Welcome to my blog
3 วัน 2 คืน ปีนัง สีสันมรดกโลกบนดินแดนไข่มุกมาเลย์ (ตอนที่ 2: ปีนังฮิลล์+วัดเก็กลกสี่)


สถานที่ท่องเที่ยว : ปีนังฮิลล์ (Penang Hill), Malaysia
พิกัด GPS : 5° 24' 31.02" N 100° 16' 38.25" E

วันที่สอง

สำหรับรีวิวทริปปีนังในตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวที่ ปีนังฮิลล์ (Penang Hill) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเกาะปีนังกันครับ
 
รู้จักกับปีนังฮิลล์ (Penang Hill)

ปีนังฮิลล์ (Penang Hill) หรือที่คนมาเลเซียเรียกในภาษามลายูว่า บูกิต เบนเดรา (Bukit Bendera) เป็นกลุ่มของภูเขาหลายๆลูกที่ตั้งอยู่ใจกลางของเกาะปีนัง โดยยอดเขาที่สูงที่สุด มีความสูง 823 เมตร ด้วยความสูงระดับนี้ จึงทำให้บนยอดเขามีอากาศเย็นสบายในตอนเช้า และไม่ร้อนอบอ้าวในตอนกลางวันเหมือนในเมืองจอร์จทาวน์ครับ (แต่ก็ยังถือว่า ร้อนในช่วงตอนกลางวันอยู่ดี)

 

ด้วยเหตุที่ปีนังมีอากาศร้อนตลอดทั้งปี ชาวอังกฤษที่ปกครองปีนังอยู่ในขณะนั้นจึงสร้างบ้านพักตากอากาศบนปีนังฮิลล์เพื่อเป็นที่คลายร้อน โดยบ้านพักหลังแรกสร้างขึ้นในปี 1803
 

 
ต่อมา ปีนังฮิลล์ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น มีการสร้างบ้านพักตากอากาศขึ้นเยอะแยะมากมาย บางช่วงการบริหารอาณานิคมของปีนังของทางการอังกฤษ ก็บริหารจากบนนี้ ทำให้มีการเอาทหารและข้าราชการต่างๆ ขึ้นมาที่นี่มากขึ้น ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบาย จึงมีการสร้างรถรางไฟฟ้าเพื่อขึ้นไปยังบนปีนังฮิลล์ขึ้นครั้งแรกในปี 1923 (ถือเป็นรถรางไฟฟ้าแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
 

 
ปัจจุบัน ปีนังฮิลล์เป็นพื้นที่อนุรักษ์ ที่นี่มีนก กระรอก แมลง และพันธุ์พืชเฉพาะถิ่น แต่ขณะเดียวกันก็มีการใช้ประโยชน์จากมนุษย์ในแง่การท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้สามารถทำได้อย่างสมดุล ทางองค์การยูเนสโก้จึงได้ขึ้นทะเบียนปีนังฮิลล์ให้เป็น พื้นที่สงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve)  เมื่อปี 2021 เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนครับ
 

การเดินทางขึ้นปีนังฮิลล์

จากในเมืองจอร์จทาวน์ สามารถเดินทางยังรถเมล์สาย 201 หรือ 204 ครับ หรือถ้าใครไปหลายคน จะเรียก grab ไปก็ได้ โดยค่ารถจะอยู่ที 24 ริงกิต หรือประมาณ 200 บาทครับ (เนื่องจากทริปนี้ ผมต้องการจะขึ้นไปบนปีนังฮิลล์ให้ทันชมพระอาทิตย์ขึ้น ผมเลยเรียก grab จากโรงแรมไปเลยครับ)

 

รถแท็กซี่ จะมาส่งเราที่สถานีเคเบิ้ลคาร์  (มาแต่เช้า ยังมืดอยู่เลย)
 

 
จากตรงนี้ เราจะต้องซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์อีกคนละ 30 ริงกิต (สำหรับตั๋วไปกลับ) แต่ถ้าใครมีแรงเยอะ อยากไปปีนเขาเพื่อขึ้นปีนังฮิลล์ ก็ไม่ต้องเสียครับ เดินขึ้นได้เลย (บางคนแนะนำให้ซื้อตั๋วขาเดียว 15 ริงกิต โดยขาขึ้นให้ขึ้นรถเคเบิ้ลคาร์ ส่วนขากลับให้เดินลง ใครจะลองดูก็ได้นะครับ เค้าว่าตอนเดินลงบรรยากาศดีมาก แต่เนื่องจากผมมีเวลาจำกัดเลยไม่ได้ใช้แผนนี้ ใครจะลองดูก็ได้ มาเล่าให้ฟังด้วยนะครับว่าเป็นยังไง)
 

 
ใครที่มาเที่ยวในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ หรือตรงกับวันหยุด ตอนกลางวัน จะเจอกับผู้คนมหาศาล แบบในรูปด้านล่างนี้ (รูปนี้ผมถ่ายตอนขากลับ ตอนประมาณเที่ยงๆ) อาจจะต้องรอคิวขึ้นรถเคเบิ้ลคาร์เป็นหลายชั่วโมง แต่ถ้าไม่อยากรอ เราสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการซื้อตั๋วแบบ Fast lane นะครับ แต่ราคาไปกลับจะสูงถึง 80 ริงกิต วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อย แต่รวย
 

รถเคเบิ้ลคาร์ขึ้นปีนังฮิลล์

สมัยก่อนการรถรางเพื่อขึ้นปีนังฮิลล์ต้องใช้เวลานานถึง 30 นาทีครับ เพราะต้องรวมเวลาเปลี่ยนรถด้วย แต่ตอนนี้สะดวกสบายมาก นั่งแปบเดียว ต่อเดียวก็ถึงแล้ว

 

มีทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับใครที่จะมาขึ้นเคเบิ้ลคาร์นะครับ ขาไปให้รีบไปยืนข้างหน้า เพื่อจะถ่ายรูปรถรางตอนขาขึ้น ส่วนขากลับให้ไปยืนตรงท้าย จะได้ถ่ายรูปวิวเมืองปีนังแบบนี้ครับ

เที่ยวปีนังฮิลล์ช่วงไหนดี

การมาเที่ยวปีนังฮิลล์สามารถทำได้ตลอดทั้งวันครับ แต่ผมขอแนะนำให้มาในช่วงเช้าจะดีกว่า เพราะข้อดีของการมาเที่ยวปีนังฮิลล์ในช่วงเช้าก็คือ


(1) ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น - ถ้าใครต้องการมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ปีนังฮิลล์ แนะนำให้ออกจากในเมืองจอร์จทาวน์ตอนตีห้าครึ่งถึงหกโมงเช้า เพื่อให้ทันชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนประมาณ 7 โมงเช้าถึง 7 โมงครึ่งครับ

(2) อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิประมาณ 18 องศา และมีโอกาสเห็นทะเลหมอกด้วย
 
 

(3) คนน้อย ไม่ต้องรอต่อคิวนาน คนที่เที่ยวบนนี้ก็ยังน้อย พูดง่ายๆคือ ทั้งปีนังฮิลล์ก็จะเป็นของเราเลยครับ

(4) มีโอกาสเจอสัตว์ต่างๆที่จะออกมาหากินในช่วงเช้า ทั้งลิง นก กระรอก และอื่นๆอีกมากมาย

 

 
(5) ได้เห็นกิจกรรมน่ารักๆของลุงๆป้าๆชาวปีนัง ที่มาออกกำลังกาย เต้นแอโรบิกกัน ด้วยเพลงไทยด้วยนะ (ตอนผมไป กำลังเต้นเพลงเอะอะก็โป๊ ของใบเตยอาร์สยาม ไม่รู้นะว่า ที่เต้นๆอยู่รู้ความหมายเพลงกันบ้างไหม 5555)
 

ด้านบนปีนังฮิลล์มีอะไรบ้าง

1. จุดชมวิวปีนังฮิลล์

จากบนนี้เราจะได้เห็นวิวของกาะปีนัง รวมทั้งสะพานปีนัง ถ้ามาตอนเช้าๆ เราจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมกับอากาศเย็นๆ ไม่ถึง 20 องศา บางทีก็มีทะเลหมอกด้วยครับ (ไม่น่าเชื่อนะว่า มาปีนังก็เจอทะเลหมอกได้)

 
 

 
2. David Brown’s Restaurant and Tea Terrace เป็นร้านอาหารและคาเฟ่บนปีนังฮิลล์ เหมาะเอาไว้สำหรับทานไป ดูวิวไป เสียดายช่วงที่ผมไป ที่นี่ปิด ไม่แน่ใจว่าเพราะโควิด หรือว่าเพราะผมมาเช้าเกินไปก็ไม่รู้
 
 
3. สะพานแห่งความรัก เอาไว้ให้คู่รักมาถ่ายรูปคู่กัน มีให้คล้องกุญแจด้วยนะ อารมณ์แบบเกาหลีเลย 
 


 
(4) มัสยิดปีนังฮิลล์ (Masjid Bukit Bendera) เป็นมัสยิดแห่งเดียวบนนี้ สร้างขึ้นเพื่อให้ชาวมุสลิมที่ทำงาน หรืออาศัยอยู่บนนี้ประกอบศาสนกิจ เช่น การทำละหมาด ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปะแบบอิสลาม ผสมกับโคโลเนียล
 

(5) วัดฮินดูปีนังฮิลล์ (Penang Hill Hindu temple)

ชื่อของวัดจริงๆ คือ วัดศรีอรุโลลีตีลัมมุลุกัน (Sri Aruloli Thirumurugan) แต่ชื่ออ่านยาก คนส่วนใหญ่เลยนิยมเรียกว่า วัดฮินดูปีนังฮิลล์ (Penang Hill Hindu temple)

เนื่องจากสมัยก่อน ตอนที่ปีนังฮิลล์ยังเป็นสถานตากอากาศของชาวอังกฤษที่ปกครองปีนัง ผู้ปกครองเหล่าก็ต้องการคนรับใช้และคนงานที่เป็นชาวอินเดียใต้ จึงต้องมีการสร้างศาสนสถานเพื่อประกอบศาสนกิจของคนกลุ่มนี้ด้วย โดยในช่วงแรกที่นี่เป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ จนเมื่อหลังมาเลเซียได้รับเอกราช ที่นี่ก็กลายมาเป็นวัดมาจนถึงปัจจุบันครับ


 
(6) เกทเฮาส์ (Gatehouse, Bel Retiro)

เป็นบังกะโลของทางราชการ สร้างโดยชาวอังกฤษที่มาปกครองปีนังตั้งแต่ปี 1789 เพื่อให้ผู้ว่าราชการปีนัง ซึ่งเป็นชาวอังกฤษมาตากอากาศครับ ต่อมาเมื่อมาเลเซียได้รับเอกราช บังกะโลหลังนี้ ยังถูกใช้เป็นบ้านพักรับรองกษัตริย์มาเลเซีย รวมทั้งนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียคนแรก นั่นก็คือ ตุนกู อับดุล รามัน เวลาที่จะเดินทางมาราชการที่ปีนังอีกด้วยครับ


(7) เดอะฮาบิแทต (The Habitat Penang Hill)

เป็นสถานที่ที่ต้องเสียค่าเข้าชมครับ โดยค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 60 ริงกิต หรือประมาณ 480 บาท แนะนำให้ซิ้อตั๋วล่วงหน้าผ่าน klook นะครับ จะได้ราคาถูกกว่า หรือถ้าใครมีแผนจะไปเที่ยวที่อื่นด้วย สามารถซื้อเป็น combo ticket เลยก็ได้ ตามลิงค์นี้นะครับ

https://www.klook.com/th/activity/69925-klook-pass-penang-attraction-pass/?spm=BookingDetail.ActivityCard&clickId=801657f956

 

 
พอซื้อตั๋ว combo ticket แล้ว เราจะได้อีเมลล์สำหรับกดจองตั๋วสำหรับเข้าชมสถานที่ต่างๆ รวมทั้ง The habitat ครับ และเมื่อจองตั๋วแล้ว เราจะได้ voucher สำหรับแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้า เพื่อแลกเป็นตั๋วจริงแบบนี้
 

ที่นี่คือเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ซึ่งจะมีป้ายที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต และธรรมชาติต่างๆ พร้อมกับมุมให้นั่งพักอยู่เป็นระยะ
 









ระหว่างทางจะเจอ ทางเดินเหนือยอดไม้ (Canopy walkway) ให้เราได้ถ่ายรูปกันครับ
 

 
ไฮไลท์ของที่นี่คือ ทางเดินเหนือยอดไม้ที่เป็นวงกลมแบบนี้ครับ
 





จากบนนี้เราจะได้เห็นบ้านพักตากอากาศของชาวอังกฤษด้วยครับ (ช่วงที่ผมไปอากาศเย็น หมอกลง ฟินสุดๆไปเลยครับ)
 

 
คหสต. ผมว่าราคาตั๋วแรงไปนิด ถ้าใครชอบธรรมชาติ จะมาเดินก็ได้ หรือถ้าใครอยากมาถ่ายรูปลง IG ที่นี่ก็มีมุมสวยๆเยอะครับ แต่ถ้าใครเป็นสายประหยัด จะข้ามที่นี่ไปก็ไม่น่าเสียดายครับ

รีสอร์ทบนปีนังฮิลล์

ถ้าใครชอบปีนังฮิลล์ อยากสัมผัสบรรยากาศ และอากาศเย็นๆ บนนี้ แบบนอนค้างคืน ที่นี่ก็มีรีสอร์ทนะครับ ชื่อว่า  Bellevue The Penang Hill Hotel ราคาถือว่าไม่แพงเลย

จริงๆตอนแรกผมก็วางแผนอยากขึ้นมานอนบนนี้เหมือนกัน แต่เท่าที่อ่านรีวิวต่างๆแล้ว รู้สึกว่า ไม่โอเคเท่าไหร่ เลยขอพักข้างล่างดีกว่า (น่าเสียดายนะ ถ้าบริการดีๆ ผมว่าคนไปพักเยอะแน่นอน)

 



วัดเก็กลกสี่ (Kek Lok Si temple)

ถ้าใครที่มาปีนังฮิลล์แล้ว ในวันเดียวกัน ผมแนะนำให้มาที่วัดนี้ต่อเลยครับ เพราะอยู่ทางเดียวกัน โดยค่ารถจากสถานีปีนังฮิลล์ มาที่วัดนี้ด้วย grab ราคาจะอยู่ที่ 9 ริงกิตครับ

 

วัดเก็กลกสี่ (Kek Lok Si temple) หรือที่ทัวร์ไทยเรียกว่า วัดเขาเต่า ถือเป็นวัดจีนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1890 แล้วเสร็จในอีก 15 ปีต่อมา ระหว่างนั้นก็มีการต่อเติมเรื่อยๆ จนกลายเป็นแบบในปัจจุบัน
 

ไฮไลท์ของวัดนี้มี 2 อย่างครับ อย่างแรกคือ เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ สูงถึง 30 เมตร ที่เราสามารถเลือกเดินขึ้นไปชม หรือนั่งรถเคเบิ้ลคาร์ขึ้นมาก็ได้ (ค่าตั๋วสำหรับขึ้นและลงอยู่ที่ 6 ริงกิต)
 

เจ้าแม่อีกองค์นะครับ อยู่ใกล้ๆกับเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ เป็นการออกแบบที่ดูแปลกดี
 

 
อย่างที่สองคือ เจดีย์ที่มีการผสมผสานระหว่างสไตล์จีน ไทย และพม่า แบบนี้ครับ โดยฐานด้านล่างจะเป็นสไตล์จีน ตรงกลางเป็นศิลปะแบบไทย ส่วนด้านบน จะเป็นเจดีย์แบบพม่าครับ (ตรงจุดนี้จะมีค่าเข้าคนละ 2 ริงกิต)
 

 
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเจดีย์นี้คือ ข้างในจะมีพระบรมสาทิสลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 6 อยู่ด้วย  พอกลับมาผมก็ไปค้นข้อมูล เลยเจอว่า เจดีย์องค์นี้ ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานเงินทุนตั้งต้นในการก่อสร้าง เจดีย์นี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า เจดีย์พระราม 6 ด้วยครับ
 



ด้านในเจดีย์จะมีพระพุทธรูปแบบต่างๆทั้งไทย พม่า ทิเบต จีน และอีกหลายๆชาติ
 







ด้านบนสุด เราจะได้เห็นวิวของวัดเก็กลกสี่ พร้อมกับวิวเมืองปีนังแบบนี้ครับ


การที่วัดนี้สร้างได้ใหญ่โต จนถือเป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดของปประเทศมาเลเซีย ก็ด้วย หลวงพ่อเปียวเลี่ยน ที่ได้รวบรวมเงินจากการบริจาคจากนักธุรกิจต่างๆที่ร่ำรวยทั่วทั้งปีนัง รวมทั้งเงินทุน และข้าวของต่างๆจากราชสำนักจีนสมัยจักรพรรดิกวางสวี รวมทั้งพระนางซูสีไทเฮาอีกด้วย
 







 
เราสามารถบริจาคเงิน 1 ริงกิตเพื่อซื้อริบบิ้นเหล่านี้ได้ครับ โดยริบบิ้นแต่ละสี จะแทนพรแต่ละอย่าง เช่น ขอให้สุขภาพดี ขอให้ร่ำรวย ขอให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษา เป็นต้น พอได้ริบบิ้นมา ก็เขียนชื่อเรา อธิษฐาน แล้วเอาไปแขวนบนต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เชื่อกันว่า จะทำให้พรที่ขอเป็นจริงครับ


สำหรับในตอนหน้า จะเป็นรีวิวตอนสุดท้ายของทริปปีนังครับ ผมจะพาทุกคนไปชมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งของปีนังที่เรียกว่า ชาวเปอรานากัน (Peranakan people) ซึ่งผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมคฤหาสน์ของพวกเค้า นอกจากนี้ ผมยังได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม ศูนย์วิจัยจูแรสสิค (Jurassic Research Centre) ซึ่งได้ถอดแบบมาจากในหนังเรื่องจูแรสสิคพาร์คเป๊ะๆ บอกเลยว่า สถานที่เหล่านี้ยังไม่มีใครทำรีวิวครับ เพราะไม่มีใครเค้าไปกัน (ยกเว้นผม) เอาเป็นว่า แต่ถ้าใครสนใจ ผมก็ฝากติดตามกันต่อในตอนหน้าด้วยนะครับ

ผมเดินชมรอบๆบริเวณวัดถึงช่วงบ่ายแก่ๆ จากนั้นก็นั่งรถกลับเข้าเมืองจอร์จทาวน์  การเที่ยวในทริปปีนังในวันที่สองก็จบเพียงเท่านี้ครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 03 กันยายน 2565
Last Update : 21 เมษายน 2567 22:55:18 น. 0 comments
Counter : 5969 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse


ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.