คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
ตุลาคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
22 ตุลาคม 2565
space
space
space

ชวนไปเที่ยว เบตง จังหวัด ยะลาทะเลหมอกอัยเยอร์เวง (1)
  ชวนไปเที่ยวเบตง  ยะลาทะเลหมอกอัยเยอร์เวง 
 
ทริปนี้  เป็นทริปที่มีโอกาสได้ใช้โครงการ "ทัวร์เที่ยวไทย"  ของรัฐบาล
เป็นครั้งแรก  ทริปนี้  เราไปกับทัวร์ ยูนิไทย 
ซึ่งเป็นเอเย่น และส่งต่อให้บริษัทในเครือพาทัวร์ไปอีกต่อหนึ่ง  ชื่อ
บริษัทไทยสินเอ๊กซเปรส  จำกัด  มีไกด์นำไป
  ชื่อ กอล์ฟ  ไม่ได้บอกชื่อจริง ๆ ว่า ชื่ออะไร 

การจองทัวร์และใช้โครงการไม่ยุ่งยากนัก  เพราะทางบริษัททัวร์จัดการ
ให้ โดยให้เราโอนเงินจากเป๋าตังไปให้บริษัท
ที่จัดทัวร์  แล้วทางบริษัทก็นำไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและไปเบิก
เงินจากทางรัฐบาลเอง  คือ 40%  ค่ะ 
         
ทริปนี้  ฉันกับจอย เพียงสองคน ค่ะ เพราะทางบริษัทเหลืออยู่สองที่สุด
ท้ายด้วย ค่ะ ราคาเต็ม คือ  8,999  บาท
   แต่เราเข้าร่วมโครงการนี้  จ่ายเพียง สี่พันเกือบห้าพันบาทเท่านั้น
จำนวนวันคือ  3 วัน  2 คืน  ค่ะ   คือ  ไปวันที่ 26-28
 สิงหาคม  ค่ะ ดีมากคือ  เครื่องออกเช้า  กลับดึก  ค่ะ ทำให้มีเวลา
เที่ยวได้มากขึ้น
         
ทางทัวร์นัด  ตีสี่ครึ่งที่สนามบินดอนเมือง   อาคาร 2 ชั้น 3 ประตูที่ 11 
จอยมารับฉันตีสี่  โดยให้ทูลขับรถมารับฉันที่บ้าน
  จอยและฉันให้ทริปแก่ทูล คนละ 200 บาท  มาถึงสนามบินคนเยอะ
มากเหมือนกัน  ไกด์และคณะมาแล้ว  คณะช่วยกัน
เช็คชื่อ ผูกริบบิ้นกระเป๋า  แจกโปรแกรมทัวร์พร้อมกระเป๋าพลาสติคใส่
โปรแกรมให้ด้วย ค่ะ ดีมากค่ะ ลูกทัวร์จะได้รู้ว่า แต่ละ
วันได้ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง  จากนั้น เก็บเงินค่าทิบไกด์คนละ 300 บาท
เลย   แล้วเราก็ต้องไปยืนให้ ไกด์กอล์ฟ ถ่ายรูปทีละคน
เป็นการเช็คอินเพื่อส่งทางโครงการว่า  คนใช้สิทธิ์มาจริง ๆ  ไม่ใช่ให้
คนอื่นใช้สิทธิ์แทน ค่ะ รัฐบาลรอบคอบดี ค่ะ 
 เมื่อถ่ายรูปเช็คอินเรียบร้อยแล้ว  เราก็นำกระเป๋าไปที่เคาน์เตอร์นกแอร์
ชั่งน้ำหนักและโหลดขึ้นเครื่อง  เป็นอันเรียบร้อย  เราก็ต้อง
ไปผ่านด่านตรวจเอ็กซเรย์กระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่องต่อไปอีก  เสร็จแล้ว 
ฉันกับจอยเข้าเซเว่นหาอาหารมื้อเช้ากิน
  เพื่อฉันจะได้กินยาได้  ฉันได้ซาลาเปา  1 ลูก 20 บาท น้ำ 1 ขวด
 กินรองท้องไปก่อน  กว่าเครื่องจะออกก็ยังมี
เวลาเหลือมาก  กินได้สบาย ๆ แล้วเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยก่อนขึ้น
เครื่อง  เที่ยวบิน เวลา  6.20 น.  ถึงสนามบิน
หาดใหญ่  7.50 น. ดีจริง ๆ มีเวลาเที่ยวมากขึ้น  จากสนามบิน  เราก็
ต้องรอรถตู้ที่ทางบริษัทมารับ มีทั้งหมด 4  คัน 
ตามที่ไกด์ประกาศว่าใครจะไปอยู่รถคันไหน  มีสองคน ที่ซื้อที่นั่งพิเศษ
   (ทางบริษัทเขามีกฎว่า ถ้าใครจะนั่งแถวหน้าของรถ
จะต้องเสียเงินเพิ่ม น่าจะ 400บาท  แถวต่อไป 300 บาท ) ปรากฏ เรา
ไม่จองให้เสียเงินหรอก  นี่เขาตั้งกฎแบบนี้
น่าจะแก้ปัญหาแย่งที่นั่งกัน  ในเมื่อไม่มีใครอยากเสียเงิน  เราก็ต้องมี
ไหวพริบในการขึ้นรถตู้ให้เร็วกว่าคนอื่น
  พอดี คันที่เขาจองที่นั่งพิเศษ  มีแค่สองคน อยู่คันที่ 2  ส่วนฉันกับ
จอยอยู่คันที่3  ฉันก็มองอยู่แล้ว  พอรถคันที่ 3
เทียบฟุตบาท  ฉันก็ได้ขึ้นเป็นคนแรก  นั่งแถวที่ 1 เลย จองที่ให้จอย
นั่งถัดจากฉัน ซึ่งจอยยัง
ตะตุ้มตุ้ยอยู่ข้างรถ  อิอิ
ฉันรีบเรียกให้ขึ้นมานั่งข้างฉัน  เราเลยได้นั่งแถวที่ 1 ของรถตู้  ค่ะ 

  รถแล่นไปเรื่อย ๆ ประมาณ 45 นาที  ทัวร์แวะที่ศูนย์อาหารให้ลูกทัวร์
ซื้ออาหารกินมื้อเช้า  มื้อนี้ จอยเลี้ยง ค่ะ  อาหารค่อนข้างถูก
กับข้าว สอง อย่างราดข้าว  45 บาท ค่ะ 

กินเสร็จ ประมาณ 9.30 น. ก็เดินทางต่อ  สถานที่แห่งแรกของทริปนี้ 
คือ วัดช้างให้ของหลวงปู่ทวด  ไกด์กอล์ฟ ได้ให้ความรู้
เกี่ยวกับวัดช้างให้  ให้ลูกทัวร์ฟังค่ะ  มาทราบประวัติ ค่ะ วัดช้างให้ 
มีชื่อเต็มว่า  วัดช้างให้ราษฎร์บูรณาราม หรือวัดราษฎร์บูรณะ
หรือวัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธ์ิ จังหวัดปัตตานี
เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งใน จังหวัดปัตตานีสร้างมาแล้วกว่า 300 ปี
 
 ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิ
สำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาวที่ชื่อ  เจ๊ะสิตี
  จึงได้เสี่ยงอธิฐาน ปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมือง
และไพร่พลเดินติดตามไป จนมาถึงวันหนึ่ง ช้างได้หยุดอยู่
ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี
จึงได้สร้างเมืองให้น้องสาวที่นี่   แต่น้องสาวไม่ชอบ
   ท่านเจ้าเมืองก็อธิษฐานให้ช้างเดินหาที่ใหม่ต่อไป ช้างได้เดินร่อนแร่
อีกหลายวันเวลาตกเย็นวันหนึ่งก็หยุดพักพลบริวาร
ทางน้องสาวถือโอกาสออกจากที่พักเดินเล่น บังเอิญขณะนั้นมีกระจง
สีขาวผ่องตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้านางไป นางอยากได้กระจง
ตัวขาวตัวนั้นจึงชวนพวกพี่เลี้ยงวิ่งไล่ล้อมจับกระจงกระจงได้วิ่งวกไป
วนมาบนเนินทรายขาวสะอาดริมทะเล
(ในปัจจุบันคือบริเวณตำบลกรือเซะ) ทันใดนั้นกระจงก็หายไป นาง
เจ๊ะสิตีรู้สึกชอบที่ตรงนี้มากจึงขอให้พี่ชายสร้างเมืองให้
เมื่อพระยาแก้มดำปลูกสร้างเมืองให้น้องสาวและมอบพลบริวารให้ไว้
พอสมควรเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ชื่อเมืองนี้ว่าเมืองปะตานี (ปัตตานี)


   ในขณะพระยาแก้มดำเดินทางกลับมาถึงภูมิประเทศผ่านบริเวณ ที่ช้าง
บอกให้แต่ครั้งแรกก็รู้สึกเสียดายสถานที่
จึงตกลงใจหยุดพักแรมทำการแผ้วถางป่า และสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้น
เป็นวัดให้ชื่อว่า “วัดช้างให้” หลังจากสร้างวัดเรียบร้อยแล้ว
พระยาแก้มดำก็ได้กราบนิมนต์สมเด็จเจ้าพะโคะ (หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำ
ทะเลจืด) หรือที่ชาวไทรบุรีเรียกว่า "ท่านลังกา" 
ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่เมืองไทรบุรีมาเป็นเจ้าอาวาส เมื่อสมเด็จเจ้า
พะโคะ (หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด)
หรือท่านลังกามาเป็นเจ้าอาวาสแล้ว แต่ท่านก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง
วัดช้างให้กับเมืองไทรบุรี แต่ท่านก็ได้สั่งเสีย
กับลูกศิษย์ไว้ว่า ....ถ้าท่านมรณภาพลงเมื่อใดก็ให้นำสรีระของท่าน
กลับมาฌาปนกิจที่วัดช้างให้...  ต่อมาเมื่อสมเด็จเจ้าพะโคะ 
(หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด) มรณภาพลูกศิษย์ก็ได้นำสรีระของ
ท่านกลับมาที่วัดช้างให้เพื่อฌาปนกิจเสร็จแล้ว
ก็ฝังอัฐิของท่านไว้ที่วัดช้างให้ อีกส่วนหนึ่งนำกลับไปฝังไว้ที่
เมืองไทรบุรี (รัฐเกอดะฮ์ ประเทศมาเลเซีย) 

หลังจากกาลมรณภาพของสมเด็จเจ้าพะโคะ (หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำ
ทะเลจืด) วัดช้างให้ก็ทรุดโทรมและเสี่อมลง
เพราะไม่มีพระอยู่จำพรรษาจนกลายสภาพเป็นวัดร้าง อยู่ต่อมาในปี
พ.ศ. ๒๔๘๐ พระครูมนูญสมณการ วัดพลานุภาพ
ได้ชักชวนชาวบ้านเข้าไปพัฒนาวัดช้างให้เพื่อให้สะดวกกับการที่พระ
จำพรรษา โดยทำการบูรณะปฏิสังขรณ์
และสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้น โดยให้พระช่วง พร้อมพระอนุจร มาอยู่จำ
พรรษาในปีนั้น เมื่อพระช่วงมาอยู่ก็ได้ดำเนินการ
สร้างถาวรวัตถุเพิ่มขึ้นประกอบด้วย ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง และกุฏิ ๓
หลังอยู่ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ พระช่วงได้ลาสิกขา
ทำให้วัดช้างใหขาดเจ้าอาวาสและผู้นำลงอีกช่วงหนึ่ง  นายบุญจันทร์
อินทกาศ (กำนันตำบลป่าไร่ในขณะนั้น)
พร้อมด้วยชาวบ้านได้พากันไปหาพระครูภัทรกรณ์โกวิท (พระอธิการ
แดง ธมฺมโชโต) เจ้าอาวาสวัดนาประดู่
ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้เคียงกับวัดช้างให้ โดยขอให้ท่านจัดพระที่มีอายุ
พรรษาพอสมควรไปเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้
ท่านจึงได้ขอให้พระทิม ธมฺมธโร หรือพระครูวิสัยโสภณ ไปเป็นเจ้า
อาวาสวัดช้างตามที่ชาวบ้านขอ พระครูวิสัยโสภณ
(อาจารย์ทิม ธมฺมธโร) ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้เมื่อวันที่ ๑๕
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ตรงกับวันอังคาร
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘  ตอนที่ท่านมาอยู่วัดช้างให้ในช่วงแรก ๆ 
ท่านก็ไป ๆ มา ๆ กับวัดนาประดู่ เพราะกลางวัน
ต้องกลับไปสอนนักธรรมพระภิกษุสามเณร เมื่อท่านมาอยู่วัดช้างให้ได้
ประมาณ ๕-๖ เดือน ก็เกิดสงครามมหาบูรพา
ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ปัตตานี เพื่อผ่านไปประเทศมาเลเซียและ
สิงคโปร์จนกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒
ในเวลาต่อ รถไฟสายใต้ที่วิ่งจากหาดใหญ่ไปสถานีสุไหงโก-ลก ทหาร
ญี่ปุ่นขนทหารและสัมภาระผ่านหน้าวัดช้างให้วันละ
หลาย ๆเที่ยว ทำให้ชาวบ้านพากันแตกตื่นและหวาดกลัวภัยสงครามไม่
เป็นอันทำมาหากิน ในขณะนั้นวัดช้างให้ก็อยู่ในสภาพเดิม
ยังมิได้บูรณะจัดการก่อสร้างสิ่งใดเพิ่มเติม สภาพพื้นที่ของวัดช้างให้
ซึ่งตั้งติดอยู่กับทางรถไฟ เพื่อผ่านไปยังจังหวัดยะลา
นราธิวาส และชายแดนมาเลเซีย พระครูวิสัยโสภณ(อาจารย์ทิม ธมฺมธ
โร)เจ้าอาวาสวัดช้างให้ ต้องรับภาระหนักต้องจัดหา
ที่พักหาและอาหารมาเลี้ยงดูผู้คนที่มาขอพักอาศัยพักแรม ในระหว่าง
เดินทางไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒
สงบลง พระระครูวิสัยโสภณ (อาจารย์ทิม ธมฺมธโร) ก็ได้เริ่มบูรณะ
ปฏิสังขรณ์ และก่อสร้างถาวรวัตถุในวัด อาทิ
ศาลาการเปรียญ อุโบสถ หอฉัน หอระฆัง ตลอดถึงสร้างวิหารเป็นที่
ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อทวด สถูปที่บรรจุอัฐิ
หลวงพ่อทวด กำแพงวัด ซื้อที่ดินขยายอาณาเขตของวัดไปทางทิศ
ตะวันตก และซื้อที่ดินตรงข้ามกับวัดซึ่งตั้งอยู่
คนละฟากทางรถไฟ จนวัดช้างให้เจริญวัฒนาจากวัดร้างที่ไร้พระภิกษุ
จำพรรษากลายเป็นวัดที่คนทั่วโลกต่างรู้จัก
ดั่งเช่นปัจจุบัน วัดช้างให้ราษฎร์บูรณารามได้รับพระราชทาน
วิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช
๒๕๐๐ ตามพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๗๔ ตอน ๑๕ หน้า
๔๕๑-๒๕๒ เขตวิสุงคามสีมา ยาว ๘๐ เมตร 
กว้าง ๔๐ เมตร   ( ขอบคุณ  ข้อมูลจาก อินเทอร์เน็ต  )

  ส่วนสถูปหรือมณฑปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวด มีรูปปั้นช้างหันหน้าเข้าหา
มณฑป ทั้ง ๒ ข้าง  เป็นสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอัฐิ
หลวงพ่อทวด ซึ่งอยู่ใกล้กับเขตพัทธสีมาที่ชาวบ้านเรียกว่า "เขื่อน
หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" หรือ
 "เขื่อนท่านเหยียบน้ำทะเลจืด" (คำว่าเขื่อนเป็นภาษาคนพื้นเมืองทาง
ภาคใต้ หมายถึงสถูปที่บรรจุอัฐิของผู้มีบุญ)
ซึ่งมีมาก่อนแล้วซึ่งสถูปแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวจังหวัด
ปัตตานีและใกล้เคียง มีผู้คนไปกราบไหว้บนบาน
อยู่เนืองนิจใครเจ็บไข้ได้ป่วยหรือวัตถุสิ่งของถูกขโมย หรือศูนย์หายก็
พากันไปบนบาน ณ ที่สถูปแห่งนี้ สำหรับสถูป
หรือมณฑปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวด 
    ส่วนวิหารสมเด็จหลวงพ่อทวด เป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปเหมือนของ
หลวงพ่อทอง ซึ่งมีขนาดเท่องค์จริง รูปแบบ
การก่อสร้างเป็นแบบก่ออิฐถือปูนทรงไทยสวยงาม  พวกเรา เข้าไป
วิหารนี้กราบไหว้หลวงปู่ทวด  และไปกราบสักการะ
สถูปมณฑปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวด  เพียงสองแห่งเท่านั้น  เสร็จแล้ว
ฉันกับจอย ก็เดินไปชมสถานีรถไฟ
ไปถ่ายไว้เป็นที่ระลึก  อากาศตอนนี้ร้อนมาก ๆ  มาเจอร้านขายมะพร้าว
เป็นลูก ๆ จอยอุดหนุนคนขายสองลูก  ให้ฉันกินลูกหนึ่ง 
เสียดาย กินเนื้อไม่ไหว เพราะต้องใช้ช้อน เลยดูดแต่น้ำมะพร้าวเท่านั้น 
มาชมภาพที่วัด ช้างให้  ค่ะ 



ไกด์กอล์ฟ ให้ความรู้เกี่ยวกัยความเป็นมาของ วัดช้างให้  ค่ะ 



เช็คอินที่นี่  เพื่อส่งให้กับ หน่วยงานของรัฐ เรื่อง โครงการ
ทัวร์เที่ยวไทย ค่ะ 



กราบสักการะหลวงปู่ทวดในวิหาร  ค่ะ 





ถ่ายกับป้ายชื่อวัดช้างให้ เป็นที่ระลึก ค่ะ 



ถ่ายที่สถานีรถไฟ วัดช้างให้  ไว้เป็นที่ระลึก ค่ะ 



ที่สถานีรถไฟ วัดช้างให้  ค่ะ 

เราอยู่ที่นี่ น่าจะประมาณชั่วโมงเดี่ยว  ก็ประมาณ11.30 น.ได้ขึ้นรถไป
สักพัก  รถก็เลี้ยวเข้า วัดมะกรูดนึกว่า จะมา
เที่ยววัดนี้ แต่ไม่ใช่ค่ะ  เขาพามาให้กินข้าวมื้อเที่ยง ค่ะ ข้าวร้านนี้ ตั้ง
ขายอยู่ในวัดมะกรูดนี้ ค่ะ  อาหารก็ออกแนวอาหารใต้ค่ะ
  นั่งโต๊ะตามเบอร์รถ  ของเรารถคันที่ 3  ก็นั่งโต๊ะ 3 ค่ะ  อาหารรสชาติ
ก็โอเค ค่ะ  แต่ฉันไม่ได้มาก  เพราะมื้อเช้ายังย่อยไม่หมดเลย ค่ะ 



อาหารมื้อเที่ยงของวันนี้ ค่ะ  

  กินอาหารมื้อเที่ยงที่นี่  เข้าห้องน้ำกันเรียบร้อยแล้ว  ก็เริ่มเที่ยวกันต่อ
ไป ไปที่จุดชมวิว  สะพานข้ามอ่างเก็บน้ำ
  เขื่อนบางลาง  แวะให้พวกเราถ่ายรูปกัน  ได้ชมทิวทัศน์สวยงาม ค่ะ



ทิวทัศน์สวยงามสะพานข้ามอ่างเก็บน้ำ เขื่อนบางลาง 



  จากที่สะพานนี้ เดินทางต่อไปอีกไม่ไกล  ก็แวะชมและถ่ายรูป สะพาน
แตปูซู  เป็นสะพานแขวนแบบพื้นไม้  มีความกว้าง
  1.8 เมตร  ยาวประมาณ 100 เมตร  ข้ามแม่น้ำปัตตานีสร้างในสมัย
อดีตกำนันตำบลอัยเยอร์เวง  คือ นาย มูเซ็ง แตปูซู
  พวกเราก็ลงไปสัมผัส  เดินที่สะพานไม้นี้  ซึ่งเวลาเดินมันก็โยกเยก นะ
มองไปที่ด้านล่าง คือ แม่น้ำปัตตานี  ถ่ายรูปกัน
 2-3 รูป  มาถ่ายกับป้ายชื่ออีก 



สะพานไม้  แตปูซู 









ป้ายชื่อของสะพาน  แตปูซู  สะพานแขวนแบบพื้นไม้ ค่ะ 

ระหว่างทางเราแวะเข้าห้องน้ำ มีรูปที่ปั้มน้ำมันสวยงามดี เลยถ่ายมาให้
ชม ค่ะ เป็นรูปเงาะป่า  ค่ะ 





ถ่ายรูปกับรูปปั้น  ทั้งเงาะซาไก และ ไก่เบตง ค่ะ 

รถแล่นผ่านต่อไป ผ่าน ป้าย  OK เบตง  ไกด์ก็จอดรถให้พวกเราลงไป
ถ่ายรูปกับป้ายที่ทาง เบตงจัดไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปค่ะ 










  
ไกด์พาไปช้อปปิ้งร้านปลอดภาษีซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณชายแดน เป็นของ
ประเทศมาเลเซีย  เป็นเขตชายแดนติดกับชายแดน
ไทยเรา  มีการถ่ายรูปคู่ป้ายใต้สุดแดนสยามอยู่ที่ปลายสุดบนทางหลวง
หมายเลข 410ห่างจากตัวเมืองประมาณ 7 กิโลเมตร 
เป็นแนวเขตแดนระหว่างอำเภอเบตงกับรัฐเปรัคประเทศมาเลเซีย  มี
เอกลักษณ์ลายเส้นแผนที่ประเทศไทยสีทองโดดเด่น
สลักบนป้ายหินอ่อน  รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและไม้ดอกไม้ประดับ
อันงดงาม   ในร้านปลอดภาษีนี้  ส่วนใหญ่คนที่ชอบ
ดื่มเหล้า ก็น่าซื้อ เห็นบอกกันว่า  ราคาถูกกว่าซื้อในไทยมากอยู่  ฉัน
ซื้อแต่ขนมโกลิโกะ ไกด์บอกว่า มาจากประเทศเกาหลี
กล่องใหญ่มี 10 กล่องเล็ก  ฉันซื้อไปสองกล่องคิดเป็นเงินไทย 
525  บาทมั้ง  ดูแล้วก็ไม่ถูก เมืองไทยขายเท่าไรก็ไม่ทราบเพราะไม่
เคยซื้อกิน  อิอิ  ซื้อเสร็จก็ไปถ่ายรูปกัน ค่ะ มาชมรูป ค่ะ 



ชายแดนที่ติดกับประเทศมาเลเซีย







อีกมุมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูป ค่ะ 

    วันนี้ โปรแกรมมีเพียงเท่านี้ ค่ะ  อาหารมื้อเย็นกินในโรงแรมที่พัก คือ
  โรงแรมคาเธ่ย์ เบตง ค่ะ  นัดกินกัน 6 โมงเย็น
  จอยคงฟังผิด บอกว่านัดกัน ทุ่มหนึ่ง  เลยนอนพักดูละครเพลิน  จน
ไกด์กอล์ฟโทรมาถาม จึงรู้ว่า  เขานัดกัน 6โมงเย็น  



อาหารมื้อเย็น กินที่โรงแรมที่พัก ค่ะ 

กินข้าวเสร็จแล้ว  ฉันกับจอยก็ขึ้นห้อง  อาบน้ำพักผ่อน ยังไม่ต้องจัด
กระเป๋าและของที่ซื้อ เพราะคืนพรุ่งนี้ เราก็นอนที่นี่ค่ะ



สภาพห้องนอน ใช้ได้ มีเครื่องสุขภัณฑ์พร้อม ค่ะ สะอาด ดี 
 
วันที่ 27 ส.ค. เช้านี้  นัดกินข้าวเช้า 7.30 น. ฉันกับจอยแต่งตัวเสร็จ
ตั้งแต่  หกโมงกว่า  เลยออกไปเดินเที่ยวบริเวณ
โรงแรมไปถ่ายรูปถนนหนทางของเมืองเบตง  ดูวิถีชีวิตร้านค้า  อ. เบตง
ดูเงียบสงบ  เราซื้ออาหารจากแม่ค้าที่จัดเป็นชุด
เพื่อขายให้คนมาใสบาตรพระ ฉันกับจอยก็ได้ใส่บาตรด้วย  เดินไปไกล
พอสมควร  เจอสละอินโด จอยซื้อไปน่าจะสองโล
160 บาท ถ้าจำไม่ผิดนะ  เดินไปเจอ  ร้านค้าร้านหนึ่ง เขารอใส่บาตร
พระ  จอยไปร่วมใส่บาตรด้วย  ใส่แต่ปัจจัย ไม่มีอาหาร
  เจ้าของบ้านชวนเราทำบุญกับเขาด้วย ดูเหมือนจะเป็นผ้าป่า  พวกเรา
ก็ร่วมปัจจัยอนุโมทนาบุญด้วย 
       
กลับถึงโรงแรม  ประมาณโมงหนึ่งแล้ว  แต่เขาไมได้จัดเป็นบุฟเฟ่  ต้อง
รอเวลาและคนกินมาเยอะ เขาจึงจะตั้งหม้อข้าวต้มหมู
ให้กิน  มีขนมเป็นแป้ง ๆ  มีซาลาเปา ไข่  ฉันว่า ไม่อร่อยสักอย่าง ฉัน
กินแต่ข้าวต้ม  พอดีจอยซื้อปาท่องโก๋มาให้ทุกคนกิน 
ตอนต้นซื้อถุงเดียว  พอเห็นคนชอบกิน ก็วิ่งไปซื้ออีกถุง ไปตั้งไว้ที่ชง
กาแฟ  สละที่ซื้อมา ก็แจกจ่ายให้เพื่อนที่โต๊ะกินข้าว
กินกัน แต่คนไม่ค่อยชอบกิน เพราะมันรสฝาด ๆ ฉันว่า สู้สละของไทย
เราไม่ได้  เพียงแต่ว่า มันไม่มีหนาม  แกะกินง่ายเท่านั้นเอง ค่ะ 
       
 วันนี้ล้อหมุน  8.30 น. ค่ะ สถานที่แรกที่ไปเที่ยว  ก็คือ อุโมงค์ ปิยะ
มิตร    (ที่ถูกต้อง ต้องเขียนว่า  ปิยมิตร  ไม่ต้องมี
สระอะ เพราะเป็นคำสมาส  ค่ะ )ไกด์ กอล์ฟ ไปจัดการซื้อบัตรเข้าชม
แล้วก็ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของอุโมงค์นี้
และนัดแนะเวลาในการเข้าชม   มารู้ความเป็นมาของอุโมงค์ค่ะ
       
 อุโมงค์ปิยะมิตร ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 บ้านปิยะมิตร 1 ตำบลตะเนาะแมเราะ
อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เข้าทางเดียวกับบ่อน้ำร้อนเบตง
และน้ำตกอินทสร อยู่เลยบ่อน้ำร้อนอีก 3 กิโลเมตรเป็นอุโมงค์ที่ผู้ร่วม
พัฒนาชาติไทย หรืออดีตกลุ่มโจรคายา เขต 2
เมื่อปี พ.ศ. 2519 ใช้หลบการโจมตีทางอากาศและสะสมเสบียง การ
สร้างใช้กำลังคน 40 - 50 คน ขุดเข้าไปในภูเขา
และใช้เวลาเพียง 3 เดือน จึงแล้วเสร็จ อุโมงค์มีความกว้าง 50-60 ฟุต
ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถจุคนได้เกือบ
 200 คน มีทางเข้าออกทั้งหมด 9 ทาง เชื่อมต่อถึงกันหมด ปัจจุบัน
เหลือ 6 ทาง ภายในมีสถานีวิทยุของ จคม.ห้องนอน
ห้องเก็บเสบียง มีซอกมีมุมให้เลี้ยวลัดเลาะ ด้านบนเป็นป่ารกมีต้นไม้
ใหญ่มากมายปกคลุม ยากแก่การค้นหาและถูกค้นพบ
โดยทหารฝ่ายรัฐบาล ในปัจจุบันได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว เปิดบริการ
ให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00 - 16.30 น. การท่องเที่ยว
อุโมงค์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง มีการติดตั้งไฟฟ้าตลอดแนวอุโมงค์
อากาศภายในเย็นสบายไม่อึดอัด บริเวณทางเข้า
สองข้างทางเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ และมีแอ่งน้ำที่ไหลมา
จากภูเขา ด้านนอกอุโมงค์ซึ่งเคยเป็นลาน
ฝึกทหารจัดให้มีนิทรรศการแสดงภาพและเรื่องราวประวัติศาสตร์ รวม
ถึงวิถีการดำเนินชีวิตในป่า นอกจากนี้ ยังมีเห็ด
และยาสมุนไพรจากป่าจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว

บริเวณทางเข้ามีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ให้ได้ไหว้สักการะขอ
พร  เดินมาอีกนิดจะเห็นซุ้มประตูพร้อมป้ายชื่อ
เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมจีน พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว
อยู่ตลอดเวลา โดยเสียค่าเข้าชมคนละ 40 บาท
    การไปชมอุโมงค์ปิยะมิตร ต้องเดินเท้าเข้าไป ใช้เวลาประมาณครึ่ง
ชั่วโมงจะถึงตัวอุโมงค์ โดยจัดทำเป็นเส้นทางเดิน
แบบบันไดตลอดเส้นทางภายใต้ร่มเงาของพรรณไม้กำบังแดดได้เป็น
อย่างดีเดินไปอาจมีเหนื่อยบ้าง ระหว่างทาง
ก็จะมีจุดแวะต่างๆ กว่าจะเดินมาถึงอุโมงค์เหนื่อยนิดหน่อยพอได้เหงื่อ
  ทางเข้าอุโมงค์มีหลายทาง โดยเรียกชื่อ อุโมงค์
ที่ 1 2 3 4 5 6  โดยมีทางออกทั้งหมด 6  ทางกระจายไปตามจุดต่าง ๆ
 จะเลือกเข้าชมอุโมงค์ไหนและออกตรงจุดไหนก็ได้
แต่แนะนำให้ไปออกที่ทางออกอุโมงค์ ที่ 1 ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่ใกล้
ที่สุดสำหรับเดินไปชมต้นไม้พันปีต่อ   
 ตลอดอุโมงค์จะพบเห็นร่องรอยของการดำเนินชีวิตที่ยังคงหลงเหลือ
อยู่ เช่น ห้องนอนที่มีเตียงดิน ก่อติดกับผนัง
อุปกรณ์ในการสู้รบ และเครื่องไม้เครื่องมือในการเดินป่า รวมทั้งห้อง
บัญชาการรบ ซึ่งจุคนได้ถึง 200 คน  อุโมงค์
ปิยะมิตร เปิดบริการให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.00 – 16.30 น.
เสียค่าเข้าชมคนละ 40 บาท




ภาพบรรยากาศตอนเช้าที่อำเภอเบตง ค่ะ 



ถ่ายรูปหน้าทางเข้าอุโมงค์ ปิยะมิตร  ค่ะ 



ไกด์กอล์ฟ อธิบายเส้นทางในการเข้าชมอุโมงค์ ค่ะ  



ถ่ายรูปหมู่เพื่อเช็คอินส่งรัฐ โครงการ ทัวร์เที่ยวไทย ค่ะ



ทางเดินเข้าอุโมงค์  ค่ะ 









นิทรรศการในอุโมงค์ที่จัดเล่าเรื่องราวของพวกกู้ชาติ 





หน้าถ้ำ ที่ 3 ที่เราเข้าไป ค่ะ 






 


ภายในอุโมงค์  มีต้นไม้ต้นใหญ่ ๆ มากมาย ร่มรื่น เย็นสบาย ค่ะ 







ต้นไม้ยักษ์ไฮไลน์ของที่อุโมงค์ ค่ะ 











เจ้าแม่กวนอิมที่อยู่ด้านหน้าก่อนจะเดินทางเข้าถ้ำ ค่ะ 





ป้ายด้านหน้าของ การเข้าถ้ำ ปิยะมิตร ค่ะ น้องแต๋ว ถ่ายให้ ค่ะ 

พวกเราสนุกสนานอยู่ในอุโมงค์นี้ น่าจะไม่ต่ำกว่า ชั่วโมงครึ่ง ถึงจะ
เดินไกล แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะอากาศเย็นค่ะ
ออกจากที่นี่  ก็จะไปเที่ยวสวนบุปผา  แต่ต้องไปเที่ยวต่อในตอนที่ 2
เพราะเนื้อหาจะยาวเกินไป คนอ่านจะเหนื่อยไปเสียก่อนค่ะ 
พบการเที่ยว เบตง ในตอนที่ 2 ต่อไป นะคะ 
สวัสดี ค่ะ 



 

 


         



Create Date : 22 ตุลาคม 2565
Last Update : 31 ตุลาคม 2565 21:42:56 น. 31 comments
Counter : 460 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณกะว่าก๋า, คุณtoor36, คุณSweet_pills, คุณกิ่งฟ้า, คุณ**mp5**, คุณThe Kop Civil, คุณชีริว, คุณเริงฤดีนะ, คุณkae+aoe, คุณอุ้มสี, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณkatoy


 
สวัสดีครับ อาจารย์สุ
ตามมาเที่ยวด้วยครับ
วัดช้างให้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เบตง ผมไปเที่ยวตั้งแต่เป็นนักศึกษาฝึกงาน
สมัยนั้น ยังไม่มีทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ได้ไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน
ได้ไปไม่กี่ที่เองครับ




โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 31 ตุลาคม 2565 เวลา:22:34:52 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์

ตามอาจารย์ไปเที่ยวยะลาด้วยครับ
ผมเคยไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
ตอนนี้น่าจะพัฒนาไปเยอะมาก

ความทรงจำที่เด่นชัดที่สุดของผมเกี่ยวกับยะลา
น่าจะเป็นหลวงปู่ทวดนี่ล่ะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:41:52 น.  

 
อนุโมทนาบุญครับอาจารย์

แม่แจ่มผมยังไม่เคยไปเลยครับ
น่าจะสวยและอากาศดีกว่าในเมืองนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:15:37:25 น.  

 
เป็นปกติครับน้อยคนที่จะอยากเสียเงินเพิ่มพิเศษ แต่เพราะทุกคนก็คิดแบบนั้นมันเลยต้องแย่งกัน ดีที่ไม่แย่งสำเร็จนะครับ

ยะลาน่าเที่ยวครับ ถ้าไม่มีเหตุก่อการร้ายน่าจะมีคนไปเที่ยวกันมากกว่านี้ ผมมีเพื่อนเป็นคนท้องถิ่นหลายคน เขาเล่าในเรื่องที่ออกสื่อไม่ได้ น่าตกใจแต่อย่างที่บอกออกสื่อไม่ได้ ดังนั้นผมจึงไม่เล่าครับ ชาวบ้านไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกที่ทำให้มีปัญหาคือ เจ้าหน้าที่รัฐ (พูดเต็มที่ได้แค่นี้)

ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าเงียบสงบสวยงาม อาจารย์วิจารณืตรงดีครับ ไม่อร่อยก็คือไม่อร่อย พื้นที่แถบนั้นได้รับอิทธิพลจากทางจีนมากพอสมควรเหมือนกัน


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 1 พฤศจิกายน 2565 เวลา:16:04:18 น.  

 
เบตงยังไม่เคยไปขอตามอาจารย์มาเที่ยวด้วยนะคะ
พรุ่งนี้ต๋ามาเก็บรายละเอียดต่อค่ะอาจารย์



โดย: Sweet_pills วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:0:40:30 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:05:36 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์ คราวนี้เที่ยวไกลถึงใต้สุดแดนสยามเลยนะคะ อิอิ

มาเที่ยวด้วยเพลินเลยค่ะ รอติดตามตอน 2 ค่ะ


โหวต Travel Blog



โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:7:51:34 น.  

 
ตามครูมาเที่ยวใต้
ราคาทัวร์ถูกมากนะคะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:8:07:35 น.  

 
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ


โดย: **mp5** วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:18:45 น.  

 
สวัสดีครับอาจารย์
ผมเคยไปแค่วัดช้างไห้ กับตัวเมืองยะลา เบตงยังไม่เคยไปเลยครับ ตอนนั้นว่าจะไปกัน แต่กลุ่มเพื่อน ๆ บอกว่าไปแล้วกลัวจะมืด ขอไม่ไปดีกว่า ก็เลยนั่งรถกลับมานอนที่หาดใหญ่กันครับ
เดี่ยวนี้ที่ยะลามีสถานที่ที่ต้องไปเช็คอินเพียบเลยนะครับ


โดย: The Kop Civil วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:14:35:47 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

สิ่งเล็กๆมีความสำคัญมากๆในทุกๆเรื่องของชีวิต
ผมคิดว่าปรับใช้ได้กับทุกเรื่องเลยครับ
เป็นเรื่องของการใส่ใจในรานยละเอียด
เพราะถ้าเรามองแต่ภาพกว้าง ภาพรวมอย่างเดียว
บางทีก็อาจหลงลืมสิ่งสำคัญเล็กๆน้อยๆ
สุดท้ายก็อาจก่อความเสียหายได้เลยก็มีครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:20:13:49 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องจุลกฐินครับอาจารย์

และวันนี้ขอตามมาเที่ยวเบตงด้วยคน โอกาสไปเองยากนะเนี่ย

รถตู้นั่งแถวหน้าเสียเงินเพิ่มอีก อย่างแพงเลยครับ คิดว่านั่งเครื่องบิสสิเนสคลาส
แต่แถวหลังกระเทือนไม่ไหวจริงๆ
หลวงปู่ทวดเป็นพระสงฆ์ในตำนานที่มีชื่อเยงมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
จากปัตตานีเคยเดินทางเข้ามาที่อยุธยา วัดแคที่เกาะลอยอยุธยายังมีซากกุฏิหลวงปู่ทวดอยู่เลยครับ
เข้าวัดมะกรุดเพื่อกินอาหารใต้ สงสัยร้านลับรู้กันในท้องถิ่นครับ หรือไม่ก็จ่ายให้ทัวร์เยอะ
ป้ายใต้สุดสยามเท่สุดๆเลยครับ จุดนี้ยังไม่เคยไปถ่ายเลย แต่เหนือสุดแดนสยามที่แม่สายไป 3-4 รอบละ

ยะลาเป็นจังหวัดที่ไม่เคยไปครับ แต่เห็นว่าผังเมืองสวยมาก อยากไปสักครั้งเหมือนกัน
ช่วงสงครามอินโดจีน สงครามคอมมิวนิสต์ ขุดอุโมงค์กันเยอะเลย อุโมงค์ปิยะมิตรก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเป็นผลพลอยได้
ที่แบบนี้คนไม่ชอบที่แคบๆ ไม่ลงเลย แม่ผมคนนึงละ ส่วนใหญ่ไกด์จะเตือนก่อน
ต้นไม้ยักษ์เก่าแก่สวยงามเลยครับ สักพักคงได้เป็นรุกขมรดกของแผ่นดิน


โดย: ชีริว วันที่: 2 พฤศจิกายน 2565 เวลา:21:33:35 น.  

 
ต๋าขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ด้วยนะคะ
ขอบคุณอาจารย์สำหรับกำลังใจค่ะ

อาจารย์ได้นั่งรถตู้แถว 1
เวลาเราลงรถแล้วขึ้นมาใหม่ก็ได้นั่งที่เดิมใช่มั๊ยคะ
ดีจริงๆค่ะ

ทุกแห่งที่อาจารย์พาเที่ยวน่าไปเยือนมากค่ะ
ทั้งวัดช้างให้ เขื่อนบางลาง สะพานแตปูซู
ต๋าชอบรูปปั้นเงาะป่าด้วยค่ะ ใบหน้าร่าเริง
อุโมงค์ปิยะมิตรก็น่าสนใจมากนะคะมีต้นไม้ยักษ์สวยๆให้ได้ชม

คุณจอยน่ารักซื้อปาท่องโก๋กับสละวางให้ส่วนรวม
อาจารย์แข็งแรง เดินเก่งและตื่นเช้า
การตื่นเช้าทำให้มีเวลาชมบรรยากาศโดยรอบด้วยนะคะ

แล้วต๋าจะมาเที่ยวตอน 2 ต่อค่ะอาจารย์
อาจารย์นอนหลับฝันดีนะคะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา:0:17:44 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:02:16 น.  

 
ได้เที่นวปิดท้ายโครวการเที่ยวด้วยกันลงใต้ไปเบตง
อจ.สุวิมลรวดเร็วมาในการเข้านั่งรถตู้ค่ะ
เป็นอ้อคงกระเด็นไปอยู่กลางหรือเกือบท้ายรถ

กราบวัดช้างไห้ ไหว้หลวดปูทวด

สะพานไม้ แตปูซู แปลว่าอะไรคะ
สวยงามๆ


สบะอินโดควลูกโต..แต่ไม่หอมหวานเหมือนสละเมืองไทย
กำลังอ่านๆไล่ลงมาว่าจะได้กินข้าวมันไก่เบตง
ที่ร่ำบือว่าอร่อยหรือเปล่า

อุโมงปิยะมิตร..น่าตื่นเต้น
ต้นไทรใหญ่ บิ๊กเบิ้มจริงๆ

รออ่านตอนต่อไป ค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา:8:04:26 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ผมชอบคำคม
เพราะคำสั้นๆ
แต่ความหมายลึกซึ้ง
อ่านไปทบทวนไป
ได้ประโญชน์มากจริงๆครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา:21:19:20 น.  

 
สวัสดีค่ะ อาจารย์ ขอบคุณมากนะคะที่ไปให้กำลังใจบล็อกหมูย่างค่ะ

ดีใจที่เป็นอาหารโปรดของอาจารย์นะคะ เมนูนี้อร่อยจริงๆค่ะ

หลับฝันดีค่ะ



โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา:23:37:10 น.  

 
มาส่งอาจารย์เข้านอนค่ะ
ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่แวะตอบคำถามต๋า
อาจารย์นอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา:23:51:18 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:36:44 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ภาษาอังกฤษผมก็ไม่แข็งแรงครับอาจารย์ 555
เป็นอย่างหนึ่งที่ผมเสียดายมากเลย
ก็คือตอนเด็กไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศนี่ล่ะครับ
ตอนนี้ผมอยากเรียนทั้งหมดเลย ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น จีน
ถ้าได้สามภาษานี้
ผมคงสนุกมากๆเลยครับ

ตอนนี้ในโรงเรียนชอบตั้งเป็นห้อง gifted
คือนำนกัเรียนทีเ่รียนเก่งมาไว้ห้องเดียวกัน

ถ้าสมัยผมก็เรียกห้องคิง
แต่ตอนมัธยมผมเรียนห้องบ๊วยครับ 5555

อนุโมทนากับสิ่งดีดีที่อาจารย์ได้ทำโดยตลอดด้วยครับ
อาจารย์ยังคงเป็นครูอยู่ตลอดเวลาจริงๆครับ






โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 พฤศจิกายน 2565 เวลา:13:55:58 น.  

 
ตามมาเที่ยวกับครูด้วยค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 5 พฤศจิกายน 2565 เวลา:1:29:24 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 พฤศจิกายน 2565 เวลา:6:17:37 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ข้อคิด คำคม ประโญคสั้นๆ
เป็นแนวหนังสือที่ผมชอบมากเป็นพิเศษเลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 พฤศจิกายน 2565 เวลา:21:10:35 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:41:38 น.  

 
ผมจำความรู้สึกไม่ได้แล้วครับ
ตอนที่เขียนงานชุดนี้
แต่ตอนนี้ที่รู้สึกได้คือ
สังขารของผมก็ใช่ว่าจะแข็งแรงครับ
ปวดเข่า ปวดข้อเท้ามาหลายเดือน
ยังไม่หายขาดสักทีครับ

บวกรวมกับเวลาคุยกับเพื่อน
ทุกคนที่แต่ความป่วยไข้เป็นเพื่อนในยามนี้ครับ
เด็กถาปัตย์สะสมโรคเก่งกันทุกคน
ทั้งเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ 555

เวลาเจอกันไม่ถามถึงเรื่องอื่นเลยครับ
เรื่องสุขภาพมาก่อนเลย 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:22:06 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:04:25 น.  

 
ขอให้การรักษาราบรื่นครับอาจารย์
นิ่วตอนนี้อาจจะรักษาด้วยวิธีอื่นด้วย
ที่ไม่ต้องผ่าตัด ญาติมาดามเพิ่งไปทำมา
ใช่คลื่นอะไรสักอย่างสลายได้ครับ

ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 พฤศจิกายน 2565 เวลา:20:50:36 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:46:55 น.  

 

แวะมาส่งการบ้านตะพาบ 314:Lie To Me ค่ะ

สุขสันต์วันลอยกระทง


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 8 พฤศจิกายน 2565 เวลา:8:11:29 น.  

 
สุขสันต์วันลอยกระทงคะอาจารย์..

ตามมาอ่านเที่ยวภาคใต้ด้วยคะ..

น่าสนุก ไปกันหลายๆคน..



โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 8 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:55:32 น.  

 
ดีใจกับอาจารย์ด้วยครับ
ที่ไม่ต้องผ่าตัด
ขอให้รักษาหายขาดโดยเร็วครับ



ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 พฤศจิกายน 2565 เวลา:21:52:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space