2 วัน 1 คืน เชียงราย ทริปไหว้พระ 5 วัด ณ เมืองเหนือสุดแดนสยาม
สถานที่ท่องเที่ยว : วัดร่องเสือเต้น, เชียงราย Thailand พิกัด GPS : 19° 55' 26.75" N 99° 50' 30.35" E
ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริปเที่ยวภาคเหนือ ตั้งแต่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และไปจบที่เชียงรายครับ สำหรับก่อนหน้านี้ผมได้รีวิวในส่วนของเชียงใหม่ และลำพูนไปแล้ว ในบล็อกนี้ผมเลยจะมารีวิวที่เชียงรายกันต่อ แต่จะเป็นการเที่ยวเฉพาะในเขตอำเภอเมืองเชียงรายเท่านั้น และเป็นการเดินทางด้วย grab ทั้งหมดครับ และในทริปนี้จะเน้นเที่ยววัดตัวเมืองเชียงราย ซึ่งเราไปได้ทั้งสิ้น 5 วัด จะเป็นวัดอะไรบ้าง มาชมกันเลยครับ
รู้จักกับจังหวัดเชียงราย
เชียงรายเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทยครับ ในอดีตที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณที่ชื่อว่า หิรัญนครเงินยางเชียงแสน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณอำเภอเชียงแสนในปัจจุบัน แต่สำหรับบริเวณตัวเมืองเชียงรายที่เราจะมาเที่ยวกันในบล็อกนี้ ถูกก่อตั้งขึ้นในสมัย พญามังราย เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรล้านนาในช่วงแรกๆ ก่อนจะย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่บริเวณเมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา ในปี พ.ศ.2101 เมื่อล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของ เชียงรายก็เป็นส่วนหนึ่งของพม่าเรื่อยมาเป็นระยะเวลากว่า 200 ปี จนในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณหัวเมืองล้านนาก็เป็นพื้นที่แย่งชิงอำนาจระหว่างสยามกับพม่า ทำให้เมืองเชียงรายเริ่มร้างผู้คน ประชาชนอพยพหนีภัยสงครามไปอยู่เมืองอื่น บ้างก็ถูกกวาดต้อนลงไปทางใต้ จนเมื่อปี พ.ศ. 2347 เมืองเชียงแสนฐานที่มั่นสุดท้ายของพม่า ถูกกองทัพเชียงใหม่ ลำปาง และน่านตีแตก เมืองเชียงรายจึงกลายสภาพเป็นเมืองร้าง จนกระทั่งเชียงรายถูกฟื้นฟูขี้นมาใหม่อีกครั้งในสมัยรัชกาลที่สาม
ปัจจุบัน เชียงรายได้ชื่อว่าเป็น เมืองแห่งศิลปะ ครับ เพราะเป็นบ้านเกิดของศิลปินแห่งชาติใม่ว่าจะเป็น อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ซึ่งท่านทั้งสองได้สร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงราย เช่น วัดร่องขุ่น, หอนาฬิกาเมืองเชียงราย รวมทั้ง พิพิธภัณฑ์บ้านดำ อีกด้วย
แผนเที่ยว
วันที่หนึ่ง - เดินทางจากสถานีขนส่งอาเขต จังหวัดเชียงใหม่ไปยังเชียงรายด้วยรถเมล์เขียว (green bus)
- เช็คอินเข้าที่พัก (ตงเซียม)
- บ่าย: เที่ยววัดร่องขุ่น, วัดห้วยปลากั้ง และวัดร่องเสือเต้น
- เย็น: เดินเล่นชมหอนาฬิกาเชียงราย
วันที่สอง - เช้า: เที่ยววัดพระสิงห์ และวัดพระแก้ว
- บ่าย: เดินทางกลับกรุงเทพด้วยสายการบินนกแอร์ (DD105)
ที่พัก
ทริปนี้ผมพักที่โฮสเทลที่ชื่อว่า ตงเซียม (Tongsiam) ครับ ข้อดีของที่นี่คืออยู่ใจกลางเมืองเชียงรายเลย จะเดินทางไปไหนก็ง่าย ใกล้แหล่งของกิน ราคาถูกมากด้วย ผมเลยเลือกห้องที่แพงที่สุดไปเลย เป็นห้องเตียงใหญ่พร้อมระเบียง ราคาอยู่ที่ 630 บาทครับ โดยรวมก็พอใจ คุ้มค่า คุ้มราคาครับวันที่หนึ่ง ทริปนี้ผมเริ่มต้นจาก สถานีขนส่งอาเขต ที่เชียงใหม่ครับ เราออกเดินทางแต่เช้าเพื่อขึ้น รถเมล์เขียว หรือ green bus ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ โดยตอนที่ผมไปช่วงนั้นเป็นวันธรรมดา เราเลยไม่ได้จองตั๋วอะไรไว้ล่วงหน้า มาซื้อที่หน้างานเลย แต่ถ้าใครไปช่วงนี้ โดยเฉพาะถ้าเป็นวันหยุด ผมแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าครับ
ปัจจุบันการซื้อตั๋ว green bus ทุกเส้นทางสามารถซื้อผ่านเว็บไซต์นี้ https://fairfair.co.th/
การเดินทางจากเชียงใหม่มายังเชียงรายจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ค่ารถ 279 บาท รถจะมาส่งที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจีงหวัดเชียงราย จากตรงนี้สามารถเดินไปโฮสเทลหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ไปก็ได้ครับ (เนื่องจากผมมีสัมภาระ ผมเลยตัดสินใจเรียก grab) พอเช็คอินเข้าที่พักเสร็จ ผมก็เรียก grab ไปเที่ยวที่ วัดร่องขุ่น โดยค่ารถจากในตัวเมืองเชียงรายจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาทครับ
วัดร่องขุ่น หรือที่ชาวต่างชาตินิยมเรียกว่า White temple เป็นวัดที่สร้างและออกแบบโดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 และยังคงก่อสร้างอยู่มาจนถึงในปัจจุบัน
สิ่งที่เป็นจุดเด่นที่สุดของวัดนี้คือ พระอุโบสถสีขาว ซึ่งมีความหมายที่หมายถึงพระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า
ก่อนเข้าสู่พระอุโบสถจะมีสะพาน ที่เปรียบเสมือนการเดินข้ามวัฏสงสารเข้าสู่พุทธภูมิ
อีกจุดเด่นของวัดร่องขุ่นคือ ห้องน้ำครับ ว่ากันว่าที่นี่เป็นห้องน้ำที่สวยที่สุดของประเทศไทยเลย
ถ้าใครมาวัดร่องขุ่นแล้วยังพอมีเวลา ผมแนะนำให้เดินต่อไปที่ด้านหลังของวัดครับ เราจะเจอกับ ถ้ำศิลป์ หรือ Cave of art ซึ่งเป็นจุดเช็คอินใหม่ที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย (มีค่าเข้าชม 50 บาท) แนวคิดของถ้ำสื่อถึง ความทุกข์ โดยประตูที่มีผียืนอยู่ และเมื่อผ่านพ้นความทุกข์ไปก็จะเข้าสู่ความสุขและสรวงสวรรค์พุทธภูมิและเกิดความสงบหลุดพ้น หลังจากชมวัดร่องขุ่นแล้ว ผมก็กดเรียก grab เพื่อไปต่อที่ วัดห้วยปลากั้ง ค่ารถจากวัดร่องขุ่นจะอยู่ที่ประมาณ 170 บาทครับ วัดห้วยปลากั้ง เป็นวัดที่ก่อตั้งในปี พ.ศ.2544 โดยในช่วงแรกที่นี่เป็นแค่สำนักสงฆ์ก่อน ต่อมาในปี พ.ศ.2552 จึงได้รับการประกาศให้เป็นวัดโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
สิ่งที่ตั้งเด่นเป็นสง่าสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นคือ องค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ ที่มีขนาดความสูง 69 เมตร โดยองค์เจ้าแม่กวนอิมจะอยู่บนเนิน ต้องเดินขึ้นบันไดไปให้พอได้เหงื่อ แต่ถ้าใครข้อเข่าไม่ดี ที่นี่ก็มีรถรับส่งห้บริการถึงด้านบนเลยครับ
นอกจากนี้ ที่วัดห้วยปลากั้ง ยังมีมหาเจดีย์ 9 ชั้นที่ด้านในเป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิมหลายปาง ซึ่งแต่ละปางก็จะขอพรแตกต่างกันไป เช่น เจ้าแม่กวนอิมปางเภสัช สำหรับขอพรในเรื่องของการเจ็บป่วยให้หาย, เจ้าแม่กวนอิมปางปราบมารสามหน้า สำหรับขออโหสิกรรมในเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร, เจ้าแม่กวนอิมปางประธานยศ-ตำแหน่ง, เจ้าแม่กวนอิมปางประทานทรัพย์ สำหรับประทานในเรื่องติดขัดเรื่องการเงิน ธุรกิจการค้า เป็นต้น
จากวัดห้วยปลากั้ง เราเรียก grab ต่อไปอีกไม่เกิน 100 บาทเพื่อไปเที่ยวที่วัดสุดท้ายของวันนี้ นั่นก็คือ วัดร่องเสือเต้น ครับ
วัดร่องเสือเต้น จริงๆแล้วเป็นวัดโบราณครับ แต่สมัยก่อนเป็นวัดร้าง มีคำบอกเล่าว่า า ในสมัยนั้นละแวกนี้ยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนอาศัยอยู่มากนัก จึง มีสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือที่กระโดดข้ามร่องน้ำไปๆ มาๆ ชาวบ้านจึงเรียกว่า ร่องเสือเต้นBlue Temple หรือที่คนต่างชาติเรียกว่า
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2539 ชาวบ้านร่องเสือเต้นได้ประชุมหารือกันเรื่องการบูรณะวัดร่องเสือเต้น จุดประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมด้านจิตใจ และเป็นที่ประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา โดยจุดเด่นของวัดน็คือ วิหารวัดที่มีศิลปะแนวพุทธศิลป์ร่วมสมัย และ ผนังวัดใช้เฉดสีเป็นน้ำเงิน
เมื่อเดินเข้ามายังลานวัด สิ่งแรกที่พบคือ พระอุปคุต องค์สีขาวมุกประดิษฐานกลางน้ำพุใต้ร่มเงาดอกบัว มีปลาสีน้ำเงินจากป่าหิมพานต์รายรอบพระองค์อยู่ เมื่อเข้าไปภายในวิหาร จะพบพระประธานองค์ใหญ่สีขาวมุกที่มีชื่อว่า พระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ หมายถึง “พระพุทธเจ้าทรงเป็นมงคล เป็นเจ้าในความเป็นแห่งราชา เป็นที่พึ่งในสามโลก
วัดร่องเสือเต้นเป็นวัดสุดท้ายที่เราไปเยี่ยมชมครับ จากนั้นเราก็เรียก grab กลับเข้าตัวเมืองเชียงราย ค่ารถอยู่ที่ 70 กว่าบาท จากนั้นก็ไปเดินเล่นแถวๆ หอนาฬิกาเชียงราย ที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ทุกคืนเวลา 19.00, 20.00 และ 21.00 น. จะมีการแสดงโชว์แสงสีเสียง ถ้าใครมีโอกาสมาเชียงราย แนะนำให้มาดูกันได้
สำหรับการเที่ยวเชียงรายในวันแรกก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ
วันที่สอง
วันนี้เราจะเที่ยววัดในเขตตัวเมืองเชียงรายครับ จริงๆเราแพลนไปหลายวัดเลย แต่เนื่องจากตอนที่ผมไปเที่ยว ฝนตกแทบจะตลอด สุดท้ายเลยเปลี่ยนแผน ตัดเหลือแค่ 2 วัดคือ วัดพระสิงห์ และ วัดพระแก้ว ครับ
วัดแรกที่ไปเที่ยวคือ วัดพระสิงห์ อยู่ใกล้ๆกับโฮสเทลสามารถเดินไปได้เลย
ตามตำนานพื้นถิ่นที่เรียกว่า ชินกาลมาลีปกรณ์ เล่าว่า วัดนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธสิหิงค์ อยู่ช่วงหนึ่งโดยการอัญเชิญของ ท้าวมหาพรหม ก่อนที่พระพุทธสิหิงค์จะถูกอัญเชิญไปไว้ที่เมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา
ปัจจุบันพระพุทธสิหิงค์องค์จริงประดิษฐานอยู่ที่ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครที่กรุงเทพ ส่วนองค์ที่ประดิษฐานที่วัดนี้เป็นองค์จำลองครับ
วัดต่อมาก็คือ วัดพระแก้ว ครับ เดินไปได้จากวัดพระสิงห์ ไม่ไกลเลย หลายคนคงไม่ทราบว่า พระแก้วมรกต เคยประดิษฐานอยู่ที่เมืองเชียงรายมาก่อนครับ ตามตำนานเล่าว่า วัดนี้สมัยก่อนมีชื่อว่า วัดป่าเยี้ยะ หรือ วัดป่าไผ่ ต่อมาได้เกิดฟ้าผ่าลงบนเจดีย์ร้างองค์หนึ่ง จึงได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายในเจดีย์ และต่อมารักกะเทาะออก จึงได้พบว่าเป็นพระพุทธรูปสีเขียวที่สร้างด้วยหยก ซึ่งก็คือ พระแก้วมรกต นั่นเอง
ต่อมาพระแก้วมรกดได้ถูกอัญเชิญไปไว้ตามเมืองต่างๆ ได้แก่ ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี และกรุงเทพ ปัจจุบันทางวัดจึงสร้างพระพุทธรูปหยกองค์จำลองประดิษฐานไว้แทนครับ
การมาเชียงรายรอบนี้ อากาศไม่ค่อยดีครับ ฝนตกแทบจะทั้งวันเลย หลังจากเที่ยวได้แค่ 2 วัด ฝนก็ตกลงมาหนักมากครับ ผมเลยกลับโฮสเทล พักผ่อนยาวๆ แล้วก็เรียก grab ไปสนามบิน ทริปเชียงใหม่+ลำพูน+เชียงรายก็จบเพียงเท่านี้ครับ
บล็อกที่เกี่ยวข้อง
Create Date : 09 กันยายน 2567 |
Last Update : 9 กันยายน 2567 22:45:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 168 Pageviews. |
|
|