นักเขียนนามปากกา "จันทร์ทอแสง" เขียนนิยายแนว 20+ ทั้งโลกสวยและโลกไม่สวย

<<
ตุลาคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
12 ตุลาคม 2560
 

เ พ ช ร ใ น เ ง า # 6




ตอนที่ 6


อัญพัชร์เดินเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งในช่วงกลางวัน ทิพย์เกสรกับปณิตานั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน สองสาวยกมือให้เธอ อัญพัชร์รีบเดินไปนั่งสมทบกับเพื่อน

“รอนานหรือเปล่า ขอโทษนะที่มาช้า” อัญพัชร์เอ่ย

“ไม่เป็นไร เราสองคนก็เพิ่งมา ยังไม่ได้สั่งอาหารเลย” ทิพย์เกสรบอกพร้อมหยิบเมนูมาเปิด เพื่อนอีกสองคนก็เปิดดูเมนูเช่นกัน

“เที่ยงกว่าแล้ว สั่งเป็นอาหารจานเดียวแล้วกันนะ ฉันต้องเข้างานไม่เกินบ่ายโมงครึ่ง” ทิพย์เกสรเอ่ย ตอนนี้เที่ยงสิบนาทีแล้ว จึงเหลือเวลากินและเวลาคุยแค่ชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น

“ได้ สั่งเหมือนกันเลยมั้ย จะได้เร็ว” อัญพัชร์เสนอ

“ดี” ปณิตาตอบ

“เห็นด้วย” ทิพย์เกสรบอก

“ข้าวผัดหมูใส่ไข่ดาวไม่สุก” สามสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน อัญพัชร์กับปณิตายิ้ม ขณะที่ทิพย์เกสรหัวเราะน้อย ๆ

พวกเธอมีอะไรคล้าย ๆ กัน โดยเฉพาะเรื่องกินที่ชอบเหมือนกันและมักสั่งเมนูเดียวกันเสมอ

เมื่อเลือกมื้อกลางวันของตนได้แล้ว ทั้งสามก็ฆ่าเวลาด้วยการคุยกัน

“ตอนนี้เธอสองคนเรียนจบแล้วใช่ไหม” ทิพย์เกสรถามรวม ๆ สองสาวพยักหน้า “งั้นเพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จขั้นแรกของเธอสองคน มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”

“แหมเกตุ เธอน่าจะบอกเร็วกว่านี้นะ ฉันจะได้สั่งชุดใหญ่กว่านี้” ปณิตาทำหน้าเสียดาย

“โธ่ เห็นใจพนักงานเงินเดือนน้อยแบบฉันหน่อยเถอะ” ทิพย์เกสรทำหน้าอ้อน

“น้อยอะไรกัน เธอทำงานมาสองปีกว่าแล้วนะ ป่านนี้เงินเดือนพุ่ง ๆ ไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้ง แถมยังมีประสบการณ์มากกว่าเราสองคนอีก” อัญพัชร์ค้าน

“พุ่งอะไรกัน ถ้าเทียบกับงานและความอดดันนะ ถือว่าได้น้อยมาก ๆ เลยล่ะ ทำงานไปเสียสุขภาพจิตจะแย่ นี่ฉันคิดว่าจะลาออกแล้วล่ะ”

“ลาออกงั้นเหรอ” เพื่อนอีกสองคนอุทานถามพร้อมกันด้วยสีหน้าตกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทิพย์เกสรพูดว่าจะลาออก ปกติแล้วเธอจะพูดแค่ว่าเบื่อคน เบื่องานแต่ก็จะทน ๆ ทำไป

“ใช่ คิดว่าเร็วสุดน่าจะเป็นสิ้นเดือนนี้หรือไม่ก็เดือนหน้า”

“ทำไมเร็วนักล่ะ เกิดปัญหาหนักขึ้นงั้นเหรอ” ปณิตาถาม ทิพย์เกสรพยักหน้าแบบเซ็ง ๆ

“เล่าได้ไหม” อัญพัชร์ถามเสียงเกรงใจ

“เล่าได้ ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก จริง ๆ ฉันก็อยากอดทนทำให้ถึงที่สุดนะ แต่พอดีว่าเมื่อสามสี่เดือนก่อน หัวหน้าทีมที่ฉันอยู่เกิดลาออก ฉันเลยต้องไปอยู่ทีมใหม่ ซึ่งลูกทีมแต่ละคนไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เลย และหนึ่งในนั้นก็เคยมีเรื่องขัดแย้งกับฉันเมื่อปีก่อน ฉันไปพูดท้วงเรื่องการทำงานของเขาน่ะ เขาเลยไม่ชอบหน้าฉัน” ทิพย์เกสรเล่าเรื่อย ๆ พร้อมทั้งยกไหล่ไปด้วยแบบไม่สนใจ

“จริง ๆ ฉันก็อยากมองข้ามนะ แต่ก็โชคร้ายที่เขาสนิทกับหัวหน้า ทำให้เวลาฉันเสนออะไรขึ้นไปก็ไม่ค่อยผ่าน พอเสนออะไรที่เข้าท่าหน่อย เขาก็ไม่เอา แต่พอสุดท้ายเขาก็เอา แต่เขากลับบอกว่าเขาคิดเอง ไม่ใช่ความคิดของฉัน จนเมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันเลยระเบิดลง เอาเรื่องนี้ไปบอกผู้จัดการ หัวหน้าทีมของฉันก็เลยโดนเรียกไปสอบ แต่คนที่โดนว่ากลับเป็นฉัน เขาบอกว่าฉันแข็งข้อ ไม่ให้ความเคารพหัวหน้า แล้วก็ออกใบเตือน ฉันเบื่อ ไม่อยากทำงานร่วมกับคนพวกนี้แล้ว”

“แย่จังเลยนะ คนที่เอาความดีความชอบใส่ตัวเนี่ย” ปณิตาพูด

“แล้วนี่เธอจะเอายังไงต่อ จะไปสมัครงานที่ไหน มาทำบริษัทฉันไหม”

“ไม่แล้วล่ะ ฉันคิดจะทำธุรกิจของตัวเอง” ทิพย์เกสรพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ธุรกิจของตัวเองงั้นเหรอ มันไม่เร็วไปหน่อยหรือเกตุ เธอเคยบอกว่าจะทำงานให้ครบห้าปีก่อนไง นี่เพิ่งสองปีกว่าเองนะ” อัญพัชร์ถาม

“เรื่องนี้ฉันคุยกับแม่แล้วล่ะ แม่ก็เห็นด้วยและจะให้เงินทุนมาก้อนหนึ่งและบอกว่าจะช่วยหาร้านให้ ส่วนฉันก็ออกทุนค่าตกแต่งและทำร้าน เงินเก็บที่มีอยู่ก็น่าจะพอ”

“เธอลืมหุ้นส่วนอย่างฉันไปแล้วหรือเกตุ เราตกลงกันแล้วนี่” ปณิตาท้วง

“เธอยังอยากหุ้นกับฉันอีกเหรอ” ทิพย์เกสรถามแบบไม่แน่ใจ

“แน่นอนสิ เรื่องนี้เราคุยกันตั้งนานแล้วนี่”

“แล้วเธอจะมีเวลามาทำเหรอ เธอต้องช่วยงานที่บริษัทนะ”

“เรื่องเล็ก ฉันแบ่งเวลาได้ก็แล้วกัน หรือไม่ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ให้ฉันออกทุน เธอออกความคิดแล้วกัน จะได้วินวินกันทั้งสองฝ่าย” ปณิตาตัดปัญหา ขณะที่อัญพัชร์ลอบยิ้ม เธอรู้ว่าทำไมปณิตาถึงอยากลงทุนกับเพื่อนนัก

ไม่แคล้วคงอยากสานฝันทิพย์เกสรให้เป็นความจริง...

“เอาล่ะ ถ้าเธอลาออกเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยรายละเอียดกันอีกทีแล้วกัน...แล้วเธอล่ะไอซ์ จะเริ่มเข้าไปทำงานเมื่อไหร่” ปณิตาหันไปถามเพื่อนบ้าง ระหว่างนั้นข้าวผัดหมูไข่ดาวที่สั่งไปก็ถูกนำมาเสิร์ฟพอดี ซึ่งอัญพัชร์ก็รู้สึกขอบคุณ เพราะเธอจะได้เตรียมตัวเตรียมคำพูดไว้บอกเพื่อน

“ฉันคงเข้าไปทำงานเร็ว ๆ นี้แหละ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ สีหน้าเรียบเฉย

“ดูเธอไม่ค่อยตื่นเต้นเลยนะ” ปณิตาตั้งข้อสังเกต

“เธอรู้สึกแปลก ๆ ใช่ไหมไอซ์” ทิพย์เกสรถามอย่างรู้ใจ เพราะรู้ว่าเพื่อนต้องคิดอยู่แล้ว

“ส่วนหนึ่ง” อัญพัชร์ตอบแล้วถอนใจพร้อมทั้งเขี่ยข้าวในจานไปมา
ครั้งหนึ่งที่นั่นเคยเป็นของเธอ ถ้าเธอจะเข้าไป ก็ต้องเข้าไปในฐานะผู้บริหาร แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เธอเป็นได้แค่พนักงานคนหนึ่ง...เป็นพนักงานในบริษัทที่ตนเคยเป็นเจ้าของ เป็นใครก็ย่อมทำใจยากอยู่แล้ว

“แต่อาภัทกับพี่ธีก็ไม่เคยมองว่าเธอเป็นคนนอกไม่ใช่เหรอ” ปณิตาถาม

“ใช่ พวกเขาดีกับฉันมาก จนบางครั้งฉันก็ไม่ได้ฉุกคิดว่ามันมีอะไรนอกเหนือจากนั้น”

“อะไรนอกเหนือจากนั้นเหรอ? เธอหมายถึงอะไร” ทิพย์เกสรไม่เข้าใจ อัญพัชร์ถอนใจอีกครั้งแล้วมองหน้าเพื่อนสลับกัน

“พวกเธอคิดว่ามันเร็วไปไหม ถ้าฉันจะแต่งงาน” เธอถาม

“แต่งงาน?” เพื่อนทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกันและมีสีหน้าตกใจมากกว่าดีใจ

“เดี๋ยว ๆ ไอซ์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอจะแต่งกับใคร แล้วรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ คบกันตอนไหน ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่อง” ปณิตาถามมาเป็นชุด

“นั่นสิไอซ์ นี่เธอจะแต่งจริง ๆ หรือแค่ถามความเห็นพวกเราเฉย ๆ” ทิยพ์เกสรถาม

“คิดว่าน่าจะต้องแต่งจริง ๆ”

“กับใคร อะไร ยังไง มันเกิดอะไรขึ้น” ปณิตาถามย้ำอีกครั้ง ถ้าเพื่อนจะแต่งงาน แล้วพี่ชายของเธอล่ะ ปฏิภาณรู้เรื่องนี้หรือยัง เขาจะช็อกแค่ไหน

“กับพี่ธี” อัญพัชร์พูดเสียงเบา

“อะไรนะ กับพี่ธี?” สองสาวอุทานพร้อมกันอีกครั้ง

“พี่ธี ลูกชายอาภัทที่เข้ามาซื้อหุ้นน่ะเหรอ” ปณิตาถามเพื่อความแน่ใจ อัญพัชร์พยักหน้ารับ

“อะไรกัน เธอกับเขาคบกันงั้นเหรอ” ปณิตาถามอีกครั้งก่อนขมวดคิ้วอย่างนึกอะไรขึ้นได้
“ไม่สิ เธอจะคบกับเขาได้ยังไง ในเมื่อเขามีแฟนอยู่แล้วนี่ วันก่อนฉันยังอ่านข่าวซุบซิบอยู่เลยว่าแฟนของเขาสวยมาก ออกงานแต่ละที หนุ่ม ๆ มองกันเหลียวหลัง”

“ใช่ ฉันก็เคยได้ยินข่าวแบบนั้นเหมือนกัน คนที่บริษัทก็บอก แต่ยังไม่เคยเจอตัวจริง”

“ในเมื่อเขามีแฟนอยู่แล้ว แล้วเธอจะแต่งงานกับเขาได้ยังไง” ทิพย์เกสรเริ่มงง อัญพัชร์ถอนใจอีกรอบ

“มันเป็นคำสั่งเสียน่ะ พ่ออยากให้ฉันแต่งงานกับพี่ธี เขาจะให้หมดห่วง เรื่องนี้อาภัทกับอาสารู้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้บอกฉัน เขาอยากให้ฉันเรียนจบก่อนถึงค่อยบอก และอาภัทกับอาสาก็อยากให้ฉันแต่งงาน”

“แล้วเธออยากแต่งหรือเปล่า” ปณิตาถามตรงจุด

“ไม่รู้สิ ก็มันเป็นคำสั่งเสียของคุณพ่อนี่ และถ้าฉันไม่ทำ บริษัทนั่นก็คงตกเป็นของคนอื่นโดยที่ฉันก็ไม่รู้จะเอาคืนมายังไงเหมือนกัน”

“แต่ถ้าเธอแต่ง บริษัทนั้นก็จะเป็นของเธอใช่ไหม ฉันว่าเรื่องนี้อาระต้องคิดไว้ก่อนแล้วแน่ ๆ เลย” ทิพย์เกสรโน้มมากระซิบ ซึ่งอัญพัชร์ก็พยักหน้ารับ

“ฉันก็คิดว่าคุณพ่อคงต้องคิดไว้ก่อนเหมือนกัน” เธอบอกแล้วยิ้มเก้อ “พวกเธอคิดว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวไหม ถ้าจะแต่งงานเพราะอยากรักษาสิทธิ์ความเป็นเจ้าของบริษัท”

“ไม่เลย” ทิพย์เกสรตอบเกือบทันที

“ใช่ ฉันก็ไม่คิดแบบนั้น อาระเป็นห่วงเธอและท่านก็ไว้ใจครอบครัวของอาภัทมาก ฉันคิดว่าอาระคงอยากให้เธอมีคนคอยดูแลใช่ไหม” ปณิตาถาม

“ใช่ อาภัทกับอาสาก็บอกแบบนั้น จริง ๆ ฉันก็รักพวกท่านนะ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจมันจะเป็นผลดีจริง ๆ หรือเปล่า”

“ฉันเชื่อว่าเธอคิดอย่างรอบคอบแล้ว” ทิพย์เกสรให้กำลังใจ “เอาล่ะ มากินข้าวกันดีกว่า นี่ก็จะบ่ายโมงแล้ว ฉันต้องกลับไปทำงานอีก เรื่องลาออก ถ้ามีความคืบหน้ายังไง ฉันจะโทรบอกเธอ” เธอหันไปทางปณิตา เพื่อนพยักหน้ารับก่อนมีสีหน้ากังวล

เรื่องนี้เธอควรบอกพี่ชายหรือเปล่า และเขาจะช่วยอะไรอัญพัชร์ได้บ้าง บอกแล้วจะทำให้เขารู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ และอัญพัชร์ต้องการให้คนอื่นรู้อีกหรือเปล่า

“ไอซ์” ปณิตาเรียกเพื่อน

“มีอะไรหรือ”

“เรื่องแต่งงานของเธอเป็นความลับหรือเปล่า” เธอถามเสียงเกรงใจและไม่ได้พูดตรง ๆ ว่า จะบอกเรื่องนี้ให้พี่ชายรู้ได้หรือเปล่า แต่อัญพัชร์ก็เข้าใจความหมายจากสีหน้าของเพื่อน

“อย่าเพิ่งบอกใครก่อนดีกว่า ฉันยังไม่ได้คุยกับพี่ธีเลย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจจะเป็นยังไงต่อ” อัญพัชร์บอก ปณิตายิ้มและพยักหน้ารับ


........................


หลังกินมื้อเที่ยงและคุยกับเพื่อนเสร็จ อัญพัชร์ก็ขับรถมาที่บริษัทเอ-คลาส นี่เป็นการมาครั้งแรกหลังรู้ข่าวเรื่องแต่งงาน หญิงสาวมองอาคารสูงสี่ชั้นตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนหน้านี้มันเป็นของเธอ จากนั้นก็ตกเป็นของคนอื่น และในเวลาอันใกล้นี้ มันก็จะกลับมาเป็นของเธออีกครั้ง

หญิงสาวเดินเข้าตึกและเจอกับธีรัตม์ที่หน้าลิฟต์ เธอตกใจและทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเจอกันแบบไม่ทันตั้งตัว คิดจะหลบหน้าเลี่ยงไปก็คงไม่ทันแล้ว ขณะที่ธีรัตม์เดินตรงมาที่เธอด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้เธอรู้ว่าเขาต้องทราบข่าวเรื่องแต่งงานแล้ว

“พี่ธี สวัสดีค่ะ” หญิงสาวทัก ธีรัตม์พยักหน้ารับแล้วทำหน้าขรึม

“พี่มีอะไรจะคุยกับไอซ์หน่อย คุยกันก่อนนะ” เขาบอกแล้วเดินเข้าลิฟต์ อัญพัชร์รับคำแผ่วเบาแล้วตามไป

ทั้งสองยืนด้วยกันตามลำพังในลิฟต์แคบ ๆ ทำเอาอัญพัชร์หายใจไม่ทั่วท้อง เพราะเหมือนมีรังสีบางอย่างแผ่ออกจากตัวเขา มันทำให้เธอรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ และรู้จากสัญชาติญาณว่าเขาคงไม่ยินดีกับข่าวการแต่งงานแน่ ๆ

แน่ละ ในเมื่อเขามีคนรักอยู่แล้ว จะให้ดีใจได้อย่างไร

ลิฟต์เคลื่อนสู่ชั้นสี่ด้วยความเชื่องช้าในความคิดของอัญพัชร์ และเมื่อลิฟต์เปิด หญิงสาวก็ลอบถอนใจโดยไม่ให้เขาเห็น ขณะที่ธีรัตม์เดินนำไปที่ห้องทำงานของเขา อัญพัชร์เจอบุษบา สองสาวยิ้มทักทายกันแต่ไม่ได้หยุดคุย

เมื่อเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้ว ธีรัตม์ก็เดินไปนั่งที่โซฟามุมห้อง อัญพัชร์นั่งบนเก้าอี้เดี่ยวด้านข้าง

“พี่ธีจะคุยเรื่องอะไรคะ” เธอถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว

“ไอซ์รู้เรื่องการแต่งงานแล้วใช่ไหม” เขาถาม ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว

“ค่ะ ไอซ์รู้แล้ว”

“พี่ก็รู้แล้วเหมือนกัน” เขาบอก “แล้วไอซ์จะทำยังไงต่อ ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ทำไมถึงนิ่งขนาดนี้”

“ไอซ์ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงค่ะ” เธอปด ความจริงอยากบอกเขาว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะแต่ง แต่ถ้าบอกแบบนั้น คงดูไม่ดีแน่

“แล้วไอซ์คิดว่ายังไง”

“ไอซ์ต้องทำตามคำสั่งเสียของคุณพ่อค่ะ และไอซ์ก็คุยกับคุณแม่ของพี่ธีแล้ว ท่านก็เห็นด้วย” เธอตอบ

“ท่านเห็นด้วย ไอซ์ก็เห็นด้วยงั้นเหรอ นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ ทำไมถึงไม่ตัดสินใจเอง” เขาถามอย่างหัวเสีย

“ถ้าให้ตัดสินใจเอง ไอซ์ก็จะทำตามคำขอของคุณพ่อค่ะ”

“ซื้อหุ้นแถมลูกสาวงั้นเหรอ โปรโมชั่นสุดคุ้มจริง ๆ” เขาพูดพลางหัวเราะ ทำเอาอัญพัชร์นิ่งอึ้ง เพราะน้ำเสียงและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความดูแคลง

“เหมือนได้กำไรที่ซื้อหนึ่งได้ถึงสอง แต่คิดอีกที ไม่รู้ใครได้ใครเสียกันแน่” เขายังดูถูกไม่เลิก

“พี่ธี!” หญิงสาวเรียกและมองเขาแบบไม่เชื่อสายตา

เธอไม่คิดว่าเขาจะพูดจาร้าย ๆ แบบนี้ได้ ธีรัตม์ที่อ่อนโยนเป็นพี่ชายที่แสนดีในวันวานหายไปแล้ว ตรงหน้าเธอตอนนี้มีแต่ชายหนุ่มที่เหมือนไม่เคยรู้จัก

“พี่อยากให้ไอซ์ไปบอกแม่พี่ว่าไม่อยากแต่ง” เขาสั่ง

“ไอซ์คิดว่าคุณอาคงไม่ยอมหรอกค่ะ เพราะถ้ายอม ท่านคงเก็บเรื่องนี้ไว้เอง”

“แต่ถ้าไอซ์ยืนกราน คุณแม่พี่ก็อาจเปลี่ยนใจก็ได้”

“พี่ธีคงรักแฟนมาก” เธอเปรย

“ใช่สิ ถ้าไม่รักแล้วจะคบกันทำไม ไอซ์รู้แบบนี้แล้ว คิดจะเป็นมือที่สามอีกเหรอ” เขากล่าวหา ทำให้อัญพัชร์ไม่พอใจ

“ไอซ์ไม่เคยคิดเป็นมือที่สามของใครค่ะ” เธอยืนยัน “แต่เรื่องนี้ไอซ์ตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ เพราะถ้าจะถามไอซ์ ไอซ์ก็คงยืนยันที่จะทำตามคำขอของคุณพ่อ ถ้าพี่ธีไม่อยากแต่ง ลองไปคุยกับคุณอาดูสิคะ เผื่อว่าคุณอาอาจจะยอม” เธอโยน

“พี่คุยแน่ และจะไม่มีวันแต่งกับผู้หญิงจืด ๆ กะโปโลแบบนี้แน่ ๆ” เขาเปรยกับตัวเองแบบเธอได้ยิน ยิ่งทำให้อัญพัชร์อึ้งกว่าเดิม


...............................



อัญพัชร์ออกมานั่งเล่นที่หน้าอาคาร เธอยังไม่กลับเพราะนัดกับแทนไทไว้ แต่ตอนนี้ยังไม่เลิกงาน เธอจึงต้องรอก่อน ตอนแรกแทนไทจะมาพบเธอตั้งแต่สี่โมงแล้ว แต่หญิงสาวบอกให้เขาทำงานก่อน เพราะเรื่องของเธอไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร แค่พูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไปตามประสาคนรู้จักเท่านั้น

หญิงสาวหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเปิด ตรงช่องพลาสติกใสมีรูปครอบครัวแสนสุขของเธอเสียบอยู่หลายใบ เธอหยิบออกมาหนึ่งรูป เป็นตอนที่เธออายุได้สิบกว่าขวบ เด็กหญิงผมยาวผิวขาวยิ้มให้กล้องจนตาปิด เธอยืนตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ แขนข้างหนึ่งโอบคอพ่อ อีกข้างโอบคอแม่ ศีรษะของทั้งสองแนบกับศีรษะของเธอ เป็นช่วงวัยที่อัญพัชร์รู้สึกมีความสุขที่สุด

“พ่อขาแม่ขา ไอซ์ตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมคะ ไอซ์ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวใช่ไหมคะ” เธอถามเสียงเศร้าเหม่อลอย

“พี่ธีรู้เรื่องนี้แล้วนะคะ เขาไม่พอใจมาก ๆ เลยค่ะ เด็กผู้ชายใจดีคนนั้นหายไปแล้ว เหลือแต่ผู้ชายใจร้ายปากร้าย นี่คือตัวจริงของเขาหรือเปล่าคะพ่อ พี่ชายใจดีที่เคยไปเที่ยวกับเรา ไม่ใช่ตัวเขาใช่ไหมคะ เขาทำเพื่อเอาใจเราใช่ไหมคะ จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนแบบนี้ต่างหาก ไอซ์ผิดเองที่ยึดติดกับอดีต ทั้งที่มันก็แค่ไม่กี่วันเท่านั้น” เธอระบายด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“ไอซ์ประทับใจพี่ธีในอดีตนะคะ เขาใจดี เก่ง เป็นสุภาพบุรุษ ตอนที่เขาเข้ามาทำงาน ไอซ์ก็ยังคิดว่าเขาน่ารักและนิสัยดี แต่ตอนนี้ ไอซ์ไม่รู้จริง ๆ ค่ะว่าพี่ธีเป็นคนยังไงกันแน่ และเขายังพูดดูถูกอีกด้วยว่าไอซ์เป็นของแถม ซื้อบริษัทแถมลูกสาว และยังพูดเหมือนตัวเองขาดทุนที่ต้องแต่งกับไอซ์ด้วยนะคะ” เธอพูดอย่างน้อยใจ

ไม่มีวันแต่งกับผู้หญิงจืด ๆ กะโปโลแบบนี้แน่ ๆ

คำพูดของเขาช่างแทงใจเธอเหลือเกิน ใช่สิ เธอไม่ใช่คนสวยเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟันเหมือนคนรักของเขาและไม่ใช่คนแต่งหน้าแต่งตัวเหมือนผู้หญิงข้างตัวของเขาด้วย

“ผู้หญิงจืด ๆ และกะโปโลแบบนี้ มันไม่มีเสน่ห์เลยหรือคะ ทำให้น่าเบื่อถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ” เธอถามรูปถ่ายพ่อกับแม่

“หมายถึงใครเหรอ” เสียงทุ้มถามมาจากทางด้านหลัง ทำเอาอัญพัชร์สะดุ้ง เธอรีบหันไปและเห็นแทนไทยืนอยู่

“พี่ไท มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“เมื่อกี้นี้เอง ทันฟังไอซ์พูดถึงผู้หญิงจืด ๆ พอดีเลย ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้น” เขาถามแล้วนั่งตรงข้าม

“มีคนบอกว่าไอซ์เป็นผู้หญิงจืด ๆ และเป็นเด็กกะโปโลค่ะ” เธอบอกแล้วทำหน้าตูม ระหว่างนั้นก็เก็บรูปถ่ายครอบครัวไว้ในกระเป๋าตามเดิม

“ใครกัน บังอาจมาว่าไอซ์ได้” แทนไทถามเสียงกลั้วหัวเราะ

“มีแล้วกันค่ะ ไอซ์เป็นผู้หญิงจืด ๆ จริงหรือคะ” เธอถาม

“ก็...” แทนไทหยุดคิด

จะบอกว่าอัญพัชร์เป็นคนจืดก็ไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกนัก เพราะถึงเธอจะไม่แต่งหน้า แต่ใบหน้าหวานก็ไม่ซีดขาว พวงแก้มเนียนมีเลือดฝาดจาง ๆ ทำให้แก้มของเธอเป็นสีชมพูอ่อน ริมฝีปากเล็กถึงจะไม่ทาลิปสติกสี แต่เธอก็ทาลิปมันเป็นประจำและริมฝีปากของเธอก็อมชมพูสวยอยู่แล้ว คิ้วโก่งถึงจะไม่หนาไม่คมแต่ก็เห็นเป็นโครงและมีเส้นคิ้วชัดเจน ถ้าเขียนให้เข้มสักหน่อย โครงหน้าของเธอคงชัดขึ้น ส่วนดวงตาของเธอกลมโตอยู่แล้ว ถือเป็นจุดเด่นของใบหน้าทีเดียว

“ก็ไม่จืดนะ” เขาตอบ

“ทำไมตอบช้าล่ะคะ” เธอทำเสียงงอน ขณะที่แทนไทหัวเราะ

“ก็พี่กำลังพิจารณาว่าไอซ์จืดจริงหรือเปล่า แต่ดู ๆ ไปก็ไม่เห็นจืดเลย ออกจะสวยธรรมชาติ แบบนี้แหละที่มองแล้วไม่เบื่อ”

“ฟังก็รู้ว่ายอกันเห็น ๆ” เธอว่า

“อ้าว” ชายหนุ่มร้อง “พี่พูดจริงก็ว่าพี่ยออีก แล้วนี่ใครบอกว่าไอซ์เป็นผู้หญิงจืด ๆ แสดงว่าต้องเป็นคนสายตาสั้นแน่ ๆ”

“พี่ธีค่ะ”

“ห๊า! คุณธีน่ะเหรอ ทำไมเขาถึงพูดกับไอซ์แบบนั้นล่ะ” เขาถาม อัญพัชร์นิ่งไปครู่ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องคำขอสุดท้ายของบิดาให้เขาฟัง


........................................




Create Date : 12 ตุลาคม 2560
Last Update : 12 ตุลาคม 2560 19:29:36 น. 0 comments
Counter : 496 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นักเขียนสีเทา
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]








ผลงานที่เว็บอีบุ๊กส์ :






. . . . . . . . . . . .


ผลงานทั้งหมดที่เว็บเมพ :



[Add นักเขียนสีเทา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com