ชื่อหนังสือ : สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดาเขียนโดย : นิ้วกลมพิมพ์ครั้งที่ ๑๘ : กรกฎาคม ๒๕๕๕สำนักพิมพ์ : มติชนจำนวน ๒๐๔ หน้า ราคา ๑๔๐ บาท กระซิบก่อนอ่าน โลกของเราแวดล้อมไปด้วย "สิ่งของ" มากมาย บางชิ้นมหัศจรรย์จนผู้คนนำมันไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่ของส่วนใหญ่ต่างกระจัดกระจายอยู่ตามอาคารบ้านเรือนเป็นเพียงของธรรมดา-ธรรมดา แต่ทว่าทุกสิ่งที่ดูคล้ายธรรมดา ถ้าเราให้เวลา มันจะกลายเป็น สิ่งมหัศจรรย์ ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... MatichonBook ... นะคะ แวะเคาะประตูร้านหนังสือ บันทึกหลังอ่าน สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา บอกเล่าเรื่องราวข้าวของเครื่องใช้สารพัดสารพัน นานาจิปาถะล้วนแล้วแต่ธรรมดา ทว่ามีความมหัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่ เมื่อใส่ใจอย่างสร้างสรรค์ นาน... หลายปีมาแล้วล่ะค่ะ หวานเย็นเคยหยิบ นิตยสารขวัญเรือน มาอ่าน แล้วพบกับคอลัมน์ของ พี่เอ๋ (นิ้วกลม) ที่เขียนถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับข้างของรอบกายที่แสนจะธรรมดาสามัญ และเพราะความธรรมดาของมันนี่เอง ที่ทำให้เรามองข้ามความสำคัญของมันไป ทั้ง ๆ ที่ก็หยิบใช้อยู่ทุกเมื่อ และเพราะนานมาแล้วนี่ล่ะค่ะ หวานเย็นเลยเลือน ๆ ราง ๆ ไม่แน่ใจว่าระหว่าง ฝักบัว กับ ช้อนส้อม หวานเย็นอ่านบทความไหนก่อนกัน แต่ที่จำได้คือความประทับใจในมุมมองที่หลาย ๆ คนก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจ แต่ก็หลง ๆ ลืมไปบ้างไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความต่างที่ลงตัวของ ช้อน และ ส้อม หวานเย็นก็เหมือนกันค่ะ กระทั่งได้มาอ่านมุมมองที่ถูกลืมซึ่ง พี่เอ๋ นำเสนอว่า... มิใช่ว่าช้อนกับส้อมจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช้อนส้อมที่ เข้าคู่ กันย่อมมีวัสดุ ลวดลาย และด้ามจับลักษณะเดียวกัน ในความต่างมีความเหมือน ในความเหมือนก็มีความต่าง สิ่งที่อยู่ตรงกลางคือความรัก ความรักคือการยอมรับความต่างของคนที่เรารัก และพยายามปรับตัวเองเข้าหากันและกัน โดยมิถือว่า ตัวฉัน เป็นใหญ่ เมื่อรักใครสักคน เราย่อมสละความเป็นตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แสดงความเป็นตัวเขาอย่างเต็มที่ รักคือการผลัดกันเสียสละในจังหวะที่พอดี ถ้าเสียสละมากไปเราก็อึดอัด หากเสียสละน้อยเกินไปอีกฝ่ายก็คงลำบากใจ รักอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกต่างนั้น และรักทำให้ ช่องว่าง แห่งความแตกต่างได้รับการเติมเต็ม คู่รักจึงคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะกียบ ทั้งสองคนจะมีรูปแบบชีวิต รสนิยม ความชอบอะไรต่อมิอะไรเหมือนกันหรือไม่นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับทั้งสองคนต้องชอบกัน ใช่, ชอบเหมือนกัน ไม่สำคัญเท่า ชอบกัน เพราะเมื่อเราชอบกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่ชอบไม่เหมือนกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยความรักเป็นสิ่งเติมเต็ม อ่านจบแล้ว... ประทับใจในมุมมองจึงตัดสินใจซื้อ นิตยสารขวัญเรือน ฉบับนั้นกลับมาประดับชั้นหนังสือให้หม่าม้างงเล่นว่าซื้อมาทำไม ? แล้ววานวันก็ผ่านไป ความประทับใจนั้นก็ยังคงอยู่ แต่... ไม่เคยหยิบมาอ่านซ้ำอีกเลย กระทั่งวันหนึ่ง... แวะร้านหนังสือพบ สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา วางอยู่บนชั้นหนังสือด้วยหน้าปกเก๋ไก๋ มีดีไซน์ หยิบมาพลิกซ้าย - พลิกขวา แล้วก็วางค่ะ กระทั่งสำนักพิมพ์ตีพิมพ์ซ้ำครั้งที่เท่าไรไม่รู้ หวานเย็นก็ยังไม่ได้จับจองเป็นเจ้าของสักที แล้วในที่สุด... ก็ตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ตัวเอง เป็นหนังสือที่อ่านรวดเดียวจบแบบไม่วางระหว่างเดินทางกลับบ้านช่วงปีใหม่ อืม... ฉบับรวมเล่มนี้ ทำให้หวานเย็นมีโอกาสได้อ่านหลาย ๆ เรื่องที่พลาดไปแล้วก็ประทับใจกับเรื่องราวธรรมดาที่แสนมหัศจรรย์อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคู่มืออย่าง 'ดินสอ' ที่สะท้อนให้เห็นว่า... เมื่อเติบโตขึ้นมาบางคนใช้ดินสอน้อยลง หันไปเสียบปากกาไว้ที่หน้าอกแทน บางคนบอกว่าปากกาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ใหญ่ ความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่น คำไหนคำนั้น แต่ขณะเดียวกันปากกาก็เป็นตัวแทนของความแข็งทื่อ ไม่ยืดหยุ่น ไม่เปิดโอกาสให้กับความเปลี่ยนแปลง เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากเกินไป ไม่ยอมแก้ไขตามความคิดเห็นที่คนอื่นร่วมแบ่งปัน บางคนใช้ปากกาจนติดแล้วคิดว่าโลกนี้ไม่มีดินสอ จะทำอะไรทีก็เกร็งเพราะกลัวผิดพลาด กลัวว่าพลาดไปจะแก้ไขอะไรไม่ได้ ปากกาจึงนำมาซึ่งความหวดกลัวในกลัวการทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ เขียนอะไรใหม่ ๆ วาดอะไรใหม่ ๆ ให้กับโลกใบนี้ ใครกันหนอที่เป็นบอกว่าปากกาเป็นอุปกรณ์การเขียนของผู้ใหญ่ ทั้งที่จริงผู้ใหญ่ก็ยังใช้ดินสอได้ในบางเวลา เมื่อจับดินสอขึ้นมา ความกล้าก็จะเกิดขึ้นในใจ กล้าขีดกล้าเขียนอะไรใหม่ ๆ อย่างไม่หวั่นกลัว กล้าทดลองในทางที่ตัวเองอยากลอง เพราะรู้ดีว่าทุกอย่างนั้นแก้ไขได้ ของเล่นวัยเด็กอย่าง... หุ่นยนต์ ที่กระซิบกับเราว่า... เมื่อครั้งยังเด็ก เราเคยคิดว่าโลกกลม ๆ ใบนี้มีฝ่ายธรรมะและอธรรมยืนอยู่ตรงข้ามกัน และต่อสู้กันเสมอ ธรรมะ-อธรรม ดูง่าย ทั้งสองฝ่ายแสดงตัวชัดเจน พระเอกเป็นคนดี สัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด แต่พอเติบโตขึ้นมาจึงได้รู้ว่า คนร้าย-คนดีนั้นไม่ได้แบ่งแยกกันชัดเจนเช่นนั้น บางทีคนร้ายก็มาในคราบคนดี บางทีคนดีวันนี้ก็กลายเป็นไม่ดีวันหน้า โลกความจริงดูยาก และเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เมื่อเติบใหญ่จึงได้เข้าใจว่า สิ่งที่เราจำเป็นต้องต่อสู้นั้นไม่ใช่ ตัวร้าย แต่เป็น ความเลวร้าย ต่างหาก ความเลวร้าย ที่บางครั้งก็ไม่ได้แอยู่ที่ไหนไกล แต่อยู่ในใจของเราเอง คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น สัตว์ประหลาด หรือ พระเอก ดีเอ็นเอไม่ได้ระบุมาถึงขั้นนั้น ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนมีส่วนผสมของ ความเป็นไปได้ที่จะเลว และ ความเป็นไปได้ที่จะดี อยู่ในดีกรีเท่า ๆ กัน มันผสมกันอยู่ในตัวเรา บางคราวเราเป็นสัตว์ประหลาด บางคราก็เป็นพระเอก ความเลวร้าย มีอิทธิฤทธิ์และแรงดึงดูดที่ทรงพลังเสมอ ไม่แปลกที่ผู้คนจะเผลอไปทางนั้นเป็นครั้งคราว นั่นคือเรื่องราวของคนที่เติบโต โตพอที่จะเข้าใจว่า ในตัวสัตว์ประหลาดก็มีพระเอกแอบซ่อนอยู่ เช่นกันกับที่ในตัวพระเอกก็มีสัตว์ประหลาดสิงสถิตอยู่ในนั้น หาใช่เพียงโลกภายนอก โลกภายในต่างหากที่ทำสงครามกันไม่เว้นแต่ละวัน เราต่างก็อยากเป็นคนดี แต่การเอาชนะความชั่วร้ายในใจก็ไม่ง่ายดายนัก เมื่อเติบใหญ่จึงได้เข้าใจว่า หน้าที่ของพระเอกอาจมิใช่การเข่นฆ่าเหล่าร้ายให้หมดไปจากโลก แต่เป็นการปลุกด้านดีและความคิดในฝั่งธรรมะให้เอาชนะด้านเลวร้ายของฝ่ายอธรรมให้ได้ต่างหาก ปลุกความคิดดี ๆ ของเรา และของเขาด้วยเช่นกัน การฆ่าฟันไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ใด ๆ รังแต่จะทำให้ให้ความรุนแรงไม่รู้จบ สิ่งที่ควรฆ่าคือความเลวร้าย ความเลวร้ายในใจเรา ความเลวร้ายในใจเขา มิใช่คนเลวร้าย ตรงกันข้าม เราควรเผื่อใจและให้โอกาสเขา ด้วยความเชื่อที่ว่าเขาก็เหมือนกันกับเรา ในตัวเขามีทั้งด้านดีและร้ายผสมกัน ที่สำคัญ กาลครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นเด็ก เขาก็เคยบังคับหุ่นยนต์ตัวเล็ก ๆ ไปปราบปรามเหล่าร้ายคล้าย ๆ กันกับเรา หรือ ลูกโป่ง ที่พยายามเตือนเราว่า... ลูกโป่งจึงเป็นสิ่งสำคัญในวัยเยาว์ เพราะมันสอนให้เราเรียนรู้ถึงสัจธรรมข้อใหญ่ในชีวิต นั่นคือการพลัดพราก การลาจาก และการสูญเสีย ในระหว่างนั้นมันยังกระซิบหลายสิ่งกับพวกเราตั้งแต่ยังเยาว์วัย มันบอกกับเราว่าสิ่งของสำคัญต้องดูแลมันให้ดีขณะที่มันยังอยู่กับเรา หลายสิ่งเมื่อได้จากไปแล้วย่อมมิอาจหวนคืนกลับมา จริงอยู่ที่ว่า เราสามารถออกตามหาลูกโป่งลูกใหม่ แต่มันก็ไม่ใช่ลูกเดิม แม้กระทั่ง ผ้าขีริ้ว ที่ครั้งหนึ่งอาจเคยเป็นเสื้อตัวเก่งของเรา ก็ยังมีข้อคิดดี ๆ แฝงอยู่ ผ้าขี้ริ้วไม่ใช่สิ่งของที่สวยงาม ทว่ามันทำให้สิ่งของอื่น ๆ สวยงามยิ่งขึ้น มิใช้ผ้าขี้ริ้วหรอกหรือที่เช็ดฝุ่นออกจากตู้โชว์หรือที่เช็ดถูโต๊ะกินข้าวให้สะอาดสดใสหลังรับประทานอาหาร มิใช่ผ้าขี้ริ้วหรอกหรือที่นอนกลิ้งเกลือกเพื่อซับความสกปรกเวลาน้ำหก ขวดซีอิ๊วแตก คุณค่าของสิ่งของมิได้ขึ้นอยู่กับความสวยงาม ทว่าอยู่ที่ประโยชน์ที่มันได้มอบให้กับผู้ใช้สอย และสิ่งของหลายต่อหลายชิ้นที่พยายามสื่อสารกับเราด้วยเสียงกระซิบผะแผ่ว ทว่าเราไม่เคยใส่ใจที่จะฟัง อยากรู้ว่ายังมี สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา อื่นใด พยายามบอกอะไรกับเราอยู่นั้น ลองหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูนะคะ บ้างสิ่งที่มองข้ามไป บางอย่างที่ไม่เคยใส่ใจ หรือบางมุมที่หลงลืม อาจจะกรูกันเข้ามาทักทายให้สะกิดใจบ้างก็ได้ค่ะ
ชื่อหนังสือ : สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดาเขียนโดย : นิ้วกลมพิมพ์ครั้งที่ ๑๘ : กรกฎาคม ๒๕๕๕สำนักพิมพ์ : มติชนจำนวน ๒๐๔ หน้า ราคา ๑๔๐ บาท
กระซิบก่อนอ่าน
โลกของเราแวดล้อมไปด้วย "สิ่งของ" มากมาย บางชิ้นมหัศจรรย์จนผู้คนนำมันไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่ของส่วนใหญ่ต่างกระจัดกระจายอยู่ตามอาคารบ้านเรือนเป็นเพียงของธรรมดา-ธรรมดา แต่ทว่าทุกสิ่งที่ดูคล้ายธรรมดา ถ้าเราให้เวลา มันจะกลายเป็น สิ่งมหัศจรรย์ ขอบคุณรายละเอียดและภาพปกจาก... MatichonBook ... นะคะ
แวะเคาะประตูร้านหนังสือ
สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา บอกเล่าเรื่องราวข้าวของเครื่องใช้สารพัดสารพัน นานาจิปาถะล้วนแล้วแต่ธรรมดา ทว่ามีความมหัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่ เมื่อใส่ใจอย่างสร้างสรรค์ นาน... หลายปีมาแล้วล่ะค่ะ หวานเย็นเคยหยิบ นิตยสารขวัญเรือน มาอ่าน แล้วพบกับคอลัมน์ของ พี่เอ๋ (นิ้วกลม) ที่เขียนถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับข้างของรอบกายที่แสนจะธรรมดาสามัญ และเพราะความธรรมดาของมันนี่เอง ที่ทำให้เรามองข้ามความสำคัญของมันไป ทั้ง ๆ ที่ก็หยิบใช้อยู่ทุกเมื่อ และเพราะนานมาแล้วนี่ล่ะค่ะ หวานเย็นเลยเลือน ๆ ราง ๆ ไม่แน่ใจว่าระหว่าง ฝักบัว กับ ช้อนส้อม หวานเย็นอ่านบทความไหนก่อนกัน แต่ที่จำได้คือความประทับใจในมุมมองที่หลาย ๆ คนก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจ แต่ก็หลง ๆ ลืมไปบ้างไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความต่างที่ลงตัวของ ช้อน และ ส้อม หวานเย็นก็เหมือนกันค่ะ กระทั่งได้มาอ่านมุมมองที่ถูกลืมซึ่ง พี่เอ๋ นำเสนอว่า... มิใช่ว่าช้อนกับส้อมจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช้อนส้อมที่ เข้าคู่ กันย่อมมีวัสดุ ลวดลาย และด้ามจับลักษณะเดียวกัน ในความต่างมีความเหมือน ในความเหมือนก็มีความต่าง สิ่งที่อยู่ตรงกลางคือความรัก ความรักคือการยอมรับความต่างของคนที่เรารัก และพยายามปรับตัวเองเข้าหากันและกัน โดยมิถือว่า ตัวฉัน เป็นใหญ่ เมื่อรักใครสักคน เราย่อมสละความเป็นตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แสดงความเป็นตัวเขาอย่างเต็มที่ รักคือการผลัดกันเสียสละในจังหวะที่พอดี ถ้าเสียสละมากไปเราก็อึดอัด หากเสียสละน้อยเกินไปอีกฝ่ายก็คงลำบากใจ รักอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกต่างนั้น และรักทำให้ ช่องว่าง แห่งความแตกต่างได้รับการเติมเต็ม คู่รักจึงคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะกียบ ทั้งสองคนจะมีรูปแบบชีวิต รสนิยม ความชอบอะไรต่อมิอะไรเหมือนกันหรือไม่นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับทั้งสองคนต้องชอบกัน ใช่, ชอบเหมือนกัน ไม่สำคัญเท่า ชอบกัน เพราะเมื่อเราชอบกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่ชอบไม่เหมือนกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาศัยความรักเป็นสิ่งเติมเต็ม อ่านจบแล้ว... ประทับใจในมุมมองจึงตัดสินใจซื้อ นิตยสารขวัญเรือน ฉบับนั้นกลับมาประดับชั้นหนังสือให้หม่าม้างงเล่นว่าซื้อมาทำไม ? แล้ววานวันก็ผ่านไป ความประทับใจนั้นก็ยังคงอยู่ แต่... ไม่เคยหยิบมาอ่านซ้ำอีกเลย กระทั่งวันหนึ่ง... แวะร้านหนังสือพบ สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา วางอยู่บนชั้นหนังสือด้วยหน้าปกเก๋ไก๋ มีดีไซน์ หยิบมาพลิกซ้าย - พลิกขวา แล้วก็วางค่ะ กระทั่งสำนักพิมพ์ตีพิมพ์ซ้ำครั้งที่เท่าไรไม่รู้ หวานเย็นก็ยังไม่ได้จับจองเป็นเจ้าของสักที แล้วในที่สุด... ก็ตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ตัวเอง เป็นหนังสือที่อ่านรวดเดียวจบแบบไม่วางระหว่างเดินทางกลับบ้านช่วงปีใหม่ อืม... ฉบับรวมเล่มนี้ ทำให้หวานเย็นมีโอกาสได้อ่านหลาย ๆ เรื่องที่พลาดไปแล้วก็ประทับใจกับเรื่องราวธรรมดาที่แสนมหัศจรรย์อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคู่มืออย่าง 'ดินสอ' ที่สะท้อนให้เห็นว่า... เมื่อเติบโตขึ้นมาบางคนใช้ดินสอน้อยลง หันไปเสียบปากกาไว้ที่หน้าอกแทน บางคนบอกว่าปากกาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ใหญ่ ความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่น คำไหนคำนั้น แต่ขณะเดียวกันปากกาก็เป็นตัวแทนของความแข็งทื่อ ไม่ยืดหยุ่น ไม่เปิดโอกาสให้กับความเปลี่ยนแปลง เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากเกินไป ไม่ยอมแก้ไขตามความคิดเห็นที่คนอื่นร่วมแบ่งปัน บางคนใช้ปากกาจนติดแล้วคิดว่าโลกนี้ไม่มีดินสอ จะทำอะไรทีก็เกร็งเพราะกลัวผิดพลาด กลัวว่าพลาดไปจะแก้ไขอะไรไม่ได้ ปากกาจึงนำมาซึ่งความหวดกลัวในกลัวการทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ เขียนอะไรใหม่ ๆ วาดอะไรใหม่ ๆ ให้กับโลกใบนี้ ใครกันหนอที่เป็นบอกว่าปากกาเป็นอุปกรณ์การเขียนของผู้ใหญ่ ทั้งที่จริงผู้ใหญ่ก็ยังใช้ดินสอได้ในบางเวลา เมื่อจับดินสอขึ้นมา ความกล้าก็จะเกิดขึ้นในใจ กล้าขีดกล้าเขียนอะไรใหม่ ๆ อย่างไม่หวั่นกลัว กล้าทดลองในทางที่ตัวเองอยากลอง เพราะรู้ดีว่าทุกอย่างนั้นแก้ไขได้ ของเล่นวัยเด็กอย่าง... หุ่นยนต์ ที่กระซิบกับเราว่า... เมื่อครั้งยังเด็ก เราเคยคิดว่าโลกกลม ๆ ใบนี้มีฝ่ายธรรมะและอธรรมยืนอยู่ตรงข้ามกัน และต่อสู้กันเสมอ ธรรมะ-อธรรม ดูง่าย ทั้งสองฝ่ายแสดงตัวชัดเจน พระเอกเป็นคนดี สัตว์ประหลาดหน้าตาน่าเกลียด แต่พอเติบโตขึ้นมาจึงได้รู้ว่า คนร้าย-คนดีนั้นไม่ได้แบ่งแยกกันชัดเจนเช่นนั้น บางทีคนร้ายก็มาในคราบคนดี บางทีคนดีวันนี้ก็กลายเป็นไม่ดีวันหน้า โลกความจริงดูยาก และเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เมื่อเติบใหญ่จึงได้เข้าใจว่า สิ่งที่เราจำเป็นต้องต่อสู้นั้นไม่ใช่ ตัวร้าย แต่เป็น ความเลวร้าย ต่างหาก ความเลวร้าย ที่บางครั้งก็ไม่ได้แอยู่ที่ไหนไกล แต่อยู่ในใจของเราเอง คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น สัตว์ประหลาด หรือ พระเอก ดีเอ็นเอไม่ได้ระบุมาถึงขั้นนั้น ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนมีส่วนผสมของ ความเป็นไปได้ที่จะเลว และ ความเป็นไปได้ที่จะดี อยู่ในดีกรีเท่า ๆ กัน มันผสมกันอยู่ในตัวเรา บางคราวเราเป็นสัตว์ประหลาด บางคราก็เป็นพระเอก ความเลวร้าย มีอิทธิฤทธิ์และแรงดึงดูดที่ทรงพลังเสมอ ไม่แปลกที่ผู้คนจะเผลอไปทางนั้นเป็นครั้งคราว นั่นคือเรื่องราวของคนที่เติบโต โตพอที่จะเข้าใจว่า ในตัวสัตว์ประหลาดก็มีพระเอกแอบซ่อนอยู่ เช่นกันกับที่ในตัวพระเอกก็มีสัตว์ประหลาดสิงสถิตอยู่ในนั้น หาใช่เพียงโลกภายนอก โลกภายในต่างหากที่ทำสงครามกันไม่เว้นแต่ละวัน เราต่างก็อยากเป็นคนดี แต่การเอาชนะความชั่วร้ายในใจก็ไม่ง่ายดายนัก เมื่อเติบใหญ่จึงได้เข้าใจว่า หน้าที่ของพระเอกอาจมิใช่การเข่นฆ่าเหล่าร้ายให้หมดไปจากโลก แต่เป็นการปลุกด้านดีและความคิดในฝั่งธรรมะให้เอาชนะด้านเลวร้ายของฝ่ายอธรรมให้ได้ต่างหาก ปลุกความคิดดี ๆ ของเรา และของเขาด้วยเช่นกัน การฆ่าฟันไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ใด ๆ รังแต่จะทำให้ให้ความรุนแรงไม่รู้จบ สิ่งที่ควรฆ่าคือความเลวร้าย ความเลวร้ายในใจเรา ความเลวร้ายในใจเขา มิใช่คนเลวร้าย ตรงกันข้าม เราควรเผื่อใจและให้โอกาสเขา ด้วยความเชื่อที่ว่าเขาก็เหมือนกันกับเรา ในตัวเขามีทั้งด้านดีและร้ายผสมกัน ที่สำคัญ กาลครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นเด็ก เขาก็เคยบังคับหุ่นยนต์ตัวเล็ก ๆ ไปปราบปรามเหล่าร้ายคล้าย ๆ กันกับเรา หรือ ลูกโป่ง ที่พยายามเตือนเราว่า... ลูกโป่งจึงเป็นสิ่งสำคัญในวัยเยาว์ เพราะมันสอนให้เราเรียนรู้ถึงสัจธรรมข้อใหญ่ในชีวิต นั่นคือการพลัดพราก การลาจาก และการสูญเสีย ในระหว่างนั้นมันยังกระซิบหลายสิ่งกับพวกเราตั้งแต่ยังเยาว์วัย มันบอกกับเราว่าสิ่งของสำคัญต้องดูแลมันให้ดีขณะที่มันยังอยู่กับเรา หลายสิ่งเมื่อได้จากไปแล้วย่อมมิอาจหวนคืนกลับมา จริงอยู่ที่ว่า เราสามารถออกตามหาลูกโป่งลูกใหม่ แต่มันก็ไม่ใช่ลูกเดิม แม้กระทั่ง ผ้าขีริ้ว ที่ครั้งหนึ่งอาจเคยเป็นเสื้อตัวเก่งของเรา ก็ยังมีข้อคิดดี ๆ แฝงอยู่ ผ้าขี้ริ้วไม่ใช่สิ่งของที่สวยงาม ทว่ามันทำให้สิ่งของอื่น ๆ สวยงามยิ่งขึ้น มิใช้ผ้าขี้ริ้วหรอกหรือที่เช็ดฝุ่นออกจากตู้โชว์หรือที่เช็ดถูโต๊ะกินข้าวให้สะอาดสดใสหลังรับประทานอาหาร มิใช่ผ้าขี้ริ้วหรอกหรือที่นอนกลิ้งเกลือกเพื่อซับความสกปรกเวลาน้ำหก ขวดซีอิ๊วแตก คุณค่าของสิ่งของมิได้ขึ้นอยู่กับความสวยงาม ทว่าอยู่ที่ประโยชน์ที่มันได้มอบให้กับผู้ใช้สอย และสิ่งของหลายต่อหลายชิ้นที่พยายามสื่อสารกับเราด้วยเสียงกระซิบผะแผ่ว ทว่าเราไม่เคยใส่ใจที่จะฟัง อยากรู้ว่ายังมี สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา อื่นใด พยายามบอกอะไรกับเราอยู่นั้น ลองหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูนะคะ บ้างสิ่งที่มองข้ามไป บางอย่างที่ไม่เคยใส่ใจ หรือบางมุมที่หลงลืม อาจจะกรูกันเข้ามาทักทายให้สะกิดใจบ้างก็ได้ค่ะ