สอบเลยต้องลาสอบครับ 555