|
กำจัดปลวกอย่างถูกวิธี ชีวีและ สุขภาพแข็งแรง
ปัจจุบันมนุษย์เรามีร่างกายที่อ่อนแอและมีอายุโดยเฉลี่ยสั้นลงทุกวัน เพราะว่าวัน ๆ เอาแต่รับสารพิษต่างๆ มากมายเข้ามาในร่างกาย โดยมิได้มีการที่จะคิดป้องกันหรือปกป้องสารพิษทั้งหลายเหล่านั้นให้พ้นจากตัวเองกันเลย ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควันพิษ แสงแดดที่เต็มไปด้วยรังสี UV ที่หลุดรอดลงมาจากรูรั่วในชั้นบรรยากาศที่ส่วนใหญ่ถูกทำลายโดยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์, มีเธน ซึ่งเป็นผลผลิตจากน้ำมือของมนุษย์เรากันเองนี่แหละครับ และอาหารการกินทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก ผลไม้ ก็เต็มไปด้วยสารพิษที่มีสารตกค้างจากยาฆ่าหนอน แมลง รา ไร ต่าง ๆ มากมาย
วิธีการดำเนินชีวิตประจำวันเราก็ยังไม่ยอมหนีห่างออกมากจากสารเคมีที่เป็นพิษทั้งต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม สังเกตดูจากพฤติกรรมที่เราปฏิบัติกันไม่ว่าจะเป็นชาวสวน ชาวนา ชาวไร่ นั้นส่วนใหญ่ยังคงมีการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงกันอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ซึมซับ และรับสารพิษเข้ามาในร่างกายโดยไม่รู้ตัว เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคร้ายนานาชนิดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่รู้จบ โรคเก่ายังไม่หายก็เกิดโรคใหม่ขึ้นมาซ้ำซ้อน เช่น มะเร็ง ไมเกร็น โรคผิวหนัง อัมพาต โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศโดยสิ้นเชิง เป็นหมัน หืดหอบ ไวรัสตับอักเสบ ฯลฯ มากมายหลายโรคสุดที่จะนำมากล่าวได้หมด และที่สำคัญแม้กระทั่งปัญหาใกล้ตัวของเรา คือหัวข้อที่อยากจะเล่าให้ฟังกันนี้ ก็ยังหนีไม่พ้นสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรค เช่น เรื่องการกำจัดปลวก เพราะวิธีปฏิบัติของผู้คนส่วนใหญ่ เมื่อคิดที่จะกำจัดปลวก อันดับแรกเลยนั้น ผมคิดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องการติดต่อกับบริษัทกำจัดปลวก ซึ่งบริษัททั้งหลายเหล่านี้มีความพร้อมและมีทีมงานที่เตรียมขนสารเคมีร้ายแรงต่าง ๆ นา นา มาบริการกันอย่างเต็มที่ หรือไม่บางท่านก็เตรียมตัวไปซื้อสารเคมีที่มีฤทธิ์แรง ๆ นำมาฉีดพ่นภายในบ้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดปัญหาสารพิษตกค้างและสารเคมีปนเปื้อนในบ้านและโดยเฉพาะสมาชิกในบ้านก็จะรับสารพิษเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
วันนี้จึงอยากจะนำวิธีการป้องกันและกำจัดปลวกมาฝากท่านที่สนใจในแนวทางแบบปลอดสารพิษ เพื่อจะได้มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง อยู่กับคนที่เรารักไปนาน ๆ ไม่มีโรคภัยไขเจ็บเบียดเบียนและอย่างน้อยที่สุดก็ไม่เป็นการไปซ้ำเติมให้ร่างกายได้รับสารพิษเพิ่มขึ้นมาอีกจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
วิธีการก็คือเราจะใช้จุลินทรีย์ เมธาไรเซียม เป็นปัจจัยหลักในการนำไปป้องกันและกำจัดกับ ปลวกทั้งหลาย มีดังนี้ครับ - พยายามอย่านำกระดาษหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วนำมาเก็บไว้ในบ้าน เพราะเป็นสิ่งที่ปลวกโปรดปรานและชื่นชอบเป็นที่สุดครับ ยังเป็นสิ่งชักนำให้ปลวกเข้ามาสร้างอาณาจักรและทำลายบ้านของเราเป็นอย่างดี เพราะปลวกอาจจะคิดว่าเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหารเหมาะแก่การตั้งรกรากและขยายพันธุ์นะครับ - หมั่นทำการตรวจสอบอาณาบริเวณบ้านของเราอย่างสม่ำเสมอว่ามีรังปลวกหรือจอมปลวกเริ่มก่อตัวขึ้นมาบ้างหรือยัง ถ้ามีก็ให้รีบทำลายเสียโดยการใช้ผงเชื้อรา เมธาไรเซียม ผสมน้ำราดรดไปที่รังปลวกในอัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดรดให้ทั่วรัง ซึ่งจะทำให้ปลวกที่ได้รับเชื้อไม่สบายและตายในที่สุดครับ - โรงผงเชื้อรา เมธาไรเซียม บริเวณที่เป็นทางเดินของปลวก ฝ้า เพดาน ห้องเก็บของ โคนต้นไม้ เศษไม้ผุที่นำมาประดับตกแต่งบริเวณบ้าน - ในบริเวณที่ลับตา หรือเข้าถึงตัวปลวกลำบาก ก็ให้ใช้กระดาษลังสีน้ำตาล จุ่มน้ำให้เปียกชุ่มโชก แล้วนำมาคลุกกับผงสปอร์ของ เมธาไรเซียม วางล่อไว้ตามจุดต่างๆ ที่ต้องการ เมื่อปลวกงานเดินทางมาสำรวจและพบกระดาษลัง ก็จะชวนพวกพ้องเข้ามากัดกินและขนย้ายเข้าไปในลังเขาครับ - บริเวณสนามหญ้ารอบ ๆ บ้านหรืออาคารก็แนะนำให้ใช้ผงสปอร์ของเชื้อรา เมธาไรเซียม ในอัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร กวนละลายให้เข้ากัน แล้วนำไปฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณ - ในสวนป่า สักทอง กฤษณา ยูคาลิปตัส ตะกู ยมหอม และสวนยางพารา ก็สามารถนำเชื้อรา เมธาไรเซียม 1 กิโลกรัม คลุกผสมกับ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือลำละเอียด 20 50 ก.ก. หมักทิ้งไว้ 3 คืน แล้วนำไปโรยไว้ตามรังหรือจอมปลวก หรือจะใช้ผงสปอร์ 100 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นก็ได้เหมือนกันนะครับ - ถ้าพบว่ามีการระบาดของปลวกอย่างมากและรุนแรง ก็ให้ใช้วิธีขุดหลุมและนำกระบอกไม้ไผ่ ฝังใส่ลงไป แล้วนำเศษวัสดุไม้เนื้ออ่อนหรือขี้เลื่อยผสมเชื้อราเมธาไรเซียมใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่ฝังไว้ตามจุดต่างๆ ให้ทั่วบริเวณบ้าน เพื่อล่อให้ปลวกเข้ามากิน และนำผงสปอร์ของเชื้อรากลับไปแพร่ระบาดในรัง เมื่อปลวกงานสัมผัสและนำผงสปอร์ ของเชื้อรา เมธาไรเซียม เข้าไปในรังซึ่งมืดและเปียกชื้นทำให้สปอร์สามารถงอกออกมาและทำลายปลวกได้เกือบยกรัง
Mont 2008/01/10 14.29 น.
Create Date : 10 มกราคม 2551 |
| |
|
Last Update : 10 มกราคม 2551 14:30:10 น. |
| |
Counter : 3840 Pageviews. |
| |
|
|
|
ปลูก ข่า รองรับเศรษฐกิจหลังรัฐบาลใหม่ ครัวไทยสู่ครัวโลก
ปัจจุบันเครื่องเทศที่จัดเป็นสมุนไพรในครัวเรือนของไทย อย่างเช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบโหระพา กระเพรา กำลังได้รับความนิยมและสนใจกันอย่างมาก ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะร้านอาหารไทยในต่างแดนมีการสั่งนำเข้าไปใช้เป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร ซึ่งมีอยู่มากมายหลากหลายชนิด ซึ่งผู้บริโภคได้ทั้งโภชนาการ และเป็นสมุนไพรรักษาโรคแถมมาอีกด้วย
ข่า เป็นอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจในการผลิตและทำตลาด เพราะค่อนข้างที่จะดูแลบำรุงรักษาง่าย ทำให้มีการเพาะปลูกข่าในเชิงพาณิชย์กันอย่างมากมาย จนบางครั้งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาตกต่ำลงอย่างมาก แหล่งที่ปลูกข่ากันมาก ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในแถบภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดอ่างทอง สามารถที่จะพบเห็นได้เกือบทุกอำเภอ ชาวบ้านที่นี่มักนิยมปลูกข่ากันอย่างมาก เพราะว่ามีพ่อค้ามารับซื้อถึงแปลงสะดวกสบายในการจำหน่ายและการขนส่ง จึงทำให้ในช่วงที่ตลาดมีความต้องการมากและราคาดี ชาวบ้านก็จะปลูกกับแทบทุกหลังคาเรือน เริ่มแรกก็ปลูกกันเพียงแต่หัวไร่ ปลายนา เล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะอาชีพดั้งเดิมจะประกอบอาชีพทำนาปลูกข้าวมากกว่า
ปัญหาเรื่องโรคและแมลงโดยทั่วไป สำหรับ ข่า ค่อนข้างที่จะสบาย เพราะข่าจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องนี้สักเท่าไร เนื่องจากเป็นพืชที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัว แมลงและศัตรูพืชส่วนมากจะไม่ค่อยเข้ามารบกวน ปัญหาที่ชาวบ้านหนักใจจะมีอยู่เรื่องเดียวก็คือเรื่องของเชื้อราที่มักเข้าทำความยุ่งยากลำบากใจนั่นก็คือ การเน่าเสียของหัวข่า (เชื้อรา Sclerotium rolfsii) และโรคตากบตาเสือ (เชื้อรา Phythopthera colocasiae Rac) จึงทำให้เกิดรอยแผล มีตำหนิทำให้เป็นสาเหตุทำให้ราคาผันผวนและตกต่ำได้
ในปัจจุบันนี้ถ้ามีการเตรียมแปลงอย่างพิถีพิถัน โดยการทำการตรวจวัดกรด-ด่างของดินและปรับปรุงให้มีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 6.0-6.5 และใส่ภูไมท์ซัลเฟต หว่านรองพื้น 1 -2 กระสอบต่อไร่ จะช่วยลดปัญหานี้ออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะใน ภู่ไมท์ซัลเฟต จะมีแร่ธาตุ ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน และซิลิก้า ซึ่งทำหน้าที่ในการสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงรักษาให้ต้นข่ามีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์และแข็งแรง โดยเฉพาะ ซิลิก้าที่ละลายน้ำได้จากภูไมท์ซัลเฟต ทำงานร่วมกับ แคลเซียม จึงเป็นตัวหลักในการทำให้ผนังเซลล์ของ ข่า แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนเชื้อโรคและแมลงต่าง ๆ เข้าทำลายได้ยาก ทำให้หัวข่ามีคุณภาพดี สมบูรณ์ และราคาก็ไม่ตก พ่อค้าที่มารับหรือเหมาซื้อในแปลงก็ชอบ เพราะสามารถทำกำไรได้มาก เนื่องจากผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแปลงที่ไม่ได้ใช้จะเห็นความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
เกษตรกรหรือสมาชิกท่านใดที่สนใจจะไปดูงาน เพื่อนำประสบการณ์มาประยุกต์ใช้และผลิตเอง หรือมีตลาดหรือช่องทางการจัดจำหน่าย สนใจที่จะรับซื้อข่า หรือสนใจที่จะปลูกข่าแบบปลอดสารพิษ ลองติดต่อสอบถามไปที่ คุณวิชัย สำเร็จผล ซึ่งทำอาชีพปลูกข่า อยู่ที่บ้านเลขที่ 57 หมู่ 9 ตำบลรำมะสัก อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการปลูกข่าเป็นอย่างดี โทร. 081-298-2108
Create Date : 08 มกราคม 2551 |
| |
|
Last Update : 8 มกราคม 2551 11:50:17 น. |
| |
Counter : 1303 Pageviews. |
| |
|
|
|
เรียนรู้การเพาะเห็ดฟางแบบมือสมัครเล่น (ตอนที่ 5 [จบ] )
เริ่มต้นการเพาะเห็ดฟางแบบง่าย ๆ และพอเพียง
หลังจากที่เราได้ทราบข้อมูลทั่วไป และสภาพปัญหา และการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นไปบ้างแล้ว ทีนี้เรามาเรียนรู้การเพาะเห็ดฟางกันต่อนะครับ อันดับแรกเลยควรจะต้องเริ่มต้นด้วยการเตรียมดินหรือเตรียมแปลงเพาะเห็ด ส่วนใหญ่ก็จะขุดดินตากย่อย แต่ถ้าดินร่วนซุยมาก ๆ หรือเป็นดินทรายอยู่แล้วก็เพียงปาดพื้นให้เรียบก็พร้อมที่จะใช้งานได้แล้ว เอาไม้มาตีเป็นกรอบ เป็นแม่พิมพ์กว้าง 1 ฟุต ยาวฟุตครึ่งหรือ 2 ฟุต สูง 1 ฟุตหรือจะมีรูปร่างแตกต่างจากนี้ก็ใช้ได้ทั้งนั้น วางบนพื้นดิน เอาวัตถุดิบคือเปลือกของหัวมันสำปะหลังหรือฟางข้าว เอามาแช่หรือเอามาชุบน้ำให้เปียกแล้วนำมาวางใส่ไว้ในกรอบไม้ ใส่จนได้ระดับที่ต้องการเช่น ประมาณ 1 ฝ่ามือหรือประมาณ 1 คืบ แล้วก็กดให้แน่น จากนั้นก็ยกกรอบไม้ออก วางเลยไปประมาณ 1 ฟุต แล้วก็ทำกองต่อไปทำเหมือนกัน ทำอย่างนี้มากจนถึงระดับที่พอใจแล้ว ก็เอาเชื้อเอาอาหารเสริมมาใส่ โรยให้ทั้งบนกองและทั้งบนดินรอบ ๆ กอง รดน้ำอีกจนเพียงพอ น้ำสุดท้ายใช้ภูไมท์หรือภูไมท์ซัลเฟตจำนวน 1 กก.ต่อน้ำ 5 ปีบ กวนให้ละลายแล้วก็รดลงไป สุดท้ายแล้วปิดด้วยผ้าพลาสติก เอาฟางคลุมทิ้งไว้ 3 วัน 3 คืน เส้นใยเห็ดฟางก็เจริญแผ่ไปทั่ว วันที่ 4 เปิดผ้าพลาสติกใช้น้ำรดลงไปตัดใยให้ยุบเพื่อเป็นการถ่ายเทอากาศแล้วปิดเหมือนเดิม ขั้นตอนนี้อาจจะใช้เชื้อบีเอสพลายแก้ว 5 กรัม หมักกับน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ผล หรือจะเป็นนมถั่วเหลือง, นมยูเฮชทีรสหวาน 1 กล่อง นำมาเทใส่ถุงน้ำแข็งไส แล้วนำเชื้อบีเอสพลายแก้ว 5 กรัม ตักใส่ลงไป นำหนังยางผูกหูไว้ข้างหนึ่งแล้วนำไปแขวนไว้ในที่ร่มอากาศเย็น ทิ้งไว้ให้ได้ 24 ชั่วโมง และไม่เกิน 48 ชั่วโมง แล้วนำมาผสมกับน้ำ 20 ลิตร ราดรดตัดใยแทนน้ำเปล่า เพื่อเป็นการป้องกันและกำจัดเชื้อรารวมทั้งกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นใยด้วยนะครับ หรืออาจจะใช้สารกระตุ้นดอกเห็ดผสมไปกับน้ำพร้อมกันก็ได้เหมือนกันครับครับ บางคนอาจจะขึ้นโครงวันนี้หรือบางคนอาจจะขึ้นโครงมาตั้งแต่วันแรกแล้วก็คลุมไว้ตามเดิม แล้วเปิดรดน้ำตามความจำเป็นดูความเหมาะสม ดูว่าดินแห้งหรือกองแห้งหรือไม่อย่างไร และถ่ายเทอากาศ ทำในวันที่ 5 และวันที่ 6 วันที่ 7 และวันต่อไป ประมาณวันที่ 7 ก็มีเห็ดให้เริ่มเก็บได้แล้ว เห็ดนี้ก็จะเก็บได้จนกระทั่งหมด อาจจะใช้เวลาแค่ 3 5 วัน แต่ถ้าทำกองค่อนข้างสูงก็อาจจะเก็บได้หลายวันขึ้น ควรทำการย้ายที่ทำแปลงใหม่ ถ้าเก็บดอกเห็ดได้น้อยและไม่คุ้มกับค่าแรงที่ต้องจ่ายออกไป
Mont
Create Date : 07 มกราคม 2551 |
| |
|
Last Update : 7 มกราคม 2551 8:58:30 น. |
| |
Counter : 790 Pageviews. |
| |
|
|
|
เรียนรู้การเพาะเห็ดฟางแบบมือสมัครเล่น (ตอนที่ 4)
วัตถุดิบ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่ก็คือ ฟางข้าว, เปลือกถั่วเหลือง, เปลือกถั่วเขียว, เปลือกของหัวมันสำปะหลัง ในประเทศจีนก็เคยมีรายงานว่ามีการใช้หญ้าในการเพาะเห็ดฟาง สมัยก่อนประเทศฟิลิปปินส์ ก็เคยใช้ก้านกล้วย ใบตองมาทำการเพาะเห็ดเหมือนกัน ฯลฯ
ปัจจุบันมีวัตถุดิบที่หลากหลาย และที่จำหน่ายกันอยู่ทั่วไปก็อยู่ในสภาพที่แตกต่างกันออกไป เกษตรกรแต่ละคนก็มีความเข้าใจในเรื่องของวัตถุดิบนี้แตกต่างกันไป ถ้าถามว่าวัตถุดิบแบบใดที่ดีที่สุดต้องตอบว่าเป็นเปลือกของหัวมันสำปะหลังที่เพิ่งออกมาจากโรงงานใหม่ ๆ แล้วก็นำมาตากให้แห้ง เก็บเอาไว้ ไม่ให้โดนฝนชะล้าง ไม่เปียก ไม่บูดไม่เน่า ทำการตากให้แห้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็จะทำให้เราได้วัตถุดิบที่ดีที่สุด คือยังมีแป้งแทรกอยู่เป็นส่วนที่จะมาใช้ในการหมักสลายและก็เกิดเส้นใยเห็ดได้ดีที่สุด
แต่ถ้าได้เป็นเปลือกมันสำปะหลังชนิดที่กองเอาไว้แล้วถูกฝนตกล้างแล้วล้างอีกจนจืด อย่างนี้คุณค่าทางอาหารของเห็ดก็จะมีน้อยลง ในส่วนของแป้งก็จะไม่มีเหลือแต่เป็นเศษของเปลือกที่ย่อยสลายออกมาช้า ๆ ผลผลิตก็จะไม่ค่อยมากนักอาจจะต้องใช้อาหารเสริมช่วย ถ้าเป็นวัตถุดิบในฤดูฝน บางแห่งได้คุณภาพไม่ดีเลยเพราะว่าเปลือกหัวมันโดนฝน เป็นกองขนาดใหญ่ ๆ เกิดการหมักการบูดเน่าเหม็น เหม็นเปรี้ยว บางครั้งพวกเปลือกหัวมันที่เก่ากองเอาไว้นานโดนฝน ถูกเชื้อเห็ดชนิดอื่นขึ้นมาก่อนแล้ว อย่างเช่น เห็ดขี้ม้าหรือเห็ดถั่วขึ้นแล้วก็ย่อยกินอาหารที่มีอยู่ในเปลือกหัวมันไปเป็นบางส่วน คือคุณภาพนั้นก็ลดลงตัวอาหารที่เห็ดฟางจะเอามาใช้นั้นก็น้อยลง เกษตรกรควรจะหาวิธีที่เหมาะสมในการที่จะเก็บรักษาวัตถุดิบนั้น วัตถุดิบที่หาได้มาควรจะเป็นของใหม่ ไม่บูด ไม่เน่า ไม่เก่า ไม่แก่ ไม่เก่าเก็บ ซื้อมาจากโรงงานเอามากองแล้วก็เอามาเกลี่ยในลานตาก ให้โดนแดดให้จัด แดดเปรี้ยง ๆ เกลี่ยให้บาง ๆ ให้แห้งเร็วต้องไม่ให้ถูกฝน ก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ต้องไม่ขนวัตถุดิบนั้นไกลจนเกินไป ถ้าขนมาจากที่ไกลค่าขนส่งก็จะมาก ต้นทุนก็จะแพง ในเรื่องการเรียกร้องที่จะได้เปลือกหัวมันที่ใหม่ที่สุด เราก็เพียงที่คิดว่าอยากจะได้ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องใช้จริง ๆ ก็ดูอย่าให้เก่าเกินไป อย่าให้ถูกย่อยสลายจนเกินไป เมื่อขนเปลือกหัวมันมาถึงพื้นที่ที่ฟาร์มแล้ว ควรจะต้องมีสถานที่เก็บ อาจจะเป็นยุ้งหรือไม่ก็มีผ้าคลุมกันฝน เพราะถ้ามากองเอาไว้ถ้าฝนตกแล้วก็เน่าแฉะ ผลผลิตที่พึงจะได้ดีก็มาสูญเสีย ถ้าขนมาวัตถุดิบมาถึงแล้วก็ยังชื้นอยู่ อย่างนั้นควรจะเกลี่ยออกตากแดด ตากให้แห้งสนิทเสียก่อนแล้วจะค่อยนำมาเก็บรักษาเอาไว้ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกันกับเปลือกฝักถั่วเขียว เปลือกฝักถั่วเหลือง เราควรจะได้ของใหม่มา ตากแห้งเก็บเอาไว้ให้ดีอย่าให้โดนฝน
ในอนาคตอาจจะมีการศึกษาเพิ่มขึ้นกันอีกหลายอย่าง เช่นในประเทศญี่ปุ่นเพาะเห็ด จะซื้อซังข้าวโพด วันหนึ่งซื้อไปจากประเทศไทย ซื้อต้นข้าวโพดที่ตากแห้ง ป่นให้ละเอียด ก็เอาไปเพาะเห็ดแต่ซังข้าวโพดป่น ต้นข้าวโพดป่น ประเทศไทยยังไม่ค่อยได้เอามาใช้ในการเพาะเห็ด ยังมีต้นข้าวฟ่างมีต้นทานตะวัน ต้นถั่วต่าง ๆ ถ้าตากแห้งแล้วเข้าเครื่องตีป่น ตีป่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย น่าที่จะเอามาเพาะเห็ดในรูปแบบเดียวกันนี้ได้ ท่านคงได้ยินได้ทราบมาบ้างว่าเขาใช้ถุงเห็ดที่เขาใช้เพาะในระบบถุงที่หมดอายุแล้ว เอามาปลูกเห็ดในลักษณะที่คล้าย ๆ กัน ใช้พวกผักตบชวาสับ จะใช้ผักตบชวาแห้ง ผักตบชวาสดสับเป็นชิ้นเล็ก ก็เอามาใช้เป็นตัวอาหารเสริมช่วยทำให้ผลผลิตของเห็ดนั้นดีขึ้น ในลักษณะเช่นนี้จะไม่ค่อยใช้ผักตบชวาเพื่อเป็นวัตถุดิบโดยตรง แต่จะใช้ในฐานะอาหารเสริมในการที่จะเพาะเห็ดฟางให้ได้ผลดีนั้น อาหารเสริมก็เป็นส่วนที่มีความสำคัญ
ในปัจจุบันนี้ในแง่มุมของอาหารเสริมจะมีทั้งที่เป็นเศษอินทรีย์วัตถุ และก็มีส่วนที่บอกว่าเป็นอาหารเสริมจากหินแร่ภูเขาไฟเช่น ภูไมท์, ภูไมท์ซัลเฟต, ม้อนท์ และไคลน็อพติโลไลท์ Mont
Create Date : 07 มกราคม 2551 |
| |
|
Last Update : 7 มกราคม 2551 8:57:46 น. |
| |
Counter : 1790 Pageviews. |
| |
|
|
|
เรียนรู้การเพาะเห็ดฟางแบบมือสมัครเล่น (ตอนที่ 3)
ปัจจัยและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง การเพาะเห็ดฟางให้ได้ผลผลิตมากและมีกำไรด้วยนั้น จะต้องอาศัย พึ่งพาปัจจัยอื่นๆ และองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ หนึ่งในนั้นก็คือดิน ซึ่งการเพาะเห็ดฟางต้องเพาะอยู่บนดิน เพราะจะได้ผลผลิตรอบกองเพิ่มขึ้นมาด้วย ฉะนั้นดินจะต้องดีหรือไม่ก็ต้องปรับปรุงให้ดีและเหมาะสม
เกี่ยวข้องกับ น้ำ ซึ่งอาจจะมีสารที่เป็นผลบวก หรือเป็นลบเจือปนอยู่ในน้ำ รวมไปถึงความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำจะเกี่ยวพันกับวัตถุดิบที่เอามาใช้ในการปลูกเห็ด ซึ่งจะทำให้ได้เส้นใยมาก และเส้นใยก็จะแปรสภาพเป็นดอกเห็ดอีกครั้งหนึ่ง
เกี่ยวข้องกับอาหารเสริม อาหารเสริมที่นำมาใช้อาจจะเป็นรำพวนข้าว ในการเพาะเห็ดบางรูปแบบ ใช้ผักตบชวาสับเป็นชิ้นเล็ก ในสมัยก่อนมีการใช้ไส้นุ่น ใช้กากเมล็ดฝ้ายหรือเศษฝ้ายที่ได้มาจากโรงงานปั่นฝ้าย หรืออาจจะเป็นเศษพืชอื่น ๆ ชิ้นเล็กที่ย่อยสลายง่าย เปียกน้ำง่ายและเห็ดชอบกิน
เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ ถ้าฤดูแตกต่างหรืออุณหภูมิแตกต่างมาก การเจริญเติบโตของเส้นใยก็แตกต่างไป เช่น หน้าหนาวเส้นใยจะเจริญช้าโดยทั่วไป แต่ในหน้าร้อนอุณหภูมิสูงเส้นใยก็จะเจริญเติบโตรวดเร็วกว่า มีผลมาจากการคลุมกองว่าคลุมดีแค่ไหน เก็บความชื้นได้ดีขนาดไหน และเมื่อถึงระยะจะต้องถ่ายเทอากาศได้มีการรดน้ำ มีการถ่ายเทอากาศได้ดีแค่ไหน ภูไมท์ และภูไมท์ซัลเฟต ก็เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นไยด้วยเหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในการเสริมสร้างให้เส้นใยเห็ดเจริญเติบโตได้ดี มีจำหน่ายทั้งของแท้และมีผู้ทำปลอมเลียนแบบต้องระวังให้ดีในการนำมาใช้นะครับ
วิธีการเก็บดอกเห็ดก็ต้องทำอย่างพิถีพิถัน ระมัดระวังมิให้ดอกเห็ดที่เหลือ ได้รับการกระทบกระเทือน เพื่อให้ยังคงสามารถเจริญเติบโตเป็นดอกใหญ่ได้ต่อไป และก็ยังมีเรื่องของโรค แมลง ของศัตรูของเห็ดต่าง ๆ เหล่านี้เป็นองค์ประกอบเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตมากหรือน้อย ในวันนี้จะกล่าวถึงปัจจัยการผลิตสองตัวก่อนนะครับ คือ ในเรื่องของดิน และน้ำ ดังนี้ครับ
ดิน เราควรจะต้องศึกษาลักษณะและโครงสร้างของสภาพของดินให้ดี เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับการรดน้ำ ถ้าเป็นดินทรายจัด เมื่อรดน้ำ การกักเก็บนำจะแย่ที่สุด น้ำส่วนเกินจะระบายถ่ายเทหายไปอย่างรวดเร็วทำให้ความชื้นมีอยู่น้อยมาก
ถ้าเป็นดินร่วน น้ำก็จะระบายถ่ายเทได้ดีขึ้นหน่อย การกักเก็บรักษาความชื้นก็ค่อนข้างดี ไม่แห้ง และแฉะจนเกินไป
ถ้าเป็นดินเหนียวน้ำซึมยากหากรดน้ำโดยที่น้ำขังอยู่ บริเวณนั้นเส้นใยเห็ดก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ จำเป็นจะต้องหาวิธีที่จัดการให้น้ำมีการระบายถ่ายเทได้ดี โดยอาจจะใช้สารละลายดินดาน ALS 29 เข้ามาช่วยเพื่อทำการคลายตัวของดินไม่ให้ยึดติดกันแน่นจนเกินไป และเมื่อน้ำระเหยจากดินข้างล่างขึ้นมา ในสภาพนี้อาจจะใช้ผ้าพลาสติกคลุมที่จะช่วยเก็บความชื้นไว้ได้ จึงทำให้อาจจะไม่ต้องรดน้ำให้มากหรือบ่อยเกินไป
ปูมหลังของดินนั้นเป็นดินที่ได้มีการเพาะปลูกพืชผักอะไรมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า มีการใช้สารเคมีใดบ้าง เช่น ใช้ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าไร หรือใช้ยาฆ่าเชื้อรา เชื้อรากับเห็ดนั้นเป็นพี่น้องกัน สารเคมีที่มาฉีดพ่นฆ่าเชื้อราส่วนใหญ่ก็ฆ่าเชื้อเห็ดได้ทั้งนั้น เคยมีการฉีดยาฆ่าเชื้อราที่ดินบริเวณที่จะปลูกเห็ดหรือไม่ ถ้ามี... การฉีดพ่นครั้งสุดท้ายนานเท่าไรแล้ว มีสารตกค้างอยู่มากแค่ไหน อาจจะมีผลกระทบไปถึงผลผลิตของเห็ดที่จะเจริญบนดินรอบ ๆ กองเห็ด ถ้าไม่ได้ระมัดระวังเรื่องนี้ ก็จะได้ผลผลิตเห็ดเฉพาะบนกอง บนดินนั้นจะไม่ได้เลย เพราะสารเคมีตกค้าง ถ้าสารเคมีตกค้างมาก ๆ ซึมเข้ามาที่กองแม้แต่เห็ดบนกองก็อาจจะไม่ได้ ดินที่เราปลูกเห็ดนั้นมีอินทรีย์วัตถุเจือปนอยู่มากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นดินที่กระด้างไปหมดมีแต่เนื้อดินมีแต่เนื้อทรายถ้าอย่างนั้นโอกาสของการเกิดเห็ดบนดินรอบ ๆ กองก็ลดลง แต่ถ้ามีอินทรีย์วัตถุบนดิน เป็นดินดีที่มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยชีวภาพต่าง ๆ ในพื้นที่นั้นในการปลูกพืช และอินทรีย์วัตถุเหล่านั้นยังมีอยู่ในดิน เช่นนี้มีแนวโน้มที่ดินแปลงนี้จะให้ผลผลิตเห็ดมากขึ้น ดินแต่ละที่มีความเป็นกรดเป็นด่างไม่เท่ากัน ในพื้นที่เป็นบึงเก่าเป็นหนองน้ำเก่า มีการสลายตัวของอินทรีย์วัตถุ มีฮิวมิคแอซิด ตกค้างอยู่มาก หรือมีกรดตกค้างอยู่มาก เช่นที่ดินพรุเก่าเหล่านี้ เห็ดนั้นมีความต้องการ pH หรือความเป็นกรดเป็นด่างที่แตกต่างกัน ในกรณีของเห็ดฟางจะเจริญเติบโตดีที่สุดที่ pH 7.2 คือเลยเป็นกลางมานิดเดียว ถ้าดินบริเวณนั้นตรวจแล้วเป็นดินที่เป็นกรดมาก พยากรณ์ได้ว่าผลผลิตบนดินรอบกองจะต่ำ ถ้า pH ของดินที่นั่นมีปูนตกค้างมาก มีค่า pH เกิน 7.2 ไปมาก พยากรณ์ว่าจะได้ผลผลิตเห็ดรอบ ๆ กองนั้นน้อยลง ถ้าตรวจสอบแล้วปรากฏว่าดินมีความเป็นกรดสูงเราก็จัดการแก้ไข โดยการใส่ปูนมาร์ลหรือใส่โดโลไมท์หรือหินปูนฝุ่นเหล่านี้เพื่อแก้ไขให้ pH เป็นกลางหรือใกล้เป็นกลาง ผลผลิตของเห็ดบนดินรอบ ๆ กองก็จะสูงขึ้น
ถ้าหากดินที่ใช้ปลูกเห็ดเป็นดินเปรี้ยว และเราต้องการที่จะใส่ปูน เราต้องจดเอาไว้ด้วยว่าพื้นที่นี้ค่า pH เท่านี้ใส่ปูนในอัตราเท่าไรจึงเหมาะสม แต่ถ้าใส่ปูนลงไปแล้วในครั้งนั้นได้ผลผลิตเห็ดที่ดี เราห้ามจำว่าพื้นตรงนั้นจะต้องใส่ปูนเท่านั้น ๆ ทุกครั้งไปในการปลูกเห็ดถ้าอย่างนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เนื่องจากว่าเราใส่ปูนลงไปครั้งหนึ่งแล้ว พอปลูกเห็ดไปแล้ว ปูนนั้นไม่ได้สลายตัวหรือไม่ได้ถูกใช้ไปหมดจนกระทั่งดินกลับไปเปรี้ยวตามเดิม แต่ว่าเมื่อใส่ปูนไปครั้งหนึ่งค่า pH ของดินนั้นสูงขึ้น และปูนใส่ไปครั้งหนึ่งจะอยู่ได้หลายปี ในครั้งต่อไปสมมติว่าอีกฤดูหนึ่งเราต้องการที่จะปลูกเห็ดลงไปในพื้นที่บริเวณนั้นอีก แต่ไม่ต่อเนื่องกัน ไม่ให้ใช้ข้อมูลเก่า จะต้องตรวจวัด pH ของดิน ณ จุดนั้นว่ามี pH เท่าไรแล้ว สมมติว่ายังไม่ถึง 7.2 แต่ไม่เปรี้ยวเท่าเก่า ถ้าอย่างนั้นอัตราการใช้ของการใส่ปูนนั้นก็จะใส่น้อยลงกว่าที่ใส่ครั้งแรก
สำหรับพื้นที่ใดหากเป็นดินเค็ม พื้นที่นั้นจะไม่เหมาะสมต่อการปลูกเห็ดฟาง ทั้งนี้เนื่องจากว่าเห็ดฟางนั้นแพ้ความเค็ม ไม่สามารถจะให้ผลผลิตที่ดีบนดินที่เค็มนั้นได้ สมมติว่าเค็มเพียงเล็กน้อยแล้วต้องการที่จะปลูกเห็ด เราอาจจะใช้แกลบโรยหนา ๆ บนดินบริเวณนั้นแล้วค่อยปลูกเห็ด แต่ก็ถือว่ายังไม่ดี เพราะเมื่อรดน้ำ น้ำไปต่อเชื่อมกับดินเค็มที่อยู่ข้างล่างน้ำก็จะเค็ม แล้วพอเกิดการระเหยที่ข้างบนน้ำเค็มข้างล่างก็จะเคลื่อนย้ายขึ้นมา แล้วทิ้งเกลือเอาไว้เห็ดก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดีบนดินเค็มเหล่านั้นได้ อันนี้ต้องยอมรับความเป็นจริง พื้นที่ดินเค็มก็ไม่เหมาะที่จะเพาะเห็ดอยู่บนพื้นที่ดินเค็มนั้น ๆ ในเรื่องของการเตรียมดินถ้าเป็นดินที่ลักษณะที่ร่วนซุยอยู่แล้ว การขุดและตากไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ก็เพียงพอที่จะให้ดินนั้นเหมาะสมต่อการใช้ปลูกเห็ด ในสภาพของดินที่เหนียวจัดบางครั้งก็ต้องขุดและตาก และเมื่อเป็นดินเหนียวก็จะแข็งอยู่ก็ควรจะช่วยย่อยให้ดินที่แข็งที่เหนียวนั้นได้ร่วนลงเป็นก้อนเล็ก ก็จะสามารถที่จะปลูกเห็ดแล้วได้ผลผลิตที่ดีกว่าปล่อยให้ดินเหนียวและก็แข็งอยู่เป็นก้อน ๆ ในสภาพที่ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เช่นสมมติว่าเป็นดินลูกรังถ้าเป็นดินลูกรังแท้ ๆ เวลาที่ปลูกเห็ด เห็ดก็จะไม่ได้รับผลที่มีอยู่ในดินลูกรังนั้น แต่ว่าจะได้ผลผลิตเห็ดออกมาจากการย่อยสลายเศษพืชต่าง ๆ ที่วางอยู่บนคืออยู่บนดินนั้นเอง มีผู้สอบถามว่าถ้าจะปลูกเห็ดแต่ว่าจะใช้เป็นพื้นปูน ปลูกเห็ดบนพื้นปูนซีเมนต์จะมีผลดีผลเสียอย่างไรหรือไม่ ตอบได้ว่าเวลาเราผลิตเห็ดโดยที่ปลูกอยู่บนดินมันจะมีผลผลิต 2 ส่วน ส่วนหนึ่งก็คือเห็ดที่ขึ้นอยู่บนกอง เช่นในกรณีที่ใช้เปลือกของหัวมันสำปะหลังก็จะขึ้นอยู่บนกองของเปลือกมันสำปะหลัง อีกส่วนหนึ่งนั้นก็จะขึ้นอยู่บนดินรอบ ๆ กอง ดินยังเป็นแหล่งที่จะให้เกิดมีการระเหยของน้ำในดินขึ้นมาสู่กอง แต่ถ้าเป็นพื้นซีเมนต์เราก็จะได้เห็ดเฉพาะบนกอง ส่วนพื้นซีเมนต์ไม่สามารถจะมีดอกเห็ดเกิดขึ้นได้ ส่วนน้ำที่จะซึมผ่านในเนื้อซีเมนต์ขึ้นมาก็ไม่มี ดั้งนั้นก็อาจจะต้องคอยโชยน้ำอยู่ที่พื้นซีเมนต์ให้พื้นซีเมนต์นั้นเปียกชื้น และมีการระเหยของน้ำขึ้นมาอยู่ที่กองของวัตถุดิบที่เราได้คลุมผ้าพลาสติกเอาไว้ เมื่อเราขุดดินแล้วก็ตากเช่นนี้ โดยมากสภาพดินก็จะมีความเหมาะสมที่ดินที่ไม่เหมาะที่จะปลูกเห็ด ก็คือดินที่เพิ่งจะปลูกเห็ดรอบที่แล้วผ่านไป เพิ่งเสร็จใหม่ ๆ เมื่อปลูกเห็ดหมดไปรอบหนึ่งก็จะมีเส้นใยเห็ดเป็นจำนวนมากที่ตกค้างอยู่แถวนั้น จะเป็นอาหารของตัวไร จะเป็นอาหารของราเขียว ไตรโคเดอร์ม่า บริเวณนี้เป็นที่ไม่เหมาะจะปลูกต่อไป ควรจะปล่อยให้หญ้าขึ้นสักรอบหนึ่งก่อนหรือปลูกพืชอย่างอื่นไปรอบหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาใช้พื้นที่นี้ปลูกเห็ดต่อไปได้อีก ถ้าปลูกซ้ำกันศัตรูก็จะระบาด ทั้งไร ทั้งราเขียว ไตรโคเดอร์ม่า ก็จะเข้าทำลายเห็ด แต่เมื่อพ้นไปหนึ่งฤดูกาลทั้งตัวไรและก็ราเขียวก็จะลดน้อยลงจนไม่มีผลกระทบต่อการผลิตเห็ดรุ่นต่อไป
น้ำ
น้ำที่จะเอามาใช้ในการเพาะเห็ดควรจะเป็นน้ำที่สะอาด น้ำที่มีปัญหาถ้าน้ำมีกลิ่นเหม็น กลิ่นเหม็นอาจจะเป็นน้ำเกิดภาวะเน่าเสียจากอะไรก็ตามถือว่าเป็นน้ำไม่เหมาะสม น้ำที่เน่าอาจจะเน่าเนื่องจากว่าสารอินทรีย์ต่าง ๆ ในคอกสัตว์ เช่นในช่วงที่มีฝนตกเกิดการชะล้างสารอินทรีย์ต่าง ๆ ในคอกสัตว์ลงไป หรือจากแหล่งอื่น ๆ น้ำที่บูดเน่าเสียหายก็จะปล่อยกลิ่นเหม็นออกมา เป็นพิษต่อเห็ดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก๊าซแอมโมเนีย หรือ NH 3 น้ำที่มีอินทรีย์วัตถุมากเกินไปจะทำให้เกิดขบวนการหมักบูดและเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ควรจะมีการบำบัดน้ำเสียก่อน ถ้าไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้น้ำนั้นจริง ๆ ก็หาวิธีที่จะทำให้น้ำนั้นกลับมาค่อนข้างสะอาดก่อน
น้ำที่มีภาวะเป็นกรดเป็นด่างไม่เหมาะสมก็จะทำให้ผลผลิตของเห็ดนั้นลดลง เห็ดฟางชอบ pH ประมาณ 7.2 ถ้าน้ำเป็นกรดก็จะต่ำกว่า 7.0 ลงมาเหลือ 6.5 อาจจะกระทบกระเทือนไม่มาก แต่ถ้าต่ำลงมาจนถึง 6 ถึง 5 ถึง 4 อย่างนี้น้ำนั้นจะทำให้ผลผลิตของเห็ดนั้นต่ำลง ถ้าจำเป็นควรจะต้องดูให้เป็นน้ำที่กักบริเวณได้ แล้วหาวัสดุปูน เช่น โดโลไมท์หรือปูนมาร์ลหรือหินปูนฝุ่นหรือหินปูนบด หว่านลงไปในน้ำนั้นแล้วปล่อยให้เขาปรับสภาพให้เป็นกรดลดลง ถ้าขึ้นมาใกล้เป็นกลางก็เป็นสิ่งที่ดี หากพื้นที่ใดน้ำที่จะเอามาใช้รดเห็ดมีภาวะเป็นด่างคือเกิน 7.0 ขึ้นไปมาก เห็ดจะออกดอกได้น้อย เห็ดจะเจริญเติบโตไม่ดีควรจะต้องหาวิธีปรับน้ำนั้นให้กลับเข้ามาเป็นกลาง
ในกรณีที่จำเป็นอาจจะใช้แหล่งน้ำที่เป็นกรดเอามาเจือผสม ถ้าเป็นสภาพที่เป็นด่างเพราะหินปูนมากเกินไป เราอาจจะดูแหล่งของกรดที่ราคาถูก แต่ถ้าต้องลงทุนถึงขนาดนี้โดยมาก เพาะเห็ดก็แทบจะไม่มีกำไรแล้ว หาแหล่งหาพื้นที่ที่จะปลูกเห็ดที่ดินก็ดีน้ำก็ดี ให้มีปัญหาน้อยที่สุด ปัญหาที่พบว่าอาจจะเกิดจากน้ำอีกพวกหนึ่งคือพวกสารพิษ สารพิษนี้บางครั้งก็ได้มาจากพวกสวนไร่นานั่นเอง เช่นมีการฉีดยาฆ่าหญ้า ฉีดยาฆ่าแมลง ฉีดยาป้องกันกำจัดเชื้อราเหล่านี้ ถ้ามีสารที่ป้องกันกำจัดเชื้อรา มีผลกระทบมาก เห็ดกับรานั้นใกล้เคียงกันที่สุด น้ำที่มียาฆ่าเชื้อราก็จะฆ่าเห็ดไปในตัว ถ้าเป็นน้ำที่มาจากน้ำประปา เป็นน้ำที่ใสแต่บังเอิญช่วงนั้นฝ่ายผลิตน้ำประปาใส่คลอรีนมามาก ผลผลิตเห็ดก็จะไม่ค่อยดีสมมติว่าจะต้องใช้น้ำที่ใส่คลอรีนมาแล้ว คลอรีนนั้นใส่ลงไปเพื่อฆ่าเชื้อ ดังนั้นควรที่จะหลีกเลี่ยง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องมีภาชนะ มีโอ่งสำหรับที่จะเอาน้ำใส่เอาไว้แล้วก็เปิดฝาโอ่งเพื่อให้แดดส่องลงไป ทิ้งให้แดดเผาอยู่ประมาณ 2 3 วัน คลอรีนส่วนที่เกินที่เหลืออยู่ก็จะระเหยหายไป คือจะลดลง น้ำที่มีการระบายมาจากโรงงานอาจจะเป็นน้ำที่อ้างว่าได้มีการบำบัดเรียบร้อยแล้ว บำบัดเรียบร้อยแล้วนี้ไม่แน่ว่าบำบัดในส่วนไหน น้ำที่บำบัดมาแล้วจากโรงงานโดยมากไม่นิยมที่จะเอามาใช้เพาะเห็ดโดยตรง น้ำนั้นควรจะมีสระน้ำ มีอ่างเก็บน้ำหรือเขาขุดเป็นบ่อน้ำขึ้นโดยเฉพาะ แล้วในอ่างในบ่อนั้นปลูกผักตบชวาหรือจอก เป็นพืชน้ำที่จะช่วยปรับสภาพน้ำให้กลับดียิ่งขึ้น น้ำที่ได้มีผักตบชวามีพืชน้ำขึ้นอาศัยอยู่ ส่วนมากก็จะได้มีการปรับสภาพจนเหมาะที่จะใช้ในการเพาะเห็ด
วิธีตรวจสอบอย่างง่ายแบบที่ตรวจสอบความสกปรกของน้ำ ใช้น้ำนั้นลองมาเลี้ยงปลาหางนกยูง ใส่ปลาหางนกยูงลงไป ถ้าปลาหางนกยูงตายนี้แสดงว่าใช้ไม่ได้ ต้องเป็นน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาหางนกยูงได้ดี เป็นการตรวจสอบ โดยปรกติทั่วไปน้ำที่ใช้เพาะเห็ดก็ได้จากแหล่งแม่น้ำ ลำคลองหรือบึง บ่อ สระต่าง ๆ ที่มีปลาอาศัยอยู่ ถ้าปลาอาศัยอยู่ได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับที่จะเอามีใช้เพาะเห็ด แต่ถ้าเป็นน้ำที่ใส ๆ นิ่ง ๆ ปลาก็ไม่มีอะไรก็ไม่มี และเมื่อไม่ได้ตรวจสอบเรื่องกรดด่างเรื่องสารพิษเรื่องอะไรต่าง ๆ การที่จะเอาน้ำมาเพาะเห็ดก็ไม่สามารถที่จะคาดหมายว่าจะได้ผลผลิตที่ดี ถ้าน้ำมีไม่ค่อยมากก็อาจจะเอาน้ำนั้นมาแล้วก็จับทำลายสารพิษต่าง ๆ เช่นใช้สเม็คไทต์ หรือ ไคลน็อพติโลไลท์ หว่านใส่ลงไป แล้วก็ทิ้งให้เขาทำความสะอาดคือย่อยสลายหรือจับตรึงสารพิษต่าง ๆ เมื่อน้ำนั้นใสดีแล้วและตรวจสอบด้วยปลาหางนกยูงแล้ว ปรากฏว่าไม่มีพิษภัยใด ๆ น้ำนั้นก็จะใช้เพาะเห็ดได้ดี แต่อย่างไรก็ตามเรารู้ทฤษฎีต่าง ๆ แล้วก็ต้องคำนวณเป็นว่าต้องการน้ำจากแหล่งที่ต้นทุนในการผลิตต่ำที่สุด รู้ทฤษฎีไม่พอต้องคิดบัญชีเป็นด้วย ถ้าทำน้ำให้บริสุทธิ์ปลูกเห็ดได้ดีแต่ต้นทุนสูงเกินไปก็ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้
Create Date : 03 มกราคม 2551 |
| |
|
Last Update : 3 มกราคม 2551 17:00:48 น. |
| |
Counter : 511 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
mont20 |
|
|
|
|