|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
 |
|
ทริปทัวร์วัดในจังหวัด ระนอง พังงา ค่ะ |
|
ทริปทัวร์วัดในจังหวัด ระนอง พังงา ค่ะ
ทริปนี้ จอยไลน์มาบอกว่า พระอาจารย์แหลม รับนิมนต์จะไปทำพิธีเบิกเนตรหลวงพ่อโสธร ที่มีผู้สร้างเพื่อนำไปถวายวัดปาโมกข์ที่จังหวัด พังงา ในวันที่ 19 เม.ย. จอย วางแผนว่า ออกรถจากกรุงเทพฯ วันที่ 17 แล้วแวะเที่ยว เกาะพยาม ที่จ.ระนอง และหลังจาก ทำพิธีเสร็จที่วัดป่าโมกข์แล้ว ก็จะไปเที่ยวต่อถึง อ.เบตง ให้ทุกคนเตรียม เสื้อผ้าไป 7 ชุด แต่ไม่รู้ว่า จอยประสานกับพระอาจารย์แหลมอย่างไร ไปรู้เอาตอนออกเดินทางแล้ว ว่า พระอาจารย์ ต้องกลับวัดนาคูณ ซึ่งท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ต้องกลับถึงวัด วันที่ 20 เพราะ 21 ท่านติดกิจนิมนต์ฉันเพล และ 22 ท่านติดกิจสวดมนต์ที่วัดธรรมกายอีก ดังนี้ ทริปนี้ จึงไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ จึงเป็นทริปที่ให้ชื่อว่า ทริปทัวร์วัดในจังหวัด ระนองและพังงา เพราะพระอาจารย์พาไปเยี่ยมเจ้าอาวาสที่วัดเพื่อนของท่าน น่าจะไม่ต่ำกว่า 5-6 วัด ดังนั้น จึงเป็นทริปที่ได้อิ่มบุญ ไม่อิ่มเที่ยว หอบเสื้อผ้ากลับบ้านที่เหลือ 3 ชุด ค่ะ เช้าวันที่ 17 จอยไปรับแต๋ว (ชาดา) ที่บ้านแสน แล้วก็ไปรับพระอาจารย์แหลม ที่วัด นาคูณ จ. ฉะเชิงเทรา จากนั้น ก็มารับฉัน แล้วไปรับเอมครบคน ออกจากคลองเตย ประมาณ 8.45 น. ฑูรย์ ขับรถขึ้นทางด่วนไป ประมาณ 9.15 น. แวะปั๊มน้ำมัน กินข้าวมื้อเช้า เพราะพระอาจารย์ยังไม่ได้ฉันเช้า พวกเราก็กินด้วย ส่วนใหญ่สั่งข้าวมันไก่ มีฉันสั่งก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น ส่วนเอม ไม่กิน เพราะกินมาจากบ้านยังไม่หิว อาหารร้านนี้ค่อนข้างแพง ราคาแต่ละเมนู ไม่ต่ำกว่า 65 บาทขึ้นไป ขึ้นรถ จอยให้เก็บเงินกองกลางไว้ใช้ระหว่างทาง เรื่องกิน เรื่องเติมแก๊ส คนละ 3,000 บาท ( 4 คน 12,000 บาท) มื้อแรกสี่ร้อยกว่าบาท จากนั้น เดินทางต่อไปผ่าน เพชรบุรี ไปประจวบ ช่วงบ่าย ๆ ฝนตกหนัก เป็นช่วง ๆ ระหว่างทาง พระอาจารย์นัดคนที่วัดอะไรไม่ทราบขับรถมารับของฝาก จากท่าน คือ ไข่ น่าจะประมาณ 4-5 แผง และมะม่วง 2 ถุงใหญ่ 10 กิโล ได้ เรามาถึงจังหวัด ระนอง น่าจะประมาณ 17.00 น. ได้ ก็ถึงวัด เพื่อนเจ้าอาวาส พระอาจารย์แหลม ชื่อวัด ธรรมาวุธาราม อ. กะเปอร์ เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พระอาจารย์ทั้งสอง สนทนากันอย่างสนิทสนม ดีใจที่มีโอกาสได้พบกัน ฑูรย์ นำไข่ไก่และมะม่วงมาฝากเหมือนเดิมกับวัดแรก ค่ะ พระอาจารย์ เจ้าอาวาส เชิญชวนให้พวกเราพักที่วัด แต่รองเจ้าอาวาส เสนอว่า ไปพักที่รีสอร์ตของน้องสาวท่านดีกว่า สะดวกกว่า ไปพักฟรีเลย น้องสาวของท่านมานั่งรอต้อนรับพวกเรา อยู่แล้ว (แต่ในความเป็นจริง พระอาจารย์แหลม ก็จ่ายเงินให้ จอยเล่าให้ฟังตอนหลัง จ่ายค่าห้องห้องละ 500 บาท เป็น 1,000 บาท จอยนำเงินกองกลางใช้คืนพระอาจารย์ไป และถวายเงิน อีก 1,000 บาท ให้พระอาจารย์) ส่วนพระอาจารย์แหลมและฑูรย์นอนที่วัดนี้ ค่ะ


ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเป็นที่นิยมสร้างในสมัยนี้ คนไทยนิยมกราบไหว้ขอพร ในเรื่อง โชคลาภ ป้องกันภัย ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และเสริมดวง

นั่งสนทนากับเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส ค่ะ

รองเจ้าอาวาสและเป็นพี่ของ น้องณี ที่พาเราไปเช่า รีสอร์ตเขา ค่ะ

คนที่นั่งกลาง คือน้อง ณี ค่ะ
น้องสาวของรองเจ้าอาวาส เปิดร้านขายของ ชื่อ ป. การไฟฟ้า ส่วนรีสอร์ตเป็นของลูกสาว น้องสาวคนนี้ ได้ยินเขาเรียกว่า "ณี" ชื่อเต็มไม่ทราบ ค่ะให้การต้องรับพวกเราดีมาก ขับรถพาพวกเราไปร้านอาหาร เมย์ ซึ่งที่นี่เขาบอกว่า อาหารอร่อย ไม่แพงเว้อเกิน โดยขับรถนำหน้ารถตู้เรา ไปที่ร้านอาหาร ค่ะ ร้านอาหาร เมย์ ไม่ไกลจากวัดนัก ประมาณ 15 นาที ก็ถึงร้านอาหาร มาชมบรรยากาศของอาหารมื้อเย็น ค่ะ

อาหารมื้อเย็น เป็นมื้อใหญ่มื้อเดียวของทริป นี้ ค่ะ


รออาหารตามที่เราสั่งไป ค่ะ

อาหารมาแล้ว วานให้น้องที่ร้านถ่ายรูปหมูให้พวกเรา ค่ะ
ขณะที่กินข้าวอยู่ มีคนมาแจ้งว่า ยางรถตู้เรา แบนไป 1 ล้อ และเป็นผู้ไปตามลูกน้องมาช่วยเปลี่ยนยางใหม่ (ยางสำรอง) น่ารักมาก มีน้ำใจดี จริง ๆ ต้องขอบใจเขามาก ๆ ถ้าไม่มาบอก ขับไป อาจจะเกิดอันตรายและถ้าไปกลางทางที่ไม่มีร้านซ่อม คงแย่และเสียเวลามาก เมื่อกินข้าวเสร็จ น้องณี ก็พาพวกเราไปส่งรีสอร์ต ชื่อ ดีดี รีสอร์ต ของ ลูกสาวเขา ไปรับกุญแจห้องแล้ว น้องณีมาส่งถึงห้องพักแล้วจึงขับรถกลับบ้าน ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ค่ะ มาถึงที่พัก มันมืดแล้ว ต่างคนต่างเข้าห้อง อาบน้ำพักผ่อน ดูโทรทัศน์ มีละครให้ดูด้วย
วันที่ 18 เม.ย. เช้านี้ จอยโทรมาถามว่า ตื่นแล้วยัง พร้อมไหม จะได้โทรหา คุณณี เขาจะมารับ ไปเดินตลาดเช้าที่ อ.กะเปอร์ กินข้าวเช้าเสร็จก็จะขับรถพาพวกเรา ไปวัด เพื่อขึ้นรถตู้ของเรา ประมาณ 7.30 น. คุณณี ก็ขับรถมารับพวกเราฉันเลยไม่ได้ถ่ายรูป รอบ ๆ รีสอร์ต ได้แต่ถ่ายรูปหมู่กันที่หน้าห้องพักไว้เป็นที่ระลึก


บ้านและบริเวณของบ้านพักเมื่อคืนนี้ ค่ะ
ตลาดเช้าที่ตลาด กะเปอร์ เป็นตลาดเล็ก ๆ ขายของกิน มีอาหารและขนม เป็นส่วนใหญ่ พวกเราเดินไป ดูของขาย เจอร้านสุดท้ายขายขนมจีนน้ำยา น้ำพริก ไข่ต้ม พวกเราตกลงกินร้านนี้ ฉันไม่กล้ากินขนมจีนเยอะ เพราะกลัวเสาะท้อง ผักก็กินเล็กน้อย ไข่ต้มกินเฉพาะไข่ขาว ไข่แดงให้ จอยกินแทน กินเสร็จก็มานั่งคุยกับชาวบ้านที่มาหาอาหารมื้อเช้ากิน เจอชาวบ้านซื้อไก่ทอดและข้าวเหนียว นั่งคุยกันพักใหญ่ ฉันก็เดินถ่ายรูปบริเวณนั้น มาฝากค่ะ วิถีชีวิตของคนที่นี่ ดูเรียบง่าย คุณณี เล่าว่า ที่นี่ ไม่ปลูกข้าว ซื้อจากที่อื่น ก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน มาชมบรรยากาศ ค่ะ


นั่งคุยกับชาวบ้าน

บริเวณลานกว้างหน้าตลาด ค่ะ

ร้านขนมจีนที่เรามากินเป็นมื้อเช้า ค่ะ

ถ่ายรูปป้าที่ขายมาด้วย ของเขาอร่อย ค่ะ

นี่เป็นตลาด เช้า กะเปอร์ มีร้านขายของไม่มากนัก

มีชาวบ้านมาซื้อของกิน ค่ะ
มาถึงวัด ฉันกับ แต๋วไปห้องน้ำก่อนขึ้นรถ ห้องน้ำเดินไกลเหมือนกัน ไปนั่งเอาของเก่าออก ตอนเดินทางนั่งรถ จะได้สบายท้องซึ่งเป็นปรกติของร่างกายฉัน ออกจากวัด ร่ำลา พระเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสแล้ว ก็ออกจากวัดแรกประมาณ 10โมงกว่า เดินทางต่อไป ค่ะ จอยพาไปนั่งเรือ คายัค ลำละ 500 บาท นั่งได้ 2 คน แต๋วชวนฉันไปนั่งเรือลำเดียวกับเขา พระอาจารย์กับฑูรย์นำรถไป เพื่อเอายางที่รั่วไปหาร้าน เพื่อ ปะยาง และพาพระอาจารย์ไปฉันเพลด้วย พวกเรารอเรือ ก่อนลงเรือ ก็ถ่ายป้ายชื่อท่าเรือไว้ด้วย



การล่องเรือที่ "สิเน่ ระนอง" (Sinee Ranong) เป็นกิจกรรมยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัส ธรรมชาติของทะเลอันดามันฝั่งระนอง ซึ่งมีความเงียบสงบ และยังคงความเป็นธรรมชาติไว้ได้ดี เรือที่นั่งนั้น เป็นเรือยาง มีคนพายให้เรา สถานที่ที่เป็นไป เรือจะพายไปตามลำคลอง ซึ่งน้ำในคลองนี้ คนพายเรือ อธิบายว่า เป็นน้ำที่มาจากทะเลอันดามัน มีน้ำขึ้น น้ำลง สองฝากฝั่ง มีต้นไม้มากมาย เป็นรากไม้สวยงาม ต้นไม้ใหญ่น้อย เขียวขจี มีนก มีลิง มีงูด้วย แต่ฉันเห็นแต่ลิง เท่านั้น มีเรือของพวกฝรั่งที่มาเช่าเรือยางเหมือนกัน หลายลำ คนที่พายเรือ พายไปก็อธิบายไป เราก็ถ่ายรูปกันไป แดดกำลังร้อนมากทีเดียว ให้ภาพเป็นการเล่าเรื่อง ค่ะ









ตรงนี้ คนพายเรือ มาจอดแล้วลุยโคลนไปถ่ายรูปจากบนบก ให้พวกเราทั้งสองลำ ค่ะ

พวกชาวต่างชาติ ก็มานั่งเรือ คายัค ชมธรรมชาติหลายลำ ค่ะ

น้ำในคลองดูไม่ใสสะอาด ค่ะ






หลังจากขึ้นจากเรือคายัคแล้ว พวกเราให้ค่าติ๊ปคนพายเรือลำละ 50 บาท (เงินกองกลาง) จากนั้นมานั่งรอรถฑูรย์ น่าจะประมาณ 20 นาทีได้ รถก็มา ตอนนั้นน่าจะบ่ายโมงกว่า กินมื้อเที่ยงจากข้าวกล่องที่ฑูรย์นำมาจากวัดตอนเช้ากัน
จากระนองก็ไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม เป็นสุสานของคนที่เสียชีวิตในตอนเกิด สึนามิ แถวนี้ อยู่ติดทะเล น้ำทะเลสวยมาก มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชาวบ้านและคนที่มาชมสุสาน จะมาถ่ายรูปที่นี่ ค่ะ มาทราบประวัติสักเล็กน้อย ค่ะ
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความสลดใจ จากทางใต้ของประเทศไทย มีผลกระทบกับจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สตูล ระนอง สร้างความเสียหายทั้งร่างกาย จิตใจ รวมทั้งทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จึงถูกสร้างขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีพิบัติภัยสึนามิ และเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงเหตุการณ์มหันตภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ชาวบ้านมักเรียก ที่นี่ว่าพิพิธภัณฑ์เรือส้ม-ฟ้า ตั้งอยู่ที่ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา สร้างบนพื้นที่กว่า 5 ไร่ กระทรวงวัฒนธรรม จัดพิธีเปิดอาคารเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 โดยอาคารจัดแสดง 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ส่วนจัดแสดงภายนอกอาคาร จัดแสดงเรือประมง 2 ลำ (สีส้มและสีฟ้า) ที่ถูกคลื่นซัดข้ามถนนมา อยู่บริเวณพิพิธภัณฑ์กว่า 2 กิโลเมตร เป็นสัญลักษณ์ ให้ระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นถึงความเสียหาย ความรุนแรงที่เกิดขึ้น 2. ส่วนบริการ คือ ส่วนที่เจ้าหน้าที่ให้บริการข้อมูล ขายของที่ระลึก และมีห้องฉายวีดิทัศน์เกี่ยวกับสึนามิ 3. ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ จัดแสดง 6 โซนนิทรรศการ เล่าเรื่องราวเชื่อมโยงกันไปตั้งแต่ โซน 1–6 เช่น การลำดับเหตุการณ์การเกิดสึนามิ การรับฟัง เรื่องเล่าจากผู้รอดชีวิตจากสัญชาตญาณของตนเอง ในขณะที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ บริเวณหมู่บ้าน น้ำเค็มจำนวน 7 ท่าน ความรู้เบื้องต้นของสึนามิ การเล่าเรื่องจากวัตถุ เช่น อุปกรณ์ เครื่องใช้ของโรงแรม อุปกรณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยว รถยนต์ รวมไปถึงการเรียนรู้และการป้องกันภัยในการเกิดเหตุในอนาคต นอกจากนี้ มีตลาดถนนคนเดินตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ขายผลิตภัณฑ์ของชุมชน อาทิ ปลาตากแห้ง กะปิ ฯลฯ จัดทุกวันเสาร์ เวลา 15.00–20.00 น. เปิดบริการทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์-อังคาร) เวลา 08.30-16.30 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่กล่าวมาทั้ง 3 ส่วน พวกเราไม่ได้เข้าไปชม ค่ะ อยู่แต่ชายทะเล (รวมรวมข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต)


ตรงนี้เป็นสุสานผู้เสียชีวิตที่เกิดจาก สึนามิ มีป้ายชื่อผู้เสียชีวิตด้วย ค่ะ






ทะเลที่นี่ สวยมากเลย ค่ะ



ออกจากที่นี่ ประมาณบ่าย พระอาจารย์พาไปอีกวัดหนึ่ง ชื่อว่า วัด ปัตติการาม พระอาจารย์ให้ฑูรย์ นำไข่และมะม่วงไปฝากเจ้าอาวาสเพื่อนท่าน เหมือนเดิม พวกเราไม่ได้ตามเข้าไป ฑูรย์ มาบอกว่า ให้ไปดื่มน้ำฟรี เพราะมีคาเฟ่ อยู่ภายในวัดด้วย (แต่ไม่ฟรี นะจ๊ะจ่ายเงินกองกลาง ค่ะ สงสัยหูฝาด) เลยไม่ได้ถ่ายรูปวัด นั่งรถไปร้านคาเฟ่ ซึ่งไม่ไกลจากที่นำของฝากไปให้เจ้าอาวาสของวัดนี้ เป็นคาเฟ่เล็ก ๆ จัดได้สวยงาม บรรยากาศดี ชื่อ ฟ้าฉาย (ชื่อเป็นภาษาจีนกำกับไว้ แปลว่าโชคดี มีลาภ) พวกเราสั่งน้ำปั่นกันคนละแก้ว เอมซื้อไอติมวอลล์แจกคนละแท่งมั้ง ถ่ายรูปกันสนุกสนาน บริเวณนั้น เป็นสวนผลไม้ของพ่อแม่เจ้าของร้านคาเฟ่ พักใหญ่ ตา ยาย เจ้าของสวน ก็มาหาลูกสาวที่ร้าน ได้นั่งคุยกัน คงคุยกันเรื่องทุเรียน เจ้าของสวน คุณตาก็ขี่รถเหมือยซาเล้งพาเอมกับ แต๋ว นั่งรถไปชมสวนทุเรียน ปรากฎว่า มีสุกกินได้แค่ลูกเดียว ลูกเล็ก ๆ เท่านั้น แกะออกมาแล้ว ฉันได้ชิมก่อนเพื่อน แต๋วก็ได้ชิม 1 พู เล็ก ๆ นอกนั้นแกะต่อไม่มีเนื้อทุเรียนอีก เอม เลยอดกิน จอยได้นิดหน่อยที่ติดจากพูของฉันไปเล็กน้อย เนื้ออร่อย หวานออกมันและ หนึบ ๆ มาชมรูปของเราที่ถ่ายบรรยากาศของคาเฟ่ ค่ะ


 ภายในร้านคาเฟ่ จัดได้วยงาม ค่ะ




พระอาจารย์แหลม เจ้าอาวาส วัดนาคูณ จ. ฉะเชิงเทรา ค่ะ




คุณตา เจ้าของสวนพาไปชมสวน ได้ทุเรียนมา 1 ผล และลูกอะไร ไม่ทราบค่ะ กลิ่นแรงมาก
อยู่ที่ฟ้าฉาย คาเฟ่ ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ออกเดินทางต่อไป หลวงพ่อ พาไปเที่ยว วัด ชื่อว่า วัดสุวรรณคูหา เรามาถึง มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยววัดนี้ มากมาย สังเกตจากรถบัสและรถต่าง ๆ ที่มาจอด ค่ะ มาทราบประวัติคร่าว ๆ ของวัดสักเล็กน้อย ค่ะ วัดสุวรรณคูหา ตั้งอยู่ที่ตำบลกระโสม อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา วัดถ้ำสุวรรณคูหา หรือ วัดสุวรรณคูหา เป็นวัดโบราณที่สำคัญของจังหวัดพังงา เป็นวัดที่มีความน่าสนใจและเป็นโบราณสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดพังงา บริเวณที่ตั้งของวัดเป็นภูเขา ซึ่งมีถ้ำขนาดใหญ่และขนาดเล็กจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีถ้ำน้อยใหญ่อยู่อีกหลายแห่ง ได้แก่ ถ้ำใหญ่ ถ้ำแจ้ง ถ้ำมืด ถ้ำแก้ว ถ้ำผึ้ง ถ้ำครัว และถ้ำบนซึ่งเป็นถ้ำสูงสุด แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไป ไหว้พระในถ้ำใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าถ้ำอื่นๆ วัดสุวรรณคูหามีถ้ำใหญ่อยู่ตอนล่างสุด มีพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานอยู่หลายองค์ องค์สำคัญที่สุดคือ พระพุทธไสยาสน์ที่มีความยาว 7 วา 2 ศอก ที่มีความสวยงามสมบูรณ์แบบ ลึกเข้าไปจากถ้ำใหญ่ จะเป็นถ้ำแจ้ง ถ้ำมืด และถ้ำแก้ว ซึ่งจะได้พบความงดงามของหินงอกหินย้อย ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมความมหัศจรรย์จากธรรมชาตินี้ได้ มีพิพิธภัณฑ์ซึ่งพระครู วินัย สารนิเทศ เจ้าอาวาสได้จัดทำไว้ บริเวณกุฏิ มีวัตถุโบราณต่าง ๆ ประมาณกว่าร้อยชิ้น นอกจากนี้ยังมีพระปรมาภิไธยย่อของพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์หลาย พระองค์อยู่ภายในถ้ำด้วย (ขอบคุณความรู้จากอินเทอร์เน็ต) มาชมภาพสวย ๆ งาม ๆ ที่พวกเราถ่ายมาให้ชม ค่ะ

ประตูทางเข้าถ้ำ ค่ะ

พระพุทธรูปที่ถ้ำใหญ่ ค่ะ




พระพุทธไสยยาสน์ องค์ใหญ่ที่สุดของถ้ำ นี้ค่ะ



บันไดที่จะขึ้นและลงไปยังถ้ำอีกช่วงหนึ่ง


มีราวบันไดให้เกาะเดินขึ้นไป ค่ะ ง่ายหน่อย








อยู่ที่วัดนี้ ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ไปเที่ยวชมอีกสถานที่แห่งใหม่หนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ชื่อว่า ถ้ำกู่ช้าง ค่ะ มาทราบประวัติของ ถ้ำกู่ช้าง สักเล็กน้อยค่ะ ถ้ำกู่ช้าง จังหวัดพังงา เป็นแหล่งโบราณคดีและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพังงา ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองพังงา ซึ่งมีภูมิประเทศที่รายล้อมด้วยภูเขาหินปูน และถ้ำหินธรรมชาติหลายแห่ง โดย "ถ้ำกู่ช้าง" ถือเป็นหนึ่ง ในถ้ำที่มีความสำคัญทั้งด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น
ประวัติความเป็นมา: ชื่อ "กู่ช้าง" หมายถึง สถานที่หรือสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องกับช้าง ตามความเชื่อของชาวบ้านในอดีต มีการเล่าขานกันว่าในอดีตถ้ำนี้เคยเป็นที่พักหรือที่ฝังซาก ของช้างศึก หรืออาจใช้เป็นสถานที่บูชาช้างที่มีบทบาทในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ถ้ำกู่ช้างเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ เช่น เศษภาชนะดินเผา เครื่องมือหิน และร่องรอยของการตั้งถิ่นฐาน มีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์บางส่วนในถ้ำ ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นชุมชน ในยุคก่อนประวัติศาสตร์หรือยุคโลหะ นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมฝาผนังยุคโบราณที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำในบางจุด เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึง ความเชื่อ ความศรัทธา และวัฒนธรรมของชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่นี้
ลักษณะทางธรรมชาติ: ถ้ำกู่ช้างเป็นถ้ำหินปูนขนาดกลาง ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงามตามธรรมชาติ มีทางเดินเข้าไปภายในได้สะดวกในบางช่วง และบางส่วนอาจต้อง ใช้ความระมัดระวังในการปีนป่าย
ถ้ำตั้งอยู่ใกล้ชุมชน และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและโบราณคดีที่เหมาะสำหรับ นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ความสำคัญทางวัฒนธรรม: ถ้ำแห่งนี้ถูกชาวบ้านเคารพนับถือ และในบางโอกาสจะมีการจัดพิธีกรรมหรือบวงสรวง ตามความเชื่อท้องถิ่น ชื่อ “กู่ช้าง” ยังสะท้อนถึงความผูกพันระหว่างชุมชนกับช้าง ซึ่งเป็นสัตว์สำคัญ ในวิถีชีวิตไทยมาแต่โบราณ (ขอบคุณ ความรู้ จาก ChatGPt) ค่ะ
























ออกจาก ถ้ำกู่ช้าง ก็มุ่งหน้าไปวัด ปาโมกข์ วัดที่หลวงพ่อแหลมได้รับนิมนต์มาเป็นผู้เบิกเนตร และสวดมนต์ ระหว่างทาง เจอแผงขายทุเรียนก็เลยแวะจอดซื้อ กิโลละน่าจะ 150 บาท มั้ง ซื้ออีกผลหนึ่ง สำหรับพรุ่งนี้ถวายเพล พระอาจารย์ ส่วนของพวกเราก็ให้เจ้าของแผง แกะให้กินตรงนั้นเลย ทั้งจอย เอม และ แต๋ว ชอบกินทุเรียนมาก ฉันก็กินได้พูใหญ่ 1 พู มั้ง และได้พูเล็กอีกพู ก็จอดแล้ว กินเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปวัดปาโมกข์เลย เป็นวัดที่พระอาจารย์ ได้รับนิมนต์มางาน ไปถึง มีคนที่มางานแล้ว รวมทั้งชาวบ้านด้วย มากมายนะ เจ้าหน้าที่วัดมั้ง ก็น่ารัก เชื้อเชิญเข้าไปศาลาที่จัดเลี้ยงแขกที่มางาน เรียกว่า เตรียมรับแขกอย่างเต็มที่ มื้อเย็นเลยอิ่มท้องด้วยอาหารวัด มีหมูทอดที่อร่อยกว่าเพื่อน นอกนั้นก็เป็นอาหารทางใต้ กินเป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง อิอิ สำหรับที่พักคืนนี้ เจ้าหน้าที่วัดช่วยแนะนำให้ ไปพักที่ ปลายหมอกรีสอร์ต ได้ที่พักติด ริมถนนเลย และเป็นครั้งแรกที่เจอปัญหาอย่างแรก เพราะเป็น การมาพักแบบ ไฮเทค จริง ๆ เจ้าของรีสอร์ตไม่ต้องเจอตัว ให้สแกนที่หน้าห้อง แล้วก็มีรหัส เปิดกล่องเล็ก ๆ ข้างประตู ในนั้นจะมีกุญแจวางไว้ให้เราไขประตูห้อง เข้าไปพัก พวกเราก็ล้วนเก่งเทคโนโลยีกันทั้งนั้น ลองผิดลองถูก โทรถามเจ้าของรีสอร์ตกันอยู่ พักใหญ่ ๆ กว่าจะได้เข้าห้องได้ เข้าห้องแล้า ก็มีปัญหาอีก คือเขา ให้เราสแกนจ่ายค่าห้อง ห้องละ 700 บาท จอยก็ทำตามที่เขาบอก แต่ก็สะแกนไม่ได้ โทรไปบอกเจ้าของ เขาเลยให้เปลี่ยนเป็นใช้พร้อมเพย์ จอยไม่มีพร้อมเพย์ส่วนฉันมี ก็เลยทำการโอน แทนจอย แต่ปรากฏว่า ไม่ได้ขึ้นชื่อใคร กลายเป็นตัวเลขหลายสิบหลัก ฉันเลยไม่กล้ากดยืนยัน ไม่รู้จะโดนดูดเงินไปไหม ในที่สุดก็ต้องให้เจ้าของรีสอร์ตบอกเบอร์บัญชีธนาคารมาให้โอน จึงสำเร็จได้ เฮ้อ ! เพิ่งเคยเจอ รีสอร์ตที่ไฮเทคขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เกิดขึ้น นะเนี่ย
วันที่ 19 เม.ย. เช้านี้ พวกเราตื่นสายหน่อย รอฑูรย์มาจากวัดมารับ น่าจะประมาณ 8.00 น. เขาแจ้งว่า ที่ว่าไม่ค่อยมีอะไรกิน มีข้าวต้มหมูแบบต้มไว้ ดูไม่น่ากิน แต่เมื่อวานเจ้าหน้าที่วัดได้บอกพวกเราว่า พรุ่งนี้เช้ามากินข้าวเช้าที่วัดเลยนะ มีของกินมากมาย กินไปถึงมื้อเที่ยงเลย สงสัยเจ้าฑูรย์ตื่นเช้า คนทำกับข้าว ทำอาหารยังไม่มา มั้ง ตกลงเราก็ไปหาร้านขายอาหารตามสั่งแถว ๆ นั้น ฉันกินเย็นตาโฟ ส่วนใหญ่กินก๋วยเตี๋ยว ของกินค่อนข้างเค็ม ฉันกินแต่เส้นและเครื่อง ขนาดขอน้ำซุปเติมแล้วนะ ยังเค็มเลย มื้อนี้กินไป น่าจะสี่ร้อยกว่าบาท จากนั้น พวกเราก็ไปที่วัด ประมาณเกือบ 9 โมงได้ ปรากฏว่า มีร้านที่เรียกว่าโรงทาน หลายร้าน ทั้งของกินเล่น ขนม ไอศกรีม กับข้าว ข้าวไข่เจียวขนมจีน เลือกกินมากมาย ค่ะ อร่อย มีหมูทอดด้วย ไม่น่าไปเสียเงิน กินมื้อเช้า แถมไม่อร่อยอีกด้วย อิอิ มาชมร้านโรงทานต่าง ๆ ค่ะ







กินข้าวเสร็จ ฉันก็ไปเดินรอบ ๆ วัด มีนางรำด้วย มารำต้อนรับเจ้าภาพที่มาทอดผ้าป่า นางรำเป็นคนในพื้นที่ที่จัดมารำต้อนรับ เดินชมเสร็จก็กลับมาที่โต๊ะ พิธีน่าจะเลทไป เพราะเจ้าอาวาสไปงานบวชก่อน มางานที่วัด มาชมบรรยากาศของพิธีการและคนในงาน ค่ะ





พิธีสงฆ์ ในการเบิกเนตร หลวงพ่อโสธร น่าจะเริ่มประมาณ 10 .30 น. ค่ะ มาชมภาพ ค่ะ


มีเณรและบวชชีพราหมณ์ ด้วยค่ะ




พระอาจารย์แหลม เริ่มพิธีเบิกเนตรองค์หลวงพ่อโสธร






จอยไปทำบุญแจกปัจจัยให้เณร ด้วย ค่ะ



พิธีทอดผ้าป่าต่อ และถวายเครื่องไทยทาน กรวดน้ำ ค่ะ
หลังจากงานพิธีเบิกเนตร สวดมนต์ และพระไปฉันเพลแล้ว กรรมการวัด ก็ช่วยจัดอาหารมาไว้บนโต๊ะ ให้พวกเราที่เป็นแขกมาร่วมงาน มีกับข้าว 4 อย่าง มีผลไม้ แตงโม หวานดี


อาหารที่จัดให้แขกที่มาร่วมทำบุญ ค่ะ
หลังอาหารแล้ว ก่อนไปขึ้นรถ เจอรถขายแตงโม ถูกจัง ผลละ 20 บาท ฉันว่าจะซื้อมาฝากเพื่อนบ้าน เพราะรสชาติหวานมากแต่คนขายบอกว่า ค้างได้แค่คืนเดียว เพราะมันแก่จัดสุกหมดแล้ว แม่ค้าเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันเลยซื้อแค่ผลเดียว เพราะเหลือผล ที่ค้างได้ 2 คืน จอยมาดูด้วย จู่ ๆ เขาก็ขอเหมาทั้งหมด น่าจะประมาณ 400 บาท แม่ค้าแถมให้ 7 ผลมีคนมาอยากซื้อบ้าง แต่โดนเหมาหมดแล้ว จอยใจดี แจกคนที่อยากซื้อ คนก็เลยมาเอาแตงโมเยอะเลย เมื่อได้ยินว่า แจกฟรี ของฟรีใครก็ชอบตามวิสัยมนุษย์ นั่นเอง สงสัยจอยจะไม่เหลือกลับบ้าน ห้าห้าห้า เราออกจากวัดนี้ไป น่าจะเที่ยงแล้ว พระอาจารย์ไปเยี่ยมเพื่อนเจ้าอาวาสของท่านที่วัดนารายณิการาม วัดนี้ มีพิพิธภัณฑ์ที่เจ้าอาวาสสะสมไว้และจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ มีของเก่ามากมาย เปิดให้เยี่ยมชมได้ ฑูรย์ นำไข่และมะม่วงไปถวายเจ้าอาวาสเหมือนทุกวัดที่ไปมาแล้ว ส่วนฉันเมื่อกราบพระเจ้าอาวาสแล้ว ก็เดินชมสิ่งต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ ถ่ายรูปมาให้ชม ค่ะ



พระอาจารย์ เจ้าอาวาสวัดนี้ให้การต้อนรับ ได้ข่าวว่า ท่านดูหมอแม่นมาก ค่ะ











ของในพิพิธภัณฑ์มีมากมาย ดูเก่าแก่ ท่านสะสมได้มากจริง ๆ ค่ะ
จากวัดนี้ ก็เดินทางไปอีกวัดหนึ่งเพื่อเยี่ยมเพื่อนเจ้าอาวาสของพระอาจารย์ วัดนี้ คือ วัด รมณีย์ จังหวัด พังงา นำของฝากท่านเจ้าอาวาสแล้ว ท่านเชิญพวกเรา เข้าไปนั่งด้านใน ได้ยินว่าท่านเป็นคนดูหมอเก่ง ดูเลขโทรศัพท์ ดูลายมือ แหม! เรื่องนี้ เป็นที่ถูกอกถูกใจของทุกคนเลย ค่ะ แบมือกันเป็นระวิง บอกเบอร์โทรให้ท่านทำนายทายทัก ฉันก็เอากับเขาด้วย ฉันถามเพียงคำถามเดียวว่า ฉันจะอายุยืนยาวไปขนาดไหน ท่านตอบว่า ไม่ต่ำกว่า 90 ปี จะเป็นลม ทำไมอยู่นานมากขนาดนี้ ตอนนี้เพียงเลข 7 ปลาย ๆ ก็เดินลำบาก ยักแย่ยักยันแล้ว เฮ้อ ! ท่านมีพระพิมพ์หลวงปู่ทวดแจกให้พวกเราด้วย คนละหลายองค์อยู่ ฉันก็ทำบุญไปด้วย ดูเหมือนมีฉันกับจอย 2 คนมั้งที่ใส่ปัจจัยลง ในขัน ถือเป็นการเช่าพระ ค่ะ อิอิ มาชมภาพ ค่ะ





จากวัดนี้แล้ว จอยจะพาไปลงเรือคายัคอีกที่ ที่มีชื่อว่า ป่าต้นน้ำ บ้านน้ำราด ที่ จ.สุราษฎร์ ตอนนั้นจะบ่าย 4 แล้ว ฝนก็ครื้มมาเชียว ฉันเตือนว่า อย่าไปเลย ก็ไม่เชื่อกัน ตีตั๋วเสร็จ ก็ไปห้องน้ำกัน ก่อนที่จะเดินไปลงเรือ ยังไม่ถึงด่านตรวจตั๋วเลย ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ต้องนั่งหลบอยู่ตรงด่านตรวจตั๋วซึ่งก็มีคนที่ไปไม่ได้อยู่อีกกลุ่มใหญ่ หมดสนุกเลย นั่งหง่าวกันอยู่ที่นั่นรอฝนซา ก็ไม่ซาสักที ถ่ายรูปก็แล้ว อากาศก็เริ่มเย็น ดีนะที่เอาผ้าพันคอผืนใหญ่มาห่มได้หายเย็นหน่อย เอม เห็นท่าไม่ดี บอกจอยให้ไปคืนตั๋วเถอะ ได้ครึ่งราคาก็ยังดี ให้จอยไปคุย กับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว พวกเรายังนั่นรออยู่ที่เก่า น่าจะประมาณ ครึ่งชั่วโมง แต๋วก็ชวนเดินกลับ เพราะจอยได้เงินค่าตั๋วคืนเต็มราคาแล้ว คนละ 70 บาท เดินฝ่าฝนที่ตกพรำ ๆ ดีที่ฉันใส่หมวกและมีผ้าพันคอ กว่าจะถึงรถที่จอด ก็เปียก แฉะ ไปตาม ๆ กัน แถมท้องก็เริ่มหิวอีกแล้ว ขนมของพระอาจารย์ในรถ น่าจะมีคนนำมาถวายพระอาจารย์ ได้ถูกนำมาแก้หิวกัน มีถั่วทอด อร่อยมาก แล้วก็มี ปั้นขลิบ อีก ยามหิว อร่อยทั้งนั้น อิอิ







มาถึงปั้มน้ำมัน ตอนนั้น ก็ประมาณ 5 โมงกว่า แวะปั๊มน้ำมัน หาข้าวกิน ฉันกับแต๋วและจอย กินข้าวแต่เอม ไม่กิน คงอิ่มหมูทอดที่นำมาจากวัดและปั้นขลิบ ฉันกับแต๋วกินข้าวคลุกกะปิ คนละจาน จอยน่าจะกินก๋วยเตี๋ยว ส่วนฑูรย์คงงอน เพราะโดนจอยดุเรื่องขับรถ แต่จอยก็เอาใจนะ ซื้อข้าวคลุกกะปิใส่กล่องไปให้ (ปรากฏว่า ฑูรย์ไม่กิน คงยังงอนไม่หาย ห้าห้า) อิ่มท้อง เข้าห้องน้ำกันเรียบร้อย เดินทางต่อไปหาที่พักคืนนี้ ได้ที่พัก ชื่อ บ้านคุณภูมิ รีสอร์ต จ. ชุมพร คืนละ 500 กับ 600 บาท ต่างกันที่เตียงเดี่ยวและเตียงคู่ เข้าห้องได้แล้วก็ต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าให้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้ เราจะกลับบ้านแล้ว

วันที่ 20 เม.ย. ฉันตื่นเช้า แต่งตัวเสร็จ ออกมาชมบรรยากาศของที่พัก เมื่อคืนมาถึงดึก ไม่เห็นอะไร เช้านี้ จึงมีโอกาสถ่ายรูปมาฝาก ค่ะ




หน้าบ้านพักเมื่อคืนนี้ ค่ะ


บรรยากาศของที่นี่ ร่มรื่น เขียวขจีดีมาก ค่ะ เสียดายไม่ได้เดินเล่น เพราะจะรีบเดินทาง

บ้านนี้เป็นทรงไทย จอยนอนที่ห้องนี้ ค่ะ

น่าจะออกเดินทาง ประมาณ 8.00 น. ข้าวเช้าไม่มีให้กิน จอยพาไป ล่องแพอีก ทริปนี้ มีแต่ลงน้ำตลอด ห้าห้า เอม บอกฉันว่า เขาจะไม่ล่องแพ นะ ถ้าฉันจะไปก็ไป ฉันก็ไม่ค่อยชอบล่องแพ เท่าไร ว่ายน้ำก็ไม่เป็น ก็เลยตกลง จะให้ จอยกับแต๋วไปล่องแพพวกเราจะรออยู่ที่บ้านที่เขาให้เช่าแพ ล่อง ปรากฏว่า ขับรถหลงทางไปเป็น 10 กิโลได้มั้ง เจอป้ายล่องแพ มาลิน ก็ขับตามกูเกิลแมพ ไป ถามชาวบ้านไป จนเจอ เจ้าบ้าน ครัวชาวแพ ร้านอาหารก็ปิด เรือแพทื่จะไปก็ต้องโทรถามว่า มีคนถ่อแพพาเทื่ยวไหม ราคา 1,500 บาท ฉันกับเอมเลยต้องไปด้วย เพราะมันแพง คงต้องใช้เงิน กองกลางจ่าย จอยขอร้องให้ฉันกับเอมไปด้วย ถึงเขาไม่ขอ ฉันกับเอมก็ต้องไปหารเฉลี่ย ด้วยอยู่แล้ว เจ้าของครัวชาวแพ ก็น่ารัก ไม่ได้เปิดร้านอาหาร เพราะพักผ่อนหลังสงกรานต์ คนคงมาเที่ยวเยอะ ล่องแพเยอะ แต่วันนี้ มีเราเจ้าเดียว เจ้าของ ครัวชาวแพ ก็ทำข้าวผัดให้พวกเราและทำอาหาร น่าจะ 3-4 อย่าง ถวายพระอาจารย์ฉันด้วย เหลือจากที่ฉันแล้ว ก็มาถึงพวกเรา กินกับข้าวผัด แถมให้เจ้าของร้าน ทอดไข่เจียวร้อน ๆ ให้พวกเราอีกมื้อเช้าก็อร่อยด้วยประการเช่นนี้แล อิอิ และไม่เก็บค่าอาหารพวกเราอีกด้วย ขอบใจมาก จ้ะ



แอบเข้าไปถ่ายรูปเจ้าของบ้านทำอาหารให้พวกเรากิน


บรรยากาศรอบ ๆ ครัวชาวแพ ค่ะ เขียวชอุ่ม อากาศดีมาก ค่ะ

พระอาจารย์แหลม ฉันเช้า ค่ะ



หลังจากอิ่มข้าวแล้ว ก็ลำบากอีก ต้องไปเปิดกระเป๋า นำเสื้อผ้าเก่ามาเปลี่ยนเพื่อลงน้ำ เพราะไม่ใช่เหมือนเรือ คายัค แพ นั้น เปียกแน่นอน เข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดเก่า เพื่อจะลงแพ ช่วงนี้ น่าจะ 10 โมงแล้วนะ แดดกำลังแรงเชียว ลงแพแล้ว ก็ล่องไปตามลำน้ำ สองข้างทางก็เป็นธรรชาติ มีแต่ต้นไม้สองฟากฝั่ง ลมโชยมาเบา ๆ คลายร้อนจากแดดที่เผาเราได้บ้าง ใส่หมวกใบเดียว ขาก็แช่น้ำ กล้องของจอยถ่ายกล้องเดียว เพราะกล้องเขา กันน้ำได้ ฉันไม่ได้เอากล้องไป กลัวกล้องถูกน้ำเสียหาย จอยและแต๋วมีความสุขมากที่สุด เพราะทั้งสองคนชอบว่ายน้ำ โดยเฉพาะจอย ดำผุดดำว่าย อย่างมีความสุข เรือไปจอดที่ตื้น ๆ ฉันกับเอมก็ลงไปแช้น้ำเฉยๆ ไม่ได้ว่ายกับเขา เหมือนจอยและแต๋ว มาชมบรรยากาศขอการล่องแพ ค่ะ


















ขึ้นจากแพ มาต่อรถปิ๊กอัพประมาณ 3-4 กิโลมั้ง มาถึงครัวชาวแพ ก็ต้องไปอาบน้ำเปลี่ยน เสื้อผ้าใหม่ หาถุงใส่เสื้อผ้าที่เปียก อัดใส่กระเป๋าอีก วุ่นวายมากทีเดียว กว่าจะออกจากที่ครัวชาวแพ ก็น่าจะบ่ายโมงแล้ว เดินทางต่อ ไม่ได้กินข้าว กินแต่ขนมของพระอาจารย์แหลม ตีรถกลับกรุงเทพฯเลย จอยขอเก็บค่ารถ ค่าติ๊บ อีก 1,500 บาท รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ 4,500 บาท ให้ค่าติ๊บคนละ 500 บาท 4 คน 2,000 บาท รถเข้ากรุงเทพฯ ก็ดึกมาก กว่าจะมาส่งฉัน เอม พระอาจารย์ แหลม คงต้องตี 3 มั้ง จอยแก้ปัญหา โดยให้น้องชายวรรณ ชื่อ จอ มารับฉัน เอม แต๋ว แถว ๆ ไหน ก็บอกไม่ถูก ถ่ายกระเป๋าของทุกคน มาที่รถ กระบะ ให้ฑูรย์ ไปส่งพระอาจารย์ที่ ฉะเชิงเทราเลย แล้วจอ มาส่งฉัน เอม จากนั้น ไปส่งแต๋วที่ บางแสน กว่าจะถึงบ้านฉัน ก็เที่ยงคืนพอดี เหนื่อยมาก หิวด้วยเพราะวันนี้กินแต่ขนม ทั้งมื้อเที่ยงและเย็น หาของกินพวกขนมในตู้เย็นกินไป พรุ่งนี้เช้าค่อยหากินมื้อหนัก ให้อร่อย ทริปนี้ เที่ยววัดหลายวัด ดังที่เล่าให้อ่านแล้ว อิ่มบุญ ค่ะ ไม่อิ่มเที่ยว และเป็นทริป ที่เที่ยวแต่น้ำมากที่สุด ค่ะ ที่เที่ยวที่วางแผนจะไป ไม่ได้ไปเลย ค่ะ จบทริปทัวร์วัดในจังหวัด ระนองและพังงา ค่ะ สวัสดี ค่ะ
Create Date : 04 พฤษภาคม 2568 |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2568 22:10:28 น. |
|
26 comments
|
Counter : 620 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณSleepless Sea, คุณกะว่าก๋า, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณอุ้มสี, คุณหอมกร, คุณnewyorknurse, คุณดอยสะเก็ด, คุณmultiple, คุณร่มไม้เย็น, คุณtanjira, คุณNior Heavens Five, คุณสองแผ่นดิน, คุณชีริว |
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 พฤษภาคม 2568 เวลา:5:53:34 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 พฤษภาคม 2568 เวลา:18:27:43 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 6 พฤษภาคม 2568 เวลา:19:05:17 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 7 พฤษภาคม 2568 เวลา:4:45:25 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 7 พฤษภาคม 2568 เวลา:4:57:02 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 พฤษภาคม 2568 เวลา:5:35:12 น. |
|
|
|
โดย: tanjira วันที่: 7 พฤษภาคม 2568 เวลา:12:47:52 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 พฤษภาคม 2568 เวลา:14:45:04 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 พฤษภาคม 2568 เวลา:5:45:32 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 พฤษภาคม 2568 เวลา:10:42:27 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 8 พฤษภาคม 2568 เวลา:12:04:59 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 พฤษภาคม 2568 เวลา:5:04:30 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 9 พฤษภาคม 2568 เวลา:13:32:46 น. |
|
|
|
โดย: babyL' วันที่: 9 พฤษภาคม 2568 เวลา:14:03:37 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 9 พฤษภาคม 2568 เวลา:19:18:50 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 พฤษภาคม 2568 เวลา:5:05:51 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 10 พฤษภาคม 2568 เวลา:19:01:35 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 10 พฤษภาคม 2568 เวลา:20:35:22 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 พฤษภาคม 2568 เวลา:6:13:50 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 1 มิถุนายน 2568 เวลา:19:19:42 น. |
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | Smember |  | ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]

|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
 |
|
ไม่เพียงเดินทางไกลไปเที่ยว
แต่ยังได้ทำบุญด้วย
เรียกว่าได้พักผ่อนทั้งทางกายและทางใจเลยครับ